(ต่อ)
หนึ่งชั่วยามถัดมาขบวนรถม้าเทียมเกวียนห้าเล่มถูกจัดเตรียมขึ้นอย่างรีบเร่ง เหล่าคนรับใช้วิ่งวุ่นลำเลียงนำสัมภาระขึ้นเกวียนตามการกำกับของจางเฉินเค่อ หนึ่งเล่มเกวียนขนเสบียงสำหรับเจ็ดวัน สองเล่มเกวียนสำหรับโดยสาร ส่วนอีกสองเล่มเกวียนที่เหลืออัดแน่นไปด้วยข้าวของสัมภาระมากมาย เนื่องด้วยความฉุกละหุกของกำหนดการเดินทางที่ถูกร่นให้กระชั้นขึ้น จางเฉินเค่อและคนรับใช้ส่วนหนึ่งของเสวี่ยหมิงจึงจำต้องออกเดินทางตามไปในอีกสามคืนให้หลัง เพื่อนำสัมภาระจำเป็นส่วนที่เหลือตามไป
ลี่หมิงยืนเหม่อมองภูเขากองของประดับตกแต่งทั้งไห แจกัน ภาพวาดและ ถ้วยโถรูปทรงประหลาดทั้งหลายที่ถูกขนใส่หีบขึ้นเกวียนไป นึกแทบไม่ออกว่าสมบัติราคาแพงเหล่านี้มีความจำเป็นอย่างไร เหตุใดจึงต้องลำบากขนไปด้วย
เอาเถอะ คงเอาไว้เผื่อจำนำขายทอดตลาดตอนตกทุกข์ได้ยากล่ะมั้ง...
“หมิงเอ๋อร์”
ไม่ต้องเดาก็รับรู้ได้ว่าเป็นเสียงของคนผู้ใด เหวินหลงสาวเท้าเข้ามาหาพระอนุชา ลี่หมิงที่ก้าวขาหนึ่งข้างขึ้นรถม้าไปแล้วเหลียวหลังกลับมามองตามเสียงเรียก “ที่เจ้าต้องรีบร้อนวุ่นวายเช่นนี้เป็นความผิดของพี่ ตัวพี่ไร้ความสามารถเกินกว่าจะหาทางโน้มน้าวเสด็จพ่อได้”
เสด็จพี่ท่านอย่ารู้สึกผิดเลยใครมันจะไปโน้มน้าวใจเสด็จป๊าจอมลำเอียงได้ ข้าเองก็แค่ยืนไร้ประโยชน์ดูคนอื่นเขารีบร้อนวุ่นวายกัน ตัวข้าหาได้เดือดร้อนไม่
“ครานี้ พี่คงต้องยอมปล่อยเจ้าไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกล คิดแล้วก็ใจหายเหลือเกิน พี่คงไม่อาจคอยดูแลเจ้าได้ดังเดิม” พูดไปถอนหายใจไปพลาง น้อยครั้งนักที่เหวินหลงจะแสดงสีหน้าลำบากใจต่อหน้าพระอนุชา
“น้องพี่.. พี่เฝ้ามองเจ้ามาตั้งแต่ยังเล็กนัก เจ้ามีความสามารถและเข้มแข็งเพียงใดพี่รู้ดี จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นของเจ้า แต่ถึงอย่างไรหากต้องประสบกับปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าจะจัดการด้วยตัวเองได้ขอให้บอกพี่ อย่าได้ดื้อดึงขอเพียงเจ้าเรียกหาพี่ พี่จะยืนรออยู่ตรงนี้เพื่อตอบรับเจ้าเสมอ”
“เสด็จพี่...” ลี่หมิงกำแขนเสื้อแน่น ไร้ซึ่งคำพูดใดจะเอ่ยตอบพระเชษฐา ถึงจะเคยลองคิดคาดเดามั่วๆโดยใช้ทฤษฎีของละครจีนมาผสมปนเปกันว่าเสวี่ยหมิงคงเป็นร่างในอดีตชาติที่มีวิญญาณเดียวกันอย่างไร ลี่หมิงก็ไม่อาจยอมรับได้ว่าตนคือเสวี่ยหมิงอย่างสนิทใจ ความทรงจำของเสวี่ยหมิงที่ได้รับมายิ่งตอกย้ำว่าความหวังดีและความห่วงใยของผู้เป็นพี่นั้นมอบให้ ‘เสวี่ยหมิง’ เจ้าของแท้จริงของร่างนี้ หาใช่ตนไม่ ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่รู้จะเอ่ยตอบอีกฝ่ายอย่างไร
ลี่หมิงหลบสายตาเหวินหลง ริมฝีปากทั้งคู่เม้มเข้าหากันแน่น แม้จะไม่สามารถคิดหาคำตอบที่เหมาะสมได้ แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาอันสั้นนี้ อีกฝ่ายก็ดูแลตนเป็นอย่างดี เช่นนั้นแล้วจึงควรเอ่ยคำขอบคุณ “ข้า...เหวอ!” ลี่หมิงถูกรั้งตัวลงจากรถม้าเข้ามาซุกอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่ คนอยู่ในภวังค์ไม่ทันรับรู้ว่าพระเชษฐาเดินเข้ามาประชิดตัวตั้งแต่เห็นพระอนุชาแน่นิ่งไปสักพักแล้ว
“คิดอะไรอยู่ ฮึ?” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วดิ้นขลุกขลัก รีบเงยหน้าขึ้นสบตาพระเชษฐา
ปล่อยข้าาา ปล่อยสิโว้ยยยยย!! หน้าท่านจะหนาเท่าปูนซีเมนต์ข้าไม่ว่าแต่เห็นแก่หน้าข้าบ้างเถอะ!!!
เหวินหลงส่งยิ้มกว้างประจำกายให้เด็กหนุ่ม ประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากมนของพระอนุชา “พี่ไม่ชอบเห็นใบหน้ากังวลใจของเจ้าเลย”
ทำมาพูดดี ข้ากังวลใจเพราะใครก็รู้อยู่แก่ใจ ฮึ!
เมื่อทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่ลอบด่าคนไม่รู้จักอายสายตาผู้อื่นอยู่ในใจ ลี่หมิงก้มหน้างุดรีบซุกหน้าลงในอกคนผู้พี่ “...เมื่อครู่ข้านึกว่าตัวเองจะร่วงลงไปเสียแล้ว” เหวินหลงหัวเราะอย่างพึงพอใจในลำคอ “พี่ไม่มีวันปล่อยให้เจ้าตกลงมาหรอก”
“...และต่อให้เจ้าจะร่วงลงมาอีกสักกี่ครั้งพี่ก็จะรับเจ้าเอาไว้เสมอ เพราะฉะนั้นก่อนเราจะจากกัน ช่วยยิ้มให้พี่เห็นหน่อยไม่ได้หรือ”
อือหือ เสด็จพี่ ไอ้คำพูดกับการกระทำอย่างกับพระเอกกับนางเอกบอกลากันนี่มันอะไรวะพ่ะย่ะค่ะ เฮ้อ โชคยังดีที่ไอ้สเด็จพี่เปิดการ์ดหวงไท่จื่อ นึกอยากทำอะไรก็ทำไม่แคร์สื่อสำนักไหน เหล่าข้าทาสบริวารแถวนี้จึงมิบังอาจเงยหน้าจ้องมองข้าอย่างเปิดเผยได้
เด็กหนุ่มลองฝืนดันขืนตัวออกจากอ้อมแขนเหนียวหนึบอยู่อีกสองสามครั้งจึงรู้ตัวว่าป่วยการจะพยายาม แหงนหน้าขึ้นมองใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มของเหวินหลงแล้วจึงตัดสินใจส่งยิ้มเก้ๆกังๆกลับไปให้ดังที่พระเชษฐาต้องการ
“ดีมาก” เหวินหลงกอดพระอนุชาแน่นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะยอมปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ “ดูแลตัวเองให้ดี สัญญากับพี่ว่าเจ้าจะเขียนจดหมายหาพี่ทุกสามวัน”
ทุกสามวันมันจะมีอะไรให้เขียนนักหนาวะ “ข้าสัญญา ข้า...จะคอยรายงานสถานการณ์ต่างๆของเมืองเยว่เพื่อไม่ให้เสด็จพี่ต้องเป็นกังวล”
เหวินหลงขมวดคิ้ว “หมิงเอ๋อร์ การรายงานสถานการณ์ภายในเมืองหาใช่หน้าที่ของเจ้าไม่” อ้าว แล้วนี่ส่งข้าไปทำอะไร จะให้ข้านั่งบื้ออยู่ในตำหนักตัวเองไปวันๆเรอะ
“เจ้าควรจะเขียนมาบอกพี่ว่าในหนึ่งวันเจ้าทานอะไรบ้าง อร่อยหรือไม่ ได้พบปะกับใคร ศัตรูเก่า สหายใหม่ หรือแม้แต่เจ้าไม่พอใจผู้ใด ก็บอกเล่าให้พี่ฟังได้ เรื่องเหล่านี้แก้ไขง่ายดายมาก"
ง่ายดายมากจริงๆ แค่ส่งหม่าเทียนฟงไปเผาให้มันวอดวายชิบหายกันไปให้หมดใช่หรือไม่ เสด็จพี่ อันตัวข้านั้นยังไม่อยากถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็น ‘องค์ชายไร้ประโยชน์ผู้เป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้มากกว่าร้อยจวน’ ฉะนั้นข้าคงพยายามละเว้นจากการเป็นไอ้เด็กขี้ฟ้องเข้าไว้
“น้องพี่ เจ้าเข้าใจดีแล้วหรือไม่” ลี่หมิงพยักหน้าหงึกหงัก เอ่ยตอบรับเสียงเบาในลำคอไม่ได้แสดงท่าทีเต็มใจทำตามที่อีกฝ่ายต้องการนัก ในเมื่อไม่ได้คิดจะทำตามคำพูดของพระเชษฐาแต่อย่างใด แต่นั่นกลับทำให้เหวินหลงยังไม่สามารถวางใจปล่อยพระอนุชาไปอยู่นอกสายตาได้ รอยยิ้มบนหน้าหวงไท่จื่อเริ่มเลือนหาย คนเรื่องเยอะหันซ้ายขวาเพื่อหาใครมาช่วยจัดการความไม่ได้ดั่งใจนี้
เรื่องของดวงชะตาของมนุษย์นั้นยากแท้จะหยั่งถึง คนบางคนพบโชคไม่เคยขาดฉันใด คนบางคนกลับดวงซวยได้ทุกเวลาฉันนั้น…
หม่าเทียนฟงจูงอาชาคู่ใจพาเดินเล็มหญ้าไปพลางถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย เพิ่งเข้าเมืองหลวงมาสองวันยังไม่ทันเสพสุรา ชมนารีจนพอใจก็ต้องเดินทางกลับ เพราะองค์ชายแปดจำต้องเดินทางกลับก่อนกำหนดการ ‘ในเมื่อมาด้วยกันก็สมควรกลับไปพร้อมกัน’ หม่าเทียนฟงกรอกตามองบนเมื่อนึกถึงคำพูดของอู๋อ๋อง
อาชาสีนิลกาฬนาม ‘เสี้ยวจันทรา’ ของหม่าเทียนฟงส่งเสียงร้องสะบัดตัวฮึดฮัด แสดงท่าทางไม่คุ้นชินกับอานใหม่บนหลังเท่าที่ควร หม่าเทียนฟงจูงอาชาคู่ใจไปพร้อมตบอานลูบแผงคอของมันไป แรกเริ่มคนนำม้า ครู่ถัดมาม้าเป็นฝ่ายนำคน รองแม่ทัพหม่ายอมให้เสี้ยวจันทราดึงเดินไปในทิศทางที่นางพอใจ พลันสายตาเจ้ากรรมเหลือบไปเห็นคนสูงศักดิ์ผู้ควรอยู่ให้ไกลทั้งสองอยู่เบื้องหน้า จึงรีบดึงกระตุกบังเหียนก่อนความซวยจะมาถึงทั้งคนและม้า แม้เยว่อ๋องจะมีหน้าตาสมควรแก่การคบหา แต่พระเชษฐาของอ๋องคนงามนั้นควรอยู่ให้ห่างหมื่นลี้จึงจะดี
“เสี้ยวจันทรา อย่าเดินไปทางนั้น” เจ้าของม้าพยายามอย่างยิ่งยวด ใช้วาจาก็แล้ว การกระทำก็แล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเท่าใดนัก
“รองแม่ทัพหม่า ม้าของท่านดูอารมณ์ไม่ดีนัก มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่” หลี่ซืออี้ยืนสังเกตอยู่นานก่อนตัดสินใจเดินเข้ามาถามไถ่แสดงเป็นห่วงเป็นใยต่อผู้ร่วมเดินทาง หม่าเทียนฟงหันไปแยกเขี้ยวใส่ผู้มาใหม่
“ข้าเพิ่งเปลี่ยนอานให้นาง คงต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงจะชิน” คนถูกถามกัดฟันตอบ ทั้งๆที่อยากจะรีบเดินหนีออกไปให้ไกลจากแถวนี้แต่ดันมาติดเจ้าคนจุ้นจ้านไม่รู้เวล่ำเวลา
“เป็นอย่างนั้นนั่นเอง! อานใหม่ของท่านดูสง่ายิ่ง ท่านรสนิยมดีนัก จะว่าอย่างไรหากข้าจะขอให้ท่านช่วยเลือกอานใหม่ให้ข้าบ้าง?”
“อย่าได้มากความไป!”หม่าเทียนฟงตวัดแขนโอบไหล่อีกฝ่าย ยิ้มเหี้ยมออกแรงดันซืออี้ให้เดินตามมา “การแต่งองค์ทรงเครื่องอาชาเป็นงานอดิเรกที่ข้าถนัดที่สุด! รีบพาข้าไปดูม้าของท่านเดี๋ยวนี้เถิดท่านแม่ทัพหลี่!” หนทางเอาชนะศัตรูคือการลงมือก่อน ในเมื่อหลี่ซืออี้ไม่ยอมไปเสียที หม่าเทียนฟงก็จะลากมันไปให้ไกลจากแถวนี้เอง!
“ขอบคุณท่านมาก! ได้โปรดตามข้ามาเถิด!” หลี่ซืออี้ยิ้มกว้างตอบรับมิตรภาพใหม่ ออกเดินพาหม่าเทียนฟงก้าวขาฉับไวไปในทิศทางที่ตนผูกม้าไว้
...ซึ่งก็คือข้างๆรถม้าของเยว่อ๋อง
“แม่ทัพหลี่! ได้โปรดหยุดก่อน..” หม่าเทียนฟงเอ่ยเสียงหลง นึกด่าตัวเองที่ดันเอาแขนโอบไหล่อีกฝ่ายไว้ ถึงจะแม้อยากหยุดเดินเองแค่ไหนก็หยุดไม่ได้ “เดี๋...”
“บังเอิญเหลือเกิน เทียนฟง แม่ทัพหลี่ ข้ามองหาพวกท่านทั้งสองอยู่พอดี”
____________________________________________________________________________
Talk ข้างล้อรถม้าเยว่อ๋อง
กลับมาแล้วค่าา แฮ่ ครึ่งแรกของตอนที่ 7 พึ่งจบค่ะ
ส่วนครึ่งหลังนั้นจะมาลงให้พรุ่งนี้นะคะ
ขอโทษน้าาาที่หายไปนานนนนนนนนนนนนน
ป.ล.ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่เข้ามาคุยและติชมนะคะ
ซังหวงตี้