บทที่ 15
ผมนอนไม่หลับมาเป็นอาทิตย์แล้วครับทุกคน…
จริงๆ มันเริ่มตั้งแต่ช่วงที่ผมรู้ว่าปันไม่ใช่ลูกผม ลากยาวมาจนถึงช่วงที่ผมกินเหล้าแบบมาราธอน แล้วก็พลั้งมือไปต่อยหน้าไอ้หมอนั่น คนที่เป็นพ่อที่แท้จริงของปันโผล่หน้ามา แล้วก็มาซัดผมคืน จากนั้นปันก็ไปอยู่กับไอ้หมอนั่น
อืม ให้ตายสิ เรื่องอีนุงตุงนังขนาดนี้ไปได้ยังไง แล้วอะไรคือการที่พวกเราสองคนยังทะเลาะกันอยู่แต่ต้องแยกไปอยู่กันแบบนี้
ไม่ไหว… ปวดหัว เครียด แดกเหล้าดีไหม แต่แค่คิดก็ปวดหัวขึ้นมาล่ะ ในเวลาแบบนี้ผมควรจะต้องทำยังไงดี
“ดล” เสียงเรียกดังขึ้นจากโต๊ะประธานทำให้ผมต้องรีบยันตัวลุกขึ้น ตรงดิ่งไปหาอีกฝ่ายจนได้
โยชิดะซังกำลังก้มลงอ่านรายงานสรุปที่ผมทำไว้นั่นเอง รู้สึกใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แฮะ หวังว่าคงจะไม่โดนด่า…
“เดือนที่แล้วทำเป้าดีเลยนี่ เดือนนี้ก็เอาให้ได้แบบนี้นะ”
อ้าว โดนชมซะงั้นแฮะ
“ขอบคุณครับ”
อีกฝ่ายช้อนตาขึ้นมามองหน้าผมนิดหนึ่งก่อนจะพูดเสียงเรียบ “มีปัญหาอะไรอยู่รึเปล่า นพดล”
ผมชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบอ้อมแอ้ม “เอ่อ ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ”
“คุณแน่ใจเหรอ”
“ครับ”
“พักนี้เหมือนคุณไม่ได้นอนเลยนะ”
ผมยิ้มฝืนๆ กลับไป “ก็… นอนไม่ค่อยหลับครับ แต่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ”
“เอาเถอะ อย่าให้เสียงานก็แล้วกัน”
ผมตอบรับพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ไปแล้วจึงเดินกลับมาที่โต๊ะของตัวเอง เป็นจังหวะเดียวกับที่ไอ้ก้องโผล่หน้ามาที่โต๊ะเพื่อเอาเอกสารจากฝั่งเซลล์มาให้ เจ้าตัวโน้มหน้าลงถาม ถามเสียงเบาเพื่อไม่ให้รบกวนการทำงานของคนอื่นๆ
“ดลๆๆ ลูกสาวผมเขามาเล่าให้ฟังว่าวันก่อนมีดาราไปที่โรงเรียน”
“อ้อ งั้นเหรอครับ” ผมตอบกลับหน่ายๆ
“อื้อ บูม บดิศรไง เห็นมีคนลือกันว่าเขามาหาน้องปัน”
คนดังนี่นะ ขยับตัวนิดเดียวก็เป็นข่าวลือได้แล้วจริงๆ
“อ่าฮะ”
“ตกลงว่านั่นมันเรื่องอะไรเหรอครับ น้องปันได้เล่าให้ฟังรึเปล่า”
ผมพยักหน้ารับแกนๆ ตั้งท่าจะทำงานต่อโดยการหยิบเอกสารออกมากาง ซึ่งถือเป็นการไล่อีกฝ่ายอย่างสุภาพ
“เอาเป็นว่า… บูม บดิศรเป็นคนรู้จักของผมกับปันก็แล้วกัน โทดนะก้อง แต่ผมต้องทำงานต่อ เมื่อกี้เพิ่งโดนโยชิดะซังเร่งมา”
“อ้อ ครับๆๆ งั้นผมไม่กวนล่ะ” แล้วเจ้าตัวจึงเดินจากไปแต่โดยดี
ผมนั่งคิดเรื่องของปันกับบูมทั้งวัน คนหลังนี่เป็นคนมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของประเทศ ถึงเจ้าตัวจะดูพยายามปิดเรื่องของปันอยู่ตอนนี้ก็เถอะ แต่อีกไม่นานเรื่องคงจะแดงแน่ ไม่รู้ว่าเขามีแผนรับมือเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไง และผมหวังว่าเขาคงจะเอามาปรึกษาผมก่อนจะทำอะไร เพื่อที่ว่าถ้ามีใครมาถามผมจะได้ตอบคำถามผู้คนเขาให้ถูก
ว่าแล้วก็… สงสัยต้องโทรไปนัดคุยกับพ่อดาราใหญ่นั่นอีกทีแล้วมั้ง จะได้ถือโอกาสไปเยี่ยมปันสักครั้งด้วย นี่ก็วันที่สองแล้วที่ปันไปนอนบ้านนั้น
…ผมคิดถึงมันจะแย่อยู่แล้ว
ผมแวะไปที่บ้านของบูมหลังเลิกงานในวันนั้นโดยการอาศัยจีพีเอสตามที่เจ้าตัวส่งโลเคชั่นมาให้ จะบอกว่าในชีวิตนี้ผมเองก็ไม่เคยได้ไปบ้านของดารามาก่อนเหมือนกัน แต่เดาว่าคงเหมือนในรายการทางโทรทัศน์ที่จะต้องมีอะไรยิ่งใหญ่ๆ อยู่ภายใน มีสระว่ายน้ำอยู่ในบ้าน มีสปากับฟิตเนสอยู่ในสโมสรของหมู่บ้าน แล้วไอ้สิ่งที่ผมคาดเดาไว้ก็ไม่ค่อยต่างจากของจริงเท่าไรหรอก แค่ของจริงเรียบหรูแล้วก็ดูมีรสนิยมมากกว่าแบบที่ผมคิดไว้หน่อยเท่านั้นเอง
“ไง” เจ้าของบ้านใจดีเดินลงมารับถึงหน้าประตูทันทีที่ผมจอดรถเสร็จ “อุตส่าห์แวะมาถึงนี่เลยนะ แล้วนี่มาทั้งๆ ที่ยังอยู่ในชุดทำงานเลยเนี่ยเหรอ”
“อืม ใช่” ผมตอบอย่างไม่ยี่หระ ไม่สนใจสายตาที่เหมือนไม่ชอบใจกับชุดพนักงานของผม “ปันกลับมาหรือยัง”
“มาหาลูกชายงั้นสิ เสียใจ วันนี้เขาขอกลับบ้านเย็น เห็นบอกจะไปเที่ยวกับเพื่อน… ก็เรื่องธรรมดาของเด็กวัยนี้น่ะนะ”
ให้ผมเดานะ มันคงไปเดทกับโดนัท เพราะถึงยังไงสองคนนั้นก็เพิ่งคบกัน แล้วอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าปันก็ต้องบินไปเมกาอยู่แล้ว เวลาที่ได้อยู่ด้วยกันคงไม่มากเท่าไร
บูมเชิญผมให้เข้าไปในบ้าน บอกให้เด็กเตรียมน้ำเตรียมท่ามาให้ ดูจากสภาพบ้านอันใหญ่โตของอีกฝ่ายแล้วผมรู้สึกห่อเหี่ยวลงอย่างไรพิกล คือคิดในมุมของปันนะ ถ้าต้องเลือกระหว่างบ้านเดี่ยวเล็กๆ ที่เจ้าตัวอยู่ตอนนี้กับบ้านใหญ่โตมหึมาที่เต็มไปด้วยคนที่คอยอำนวยความสะดวกให้มากมายขนาดนี้ คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่แล้วไหมว่าเขาอยากอยู่ที่ไหนมากกว่า
“บ้านสวยนะคุณ” ผมพูด พยายามให้มันฟังดูออกมาจากใจจริงที่สุด หวังว่าน้ำเสียงประชดประชันคงไม่หลุดออกไปนะ
“ขอบคุณ นี่ ฉันให้แม่บ้านเอาน้ำทับทิมมาให้ สูตรนี้อร่อยมาก ปันเองยังบอกว่าชอบเลย”
บูมกำลังทำให้ผมนึกถึงตัวเองที่เที่ยวเห่อลูกกับคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย แต่ผมกลัวว่าต่อไปผมจะเรียกปันว่าลูกไม่ได้อีกแล้วหรือเปล่า… แค่คิดแค่นั้นผมก็กลัวขึ้นมาจนตัวสั่นได้แล้ว ให้ตายสิ ผมมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นจริงๆ นะ
“อืม อร่อย” ผมว่าตามที่ใจคิด ผมกับปันมีรสนิยมการกินคล้ายๆ กันอยู่แล้ว ไม่แปลกใจเลย
“เออ นี่ เห็นปันบอกว่าวีซ่าเขาผ่านแล้วนะ เรื่องเตรียมตัวไปอเมริกาอะไรไม่ต้องกังวล แล้วฉันเองก็มีคนรู้จักอยู่ที่นั่นหลายคนเหมือนกัน ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรคงพอช่วยได้”
“อ้อ เหรอครับ เยี่ยมไปเลย”
“แล้วก็… ไหนๆ นายก็มาแล้ว ฉันว่าเรามาคุยเรื่องต่อจากนี้ให้มันรู้เรื่องรู้ราวไปเลยก็น่าจะดีเหมือนกัน”
“เราจะคุยกันเองสองคนโดยไม่สนใจปันเหรอครับ?” ผมว่านั่นไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไร
“ก็ไม่เห็นเป็นไร เราคุยกันเองก่อน ได้ข้อสรุปแล้วค่อยให้ปันตัดสินใจอีกที”
ผมยักไหล่ จะเอายังไงก็เอาเถอะ ยังไงสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับปันอยู่แล้ว ขอแค่ไอ้หมอนี่ไม่ได้บังคับขืนใจลูกผมเป็นพอ
“ผมว่าจะให้ปันเรียนต่อที่อเมริกาไปเลยช่วงมหาลัย”
เดี๋ยวนะ เรื่องนี้ไม่อยู่ในข้อตกลงนี่
“หมายความว่ายังไง”
“ผมลองคุยกับเขา… เลียบๆ เคียงๆ ถามดูแล้ว เจ้าตัวก็บอกว่าสนใจ เขาอยากเรียนป. ตรีที่เมืองนอกอยู่แล้ว และผมว่านี่ก็เป็นโอกาสดี ไหนๆ เขาก็จะไปแลกเปลี่ยนช่วงม. 6 ก็ให้เขาหาที่เรียนต่อยาวๆ ไปเลย”
ผมอึกอัก คาดไม่ถึงว่าหมอนี่จะเสนอไอเดียนี้ ลำพังแค่ไอ้ปันจะไปเมกาแค่สิบเดือน ใจผมก็โหวงๆ แล้ว นี่จะให้ไปเพิ่มอีกตั้ง… 4 ปีเนี่ยนะ? ผมจะทนไหวเหรอ อีกอย่างเมกาก็ไม่ได้ใกล้ๆ เหมือนเดินทางไปกรุงเทพ - เชียงใหม่นะโว้ย (ถึงนั่นจะไม่ได้ใกล้ก็เถอะ แต่ก็ใกล้กว่าอเมริกาแน่ล่ะ)
“แต่… แต่ปันเองก็ยังไม่รู้ไม่ใช่เหรอว่าเขาจะไปเรียนที่นั่นแน่รึเปล่า อีกอย่าง ถ้าเขาหาทุนไม่ได้…”
“ผมส่งเขาเรียนได้ ขอแค่ให้เขาอยากเรียนเถอะ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา”
โว้ย แม่งเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝันว่าสักวันจะพูดกับลูกชายมากเลย ถึงทุกวันนี้พยายามจะพูดก็เถอะ แต่ทั้งผมกับปันก็รู้ดีว่ามันเป็นปัจจัยสำคัญของบ้านเราเลยล่ะที่จะทำอะไรต้องรอบคอบ
“แต่… แต่เขาอยากจะไปอยู่ตั้ง 4-5 ปีแน่เหรอครับ ลองให้เขาไปแลกเปลี่ยนสักปีก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้มั้ง”
“อืม ก็นั่นสินะ” บูมพยักหน้ารับเหมือนเห็นด้วย “แต่ถึงยังไงเรื่องแบบนี้มันก็ควรจะเตรียมตัวกันก่อนล่วงหน้านะ เพราะถ้าถึงเวลาจริงๆ แล้วเขาเกิดอยากอยู่ต่อขึ้นมา เตรียมตัวกระชั้นชิดมันก็ลำบาก สู้ค่อยๆ ให้เขาลองหาดูไปน่าจะดีกว่า แต่นายไม่คิดว่าให้ปันไปเรียนต่อเมืองนอกดีกว่าเหรอ กลับมายังไงก็มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ แล้วถ้าเจ้าตัวใฝ่ฝันอยากไปเมกาอยู่แล้วก็น่าจะไม่ลำบากอะไร”
“อึก…” ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาหรอกนะ แต่… ถ้าต้องห่างไอ้ปันนานขนาดนั้น… สาด แล้วอเมริกามันไม่ใช่ใกล้ๆ เลยนะโว้ย!
“อะไร นี่อย่าบอกนะกลัวคิดถึงลูก” เหมือนไอ้ดารานี่จะเข้าใจอะไรขึ้นมากะทันหัน “โธ่เอ๊ย คิดมากไปได้นาย แค่อเมริกาเอง บินไปหาแป๊บเดียวก็ถึง”
สัส ก็เอ็งมีเงินเยอะไง เอ็งก็พูดได้สิฟะ นี่ผมต้องเก็บเงินกี่ปีถึงจะได้ไป หือ?
“อ้อ… เอ่อ ส่วนเรื่องเงินค่าตั๋ว ถ้านายอยากให้ฉันช่วยออก…”
“ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณ ผมมีเงิน” ผมพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ ไม่ต้องการเงินของไอ้หมอนี่หรอก หรือแม้แต่ความเห็นอกเห็นใจแม้แต่นิดก็ไม่อยากได้
มาคิดดูอีกที… ก็เพราะไอ้บ้านี่แหละที่ทำให้ทุกอย่างในชีวิตผมพัง ผมควรจะเกลียดเขาจับใจเลยด้วยซ้ำ ลองคิดดูนะ ไอ้บ้านี่นอนกับแฟนผมจนท้อง พอมิ้นต์ท้อง ผมก็ต้องแต่งงานเพื่อรับผิดชอบลูกในท้อง ถูกมะ แล้วพอมิ้นต์เสียก็เป็นหน้าที่ผมที่ต้องคอยดูแลปันมาตลอด แล้วยังไง หมอนี่ทำอะไรบ้างนอกจากส่งเศาเงินเล็กๆ น้อยๆ มาให้ แต่พอถึงเวลา ไอ้บ้านี่กลับจะชุบมือเปิบเอาลูกชายที่ผมอุ้มชูมาแต่เด็กไปง่ายๆ แบบนี้เรอะ
เหอะ… ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงที่ว่าปันเป็นความสุขที่สุดในชีวิตของผมล่ะก็… ถ้าไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ว่าถ้าไม่มีเขาก็คงไม่มีปันในวันนี้… ผมคงสาปแช่ง ก่นด่า แล้วก็หาทางป่าวประกาศให้โลกรู้ไปแล้วว่าไอ้หมอนี่เลวแค่ไหน แต่เพราะเห็นแก่ปันเถอะ เห็นแก่ความสุขสบายในอนาคตที่โลกผมจะได้แล้ว… ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมลงให้เขา
“เฮ้ ดล แล้วแผลที่หน้านายเป็นยังไงบ้าง”
ผมหันขวับไปมองคนถามตาเขียว แม่งเอ๊ย ยังมีหน้ามาถามนะ ก็ตัวเองไม่ใช่เหรอที่เป็นคนทำน่ะ
“หายดีแล้วครับ ขอบคุณ”
“แน่ใจเหรอว่าหายแล้ว”
ผมสะดุ้งตัวทันทีเมื่อคนที่ควรจะนั่งอยู่บนโซฟาอีกตัวลุกมาเอื้อมมือแตะลงบนแก้มผมบริเวณที่เจ้าตัวต่อยลงไปเต็มแรงเมื่อไม่กี่วันก่อน มาตอนนี้ละทำเป็นเห็นอกเห็นใจ โธ่เอ๊ย ที่ตอนเหวี่ยงหมัดลงมาล่ะไม่คิด
“ผมไม่เป็นไร” ผมปัดแขนเขาออกพร้อมกับพูดเสียงขุ่น เกลียดจริงๆ เลยพวกตบหัวแล้วลูบหลังเนี่ย
บูมยอมถอยไปพร้อมกับยักไหล่ทีหนึ่ง เหมือนมีร่องรอยสำนึกผิดพาดผ่านเข้ามาในแววตานั่น แต่ผมอาจจะแค่คิดไปเองก็ได้ คนใหญ่คนโตอย่างหมอนี่จะสนไปทำไมว่าทำอะไรกับใครเขาไว้บ้างน่ะ
“นี่… ฉันรู้ว่ามันฟังเหมือนฉันแก้ตัว แต่ตอนนั้นฉันโกรธมากจริงๆ ที่รู้เรื่องที่ปันโดนคนต่อยน่ะ”
“ผมเข้าใจครับ” ลองให้ผมได้ยินว่าปันโดนต่อยมาบ้างสิ ผมคงอยากไปเอาเลือดออกจากหัวไอ้คนนั้นอยู่เหมือนกันนั่นแหละ
“งั้น… นายยกโทษให้ฉันใช่ไหม”
ผมขมวดคิ้ว มองหน้าเขาราวกับเจ้าตัวเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต “คุณสนใจเรื่องพวกนั้นด้วยเหรอ?”
“สนใจสิ นี่ ตอนที่ฉันบอกว่าขอโทษน่ะ ฉันสำนึกผิดจริงๆ นะ”
“ดีใจที่ได้รู้ครับ แต่โทษที ผมไม่ยกโทษให้หรอก และผมไม่ได้หมายถึงแค่เรื่องที่คุณต่อยผมนะ แต่ผมหมายถึงเรื่องที่คุณแอบไปนอนกับมิ้นต์… ผมไม่มีวันยกโทษให้คุณหรือว่ามิ้นต์แน่ จำเรื่องนั้นไว้ให้ดีแล้วกัน”
“มิ้นต์ไม่ผิดนะ…” เจ้าตัวว่าเสียงอ่อย คราวนี้มาไม้ไหนอีกล่ะ
“ทำไม คุณข่มขืนหล่อนรึไง”
“เฮ้ย! บ้าเหรอ เราเต็มใจกันทั้งสองฝ่ายนะ แต่… ฉันหมายถึง สุดท้ายแล้วมิ้นต์ก็กลับไปหานาย… สุดท้ายแล้วมิ้นต์ก็เลือกนายนี่ แค่เขาพลาดไปนิดหน่อย ไม่เห็นต้องแค้นกันขนาดนั้น อีกอย่าง… ยังไงมิ้นต์ก็ไม่อยู่แล้วด้วย”
ผมเบื่อที่จะฟังเรื่องในอดีตเต็มทน ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแค้นใจกับความโง่เขลาของตัวเอง ผมเลยเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ออกมาไถหน้าจอ ทำทีเป็นมีธุระอย่างอื่นต้องทำ เพราะแบบนั้นแหละบูมถึงยอมเงียบลงไปได้ แต่อีกครู่ต่อมาเจ้าตัวก็เปิดปากขึ้นมาอีก
“งั้น… ตกลงเรื่องปัน ที่เขาจะไปเมกาน่ะ ตกลงนะ?”
“เรื่องนั้นขึ้นอยู่กับปัน” ผมตอบเรียบๆ
“งั้นก็ตามนั้น ส่วน… เอ่อ เรื่องที่ฉันบอกว่าจะจ้างทนายมาเพื่อขอสิทธิ์ในการเลี้ยงดูเขา…” ถึงตรงนี้ผมยอมละหน้าขึ้นจากโทรศัพท์ มองหน้าคนพูดตรงๆ “ฉันว่าฉันจะยกเลิกเรื่องนั้น คือ ฉันว่าเราตกลงกันเรื่องนี้ได้ ถูกไหม”
“ครับ” ผมหลุบตาต่ำลง ใจจริงน่ะไม่นึกอยากให้ปันมาอยู่กับผู้ชายคนนี้ก็จริง แต่ต่อให้ขึ้นศาล ผมว่าผมก็มีสิทธิ์ชนะยากอยู่ดี เขาเป็นทั้งพ่อจริงๆ ของปัน และฐานะการเงินแล้วก็อะไรอีกหลายๆ อย่างเหนือกว่า เพราะงั้นสู้เราประณีประนอมกันแบบนี้น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
“นี่ อย่าทำหน้าเหมือนฉันกำลังรังแกนายแบบนั้นสิ นี่ฉันพยายามมาเจอกันครึ่งทางกับนายแล้วนะ”
ผมยิ้มเหยียดให้เขาอย่างรู้ทัน “เหรอครับ นี่คุณทำเพื่อผมเหรอเนี่ย ผมนึกว่าคุณทำเพราะชื่อเสียงกับหน้าตาในสังคมของคุณซะอีก บูม”
ชายหนุ่มเสหน้าหนีไปทางอื่น และผมรู้ว่ามันจี้ใจดำเขา จนแล้วจนรอดการบอกให้สังคมหรือคนอื่นๆ รับรู้ว่าปัญญาเป็นลูกชายที่มีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาก็เป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไปอยู่ดี แต่ผมไม่โทษเขาหรอก ตรงกันข้าม ถ้าเกิดเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปแล้ว ลูกผมอาจจะลำบากก็ได้ สู้ให้มันเป็นเรื่องเงียบๆ เฉพาะพวกเราแบบนี้ก็ดีมากพอแล้ว
เอ๊ะ… แต่เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่า…
“อย่าบอกนะว่าที่คุณอยากให้ปันไปอเมริกานานๆ เพราะจะได้ปิดข่าวเรื่องนี้”
เขาหลบตาผมวูบ จากนั้นก็หันกลับมามองหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แค่นั้นก็ทำให้ผมโกรธจี๊ดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
สุดท้ายไอ้บ้านี่ก็เห็นแต่กับชื่อเสียงแล้วก็ความสบายของตัวเอง…
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ” เจ้าตัวรีบพูด “ฉันก็แค่เห็นว่าทำแบบนั้น ยังไงก็วินวินทั้งสองทาง ปันเองก็ได้เรียนที่ที่เขาอยากเรียน ส่วนเรื่องข่าวที่ปันเป็นลูกฉันก็จะได้ไม่แตกด้วย อีกอย่าง… นายไม่เห็นด้วยเหรอว่าถ้าเรื่องนี้แดงขึ้นมา คนที่จะลำบากไม่ได้มีแค่ฉัน แต่รวมไปถึงปันด้วยนะ”
“คนเรานี่มันเห็นแก่ได้จริงนะ” ผมพูดเสียงเหยียดเต็มที่ แม่ง พอเห็นว่าผมลงให้หน่อยก็เอาซะเต็มที่เลยนะ และคนที่เจ็บใจ เสียใจ… มีแต่เสียกับเสียในเรื่องนี้คือใคร ผมก็เห็นอยู่ชัดเจนว่าเป็นผม
“ดล ฉันขอโทษ” ถ้าไม่ใช่เพราะท่าทางและน้ำเสียงจริงใจนั่น ผมสาบานว่าผมคงลุกขึ้นไปซัดหน้าเขาแล้ว “แต่ฉันลองคิดดูหลายๆ ทางแล้วนี่เป็นทางที่ดีที่สุดของพวกเราทุกคน”
ผมสะบัดหน้าหนี ตาเหลือบมองนาฬิกาแขวนผนังหรูหราที่น่าจะราคาพอๆ กับคอมพิวเตอร์สักเครื่อง
“ทำไมปันยังไม่กลับมาอีก”
“นายจะลองโทรตามไหมล่ะ”
“แล้วนี่คิดจะให้ปันอยู่นี่ไปถึงเมื่อไหร่”
“ก็จนกว่าเขาจะไม่อยากอยู่”
ผมหันไปมองคนพูดตาวาว ถ้าแม่งพูดอะไรขัดหูอีกนิดเดียวผมเปิดสงครามแน่ เอากับมันสิ นี่เพราะผมยอมอ่อนข้อให้ใช่ไหมถึงได้ทำอะไรเอาแต่ได้แบบนี้
“เออ โอเคๆ เข้าใจแล้ว งั้นอย่างน้อยขอให้เขาอยู่กับฉันจนถึงสัปดาห์หน้าได้ไหม ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากคุยกับเขา”
“คุณบูมคะ” บทสนทนาของพวกเราขาดห้วงลงเมื่อมีหญิงสาวแม่บ้านคนหนึ่งก้าวเข้ามา “คุณปันกลับมาแล้วค่ะ”
นั่นแหละ ความขัดแย้งของพวกเราถึงได้ยุติลงชั่วคราว ปันก้าวเข้ามาในห้องรับแขก ชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นผม และนั่นทำให้ผมจำได้ว่าก่อนจะแยกกันเรายังบาดหมางกันอยู่ ไอ้ตัวแสบยกมือไหว้ผมกับบูมอย่างรู้งาน บูมเดินไปโอบบ่าเจ้าตัวพร้อมกับบอกให้ปันนั่งลงข้างๆ ผม
“เอ่อ พ่อ แผลเป็นไงบ้างครับ” ถามเหมือนไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี
“หืม ก็ดีขึ้นเยอะแล้วนะ” ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน
“งั้นเหรอครับ”
“แล้วนี่ดลจะอยู่กินข้าวกับเราไหม” บูมหันมาถาม ผมเหลือบมองปันที่ก้มหน้าลงต่ำนิดหนึ่ง เหมือนยังกระอักกระอ่วนกับผมอยู่ ผมเองก็อยากปรับความเข้าใจกับปันนะ แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไงที่ไหน แล้วยิ่งมาอยู่ในบ้านที่ใหญ่โตแต่ไม่คุ้นชินแบบนี้…
“ผมว่าเดี๋ยวผมคงขอตัวเลยดีกว่า” ผมพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน ปันกับบูมเลยลุกขึ้น ผมหันไปมองหน้าลูกชายเพียงคนเดียวของตัวเอง “งั้นพ่อกลับก่อนนะ ปัน อาทิตย์นะลูกค่อยกลับมาบ้านเรานะลูก โอเคไหม”
“...ครับพ่อ”
อย่างน้อยเขาก็ยังเรียกผมว่าพ่อล่ะวะ!
ปันกับบูมมาส่งผมที่รถ แต่คนหลังเดินมาประชิดตัวก่อนที่ผมจะก้าวเข้าไปในที่นั่งคนขับ
“ผมอยากตกลงเรื่องที่ให้ปันมาอยู่กับผมทีหลัง”
“ว่าไงนะ” ผมขมวดคิ้วมุ่น
“ก็แบบ สมมติว่าเขาอยู่กับคุณจันทร์ พุธ ศุกร์ เสาร์อะไรงี้ แล้ววันที่เหลือก็มาค้างกับผม”
“นี่คุณคิดว่าเราเป็นอะไรกัน สามีภรรยาที่หย่าร้างกันเลยต้องได้สิทธิ์เลี้ยงดูกันคนละครึ่งหรือยังไง”
“เฮ้ อย่าโวยวายสินาย ปันหันมามองแล้ว” เขาว่าพร้อมกับดันผมเข้าไปในรถ ไอ้… “แล้วเราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลัง ลองเก็บไปคิดดูแล้วกัน”
เหอะ หมอนี่นี่ชักจะได้ใจใหญ่แล้วนะ แต่เดาได้เลยว่าถ้าผมไม่ยอมให้ปันมาค้างที่นี่บ้าง ไอ้บูมต้องเรียกทนายมาจัดการเรื่องสิทธิ์การเลี้ยงดูตามที่เขาเคยขู่แน่ ถึงตอนนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่โตอีก เอาไว้ผมจะลองหาทางคิดเรื่องนี้ดูก็แล้วกัน
…
ปัญญาก้าวเท้าลงมาจากบันไดอย่างเงียบเชียบ เสียงแผ่วๆ จากโทรทัศน์และแสงจากไฟ LED ที่ฉายภาพยนตร์แอคชั่นเรื่องหนึ่งที่เจ้าของบ้านกำลังนั่งเอกเขนกดูอยู่บนโซฟา บูมสังเกตเห็นร่างของลูกชายที่อยู่ในชุดเตรียมนอนแล้วกำลังเดินมาหาเขา เจ้าตัวเลยเขยิบให้อีกฝ่ายเข้ามานั่งข้างๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ทันที
“ว่าไงปัน นอนไม่หลับเหรอลูก หรือว่ามีเรื่องอะไร”
“เปล่าครับ ผมแค่อยากคุยกับพ่อน่ะ”
ชายหนุ่มกดปุ่มพอสหนังที่กำลังเล่นอยู่ทันที “ว่าไงหืม คนเก่ง มีเรื่องอะไรเหรอ”
“คือ… ผมอยากให้พ่อเล่าเรื่องแม่ให้ฟัง”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ บูมวางมือลงบนบ่าของปันก่อนจะกลอกตาขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงครุ่นคิด
“อืม… ปันอยากฟังเรื่องแบบไหนล่ะ ไม่ใช่ว่าพ่อดลของปันเคยเล่าให้ฟังหมดแล้วเหรอ”
“ก็ ส่วนใหญ่พ่อก็เคยเล่าให้ฟังแล้วแหละครับ แต่ผมหมายถึง… คือ ผมไม่อยากมองแม่เป็นผู้หญิงไม่ดีหรอกนะ เพียงแต่… ผมไม่นึกมาก่อนว่าแม่จะ เอ่อ…”
“อ่า” บูมครางในลำคอเป็นเชิงเข้าใจ นั่นสินะ เท่าที่เขาคอยตามดูปันมาก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นนักเรียนประเภททำอะไรในกรอบมากกว่าจะทำตัวมุทะลุเหมือนอย่างเขาหรืออย่างนพดลสมัยเรียน เด็กหนุ่มคงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ “ฟังนะ ปัน แม่ของลูกน่ะเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก มิ้นต์น่ะ หล่อนเป็นคนอ่อนโยนแล้วก็ใจดี พูดจาน่ารัก แถมยังคอยเอาใจใส่คนรอบข้างเสมอ เรียกได้ว่าไม่มีใครเพอร์เฟคต์ไปกว่านั้นอีกแล้ว”
“พ่อรักแม่ใช่ไหมครับ”
บูมกระชับบ่าของลูกชายในอ้อมแขนขึ้นนิดหนึ่ง “รักสิ”
“แล้ว… พ่อบูมคิดว่า แม่… รักใครเหรอครับ ระหว่างพ่อบูมกับพ่อดล”
อื้อหือ… โดนถามมาแบบนี้ เขาจะตอบกลับยังไงดีล่ะเนี่ย
---------------------------------------------
Talk: เอามาลงไว้ก่อนค่ะ ไม่แน่ใจว่า ศ ส อา นี้จะมีเวลามาลงไหม >__<;; ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ ^^