ตอนที่ 20 : ตัวร้ายฉันมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าที่อธิบายไม่ได้
ดีใจ..อึดอัด..เสียใจ..กังวล
ก่อนหน้านี้ ผู้ชายอีกคนที่ท่าทางวางอำนาจ กับพี่สาวผู้น่ากลัวของเขา ได้เข้ามาคุยกับฉัน
ทั้งขู่ ทั้งบังคับ ให้ฉันสารภาพเรื่องทั้งหมดไป
ทว่าฉันปิดปากเงียบ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของฉัน ช่วงชีวิตที่ได้ทำงานกับนายท่านและเจ้านาย
ทำให้ฉันรู้ว่ามีหลายสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย ..เลวร้ายกว่ายิ่งนัก
..ฉันไม่กลัวตาย..
ฉันบอกไปแบบนั้นตอนที่ชายผู้วางอำนาจขู่
ลูกน้องของเขายกปืนขึ้น
แต่เมื่อฉันบอกว่าไม่กลัวตาย
และฉันหมายความตามนั้นจริงๆ
พี่สาวของเขาจึงบอกให้หยุด
เธอเหลือบสายตามองฉันเหมือนเป็นริ้นไร
ปะหลาดใจที่ฉันไม่รู้สึกเย็นยะเยือก
อาจเพราะฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองสูงส่งมาแต่ไหนแต่ไร
ฉันจ้องกลับไปด้วยสายตาที่ไม่ได้ต้องการจะสื่อความหมายอะไรนัก
ภาวนาให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็ว
เป็นความตาย..เป็นอะไรก็ได้ ขอทีเถิด..
'ดูเหมือนว่าเธอจะไม่กลัวตายจริงๆ..ถ้าอย่างนั้นเตรียมตัวตอบคำถามกฤษณ์เองแล้วกันนะ
ว่าทำไมถึงได้ทำอย่างนั้น'
ผู้หญิงใบหน้าสะสวยเอ่ยวาจาเรียบๆก่อนจะยิ้มมุมปาก
เธอช่างรู้ว่าทำอย่างไรฉันถึงจะจนมุม
..พี่กฤษณ์..
เพียงเเค่ได้ยินชื่อของเขาก็เหมือนก้อนสะอื้นมาจุกที่ลำคอฉัน
คนไม่กี่คนในชีวิตของฉันที่ผ่านเข้ามา และไม่ฉกฉวยเอาชีวิตไป
ไม่กี่คนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันยังโชคดีที่ได้มีชีวิต
..ได้มาพบเขา
ก่อนที่จะได้คิดถึงเรื่องที่ตนไม่มีทางเลือก เรื่องที่ทำให้ฉันเสียใจมากที่สุด
ชายคนนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าฉัน
ดวงตาสีดำสนิทนั้นราวกับจะมองทะลุตัวฉัน ฉันหลบตาเขา ริมฝีปากสั่นน้อยๆ
สักพักหลังจากความเงียบผ่านไป
อยู่ๆมือหนาก็ลูบหัวฉันอย่างอ่อนโยน
"ไม่เป็นไรนะ"
เขาพูดเพียงเท่านั้น น้ำเสียงไม่ได้อ่อนหวาน ไม่มีกอด ไม่มีอะไรนอกจากลูบหัวแบบที่เคยทำ
แต่อยู่ๆฉันกลับรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงกว่าที่จำได้
ไหล่ของเขากว้างเหลือเกิน..
ฉันสะอึกสะอื้นก่อนจะโผกอดพี่กฤษณ์..
ลำแขนแกร่งโอบตัวฉันไว้เบาๆ..
"ไอไม่ได้ตั้งใจ..ฮึก..ไอ ไอไม่มีทางเลือก เขาบังคับไอ.."
และหลังจากนั้นเรื่องราวก็พรั่งพรูออกจากปากฉัน
ทั้งหมดนี้มาจากอ้อมกอดของเขา
ที่บังคับให้ฉันเล่า..แบบที่กระบอกปืนไม่เคยทำได้
..................................
"พี่ไอ~! แก้วคิดถึงจังง"
เด็กสาวตัวน้อยที่ชื่อแก้ววิ่งมากอดฉัน ฉันจำเธอได้ดี แววตาใสซื่อแก่นแก้ว นิสัยร่าเริง
เธอเหมือนน้องสาวตัวน้อยที่ฉันไม่เคยมี
"พี่กฤษณ์บอกว่าพี่ไอจะมาเป็นเด็กฝึกงานที่นี้ นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเหรอคะ..แก้วดีใจจังเลย"
ฉันยิ้มให้เธออย่างอ่อนเพลียก่อนจะพยักหน้ารับ..พี่กฤษณ์..
ขอบคุณมากนะคะ..
ฉันยังกลัวนายท่านเเละเจ้านายอยู่..
แต่เมื่อได้ฟังคำมั่นสัญญาของพี่กฤษณ์ และเเววตาของเขาที่มองฉัน
ตอนที่บอกว่าจะปกป้องฉัน..
เขาทำให้ฉันเชื่อ
ถ้าหากว่าจะมีใครสักคนที่สามารถยืนหยัดสู้กับอำนาจที่อยุติธรรมทั้งหลายได้
ฉันคิดว่าคนคนนั้นคือเขา..
แต่ต่อให้ไม่ได้..
ฉันก็อยากจะลอง'เชื่อ'ดูสักครั้ง
เหมือนเจ้าหญิงที่ท้ายที่สุดจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วย..
เหมือนเจ้าหญิงในนิทานสำหรับเด็ก..ที่แม่เคยอ่านให้ฉันฟัง..
ในคืนที่พ่อโมโหทุบตี คืนที่พี่ชายเมายาแล้วข่มขืน คืนที่ฉันต้องถูกบังคับให้ขายตัวเป็นครั้งเเรก
นานมาแล้วที่ฉันไม่เคยเชื่อว่าจะมีเจ้าชายขี่ม้าขาว
แต่พอได้พบกับพี่กฤษณ์
ฉันคิดว่าคนคนนั้นอาจมีจริง
การกลับมาของฉันครั้งนี้ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น
ถ้าเทียบกับสิ่งที่ฉันทำลงไป ฉันไม่สมควรได้รับมันด้วยซ้ำ
ทุกคนในบ้านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
พวกเขาอาจไม่รู้
ฉันเหลือบมองพี่กฤษณ์ที่กำลังยิ้มและพูดคุยกับคนรักของเขา
..เขาอาจไม่ได้บอกคนอื่นๆ เรื่องคืนนั้น
พี่กฤษณ์เป็นคนแบบนั้น
...................................
หลังจากทานอาหารเช้าร่วมกันอันเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของบ้านเสร็จ
ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน
ฉันเก็บจาน ถ้วย ช้อนส้อม เตรียมไปล้างในห้องครัว
ขณะที่กำลังเก็บอยู่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
"เดี๋ยวผมช่วย"
ฉันเงยหน้ามอง เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผมสีน้ำตาลอ่อนๆ ท่าทางไม่แยแสอะไรยืนอยู่ตรงหน้า
..เขาเป็นคนรักของพี่กฤษณ์
พี่กฤษณ์บอกฉัน น้องแก้วก็บอก
สารภาพว่าได้ยินตอนแรกฉันประหลาดใจอยู่เหมือนกัน
พี่กฤษณ์ไม่ได้มีทีท่าเหมือนคนที่จะรักผู้ชายเป็นแฟนได้
แต่พอมาคิดๆดู คนจะรักเพศไหนก็ไม่จำเป็นต้องมีทีท่าแบบไหนเป็นพิเศษ
นี้อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่งานของฉันไม่สำเร็จ..
"คุณสองไม่ต้องทำหรอกค่ะ ไอทำเองได้"
ฉันบอกไปเบาๆเมื่อเขาดึงจานออกไปจากมือฉัน
"เออก็จริง ปกติผมก็ไม่ได้ทำ พึ่งนึกขึ้นได้ตอนเห็นคุณทำนี่แหละ"
คนตรงหน้าพูดแล้วส่งจานคืนให้ฉันอย่างรวดเร็ว...
แต่เมื่อฉันเดินเข้ามาในครัว เขาก็เดินตามมาด้วย
"พี่กฤษณ์เล่าให้ผมฟังแล้ว เรื่องที่คุณโดนวินด์บังคับ"
"ฉันไม่มีทางเลือก"
ฉันก้มหน้า เลี่ยงไม่สบสายตาเขา พยายามหันไปทำธุระจุกจิกอย่างการเรียงจาน เทเศษอาหาร เปิดน้ำ
"ไม่จริง มีวิธีเป็นร้อยที่จะทำตามคำสั่งเขาแบบไม่ต้องเอาตัวเข้าเเลก แต่คุณทำ"
เขาพูดก่อนจะยักไหล่
"ผมไม่รู้ว่าทำไมคุณโกหก แต่คุณก็เห็นแล้วว่าพี่กฤษณ์เป็นคนยังไง คุณเห็นเขาใจดีด้วย คุณเลยคิดว่าจะเอาเปรียบเขาได้?"
ที่ฉันโกหกเพราะฉันหลงรักพี่กฤษณ์จริงๆนะสิ...ฉันคิดอย่างเจ็บปวด
"..ฉันไม่ได้คิดอย่างนั้นเลยนะคะ คุณสอง.."
ฉันพูดเสียงสั่นนิดๆ เมื่อรู้สึกว่าถูกคนตรงหน้าคุกคาม
"ถ้าคุณคิดว่าไอ้ความน่าสงสาร ประวัติชีวิตน้ำเน่า มันจะใช้ได้กับทุกคน คุณคิดผิด.."
เขาพูดก่อนจะเปิดตู้วางจาน ถ้วย แล้วหยิบมันขึ้นมา
"พี่กฤษณ์ใจดี แต่ผมไม่ และผมไม่ Give a shit ด้วยว่าคุณจะน่าสงสารยังไง
..อย่าล้ำเส้น อย่าแตะต้อง ไม่งั้นแม้แต่ความสงสารจากพี่กฤษณ์คุณก็จะไม่ได้มันอีก"
เขาวางถ้วยจานที่ยังสะอาดเอี่ยมลงไปในอ่างล้างจานที่ฉันเตรียมไว้
"ล้างให้สะอาดนะครับ น้องไอ..งานพวกนี้พี่ไม่ถนัด"
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนหน้าตาหล่อเหลาเหมือนเทพบุตร ส่งรอยยิ้มหวานมาให้ฉัน
ก่อนจะหันหลังเดินออกจากครัวไป
ดูเหมือนว่าคนรักของพี่กฤษณ์คนนี้..จะไม่ใช่ 'นางเอก' อย่างที่ฉันคิดไว้เสียเเล้ว
..................................
จริงอยู่ที่ฉันหลงรักพี่กฤษณ์..ฉันมองเขาเป็นอัศวินที่มาช่วยฉัน
แต่..ฉันก็รู้ตัวฉันดี รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะใด
ฉันไม่อาจอาจเอื้อม ดีใจ กับการใจดีเล็กๆน้อยๆของเขาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ 'เจ้าของ' เขายังอยู่ข้างๆแบบนี้
คุณสอง..ถึงแม้เขาจะใจร้ายกับฉันไปบ้าง แต่นอกเหนือจากการ'เตือน'ในวันนั้นแล้ว
เขาก็ไม่ได้มีเจตนาจะคุกคามฉันมากนัก
แต่ในสายตาของฉันพวกเขาดูเหมือนพี่น้องที่สนิทกันมากกว่าคนรัก
ฉันมองดูภาพพวกเขาหยอกล้อกัน มีทั้งเสียงหัวเราะ การโหวกเหวกโวยวาย
ช่างดูเป็นครอบครัวที่สนุกสนานเหลือเกิน
"หนูไอนี้เรียบร้อยดีจริงๆเลยนะ พูดน้อยคำ ทำงานเก่ง สุภาพอีกต่างหาก"
ป้าสมบัติพูดชมขณะนั่งพับผ้าอยู่ข้างๆฉัน
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี้ฉันก็ได้ช่วยทำงานบ้านทุกอย่าง จนตอนนี้สนิทกับป้าสมบัติที่สุด เธอทำให้ฉันคิดถึงแม่ที่บ้าน...
แม่ที่ไม่รู้ว่ารอคอยการกลับไปของฉันอยู่ไหม
"ไอแค่ไม่มีเรื่องจะพูดนะจ่ะป้า..ทำงานก็ทำให้ไม่คิดอะไรดี"
ฉันพูด สายตายังเหม่อมองไปที่พี่กฤษณ์กับคุณสอง
"เอ้อ นี่ พอดี กระดุมเสื้อคุณสองเขาหลุด ไอเย็บเป็นไหม ช่วยป้าหน่อยนะ"
"ได้ค่ะ"
ฉันรับคำก่อนจะหยิบเสื้อนอนราคาเเพงมาเพื่อเย็บกระดุมกลับ
มันไม่ใช่งานที่ยากลำบากนัก ไม่นานฉันก็ทำเสร็จ
"ขอบคุณน้องไอดิสอง น้องเย็บกระดุมกลับให้"
พี่กฤษณ์เดินมาก่อนจะหันไปยิ้มอย่างขี้เล่นให้กับคนข้างๆ คุณสองส่ายหัว
"มึงดิต้องขอบคุณ มึงทำหลุดอ่ะ"
พี่กฤษณ์มองหน้าฉันก่อนจะหลุดหัวเราะ
"เออ พี่ทำจริงๆว่ะ.. ขอบคุณนะน้องไอ ว่างๆสอนเจ้าสองหน่อยดิ มันจะได้ทำอะไรพวกนี้เป็นบ้าง"
"กูมีเงิน จ้างเอาก็ได้"
คุณสองพูดอย่างไม่ยี่หระ พวกเขาดูเข้ากันจนฉันอดยิ้มไม่ได้..
นี่คือความรักหรือเปล่านะ..
เจ็บปวดที่เขารักคนอื่น แต่ก็สุขใจที่เห็นเขามีความสุข
ฉันมองรอยยิ้มพี่กฤษณ์
แค่ได้มองอยู่ในมุมนี้ฉันก็พอใจแล้ว
..................................
ไม่นานนักพี่กฤษณ์ก็ต้องเดินทางไปทำธุระที่กรุงเทพ
ทั้งคุณสองและเพื่อนของเขาก็ไปด้วย
ฉันที่อยู่ที่นี้เมื่อเวลาผ่านไปก็รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของไร่แห่งนี้มากขึ้น
วันเวลาดูผ่านไปเชื่องช้า เรียบง่าย และสงบสุข
ทุกวันตอนเย็นน้องแก้วมักจะมานอนเล่นอยู่ห้องฉัน
ให้ฉันทำผมให้ ถ่ายรูป เล่นแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆกัน
น้องอยู่ในวัยแรกรุ่น และมีเรื่องเล่ามากมายมาเล่าให้ฉันฟัง
ประสบการณ์ในโรงเรียนและเพื่อนๆที่ฉันไม่เคยได้พบ
"แล้วมาร์คก็บอกกับเพื่อนแก้วว่า เขาแอบชอบแก้วอยู่อ่ะพี่ไอ..เขาบอกไม่ให้เพื่อนแก้วบอกแก้ว!"
น้องสาวตัวน้อยของฉันโวยวาย
"นิ่งๆก่อนนะแก้ว เดี๋ยวที่รีดผมโดนคอ.."
ฉันพูด พยายามกลั้นขำ ..แสดงว่าเพื่อนแก้วบอกแก้วแล้วใช่ไหมเนี่ย..
"แต่แก้วไม่ได้ชอบมาร์คไง หมอนั่นชอบทำตัวขี้แอ็ค..แบบ ดีดกีตาร์ติ๊งๆ หน้าห้องไรงี้ "
น้องแก้วยังคงเล่าต่อเสียงเจื้อยแจ้ว
"โอย ที่พี่ฟังมาทุกวัน ไม่ยักเห็นน้องแก้วชอบใครสักคน"
ฉันพูด กลั้นขำ น้องแก้วเป็นเด็กสาวที่สวยน่ารักเลยทีเดียว เธอมีความเป็นผู้นำ กล้าแสดงออก ฉลาด ฉะฉาน เป็นทั้งหัวหน้าห้อง ทั้งนักกีฬา ไม่แปลกที่เด็กๆผู้ชายจะชอบเธอ
"ก็แก้วชอบพี่ไออ่า..พี่ไอสวยน่ารัก"
น้องแก้วพูดก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อย ฉันบิดแก้มเธอด้วยความหมั่นเขี้ยวไปทีหนึ่ง
"แหม..เสร็จแล้วค่ะ คุณหนู"
น้องแก้วมองฉันก่อนจะทำหน้ามุ่ย
"จริงๆนะพี่ไอ ถ้าพี่ไอแต่งตัวสวยๆ แต่งหน้าสวยๆ พี่ไอสวยไม่แพ้เน็ตไอดอลเลยนะ! ผิวขาว ตาโต ปากเล็กๆง่ะ"
ฉันส่ายหัว ความงามนั่นอันตราย ก็เพราะสิ่งเหล่านี้ชีวิตฉันถึงได้ลำบากซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"หืมม ไม่เอาก็ไม่เอา พี่ไอไปกินของหวานกันไหมคะพรุ่งนี้ พี่ไอไปรับแก้วที่โรงเรียนนะ"
น้องแก้วคะยั้นคะยอ ปกติจะมีคนขับรถไปรับน้องแก้วเเทนพี่กฤษณ์ ฉันจะขอติดรถเขาไปด้วย ไม่ได้ออกไปไหนนานแล้วเหมือนกัน
"ก็ได้จ้ะ"
ฉันตกลงรับปาก
.................................
ฉันมองบรรยากาศรอบตัว นานเท่าไหร่แล้วที่ไม่ได้ออกมานั่งรถเล่นเเบบนี้
โชคดีที่พี่สิงห์เป็นคนใจดี ฉันขอติดรถมารับน้องแก้วเเล้วเขาก็ตอบตกลง
"ร้อนไหมน้องไอ พี่เด็กบ้านๆ~ พี่คนจนๆ .."
พี่สิงห์หันมาถามพลางร้องเพลง ฉันหลุดขำ
พี่สิงห์เป็นชายหนุ่มวัยกลางคนที่หน้าตาดูเหมาะแก่การทำงานเก็บดอกรายวันมากกว่ารับส่งเด็กผู้หญิง
เขาชวนฉันคุยสัพเพเหระ ฉันซึ่งค่อนข้างเงียบๆได้แต่นั่งฟัง ตลอดระยะการเดินทาง ทำให้รู้จักเรื่องราวของพี่สิงห์เกือบทั้งชีวิตเลยทีเดียว
เป็นต้นว่า พี่สิงห์เป็นลูกคนโต มีน้องสาวสองคน พี่แกเรียนจบช่างยนต์ ตอนแรกก็ล่องลอยไม่มีงานไปเรื่อยๆ จนได้ไปเจอลุงชัยที่งาน Car expo.. ตอนนั้นพี่สิงห์ไปวิเคราะห์เครื่องยนต์โม้ให้เศรษฐีแถวนั้นฟัง หนึ่งในนั้นมีลุงชัยด้วย จบงานแกสนใจ เลยได้คุยกันยาว ลุงชัยเห็นพี่สิงห์หน่วยก้านดี เป็นคนขยัน เลยชวนให้มาทำงานด้วย ...
"ครอบครัวนี้เนี่ย เขาเหมือนรับเลี้ยงคนทำบุญทำทานนี่แหละ"
พี่สิงห์เล่าให้ฉันฟังว่า มีคนงานหลายคนที่ทำงานที่ไร่ เข้ามาในลักษณะเดียวกันกับพี่สิงห์ อาจเพราะเเบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันมากกว่าบริษัทหรือองค์กรอะไรสักอย่าง
พวกคนงานต่างรักและเคารพครอบครัวลุงชัยเหมือนเป็นผู้ใหญ่ที่เขาเคารพนับถือจากใจ
ไม่ใช่เพราะตำแหน่งหรือความเกรงกลัว
ฉันเองก็เช่นกัน แม้จะมาอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ก็รับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์และความอบอุ่นที่มีในไร่มาโดยตลอด
ทำให้คิดไปว่า หรือที่นี้จะเป็นที่ที่ฉันเรียกว่า 'บ้าน' ได้เต็มปากเต็มคำสักที
..................................
เมื่อมาถึงโรงเรียนของน้องแก้ว ซึ่งเป็นโรงเรียนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย
ระหว่างที่ฉันกับพี่สิงห์นั่งรอน้องแก้วเรียนเสร็จอยู่ในศาลา
สายตาฉันก็เหลือบไปเห็นใบหน้าคุ้นเคย ผู้ชายสองสามคน เดินวนไปมาในบริเวณที่ควรเป็นที่จอดรถของผู้ปกครองคนอื่นๆ ใบหน้าคนเหล่านั้นทำให้ฉันตัวเเข็งขึ้นมา
...คนของเจ้านาย..ไม่สิ..อดีตเจ้านาย
คนของคุณวินด์..
ฉันรู้จักพวกมันแต่ละคนดี
ถ้ามันปรากฎตัวที่ไหน ไม่เคยมีด้วยเจตนาดีเลยสักครั้ง..
และนี้คือโรงเรียนน้องแก้ว..
เจ้านาย..คุณคิดจะทำอะไรกันเเน่..?
"เป็นอะไรเหรอน้องไอ เหงื่อตกเชียว"
พี่สิงห์ถามขึ้นด้วยภาษาท้องถิ่น..ฉันส่ายหัว ตายังคงจ้องไปที่คนเหล่านั้น
พี่สิงห์หันมองตาม
"เอ..คนของหัวหน้านี่..แค่พี่คนเดียวยังไม่พอหรือไง.."
พี่สิงห์พูดก่อนจะยิ้มให้ฉัน
"หัวหน้าไม่ค่อยเชื่อใจเราเท่าไหร่เลยว่าไหม...น้องไอ"
ฉันมองหน้าพี่สิงห์ รู้สึกเย็นยะเยือก...
ทั้งๆที่รอยยิ้มนั้นอบอุ่นใจดีเหลือเกิน
..................................
"พี่สิงห์~ พี่ไอ?! มาจริงๆด้วยย"
น้องแก้วเดินยิ้มกว้างมาแต่ไกล ฉันยืนตัวเกร็งอยู่ข้างๆพี่สิงห์
ความจริงที่พึ่งได้รับรู้นั้นทำให้ฉันตกใจไม่น้อย
พี่สิงห์เป็นหนอนบ่อนไส้อย่างนั้นหรือ..?
คุณวินด์คิดจะขู่บังคับพี่กฤษณ์โดยใช้น้องแก้วอย่างนั้นหรือ?
ทำไมถึงได้ส่งคนมาติดตามน้องแก้ว?
แล้วเจ้านายเลิกตามล่าฉันเเล้วหรือ? หรือคิดได้เเล้วว่าทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์..
ฉันไม่เคยเข้าใจความคิดของเจ้านายเลยสักครั้ง
เขานั้นเพียบพร้อมสมบรูณ์แบบ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในการกระทำของเขา
เหมือนชีวิตเขานั้นไม่เคยเติมเต็ม
เหมือนเขาโหยหาอะไรบางสิ่งอยู่เสมอ
อยากจะกด..อยากจะเหยียบย่ำ..อยากจะทำลาย
เขาเคยทำมันมาเเล้วกับชีวิตพี่กฤษณ์และคุณสอง
แต่กับน้องแก้ว..ฉันจะไม่ยอม
ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือชิ้นใดของเขาอีก
ฉันมองพี่สิงห์ที่ยกกระเป๋าให้น้องแก้ว มองคนของเจ้านายที่มองพวกเราจากที่ไกลๆ
ในตอนนั้นเองที่ฉันตัดสินใจว่า
แม้ว่าโลกนี้จะไม่เคยยุติธรรม
แม้ว่าในชีวิตของฉันเองก็ไม่เคยได้รับความเห็นใจใดๆจากเจ้าชายขี่ม้าขาว หรืออัศวิน
แต่ฉันไม่จำเป็นต้องเอาแต่รอคอย ไม่จำเป็นต้องเอาแต่ก้มหน้าสมเพชโชคชะตา
ฉันอาจเป็นอัศวินของใครบางคนก็ได้
เพียงแค่ฉันลุกขึ้นมาทำบางสิ่ง
..บางสิ่งที่ฉันพอจะทำได้
"น้องแก้ว วันนี้ป้าสมบัติบอกว่ามีขนมตาลทำใหม่ๆอยู่บ้านนะ"
"เอ๋..? แต่วันนี้เราสัญญาว่าจะไปกินขนมหวานกันนี่คะ"
เด็กหญิงทำหน้ามุ่ย
"ก็กินอยู่บ้านเราไง..จะได้ไม่ดึกด้วย พี่สิงห์เองก็คงอยากพักผ่อนนะคะ ทำงานมาทั้งวัน"
ฉันพูดและหันไปยิ้มให้เขา
"เดี๋ยวไอโทรบอกป้าสมบัติเลยละกันเนาะ ว่าเรา'สามคน'จะกลับไปกินข้าวเย็นด้วย"
ฉันยกโทรศัพท์ขึ้นกดทันทีก่อนจะมองหน้าพี่สิงห์ เขายิ้มให้ฉัน
แต่รอยยิ้มกลับไม่กว้างเท่าครั้งแรก
สวัสดีค่ะ!!
ในที่สุดก็พอมีเวลาว่างมากขึ้นจากงานเลยได้มาพิมพ์ต๊อกๆแต๊กๆ ต่อค่ะ!
อาจจะห่างหายกันไปบ้างอยากให้เข้าใจว่า ช่วงที่คนอื่นหยุดกัน เราไม่ได้หยุดเลยค่ะ!
สำหรับตอนนี้เป็นมุมมองของสาวน้อยไอ ตัวร้ายที่ถ้าไปอยู่เรื่องอื่นอาจน่าหมั่นไส้มากกว่านี้(ฮา)
แต่จริงๆแล้วเธอไม่ใช่ตัวร้ายแบบ'stereotype'เลยสักนิด(โกหก แสดงเก่ง ขี้อ้อน หน้าอย่างหลังอย่าง อะไรเทือกนั้น)
ก็ชีวิตจริงน่ะไม่มีตัวร้ายหรอกนี่คะ มีแต่มนุษย์เหมือนกันทั้งนั้น
มีเหตุผลในการกระทำบ้าง ไม่มีบ้าง ทำถูกบ้าง ผิดบ้าง
แต่ก็เพราะความเป็นมนุษย์นี่แหละค่ะ
นิยายเรื่องนี้ถึงจำเป็นต้องสนุกเข้มข้นขึ้นไปอีก!
#Anynomous