รัก...ไมได้ออกแบบ by zero
- 7 -
“เหี้ย! หิว”ไอ้โอ๊คตะโกนขึ้นมาระหว่างที่พวกผมกำลังจดจ่ออยู่กับการทำงาน ปีสองแล้ววิชาที่เรียนเริ่มลงลึกและปฏิบัติมากขึ้น ปีหนึ่งที่คิดว่าเยอะแล้ว เทียบไม่ได้กับตอนนี้เลย ปีสูงขึ้นไปแทบไม่ต้องพูดถึง แต่ก็ต้องเข้าใจว่าเรียนด้านนี้จะฝีมือดีได้ก็ต้องฝึกฝนอย่างหนัก ทักษะต่างๆต้องพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆไม่อย่างนั้นก็สู้คนอื่นไม่ได้
“ตะโกนแล้วมึงจะหายหิวเหรอไอ้สัด”ไอ้เต้ด่ากลับไป หน้ามันเครียดมาก เพราะงานก่อนหน้ามันถูกสับมาเละยิ่งกว่าโจ๊ก แต่จะโทษใครได้ มัวแต่ติดเด็กแล้วลืมทำงานมาปั่นเอาก่อนวันจะส่ง งานเลยหยาบยิ่งกว่าหนังช้าง
“เดี๋ยวกูไปเซเว่น จะเอาอะไรจดมา”ผมเสียสละตัวเองเป็นคนไปซื้อของมาให้พวกมันแดก อันที่จริงก็หิวเหมือนกัน อยากไปยืดเส้นยืดสายด้วย ตั้งแต่เลิกเรียนตอนสี่โมงเย็นจนถึงตอนนี้ก็สองทุ่มแล้วขยับตัวมากสุดก็แค่ไปเหลาดินสอ
“ไอ้เหี้ย เทวดามาโปรด งานมึงเสร็จแล้วเหรอ”
“ใกล้แล้ว เอาไรจดมาๆ”ไอ้เหี้ยเต้ฉีกกระดาษสเก็ตมาจดทั้งข้าวกล่อง ขนม น้ำ ลูกอม ลิโพ เอ็ม150...
“ไอ้สัด ใครเอาถุงยางวะ”รายการสุดท้ายนี่คือเหี้ยอะไร พอผมถามแม่งหัวเราะกันใหญ่ พวกผมนั่งทำงานอยู่ใต้ตึกเรียนเกือบยี่สิบชีวิต
“ของกูๆ ฝากด้วย เสร็จงานกูจะรีบไปเอาเมียไม่ต้องเสียเวลาแวะซื้อ”ไอ้ห่าเจตะโกนมาจากอีกมุมหนึ่ง
“ค_ย”ผมแจกนิ้วให้ ก่อนจะลากไอ้หมวยที่อยู่ใกล้มือใกล้ตีนไปช่วยถือของ
“ไอ้เชี่ย ไหล่กูไม่ใช่ที่วางแขนมึงนะ”
“อ้าวเหรอ กูนึกว่าใช่ปรับระดับมาพอดีเลยนะเนี่ย”
“กวนตีนไอ้สัด คนอื่นก็มีลากกูมาทำเชี่ยไร”
“เอามึงมาอ่ะถูกแล้ว งานมึงจะเสร็จแล้วนี่”ไอ้หมวยเห็นตัวมันเล็ก แต่ฝีมือมันไม่เล็กนะครับ งานมันขึ้นแท่นเลยทีเดียว
พวกผมเดินลัดเลาะสวนข้างคณะตัวเองไปตามทางเดินที่ปูด้วยอิฐตัวนอนสลับสี ซึ่งเป็นทางเชื่อมไปทอดยาวไปสู่คณะสถาปัตย์ มีสระน้ำกั้นกลาง มีสะพานปูนให้เดินข้าม สองข้างของสะพานปูนเป็นซุ้มดอกการเวกที่เลื้อยยาวตลอดสะพาน ดึกๆแบบนี้ได้กลิ่นหอมอวลไปทั่ว เซเว่นที่ผมจะไปมันอยู่ระหว่างคณะพอดี
“ไอ้สัด อย่างโหด บ้ามากไปละ”ไอ้หมวยมันพูดขึ้นเพราะได้ยินเสียงว๊ากดังลั่นมาจากลานคณะสถาปัตย์ คณะนี้รับน้องโหดมาก พี่ว๊ากแต่ละคนน่ากลัวทั้งนั้น คณะผมที่ว่าดุเดือดแล้วต้องคุณสามเข้าไป พี่ว๊ากคณะนี้ต้องทำตัวเหมือนแวมไพร์ กลางวันต้องหลบซ่อนตัว จะให้น้องปีหนึ่งเห็นไม่ได้
“หมอบๆๆ หมอบหาพ่อง”
“มึงนี่ก็นะ รีบๆเดินไป”
พอไปถึงเซเว่นผมก็แบ่งกันไปหยิบของตามรายการ ข้าวกล่องขายดีมาก บางอย่างที่สั่งมาก็ไม่มีผมก็เลือกอย่างอื่นไปแทนเวลานี้อะไรที่กินได้พวกมันก็ยัดกันหมดนั่นแหละ ของทั้งหมดเต็มสามตะกร้า ของผมเป็นข้าวกับพวกขนม ส่วนไอ้หมวยถือตะกร้าใส่น้ำอย่างเดียว
“คืนนี้พวกปีหนึ่งตายแน่มึง พี่ไวท์แม่งจัดหนักจัดเต็ม”
“เออไอ้สัด กูไม่ได้โดนเองยังขนลุก เยี่ยวจะแตกไอ้ห่า”
“อยากไปลองของเองนี่หว่า ต้องโดนนน”
ผมเหลือบตามองไอ้หมวยที่ยืนต่อหลังสองคนที่กำลังพูดถึงการรับน้องคณะตัวเองแน่ๆ ดูจากเสื้อแล้วก็คงเป็นคณะสถาปัตย์บ้านใกล้เรือนเคียงนี่เอง มันเบ้ปากใส่สองคนนั้นเหมือนกับแค้นเคืองอะไรเขานักหนา
“พวกบ้าอำนาจ”คล้อยหลังจากคนนั้นที่หิ้วน้ำแข็งเต็มถังออกไป มันก็เปิดปากทันที
“ไม่ชอบก็อยู่เฉยๆ อย่าไปวิจารณ์เขา เดี๋ยวมึงจะได้โดนดี”คือเรื่องพวกนี้มันก็พูดยากนะครับ การรับน้องแบบนี้มันก็มีข้อดี แต่บางคนที่ไม่ชอบและมีความคิดต่างก็มองเห็นแต่ข้อเสีย ผมว่ามันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จะมาตัดสินว่าดีหรือไม่ดีไปเลยไม่ได้ ทุกอย่างมันต้องมีทั้งดีและไม่ดี ถ้าเรื่องไหนที่ดีก็ควรรักษาไว้ ส่วนเรื่องไหนที่ไม่ดีมันก็ควรปรับปรุง มันอาจจะไม่ได้ดีขึ้นมาเลยเสียทีเดียวแต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
ระหว่างทางเดินกลับมาเสียงว๊ากก็เงียบลงไปแล้ว ทุกอย่างเงียบสนิทได้ยินเพียงเสียงใบไม้ไหวกับแมลงกลางคืนที่ดังเป็นระยะ คงจะเลิกว๊ากกันไปแล้ว
“เสียงไรวะ”ไอ้หมวยพึมพำ เบียดตัวเข้าหาผม หันมองรอบตัวอย่างหวาดระแวง คือทางเดินตรงนี้มันไม่ได้สว่างนัก ไฟบางจุดก็ดับไป แสงนวลๆจากไฟสีส้มตามทางเดินเลยขาดๆหายๆ สลัวไปทั่วบริเวณ เสียงฝีเท้าคนดังมาจากข้างหน้า แต่ผมกับไอ้หมวยเบรคไม่ทันตอนที่กำลังจะเดินผ่านสะพานการเวก เจ้าของเสียงฝีเท้าที่วิ่งมาก็คงจะไม่รู้ว่ามีใครเดินอยู่
ปึก!
“โอ๊ย!”ผมคว้าเอาไว้ไม่ทันเพราะมือเต็มไปด้วยของที่ซื้อมาไอ้หมวยกับถุงของจึงกระเด็นไปคนละทาง วัตถุที่วิ่งมาชนก็ล้มคว่ำไปด้วยกัน
“เหี้ย!”พวกที่วิ่งมาถึงร้องดังขึ้น ผมมองหน้าไม่ถนัดแต่คงจะมาจากคณะข้างๆ ไว้หนวดเครา สวมหมวกแก๊ปแต่ใส่ชุดนักศึกษาเต็มยศถูกระเบียบเป๊ะ
“เหี้ยไวท์ เป็นไรป่ะวะ”หนึ่งในสามคนที่วิ่งตามมาสมทบถามขึ้น
“เจ็บไอ้สัด ลุกไปสิวะ”เสียงไอ้หมวย มันผลักคนที่ล้มทับมันออก อันที่จริงร่างสูงใหญ่นั้นไม่น่าสะเทือนด้วยซ้ำแต่คงเป็นจังหวะที่ลุกขึ้นพอดีแรงของไอ้หมวยจึงทำให้อีกฝ่ายเซไป ผมวางของทิ้งไว้แล้วฉุดมันลุกขึ้น อีกฝ่ายก็ถูกเพื่อนประคองขึ้นมาเหมือนกัน
“ไอ้สัด รีบไป เดี๋ยวไอ้เหวงปล่อยน้อง”
“เห้ยๆ ชนคนอื่นล้มแล้วจะหนีไปง่ายๆหรือไงวะ”ไอ้ตัวเล็กแม่งซ่าไปรั้งแขนคนที่ชนมันไว้ จะรู้หรือเปล่าวะนั่นคือพี่ว๊ากที่มันเกลียดนักเกลียดหนา คือถึงไม่มีใครบอกก็พอจะเดาได้จากการแต่งตัว และจากชื่อที่ถูกเรียกผมเพิ่งได้ยินจากเซเว่นเมื่อกี้นี้เอง ไม่น่าพลาด
“ขอโทษ”เสียงโหดสัด ตาวาวๆในแสงสลัวนั้นทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายคงดุไม่น้อย
“เอ้า ไอ้เหี้ย”ผมดึงไอ้หมวยไว้ มันแทบจะแล่นตามไปเอาเรื่องเขาซ่านักตัวแค่นี้ มันคงไม่พอใจกับคำขอโทษแค่นั้น คงจะรีบกันมากจริงๆเพราะวิ่งไปไม่หันหลังกลับมามองเลย
“ไปเหอะมึง อย่ามัวเสียเวลา”
“แม่งเอ๊ย ทำกูเจ็บ อย่าให้กูเจอหน้านะจะด่าให้ลืมชื่อแม่เลย”
“จำหน้าเขาให้ได้ก่อนคิดจะไปด่า ห่ามึงเห็นหน้าเขาเหรอ”
“เห็นไม่ชัด แต่กูรู้ชื่อ สัดไวท์!”เอ้อ นับว่ายังฉลาดและยังมีสติที่จำชื่อได้ ผมกับมันช่วยกันเก็บของขึ้นมาแล้วกลับไปที่คณะที่มีพวกสัมพเวสีรอคนแผ่ส่วนบุญไปให้
“หมวย แขนมึงไปโดนอะไรวะ มีเลือดด้วยพออยู่ในที่ไฟสว่างร่อยรอยต่างๆจึงปรากฏชัด ไอ้โอ๊คจับแขนซี๊มันพลิกดู ตรงข้อศอกมีแผลเลือดซึม ตรงฝ่ามืออีกนิดหน่อย ไอ้หมวยถึงกับครางปากสั่นแล้วด่าเป็นของแถม
“อูย เจ็บไอ้สัด มือหรือส้นตีนเนี่ย”
“ไปล้างน้ำไปเดี๋ยวกูทำแผลให้”เอเชียมันเดินเข้ามาหยิบขนมปังแล้วพูดขึ้น
“ถ้ามึงทำแผลแล้วกูจะไม่ต้องตัดแขนทิ้งทีหลังใช่มั้ย”
“ไอ่เชี่ย ปากมึง เอาแอลกอฮอล์ล้างดีมั้ย”
“แอลกอฮอล์มันฆ่าหมาไม่ได้หรอกเว้ย มันกรอกปากเป็นประจำ ยิ่งกรอกหมายิ่งเจริญเติบโต”ไอ้เต้ตะโกนกลับมา ข้าวเต็มปากอุบาทว์สัด
พวกมันโล้งเล้งกันพักใหญ่ เหมือนเป็นช่วงพักของทุกคน เอเชียมันทำแผลให้ไอ้หมวยที่นั่งเล่าเหตุการณ์ผสมการบ่นด่าให้ซี้มันฟัง หลังจากที่มีอาหารตกถึงท้องก็กลับมาทำงานต่อจนเสร็จ กว่าจะได้แยกย้ายกันกลับบ้านก็เกือบห้าทุ่ม กลับมาถึงบ้านไอ้พายยังไม่นอน นั่งทำงานอยู่หน้าทีวีที่เปิดทิ้งไว้แต่ปิดเสียง
“กูนึกว่ามึงจะกลับดึกกว่านี้”ไอ้พายเงยหน้าขึ้นมาจากงานของมัน เวลาอ่านหนังสือหรือทำการบ้านมันจะใส่แว่น สั้นไม่มากแต่มันชอบใส่
“กูเร่งให้เสร็จอยู่ พรุ่งนี้ต้องลงกิจกรรมเดี๋ยวไม่มีเวลา”
“นั่นอ่ะ ของมึง”มันบุ้ยใบ้ไปที่โซฟา ผมเลยเดินไปนั่งแล้วหยิบถุงกระดาษนั้นขึ้นมา
“เสื้อผ้ามึง จารย์ เอ้ย พี่เดียวฝากมาให้ โวะ เรียกไม่ถนัดปากเลยวุ้ย”มันบ่นๆ แต่ผมชะงักไป
“วันนี้มึงเรียนกับมันเหรอ”ลับหลังไม่จำเป็นต้องพูดเพราะพูดดี ตั้งแต่วันนั้นผมก็ไม่ได้เจอมันอีก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี ผมว่ามันต้องจงใจแน่ๆ แต่ผมไม่รู้ว่ามันต้องการอะไรที่จู่ๆก็พูดถึงเรื่องเสื้อผ้าที่ผมตั้งใจจะทิ้งลืมไว้ที่ห้องมัน เพิ่งผ่านไปแค่วันเดียวเองมันจะเอาเวลาที่ไหนมาเจอผมวะ แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ถามมันให้หายข้องใจ เพราะหลังจากกินอิ่มมันก็ต้องขอตัวกลับเพราะมีคนโทรมาตามพี่เฟิร์ส วันนั้นผมต้องจำใจเล่าเรื่องที่เมาเป็นหมาถูกหิ้วขึ้นห้องให้พวกเพื่อนๆฟัง พวกมันก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพียงแค่แปลกใจที่ผมไม่ได้เล่าให้ฟัง ก็เรื่องมันน่าเล่าตรงไหนวะ
“เปล่า พี่เขาเข้ามาคุยธุระที่คณะแล้วเจอกูพอดีเลยฝากมาคืนให้”
“อืม ขอบใจ”อยากจะเอาชุดไปเผาจริงๆ
“มึงยังไม่เลิกเกลียดขี้หน้าพี่เขาอีกเหรอวะ กูว่านะลืมๆไปเหอะ พี่เดียวเขาเป็นคนดีมากเลยนะมึง”ผมมองหน้ามันอย่างเหนื่อยหน่าย ก็ไม่ได้มาโดนด่าอย่างกูนี่หว่า อีกอย่างนะคนมันไม่ถูกชะตาไม่ว่าจะดียังไงมันก็คงเปลี่ยนมาญาติดีกันยาก ผมเองไม่ได้คิดจะเข้าไปข้องเกี่ยวอะไรด้วยอยู่แล้ว แต่มันมีเหตุให้ต้องมาเจอกันทุกที เวรกรรมจริงๆ
X
หลังจากเลิกกิจกรรมผมก็ต้องรีบตรงดิ่งมาหาพี่ยศที่สตูดิโอ เห็นว่ามีงานจะให้ผมไปเป็นผู้ช่วยถ่ายงานโปรเจคท์ใหญ่ ให้รีบเข้าไปคุยเรื่องรายละเอียด กว่าจะฝ่ารถติดมาได้ก็เกือบสองทุ่มแล้ว แต่คนที่นี่ทำงานกันดึกดื่นอยู่แล้ว
“หวัดดีพี่ครับพี่โด้ พี่ยศอ่ะ”ผมทักมือขวาของที่นี่ พี่แกกำลังรีบร้อนเดินลงบันไดมา
“อยู่ในห้อง น่านเข้าไปเลย พี่ไปก่อนนะ เมียโทรจิกแล้ว”ยังไม่ทันเอ่ยลาพี่แกก็วิ่งออกนอกบริษัทไปแล้ว ผมเดินขึ้นไปชั้นบนที่เป็นห้องทำงานของพี่ยศ ยังมีอีกหลายคนที่นั่งทำงานอยู่ ผมยิ้มให้พี่บางคนที่คุ้นหน้ากัน
“หวัดดีพี่”ผมเปิดประตูห้องพี่ยศเข้าไป เจ้าของห้องนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานกำลังดูอะไรในหน้าจอ ห้องพี่ยศมีโต๊ะทำงานอยู่สองโต๊ะ โต๊ะหนึ่งสำหรับงานทั่วไป ส่วนอีกโต๊ะเอาไว้ทำงานเกี่ยวกับรูปที่แกรับผิดชอบโดยตรงซึ่งรกมาก
“เออดี ไอ้หล่อนั่งๆ กินไรยัง กูให้บุ้งมันไปซื้อกาแฟกับของกินมาให้เมื่อกี้”
“ยังเลยครับ รีบมากลัวพี่รอนาน”
“งั้นรอแป๊บ”พี่ยศกดโทรศัพท์พอฝั่งนั้นรับก็รีบสั่งเมนูอาหารทันที
“เออ มึงจะซื้ออะไรก็ซื้อมาอิบุ้งกี๋ เอาที่มันกินแล้วไม่ตายน่ะ อะไรนะ เงินที่เหลือมึงขอ เออได้ เอาไปแลกกับโบนัสสิ้นปี ลูกน้องแต่ละคนกวนส้นตีนกูจริง”ท้ายประโยคแกวางสายแล้ว
“ระหว่างรอกินมาคุยงานก่อนแล้วกัน”พี่ยศยื่นแฟ้มหนึ่งมาให้ พอรับมาดูแล้วด้านในเป็นรูปของชุดเครื่องเพชร
“งานถ่ายชุดเครื่องเพชรของบริษัท...”ชื่อบริษัทนี้ผมรู้จักนะ เป็นบริษัทแนวหน้าของวงการเครื่องประดับเลยทีเดียว บริษัทเดียวกันกับที่ผมเคยจับพลัดจับผลูได้เข้าไปถ่ายงานแฟชั่นโชว์ครั้งก่อน
“ทำไมเขาเลือกบริษัทพี่ล่ะ ปกติเขาไม่ได้มีเจ้าประจำเหรอ”
“คงมีปัญหาภายในละมั้ง พี่ก็ไม่ค่อยรู้ อันที่จริงเขาก็ยังไม่ได้เลือกเราหรอก เพียงแต่ให้เราเข้าไปลองถ่ายเพื่อเอาไปเทียบกับอีกสองเจ้าแล้วจะคัดเลือกอีกที ซึ่งกูอยากได้งานนี้”พี่ยศย้ำในตอนท้าย
“งานนี้พี่จะถ่ายเอง ให้มึงเป็นผู้ช่วย”
“ทำไมไม่ให้พี่โด้ล่ะพี่”
“ไอ้โด้มีงานอื่นแล้ว”
“พี่ฉัตรล่ะ”
“ไอ้ฉัตรฝีมือมันดีก็จริงแต่มันไม่ถนัดถ่ายงานแบบนี้มึงก็รู้ ไม่ต้องอ้างชื่อคนอื่นแล้ว มึงนี่แหละเหมาะสุด”
“ผมกลัวว่าจะทำให้พี่พลาดงานนี้ว่ะ”งานแบบนี้สมควรให้มืออาชีพทำ ฝีมือผมยังคงไม่ถึงขั้น
“มั่นใจตัวเองสิวะ กูบอกว่ามึงทำได้คือทำได้ ไม่เชื่อกูหรือไง”หมดคำพูด ความจริงการได้รับมอบหมายงานนี้มันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ เป็นการฝึกปรือฝีมือที่ดีเยี่ยม รองจากแคนดิต การถ่ายพวกวัตถุสิ่งของ อาคารบ้านเรือนผมชอบมากๆ คงเพราะใจมาทางด้านการออกแบบด้วยละมั้งทำให้ค่อนข้างมีไอเดียในการถ่ายรูปแนวนี้ แต่ถ้าหากรูปที่ออกมามันไม่ถึงขั้นก็จะทำให้พี่ยศพลาดงานนี้ได้
“เขาให้เรานัดวันเข้าไปถ่ายรูปจันทร์บ่ายที่บริษัทนั้นเขามีสตูดิโอเป็นของตัวเอง มึงว่างพอดีกูดูตารางแล้ว”ผมส่งตารางเรียนให้พี่ยศด้วย เวลาพี่เขารับงานจะได้รู้ว่าผมว่างหรือไม่ว่าง
“โอเคครับพี่”หลังจากนัดแนะกันเสร็จแล้ว ผมก็อยู่กินข้าวกับพี่ยศในห้องทำงาน คุยอะไรกันอีกนิดหน่อยก่อนจะแยกตัวกลับมา วันเสาร์พี่ยศนัดผมไปลองถ่ายเครื่องเพชรที่สตูดิโอดูก่อนเป็นการฝึกมือ ดังนั้นศุกร์นี้งดสังสรรแบบเมาหัวทิ่ม
X
ไม่เมาวันศุกร์แต่มาเมาวันเสาร์แทน พอถ่ายงานเสร็จผมก็ถูกไอ้เหี้ยธันว์ลากมาผับประจำ เฮียเสกเจ้าเดิม ครั้งนี้เจอหน้ากันตั้งแต่เหยียบเท้าเข้าร้าน พวกผมมาถึงประมาณสองทุ่มกว่าๆ ถูกเฮียเสกพาขึ้นด้านบนมารวมโต๊ะกับเพื่อนๆเฮียแกด้วย พวกไอ้โก้ ไอ้อ๊อดมากันก่อนแล้ว ไอ้คิมกำลังตามมาเห็นว่าไปจะไปโละเมียทิ้งก่อน สุดท้ายก็เลิกจนได้คนนี้ครบเดือนพอดี
“พวกมึงนี่เรียนวิศวะกันหมดเลยเหรอวะ”คนนี้น่าจะชื่อพี่ทักษ์ หน้าตาตี๋ๆ
“ยกเว้นไอ้น่านครับพี่ มันเรียนมัณฑณศิลป์ เดี๋ยวมีมาอีกคนชื่อไอ้คิมนั่นเรียนเภสัช”ไอ้อ๊อดสาระแนตอบ
“โอ้ เจ๋งนี่หว่า เรียนอะไรอ่ะมึง ตกแต่งภายใน นิเทศ เครื่องประดับหรือว่าอะไรวะ”
“ภายในอ่ะพี่”
“ทำผมสีนี้แล้วมึงหล่อขึ้นนะเนี่ย กูว่าดีกว่าตอนมึงทำสีเงินอีกนะ”พี่คนนี้ชื่อพี่บอส หล่อเข้มเหมือนคนใต้ ยังมีอีกคนชื่อพี่ยอด ตอนผมมาพี่แกมีสาวมาเกี่ยวไป
“พี่เคยเห็นผมด้วยเหรอ”เมื่อวานไม่ได้มีนัดไปกินเหล้าที่ไหนผมเลยไปทำสีผมใหม่เอาให้สะดุดตาน้อยกว่าเดิม
“เออ พวกกูเห็นพวกมึงมานานละ กูก็มาร้านเหี้ยเสกประจำเหมือนกัน”
“ใช่ๆ มาแต่ละทีได้แต่คนเด็ดๆไปทั้งนั้นไอ้สัด กูนี่มองไปเถอะ ไม่เคยได้แดก”
“อ่ะนะ คนมันหล่ออ่ะพี่”เอาซะหน่อยกู
“ไอ้สัดกวนตีนใช้ได้”ขำๆกันไป ผู้ชายด้วยกันพอรู้จักชื่อ มีเหล้าเป็นตัวช่วยก็เข้ากันได้เร็ว พวกพี่เขาก็ดูเป็นมิตรดี แต่คนที่พาพวกผมมาทิ้งไว้นั้นหายหัว คงไปดูความเรียบร้อยของร้าน
“คุณชายอาร์เมื่อไหร่จะมาวะ”ชั่วโมงกว่าๆที่พวกผมนั่งคุยกับพวกพี่เขา จู่ๆพี่ทักษ์ก็พูดขึ้นมาหลังจากนั่งส่องเนื้อนมไข่กับไอ้ธันว์เพลินตา
“มันกำลังมา เดี๋ยวนี้เขาคิวทองเว้ย จากนักธุรกิจมาเป็นนักแสดง ไอ้เหี้ยกูฮาว่ะ ตอนละครมันออนแอร์กูจะอัดเก็บไว้เลย”
“เพื่อนพี่เป็นดาราด้วยเหรอ”ให้ทายว่าใคร สาระแนขนาดนี้
“เออ เดี๋ยวมันมา อย่าลืมขอลายเซ็นมันนะ”ดูเหมือนว่าจะเป็นอะไรที่จี้เส้นพวกพี่เขามากๆ
“สัดบุหรี่สอดไส้หรือไง หัวเราะลั่นขนาดนี้”เป็นจังหวะที่กำลังเปลี่ยนเพลงพอดีตอนที่คนมาใหม่พูดขึ้น ทุกคนดูตื่นเต้นกับการมาเยือนของคนๆนี้ ผมหันไปดูแล้วต้องชะงักไป
“เชี่ยเดียว ไหนว่ามาไม่ได้ไงวะ”
“กูเปลี่ยนใจไง เอ้า...”มันสบตากับผมพอดี ผมไม่น่าลืมเลยว่าเฮียเสกเคยบอกว่ามันเป็นเพื่อนในกลุ่ม
“อ้าว พี่หวัดดีครับ”ไอ้ธันว์
“นี่พวกมึงรู้จักกันแล้วเหรอวะ”
“ครับ พี่เดียวเป็นอาจารย์พิเศษสอนเพื่อนผม”
“โลกกลมไอ้สัด นั่งๆ”พี่บอสตบลงตรงที่ว่างซึ่งอยู่ข้างผมพอดี ซวยจริงกู จะขยับหนีก็ไม่ได้
“ทำไมมานั่งนี่ได้อ่ะ”
ไอ้เหี้ย! ผมผงะหนีแทบไม่ทัน มันเอนตัวมากระซิบถามผม ปากนี่แทบจะงับหูผมไปด้วย
“หยิ่งเหรอถามไม่ตอบเนี่ย”
“เอาหน้าไปไกลๆได้มั้ย”ไอ้สัดกูไม่ใช่ผู้หญิงตัวเล็กมุ้งมิ้งที่มึงจะมาอ่อย ทำหน้าหล่อ เสียงพร่าข้างหู แล้วมือมึงอ่ะ! แม่มมันเอาพาดกับพนักโซฟาตอนนี้ผมเลยเหมือนถูกมันโอบไหล่อย่างกับเป็นเด็กเสี่ย
“ทำไมหวั่นไหวเหรอ?”
“เชี่ยแม่ง”
“บอกให้พูดเพราะๆไง จำไม่ได้แล้วเหรอ”ผมเบนหน้าหนีมือมันที่จะยื่นมาบีบปาก ไอ้สัดความมุ้งมิ้งส้นตีนนี่คืออะไรวะ ไอ้ผู้ชายนิ่งๆที่มองเหยียดด้วยสายตามันไปไหนวะ ถ้าให้เจอมันโหมดนี้ผมขอเจอเวอร์ชั่นปากจัดดีกว่า สายตากรุ้มกริ่ม มือไวถึงเนื้อถึงตัวนี่คืออะไรวะ
“อย่ามาทำอะไรน่าขนลุกได้มั้ยวะ”
“หึ ไอ้ยอดชงมาดิ”สายตาที่มองมาเปลี่ยนไป มันขยับตัวออกห่างผม แล้วเปลี่ยนท่าทีในทันใด คนบ้าอะไรเปลี่ยนไวยิ่งกว่าจิ้งจกเปลี่ยนสี
“เดี๋ยวกูมา”ผมหันไปบอกไอ้อ๊อดที่นั่งปักหลักซดเหล้าอย่างเดียว ไอ้ธันว์กับไอ้โก้ออกไปล่าสัตว์แล้ว
“ไปไหน”
“สูบบุหรี่”มันพยักหน้ารับผมก็เดินออกมาเลย ดูเวลาแล้วไอ้คิมคงไม่มาแล้ว ป่านนี้ตีกับเมียตายไปแล้วมั้ง ผมดูดบุหรี่อยู่พักหนึ่ง เห็นไอ้ธันว์หิ้วสาวออกไปหลังไวๆ ไอ้นี่ได้เสียน้ำทุกคืนเลยเว้ย บางทีผมก็สงสัยว่ามันจะหยุดที่ใครคนใดคนหนึ่งได้มั้ย แต่ก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าคงไม่ได้
ผมกลับไปที่โต๊ะอีกทีก็เจอคนแปลกหน้ามานั่งแทนที่ เฮียเสกมานั่งร่วมโต๊ะด้วยผมที่กะว่าจะขอตัวกลับก่อนก็ถูกดักคอเลยต้องนั่งดื่มต่อ แล้วก็ทำให้ผมได้รู้ว่าคนที่มาใหม่นั่นชื่ออาร์เป็นเจ้าของโชวร์รูมรถนำเข้าที่เอ่ยชื่อไปใครๆก็ต้องรู้จัก แต่ที่ต้องแปลกใจก็คือเขาเป็นนักแสดงที่เล่นละครเรื่องเดียวกับไอ้พาย โลกมันแคบไปจริงๆ
“ได้เสื้อผ้าคืนแล้วใช่มั้ย”ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มันมานั่งข้างผม ไม่เข้าใจจะอะไรนักหนากับเสื้อผ้าชุดนั้น ทำไมมันดูวอแวผมแปลกๆ
“อืม”ไม่อยากเสวนาด้วย
“ขอบคุณสักคำน่ะมีมั้ย”
“ขอบคุณ ขอโทษ คำพูดพวกนี้มันต้องออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ถ้าไม่รู้สึกจะให้พูดได้ไง”
“ปากดี”
“ไม่ใช่ดีแค่ปากนะ รู้ยัง”กวนตีนแม่ง น่ารำคาญจริงๆ ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือเปล่าแต่สายตาของมันดูไม่น่าไว้วางใจเลยจริงๆ
“ยัง...แต่ถ้าอยากให้รู้เราก็คงต้องมาเจอกันบ่อยๆดีมั้ย?”
“ใครเขาอยากจะเจอด้วย”
“แต่ดูเหมือนว่าเราคงจะหนีกันไม่พ้นนะ ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องเจอ คนรอบตัวเราดูเกี่ยวข้องกันไปหมด”
“แล้วไง?”
“ก็ไม่ไง แต่ไม่คิดหน่อยเหรอ ว่าเราอาจจะมีอะไรเชื่อมโยงกันอยู่...”มือมันเลื่อนมาอยู่ที่หน้าขาผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่พอมันลูบๆคลำๆเท่านั้นผมขยับขาหนีแทบไม่ทัน
“นี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้นะ”สายตาหยาดเยิ้มของมันทำเอาผมจะอ้วก! พรหมลิขิตห่าเหวอะไร การที่ผมมาเจอกับมันมันคือเวรกรรม! เวรกรรมเท่านั้น
------
ชี้แจงสักเล็กน้อย เรื่องคณะและมหาวิทยาลัยล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่จินตนาการขึ้นมานะคะ แต่อาจจะไปคล้ายคลึงกับสถานที่จริงอยู่บ้างก็เพราะเอาจากหลายๆที่มาผสมกัน ฮ่าาา ดังนั้นไม่ต้องเดาว่าเรียนที่ไหนกันเนอะ ตัวละครเพิ่มมาเรื่อยๆ แต่เพิ่มมาอย่างมีความหมายนะคะ เนื้อเรื่องอาจจะดูเรื่อยๆ เพราะกำลังปูทางอยู่ ปูนานมาก 7 ตอนละ 55555 ถ้าใครสงสัยว่าทำไมพายเดี๋ยวเรียกพี่เดียวว่าพี่บ้าง อาจารย์บ้างไม่ต้องงนะคะ เราตั้งใจไม่ได้ลืมหรือพิมพ์ผิด มันเป็นอารมณ์ประมาณว่าเรียกอาจารย์มาชินปากแล้วก็มาเปลี่ยนเรียกพี่ พอไปเรียนเจอหน้าเรียกอาจารย์งี้ มันก็ต้องมีสับสนบ้างถูกมั้ยคะ ส่วนใครที่สงสัยพฤติกรรมพี่เดียวที่ตั้งแต่ตอนแรกจนมาถึงตอนนี้แล้วมันดูไม่เหมือนเดิม มันมีเหตุผลนะคะ ไม่ได้หลุดคาแรคเตอร์แต่อย่างใด
เราย้อนไปอ่านตอนที่ลงแรกเห็นว่ามีคำผิด ตกหล่นหลายจุดทั้งที่พยายามอ่านทวนแล้วยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะ จะพยายามแก้ไขเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ ^^