❤️ (✘) ไร้รัก ✥ Lovelessly
ตอนที่ 3 ✥ ในจินตนาการของพี่ชาย ไม่รู้ว่านัทเป็นอะไรถึงไม่ยอมกอดผมตอบ ก็เลยกอดนัทเก้อฝ่ายเดียว จะบอกให้นัทกอดผมบ้างก็ไม่กล้าพูดตรงๆ จนชักลังเลว่าจะกอดต่อหรือปล่อยดี เมื่อยังตัดสินใจไม่ได้ก็เลยต้องปล่อยให้ตัวเองเก้ๆ กังๆ ไปก่อน
"ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวมืดๆ ล่ะ" ผมถามอย่างเป็นห่วง
"อ๋อ...นัทออกมาดูความเรียบร้อย ก็เลยเดินเล่นไปด้วย"
"ฉีดสเปรย์กันยุงหรือเปล่า เดี๋ยวเป็นไข้เลือดออกเหมือนตอนนั้นนะ"
ผมย้ำเตือนความจำให้นัทอีกเรื่อง คิดว่านัทคงพอจำได้
"ฉีดแล้ว" นัทขำเบาๆ
"แฟรงค์ไม่อยู่...นัทเหงาหรือเปล่า"
เจ้าตัวส่ายหัวไปมาเบาๆ พอรู้สึกได้
"เหงาทำไม แฟรงค์เพิ่งออกไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเอง"
"จริงด้วยสิ" ผมขำตัวเองเบาๆ
"แฟรงค์ก็ลืมไป แต่...แค่ไม่กี่ชั่วโมงแฟรงค์ก็คิดถึงนัทนะ"
ผมย้ำคำว่าคิดถึงเป็นรอบที่สอง ถ้านัทไม่สะดุดใจกับคำๆ นี้ก็ให้มันรู้ไป
"เหม็นเหงื่อน่ะ"
ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องคุยเฉยเลย แต่อย่าคิดว่าผมจะปล่อยไปง่ายๆ
"รังเกียจแฟรงค์เหรอ"
"เปล่า..."
"แล้วทำไมไม่กอดแฟรงค์ล่ะ"
ผมกลั้นใจพูดออกไปในที่สุด นัทคงจะอึ้งไปเหมือนกันก็เลยยืนนิ่งๆ ไม่โต้ตอบด้วย
"นัท...ไม่ได้ยินที่แฟรงค์พูดเหรอ"
ผมหน้าด้านถามไปอีกรอบ ไม่รู้ล่ะ ยังไงๆ ก็จะให้นัทกอดตอบผมให้ได้ นัทจึงกอดผมทั้งที่ตัวเปียกและเหม็นเหงื่อ สัมผัสจากอ้อมแขนของนัทนั้นทำให้ผมรู้สึกดีเหลือเกิน ร่างกายและจิตใจของผมดูจะตอบสนองต่อสัมผัสนี้ได้ไวและรุนแรงกว่าปกติ ผมไม่เคยรู้สึกดีอย่างนี้มาก่อนเลย นี่หรือเปล่าคือสิ่งที่ผมตามหามาทั้งชีวิต
"จำได้มั้ย...ทุกครั้งที่นัทต้องการให้ใครช่วยปกป้อง นัทจะวิ่งมาหาพี่ ขนาดโดนแม่ตีนัทยังวิ่งมาหาพี่เลย"
ผมอดที่จะขำเบาๆ ไม่ได้เมื่อย้อนนึกถึงภาพเด็กน้อยโดนแม่ไล่ตี แล้วก็วิ่งมาหาผมให้ช่วย
"อือ..."
นัทตอบเบาๆ ในลำคอ แม้จะกอดผมไว้แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความไม่ผ่อนคลาย ดูเหมือนจะระวังตัวพอสมควร
"นัท...วันนี้นัทน้อยใจแฟรงค์หรือเปล่า"
นัทเงียบและไม่ตอบ แสดงว่าคงคิดอยู่เหมือนกันแต่ไม่กล้าพูด
"บอกแฟรงค์มาตามตรงเหอะ"
นัทนิ่งไปอีกพัก ในที่สุดคนปากแข็งก็พยักหน้าหงึกๆ ผมยิ้มพอใจแล้วกระชับอ้อมแขนขึ้นอีกนิด นัทจะได้รู้ว่าผมแคร์ความรู้สึกของนัทมากแค่ไหน
"อย่าน้อยใจแฟรงค์นะ นัทเป็นคนสำคัญของแฟรงค์ที่หนึ่งเลยรู้มั้ย"
นัทพยักหน้าหงึกๆ อีกรอบ ผมจึงยิ้มอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ พอได้กอดจนพอใจจึงค่อยๆ ปล่อยนัทให้เป็นอิสระ แล้วนัทก็ย่นจมูกทำเสียงฟุดฟิด
"ตัวเม้นเหม็น สงสัยนัทต้องอาบน้ำอีกรอบแล้ว"
ผมก็เลยหัวเราะร่วนอย่างเอ็นดู ยิ่งอยู่ใกล้ก็ยิ่งรู้สึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดูของคนตรงหน้า
"ดีเลย แฟรงค์ก็อยากอาบน้ำเหมือนกัน อาบพร้อมแฟรงค์เลยมั้ย"
ไม่รู้ว่าอะไรเข้าสิงผมถึงได้ใจกล้าหน้าด้านพูดเล่นไปอย่างนั้น ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพูดเล่นกับผู้ชายที่ไหนอย่างนี้
"เรื่อง"
ไม่รู้ว่านัทเขินหรืออะไรกันแน่ พูดจบก็เดินแกมวิ่งหนีไปซะอย่างนั้น ผมหัวเราะอย่างเอ็นดูแล้วก็วิ่งตามไป
"ทำไมล่ะ ทีเมื่อก่อนยังแก้ผ้าอาบน้ำกับพี่ได้เลย"
"ก็ตอนนั้นนัทยังเด็กนี่" นัทหันมาตอบแล้วก็วิ่งต่อ
"โตแล้วก็อาบน้ำด้วยกันได้ จะได้ระลึกความหลังด้วยกันไง"
ไปๆ มาๆ ผมก็ชักสนุกกับการเล่นอย่างนี้ไปซะแล้ว
"ไม่เอาหรอก ไม่อยากดูของพี่แฟรงค์"
พอตามทันแล้วผมก็กอดคอนัทไว้ นัทหยุดวิ่งแล้วเราก็เดินไปด้วยกันอย่างช้าๆ ตอนเด็กๆ ผมกับนัทชอบเดินกอดคอกันบ่อยๆ อย่างนี้แหละ
"ไม่อยากรู้เหรอว่าของแฟรงค์ต่างจากตอนเด็กๆ หรือเปล่า" ผมพูดหยอกเล่นสนุก
นัทยกมือขวาขึ้นมาแล้วก็ชูนิ้วก้อยให้ผมดู แล้วก็รีบวิ่งหนีไปอีกพร้อมกับหัวเราะชอบใจใหญ่
"ล้อพี่เหรอนัท เดี๋ยวเตะก้นเลย"
ผมขู่แล้วก็วิ่งไล่ตามน้องชายตัวดีไปอย่างสนุกสนาน ดึกดื่นคืนนี้ เสียงหัวเราะของเราสองคนคงดังไปไกลทั่วคุ้งน้ำให้ใครต่อใครสงสัย บรรยากาศแห่งความสุขอย่างนี้ห่างหายไปจากชีวิตผมนานแล้ว ไม่คิดไม่ฝันว่าจะย้อนกลับมาอีกครั้ง ฟ้าดินคงมีเจตนาบางอย่างสินะถึงได้นำเราสองคนมาเจอกันอีก นอกจากจะได้ของเดิมกลับมาแล้วก็ยังแถมของใหม่มาให้ด้วย บางทีอาจจะเป็นของใหม่กระมังที่ทำให้ผมมีความสุขและวาบหวามใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
... ... ...
ทันทีที่ศีรษะของใครบางคนสัมผัสกับตักของผม ความรู้สึกหวงแหน อยากทะนุถนอมและปกป้องก็พลันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในความรู้สึก ท่าทีที่สบายและผ่อนคลายของเราสองคน ช่วยทำให้บรรยากาศก่อนนอนคืนนี้อบอวลไปด้วยกลิ่นไอของความอบอุ่นและผูกพันทั่วห้อง
คืนนี้นัทตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนั้นให้ผมฟัง ผมแทบจะอดใจรอฟังไม่ไหวเลยล่ะ อยากรู้เหลือเกินว่านัทจะเป็นเหมือนที่ผมเป็นหรือเปล่า
"ถ้าร้องไห้...ใช้เสื้อแฟรงค์ซับน้ำตาก็ได้นะ" ผมสัพยอกก่อนที่นัทจะเริ่มต้นเล่าเรื่อง
"ไม่พอหรอก สงสัยต้องเตรียมผ้าขนหนูไว้ข้างๆ อีกผืนแล้วล่ะ"
นัทพูดเล่นอย่างอารมณ์ดี แต่หลังจากนี้อารมณ์จะเป็นแบบไหนก็ยังไม่อาจรู้ได้
"ขนาดนั้นเลย" ผมขำเบาๆ
"ไม่ต้องใช้ผ้าขนหนูหรอก แฟรงค์อยู่ทั้งคน แฟรงค์ไม่ปล่อยให้นัทร้องไห้เสียใจขนาดนั้นหรอก"
แม้จะพูดทีเล่นทีจริง แต่มันก็พอจะบอกเป็นนัยๆ ได้ว่าผมพร้อมที่จะดูแลไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนัท
"แล้วนัท...เจอกับเค้าได้ยังไง"
ผมถามเพื่อช่วยให้นัทรู้จุดที่จะเริ่มต้นเรื่องง่ายขึ้น ดูเหมือนสีหน้าของนัทจะเครียดแล้ว แต่ผมก็เชื่อว่านัทเข้มแข็งมากพอที่จะเล่าให้ผมฟังได้
"นัททำงานอยู่แผนกเดียวกับเค้า เค้าชื่อ...ต้องตา มาทำงานที่โรงแรมก่อนนัทได้สักพักแล้วล่ะ"
"เจอแล้วก็ชอบกันเลยเหรอ" ผมสงสัย
"เปล่า ผมเริ่มจีบเค้าหลังจากที่ทำงานไปได้หลายเดือนแล้ว ไม่ใช่รักแรกพบหรอก"
ผมพยักหน้ารับรู้
"แล้ว...มีอะไรที่ทำให้นัทรู้สึกสนใจในตัวเค้าล่ะ"
นัททำท่าครุ่นคิด คงพยายามหาทางสื่อสารให้ตรงจุดประสงค์บางอย่างให้มากที่สุด แต่อาจไม่ตรงกับใจก็ได้
"เค้าสวยแล้วก็น่ารักมั้งครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม..." แล้วนัทก็แค่นหัวเราะ
เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่เชื่อในสิ่งที่นัทพูดเลย ไม่รู้สิ ผมเชื่อว่าต้องมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้นแน่นอน แต่นัทคงไม่อยากเล่าให้ผมฟังตรงๆ นัทรู้แล้วว่าจุดเริ่มต้นของผมกับเพียวเป็นมายังไง แต่ที่ผมไม่รู้ก็คือสิ่งที่นัทคิดในใจหลังจากที่ได้รู้เรื่องนี้นั่นแหละ ความรู้สึกนั้นหรือเปล่าที่ทำให้นัทไม่ยอมเล่าอะไรบางอย่างให้ผมฟัง นัทดูเหมือนคอยระวังจนผมพอรู้สึกได้
"แค่นั้นเองเหรอ"
นัทพยักหน้าช้าๆ เมื่อนัทไม่อยากบอกตรงๆ ผมก็เลยไม่คิดที่จะเซ้าซี้อีก ปล่อยให้นัทเล่าไปอย่างที่นัทอยากเล่าละกัน สรุปตามที่ผมเข้าใจแล้วก็คือว่า...
นัทกับต้องตาทำงานในฝ่ายขายเหมือนกัน หลังจากที่คบหาเป็นแฟนกันแล้ว นัทก็รักและหลงผู้หญิงคนนี้มาก ต้องตามักจะขอให้นัทช่วยทำงานหรือขอไอเดียจากนัทบ่อยๆ แรกๆ นัทก็ไม่รู้สึกหรอกว่าตัวเองถูกขโมยผลงาน แถมไอเดียดีๆ หลายอย่างที่ต้องตาได้ไปนั้นก็ไม่เคยมีใครรู้ว่ามาจากนัท พอทำงานไปทำงานมา ต้องตากลับดูเหมือนก้าวหน้ามากกว่า ในขณะที่นัทกลับมีปัญหากับหัวหน้างานบ่อยๆ เวลาประชุมหรือคุยงานกัน ต้องตามักจะคอยขัดความคิดหรือโจมตีข้อเสนอของนัท เคยโกรธกันเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ต้องตามักอ้างว่าทำไปเพราะงานเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว คนที่เป็นมืออาชีพไม่เอางานกับเรื่องส่วนตัวมาปนกัน
หลังจากนั้นอีกปีเศษๆ ต้องตาก็ชวนนัทลงทุนเปิดร้านกาแฟ นัทก็อุตส่าห์เอาเงินเก็บจากการทำงานมาช่วยลงทุนด้วย ต้องตาขอเปิดบัญชีคนเดียวนัทก็ยอม นัทไม่เคยได้เห็นเลยว่ามีรายได้เข้ามาในบัญชีนั้นเท่าไหร่ ต้องตาบอกเพียงว่าจะเก็บเงินเอาไว้เพื่ออนาคตของนัทกับเธอ ร้านที่เปิดก็มีชื่อของต้องตาเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว แต่นัทก็ไม่เคยหวาดระแวงสงสัย เชื่อใจต้องตาทุกอย่าง วาดฝันไว้สวยหรูว่าจะได้แต่งงานและสร้างครอบครัวด้วยกัน ขนาดว่ามีคนเตือนนัทยังไม่เชื่อเลย
สุดท้าย นัทก็เริ่มระแคะระคายจนได้ เริ่มตั้งแต่บังเอิญรู้ว่าต้องตาแอบใส่ร้ายตัวเองกับเพื่อนร่วมงานและเจ้านายบ่อยๆ บางเรื่องที่นัทไม่อยากให้ใครรู้ก็มีคนรู้ จนเป็นเหตุให้ตัวเองมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานและโดนเจ้านายเขม่น ปัญหาความความสัมพันธ์เริ่มร้าวฉานมากขึ้น เมื่อนัทรู้ว่าต้องตากับหัวหน้าแผนกคนนั้นมีความสัมพันธ์พิเศษต่อกัน นัทจึงรู้ตัวว่าตัวเองถูกหลอกใช้มาตลอด เมื่อมองหน้าใครในที่ทำงานไม่ติดนัทจึงต้องลาออก เสียรัก เสียงาน เสียเงินและเสียความรู้สึกดีๆ ไปมากมาย
ต้องตาเพิ่งขนของออกไปจากห้องของนัทเมื่อไม่นานนี้ ก่อนไปยังไม่วายพูดทิ้งทวนให้เจ็บจนวินาทีสุดท้ายว่า
"ก็โง่เอง ช่วยไม่ได้"
พอได้ฟังทั้งหมดแล้ว ผมก็ไม่แปลกใจนักหรอกที่นัทจะพูดประโยคนั้นกับผมว่า จะไม่เอาหัวใจไปให้ใครทำร้ายอีก ถ้าผมเป็นนัทก็คงเจ็บปวดน่าดูเหมือนกัน
"นัทโง่เองแหละพี่แฟรงค์"
น้ททำท่าคล้ายจะร้องไห้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีแม้น้ำตาสักหยด ถึงกระนั้นผมก็รู้สึกสงสารน้องจนต้องคอยลูบผมปลอบใจเป็นระยะๆ
"แม่กับพี่นิวยังด่านัทว่าโง่เลย เค้าก็เตือนนัทแล้วล่ะ แต่นัทไม่เชื่อเอง"
จะว่าไปผมก็แปลกใจที่นัทรักและหลงผู้หญิงคนนั้นมากจนไม่รู้ว่าตัวเองถูกหลอก มันช่างน่าสงสัยเหลือเกินว่าต้องตาคงทำบางอย่างที่ทำให้นัทหวนนึกถึงผม แล้วมันก็กลายเป็นจุดอ่อนให้ต้องตานำมาใช้หลอกนัทจนตายใจ แต่ก็อย่างว่า ผมไม่ได้อยู่กับนัทในช่วงหลังๆ อาจจะมีหลายอย่างที่ผมเดาผิดหรือไม่รู้ก็ได้
เอาเถอะ ถึงนัทจะไม่ยอมบอกหรือยังไม่อยากบอก ผมก็จะหาทางรู้ให้ได้ เพราะผมอยากรู้จริงๆ ว่านัทกับผมเป็นเหมือนกันบ้างหรือเปล่า
นัทค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งและหันมาสบตากับผมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ เห็นหน้าเศร้าๆ ของนัทแล้วผมก็ยิ่งสงสาร ผมน่าจะได้มาอยู่กับนัทในช่วงนั้นบ้าง เผื่อว่าจะช่วยอะไรน้องได้ แม้เพียงนิดหน่อยก็ยังดี
"ถือว่าเป็นประสบการณ์แล้วกันนะนัท"
นัทพยักหน้า ยิ้มเศร้าๆให้กับผม
"พี่แฟรงค์ว่านัทโง่หรือเปล่า"
ผมรีบส่ายหน้าทันที สงสัยคงมีคนมาว่านัทแบบนี้บ่อยๆ จนนัทคิดว่าตัวเองเป็นอย่างนั้นไปแล้วแน่ๆ เลย
"ไม่ใช่เรื่องโง่หรือไม่โง่หรอกนัท นัทก็แค่ยังไม่มีประสบการณ์เท่านั้นเอง แต่ตอนนี้นัทก็รู้แล้วนี่ คนเราถ้ายังไม่รู้จะเรียกว่าโง่ได้ยังไง จริงมั้ย"
พอผมพูดจบ นัทก็ท่าท่าจะร้องไห้ แล้วก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ
"ไม่เห็นมีใครพูดกับนัทเหมือนพี่แฟรงค์เลย มีแต่คนด่าว่านัทโง่ทั้งนั้น"
แม้จะร้องไห้ แต่ผมก็เห็นแววตาขี้อ้อนของนัทซ่อนอยู่ ผมยังพอจำได้ว่านัทเคยทำแบบนี้ตอนที่อยากให้ผมโอ๋ ก็คงต้องโอ๋คนเก่งของผมซะหน่อย
ผมอ้าแขนออก นัทรีบโผเข้ามากอดทันทีเหมือนกับรอท่าอยู่แล้ว
"ไม่เป็นไรแล้วนะนัท น้องพี่เป็นคนเก่งนะ เจอเรื่องร้ายๆ แค่ไหนก็ยังผ่านมาได้ นัทเข้มแข็งแล้วนะ นัทไม่ใช่คนอ่อนแอ ไม่ใช่คนโง่ด้วย"
ผมอดที่จะแอบยิ้มกับตัวเองไม่ได้ที่ทำเหมือนกำลังโอ๋เด็กน้อยขี้แงคนหนึ่งอยู่ ยิ่งรู้ว่าผมเอาใจนัทก็ยิ่งกอดผมแน่น
"พี่แฟรงค์ ฮือๆ"
นัทพูดเสียงอู้อี้เพราะซุกหน้าลงกับอกผม ผมเกือบจะหลุดหัวเราะแล้วเชียวที่เห็นนัทอ้อนผมเหมือนตอนเด็กๆ
"เริ่มต้นใหม่นะนัท นัทมาอยู่กับพี่แล้ว พี่จะไม่ให้ใครมาหลอกน้องของพี่อีก ถ้าใครมาทำนัทนะ ได้เห็นดีกับพี่แน่ คอยดูสิ"
"นัทรักพี่แฟรงค์นะ อยากให้พี่แฟรงค์อยู่เป็นพี่ชายนัทนานๆ พี่แฟรงค์อย่าทิ้งนัทไปอีกนะ"
นัทรักพี่แฟรงค์เหรอ!? รักแบบไหนล่ะ!?
จริงสิ...นัทก็พูดอยู่ว่ารักอย่างพี่ชาย ผมนี่ชักจะเพี้ยนไปกันใหญ่
"พี่ไม่ไปไหนหรอก พี่ก็รักนัทนะ นัทไม่ต้องกลัว นัทจะเห็นหน้าพี่จนเบื่อเลย"
ผมก้มลงไปดมกลิ่นหอมอ่อนๆ บนศีรษะนัทอย่างลืมตัว นัทยังคงกอดผมแน่น สัมผัสใกล้ชิดนั้นกระตุ้นให้บางอย่างในร่างกายผมเริ่มประจานเจ้าของเสียแล้ว ผมตกใจจนต้องรีบใช้มืออีกข้างดึงผ้าห่มมาปิดมันไว้ก่อนที่นัทจะเห็น
"นัท...นอนเถอะ ดึกแล้ว"
แม้ว่าอยากจะกอดน้องปลอบใจ แต่ผมก็กลัวนัทจะสัมผัสส่วนนั้นของผมเข้าจนได้ เดี๋ยวจะตกใจไปกันใหญ่ ก็เลยต้องหาทางยุติโดยเร็ว
นัทค่อยๆ ผละตัวออก ดูท่าจะเสียดายอยู่หน่อยๆ พอเห็นผลงานของตัวเองที่เสื้อผม เจ้าตัวก็หัวเราะขบขันทั้งที่น้ำตายังไม่แห้ง
"เสื้อพี่แฟรงค์เปียกหมดเลย จะเปลี่ยนใหม่มั้ย เดี๋ยวนัทเอามาให้"
"ไม่เป็นไร เปิดแอร์อยู่ เดี๋ยวก็แห้งแล้ว นัทนอนเถอะ"
ผมรีบร้องห้ามก่อนที่นัทจะลุกออกไป พอก้มมองดูเสื้อกล้ามสีขาวที่ใส่อยู่ก็เห็นรอยเปียกเป็นดวงๆ เต็มไปหมด แต่ผมกลับชอบที่ได้เป็นที่พึ่งของนัท
"ไม่กลัวหนาวเหรอ"
ผมส่ายหน้า "ไม่หนาวหรอก ห่มผ้าก็หายหนาวแล้ว อ้อ...นัทไปปิดไฟให้แฟรงค์หน่อยได้มั้ย"
นัทคงงงเพราะปกติผมมักเป็นฝ่ายเสนอตัวดูแลหรือคอยให้บริการเกือบทุกครั้ง แต่ตอนนี้ผมทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้จะบอกยังไงด้วย ขืนลุกไปตอนนี้นัทคงได้เห็นของที่ไม่ควรเห็นแน่ๆ
"ได้ๆ"
พูดสั้นๆ แล้วนัทก็ค่อยลุกจากเตียงไปจัดการตามที่ผมบอก นั่นแหละผมจึงพอโล่งอกไปได้
สัมผัสจากนัทเมื่อครู่นี้เล่นเอาผมแทบทนไม่ไหว ยิ่งนึกถึงตอนที่ผิวกายเบียดสัมผัสเสียดสีและแนบชิดกัน อีกทิ้งกลิ่นหอมยวนใจจากผิวกายที่ยังติดอยู่ปลายจมูก แรงปรารถนาของผมก็ยิ่งปั่นป่วนรุนแรงอย่างน่าประหลาด แม้ว่าเราสองคนไม่ได้สัมผัสตัวกันเพราะเรื่องนั้นเลย
พอนัทหลับไปแล้ว ผมจึงหลบตัวเข้ามาในห้องน้ำเพื่อจัดการภารกิจสำคัญเร่งด่วน ก่อนที่ตัวเองจะเผลอทำอะไรบ้าๆ กับคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง แต่ถึงกระนั้น ในจินตนาการของผมระหว่างนั้นก็มีแต่ภาพของนัทในท่วงท่าต่างๆ เต็มไปหมด ผมหายใจแรงด้วยความปรารถนาที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ทั้งๆ ที่เพิ่งปลดปล่อยมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว แล้วก็นึกขอโทษนัทอยู่ในใจที่ล่วงเกินในจินตนาการโดยไม่ได้ขออนุญาตเลย
ผมหอบเหนื่อยอย่างสุขสมเมื่อพาตัวเองมาถึงจุดหมาย พอได้เห็นสิ่งที่ปลดปล่อยออกมาอย่างมากมายก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง แม้เพียงเสพสมในจินตนาการ ผมยังรู้สึกรุนแรงถึงเพียงนี้ ถ้าเกิดขึ้นจริงเมื่อไหร่ ผมคงไม่พ้นหัวใจวายคาอกนัทเป็นแน่
ต่อไปคงต้องเลี่ยงที่จะอยู่ในห้องนอนกับนัทสองต่อสองแล้วล่ะ เพราะผมกลัวใจตัวเองเหลือเกิน!!!
... ... ...
จากที่ตอนแรกตั้งใจว่าจะเริ่มงานอาทิตย์หน้า พอมาอยู่ที่รีสอร์ทผมได้ไม่กี่วัน นัทก็เริ่มไฟแรงอยากทำงาน ผมจึงให้นัทเริ่มด้วยการสำรวจรีสอร์ทอย่างละเอียด จากนั้นก็ทำเป็นข้อมูลนำเสนอว่าจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง พอได้เห็นงานของนัทแล้วผมก็รู้ทันทีว่าความสามารถของนัทนั้นดูจะเกินความต้องการของเราไปมากทีเดียว
รีสอร์ทของผมแม้ว่าจะมีพื้นที่เยอะ แต่ก็เป็นธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัว ไม่มีระบบซับซ้อนมากเหมือนโรงแรมหรือบริษัทใหญ่ๆ หรอก แต่ความรู้และประสบการณ์ที่นัทได้จากการทำงานในระบบมืออาชีพก็มีประโยชน์มาก แม้บางอย่างจะใช้กับที่นี่ไม่ได้ แต่ก็มีหลายอย่างที่ผมน่าจะลองทำดูได้บ้าง
ผมใช้เวลาหนึ่งวันเต็มๆ คุยงานกับนัทและปรับแก้กันจนพอใจ จากนั้นจึงนัดกับพ่อว่าจะให้พนักงานคนใหม่เข้าไปนำเสนอแผนการปรับปรุงรีสอร์ทที่บ้าน ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้หรอกว่าผมเจอนัทแล้ว ผมก็จะถือโอกาศนี้นี่แหละเซอร์ไพรส์ทุกคนซะเลย
พอถึงวันนัด ผมก็แนะนำให้ทุกคนในครอบครัวรู้จักนัทในชื่อ "ธนวรรธน์ โฆษะนาม" เพราะรู้ว่าที่บ้านผมไม่มีใครรู้ชื่อจริงของนัทหรอก ยกเว้นน้องสาวของผม แต่ตอนนี้ไม่อยู่เพราะกำลังเรียนปริญญาเอกอยู่ที่เมืองนอก
"ผู้จัดการใหม่ของแฟรงค์หน้าคุ้นๆ นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหนแต่นึกไม่ออก"
พ่อผมปรารภด้วยขณะที่นัทกำลังเสียบสายโปรเจ็กเตอร์เข้ากับแม็คบุ๊คของตัวเองเพื่อเตรียมตัวนำเสนอ ผมได้แต่ยิ้มๆ ไม่พูดอะไร วันนี้แม่ของผมเข้ามาฟังด้วย ยกเว้นปู่ที่ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล
ที่บ้านผมมีห้องประชุมเล็กๆ อยู่หนึ่งห้อง มีเครื่องฉายโปรเจกเตอร์พร้อม เอาไว้สำหรับประชุมงานเล็กๆ กันที่บ้าน พออุปกรณ์และคนพร้อมแล้ว นัทก็เริ่มการนำเสนอแผนปรับปรุงรีสอร์ทตามที่เราคุยกันให้พ่อกับแม่ผมฟัง
"อย่างตรงร้านกาแฟ นัท...เอ๊ย...ผมมองว่าน่าจะต้องปรับปรุงให้ใหญ่ขึ้นอีกนิดครับ ถ้าดูจากรูปจะเห็นว่ามันมีแค่โต๊ะเล็กๆ ให้คนมานั่งกินกาแฟแค่สองโต๊ะเอง ลูกค้าจะไม่ค่อยอยากเข้ามานั่งเพราะกลัวคนเต็มและไม่เป็นส่วนตัว ยิ่งถ้าสองโต๊ะนี้เต็ม เราก็จะยิ่งเสียโอกาสที่จะดึงลูกค้าคนอื่นๆ เข้ามา ถ้าปรับเป็นลานให้กว้างขึ้นหน่อย ตามตัวอย่างในภาพนี้ ร้านกาแฟจะมีลูกค้าเยอะขึ้นครับ ตรงนี้บรรยากาศดี วิวสวย มองเห็นทะเลสาบได้ ใครๆ ก็อยากมานั่งจิบกาแฟยามบ่ายตรงนี้"
พ่อกับแม่ของผมฟังแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย ยิ่งเห็นภาพตัวอย่างที่นัทเลือกมาให้ดูแล้วก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก แต่เมื่อกี้นัทก็เกือบทำความแตกซะแล้ว
"ส่วนเรื่องชื่อ ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นชื่อที่ทันสมัยมากก็ได้ครับ ควรจะเป็นชื่อที่เหมาะกับโลเคชั่น ตรงนี้เป็นเขตหนองจอก ถ้าเราเปลี่ยนชื่อเป็นหนองจอกรีสอร์ทแอนด์ฟิชชิ่งปาร์ค ก็จะทำให้คนจำง่ายและรู้ว่าอยู่ที่ไหน ถ้าเสิร์ชหาข้อมูลโรงแรมหรือรีสอร์ทในเขตนี้เราก็จะขึ้นอยู่อันดับต้นๆ แต่อันนี้ก็น่าจะต้องคุยกับสำนักงานเขตด้วยครับเพราะว่าเป็นชื่อเดียวกัน น่าจะต้องมีการขออนุญาตใช้ก่อน ผมว่ารีสอร์ทที่นี่โดดเด่นแล้วก็สวยมาก เป็นหน้าเป็นตาให้เขตนี้ได้อยู่แล้วครับ ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องขออนุญาตใช้ชื่อ ส่วนชื่อเดิม เป็นชื่อที่คลาสสิคดีครับ ความจริงมันก็เหมาะกับบรรยากาศของที่นี่อยู่ แต่ตอนที่ผมได้ยินชื่อนี้ครั้งแรก ผมก็นึกว่ารีสอร์ทนี้อยู่แถวๆ กาญจน์ คิดว่าลูกค้าคนอื่นๆ ก็น่าจะคิดคล้ายๆ กัน"
พ่อกับแม่ผมนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เลยครับ คงจะถูกใจผู้จัดการคนใหม่มากทีเดียว ก็จะไม่ชอบได้ยังไงล่ะ ดูคล่องแคล่วฉะฉาน นำเสนอข้อมูลอย่างมืออาชีพแถมไอเดียก็เจ๋งหลายอย่างซะขนาดนั้น นึกว่ากำลังจะทำโรงแรมห้าดาวกันเลย ป๋าดันอย่างผมก็ยิ่งปลื้มหนักกว่าใคร แก้มจะแตกอยู่แล้ว
หลังจากที่จบการนำเสนอและซักถามข้อมูลกันเป็นที่เรียบร้อยจนพอใจ ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันพอดี ผมนัดเพียวมากินข้าวกลางวันด้วย แต่ก็ไม่ลืมที่จะกำชับเธอไว้ว่าให้เรียกนัทว่าคุณธนวรรธน์ชั่วคราว เพียวไม่มีปัญหาอะไรและยินดีทำตามที่ผมบอกแต่โดยดี
"ไม่มีใครสงสัยเลยเหรอครับว่าคุณธนวรรธน์เป็นใคร"
ผมเอ่ยถามขึ้นในขณะที่ทุกคนกำลังทานอาหารกันอย่างออกรสออกชาติ ดูๆ ไปคุณธนวรรธน์ก็ได้รับความสนใจจากพ่อกับแม่ผมมาก คุยกันไม่หยุดเลย
"อ้าว แล้วเป็นใครล่ะแฟรงค์ แต่แม่ว่าหน้าคุ้นๆ มากเลย เหมือนแม่เคยเห็นที่ไหน เอ๊...คุณธนวรรธน์ เราเคยเจอกันที่ไหนมั้ยคะ"
แม่ผมหันไปถามนัทที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับผม ส่วนคนที่นั่งข้างๆ ผมนั้นคงจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจากเพียว
"นั่นน่ะสิ พ่อก็ว่าคุณธนวรรธน์นี่หน้าคุ้นๆ มาก"
พ่อผมก็ทำท่านึกด้วยอีกคน ผมสบตากับนัทแล้วก็แอบยิ้มด้วยกัน
"พ่อกับแม่จำนัทได้หรือเปล่าครับ"
ในที่สุดผมก็เฉลยซะทีหลังจากที่ปล่อยให้พ่อกับแม่สงสัยมาตั้งแต่เช้า
"นัทเหรอ!" พ่อกับแม่ผมพูดขึ้นพร้อมกัน มองหน้ากันเองแล้วก็หันไปมองนัท
"อ๋อ!" พ่อผมอุทานขึ้นมาเป็นคนแรก "นัทลูกน้านวลที่ทำขนมจีนเส้นสดอร่อยๆ ขายในตลาดใช่มั้ย"
พ่อผมมองหน้านัทอย่างเพ่งพิศ พอรู้ว่าใช่อย่างที่สงสัยก็ยิ้มดีใจ
"ใช่จริงๆ ด้วยแม่ นี่มันนัทจริงๆ ด้วย" พ่อผมพูดอย่างตื่นเต้น
"แม่ก็ว่าแล้วทำไมหน้าคุ้นๆ ชื่อก็ติดอยู่ที่ปาก แฟรงค์นี่...แล้วทำไมไม่บอกพ่อกับแม่ว่าเป็นน้องล่ะ ปล่อยให้สงสัยอยู่ตั้งนาน"
แม่หันมาว่าผมซะอย่างงั้น ผมก็เลยได้แต่หัวเราะแหะๆ เพียวอดขำไม่ได้จนต้องหัวเราะไปด้วยอีกคน
แม่ผมพลิกตัวนัทให้หันมามองหน้ากันตรงๆ เพราะอยากดูให้ชัดๆ และแน่ใจ เห็นรอยยิ้มของพ่อกับแม่แล้วผมก็รู้ว่าท่านทั้งสองดีใจมากแค่ไหนที่ได้เจอนัทอีกครั้ง
"นัทเป็นไงบ้าง สบายดีนะลูก ตายแล้วลูกเอ๊ย นี่พ่อ...เราไม่ได้เจอนัทมานานกี่ปีแล้วล่ะพ่อ"
นัทยังไม่ทันได้ตอบ แม่ผมก็หันไปถามพ่อซะแล้ว พ่อผมนั่งนับนิ้วแล้วจึงบอกแม่ไป
"สิบสามปีแล้วแม่"
"แล้วนัทมาเจอกับแฟรงค์ได้ไงล่ะลูก"
แม่ผมหันมาทางนัทอีก คาดว่าคราวนี้นัทน่าจะได้ตอบคำถามสักคำถามบ้างแล้ว
"มีเพื่อนบอกให้นัทมาสมัครงานที่เรือนแพรีสอร์ทน่ะครับ ผมสนใจก็เลยมา ก็เลยได้เจอแฟรงค์"
"โลกกลมจริงๆ เลย พวกเราคิดถึงนัทมากรู้มั้ยลูก โดยเฉพาะแฟรงค์ ตอนแฟรงค์มาเรียนที่กรุงเทพใหม่ๆ เห็นนั่งหงอยทุกวันเลย ป้าเห็นแล้วก็สงสาร ดีแล้วลูกได้กลับมาเจอกับพี่เค้า มาช่วยพี่แฟรงค์ทำงานนะลูก ถือซะว่าเป็นรีสอร์ทของนัทไปเลยละกัน เดี๋ยวจะให้แฟรงค์เพิ่มเงินเดือนให้อีกหน่อย ก็แหม...บ้านเราน่ะกินขนมจีนน้านวลมาฟรีๆ ตั้งหลายปี"
แม่ผมพูดติดตลกในตอนท้าย แล้วก็หันไปชมนัทต่อ
"นัทเก่งมากเลยลูก เมื่อกี้ลุงกับป้านั่งฟังอ้าปากค้างกันเลย นัทนำเสนอได้มืออาชีพมาก ข้อมูลก็แน่น แผนก็ดี ช่วยพวกเราได้เยอะเลยลูก ปกติรีสอร์ทของเราไม่ค่อยมีคนดีกรีระดับนี้มาสมัครงานหรอก ส่วนมากเค้าก็ไปทำบริษัทใหญ่ๆ กันหมด ขอบใจมากลูกที่มาช่วยพวกเรา อย่าลืมนะแฟรงค์ ดูแลน้องดีๆ ล่ะ"
แม่หันมากำชับผมในตอนท้าย ผมกับนัทสบตากันอีกครั้งแล้วก็ยิ้มเหมือนรู้ๆ อะไรกันอยู่สองคน
"เอ...ลุงจำได้ว่านัทชอบกินไอติมใช่มั้ยลูก เดี๋ยวๆๆ มีใครอยู่ตรงนี้บ้าง ให้ใครไปซื้อไอติมมาให้นัทหน่อยสิ"
ว่าแล้วพ่อผมก็หันไปเรียกแม่บ้านให้มาหา ขาดคำของพ่อ เพียวก็หันมาจับจ้องผม ผมแทบจะทำตัวไม่ถูกจนต้องหลบสายตาที่มีคำถามนับร้อยนับพันของเธอ
"นัทเขาชอบกินไอติมเหรอคะคุณพ่อ" เสียงเพียวฟังดูธรรมดา แต่แววตากลับขุ่นข้องสงสัย
"ใช่ลูก เมื่อก่อนเฟิร์นมาฟ้องพ่อบ่อยๆ ว่าพี่แฟรงค์ชอบเอาเงินค่าขนมตัวเองไปซื้อไอติมให้นัทกิน นัทเค้าชอบกินไอติม แฟรงค์ก็เลยซื้อให้กินบ่อยๆ ไม่ค่อยซื้อให้น้องตัวเองหรอก เฟิร์นน้อยใจพี่จนพ่อต้องคอยให้เงินไปซื้อไอติมต่างหาก"
พ่อผมเล่าไปก็ขำไป แต่ผมนี่สิชักร้อนๆ หนาวๆ เสียแล้ว
"จริงเหรอคะ"
ผมไม่รู้ว่าเพียวถามคำถามนั้นกับพ่อผม กับตัวเอง หรือกับใคร สีหน้าของเธอดูซีดเผือดจนผมอดที่จะสงสารไม่ได้ ส่วนนัทเองก็นั่งเงียบ คอยลอบสังเกตดูผมกับเพียวตลอดเวลา
"มีอะไรกันหรือเปล่าจ๊ะ ทำไมนั่งเงียบกันไปหมดล่ะ"
แม่ผมถามด้วยความสงสัย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครกล้าตอบคำถามเลย ได้แต่มองหน้ากันไปมา
"พ่อคะ แม่คะ เดี๋ยวเพียวขอตัวก่อนนะคะ พอดีเพียวเพิ่งนึกได้ว่าต้องไปธุระด่วนน่ะค่ะ อาจจะต้องกลับเลย"
เพียวพูดแล้วก็ทำท่าจะลุกหนีไป ผมจึงรีบดึงมือเธอไว้ก่อน
"เดี๋ยวก่อนสิเพียว"
เพียวพยายามจะสะบัดมือออก แต่ก็ไม่กล้าทำโจ่งแจ้งเพราะกลัวพ่อกับแม่ผมสงสัย
"อ้าว...มาไม่ทันไรก็จะไปแล้วเหรอลูก ไม่กินข้าวก่อนล่ะ เพียวมีธุระแถวไหน กินข้าวก่อนแล้วค่อยให้แฟรงค์ไปส่งก็ได้" พูดแล้วพ่อก็พยักพเยิดมาทางผม
"ไม่เป็นไรค่ะคุณพ่อ คงไม่ทันแล้วล่ะค่ะ เพียวขับรถมา เดี๋ยวเพียวไปเองก็ได้ค่ะ แฟรงค์จะได้กลับไปทำงานต่อ ขอตัวก่อนนะคะ เพียวรีบจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่เพิ่งนึกได้กะทันหัน"
เพียวบอกพ่อผมแล้วก็หันมามองมือผมที่จับมือของเธอไว้อยู่ ถึงจะไม่บอกตรงๆ ว่าให้ปล่อย ผมก็รู้ว่าต้องปล่อยมือเธอแล้วล่ะ
"เพียว..."
ผมเรียกแฟนสาวเสียงเบา พ่อกับแม่เริ่มจับตามองอย่างสงสัยว่าเราอาจจะกำลังทะเลาะกันอยู่หรือเปล่า
"เพียวไปก่อนนะคะพี่แฟรงค์ แล้วเจอกันค่ะ ไม่ต้องเดินไปส่งนะคะ"
เพียวลุกขึ้นสวัสดีพ่อกับแม่ผมที่รับไหว้อย่างงงๆ แล้วเธอก็เดินไปหยิบกระเป๋าถือที่วางไว้ที่โซฟา ก่อนจะเดินออกไปอย่างร้อนรน
"ไม่ไปส่งน้องล่ะแฟรงค์"
แม่มองผมด้วยสายตาตำหนิ แต่ผมก็นั่งเงียบ สบตากับนัทแล้วก็เห็นความกังวลในดวงตาคู่นั้นTBCอ่านจบ บวกเป็ด คอมเมนต์ ทุกเรื่อง ทุกตอน