LR 7ทันทีที่รถมอเตอร์ไซค์ของอิงค์แล่นเข้าจอดหน้าประตูข่วงเมืองสิงห์ ป้าสำลีกับมอญก็กระวีกระวาดออกมาต้อนรับเหมือนอย่างเคย
“สวัสดีค่ะคุณอิงค์”
“อ้าว แล้วทำไมสองคนถึงมาพร้อมกันได้คะ” มอญถามเมื่อเห็นรถมอเตอร์ไซค์ของสิงห์ขับตามมาจอดข้างกัน
“บังเอิญเจอกันที่ร้านจามจุรีน่ะครับ” อิงค์ตอบ
“ไปอาบน้ำนะ” สิงห์เดินผ่านไปพร้อมกับบอกสั้นๆ
ป้าสำลีกับมอญลอบมองหน้ากันเพราะรู้ว่าข้อความเมื่อสักครู่ไม่ได้บอกทั้งสองคนแน่ๆ แล้วสิงห์ตั้งใจจะบอกใครล่ะถ้าไม่ใช่ชายหนุ่มเจ้าของร้านกาแฟที่ปากไม่ตอบอะไรแต่ทำตาหวานยืนมองส่งจนกระทั่งสิงห์เดินหายขึ้นไปบนชั้นสองของที่พัก ทั้งสองส่งยิ้มให้กันเงียบๆ
นับตั้งแต่ ‘ผู้หญิงคนนั้น’ จากไปสิงห์ก็ไม่เคยให้ใครมาอยู่ใกล้ตัว ถ้าจะมีก็แค่คู่นอนชั่วครั้งคราวที่ไม่เคยพามาเหยียบที่นี่สักครั้ง แค่พอมีระคายหูมาให้ได้ยินว่าคืนนี้ไม่ได้นอนคนเดียว
แต่พออิงค์ก้าวเข้ามาในข่วงเมืองสิงห์เมื่อหลายปีก่อน ชายหนุ่มคนนี้กลับมีบางสิ่งที่ต่างไปจากคนอื่น เขาไม่ได้แค่เข้ามาแหย่ในอาณาจักรสิงห์เล่นๆ แล้วก็กลับออกไป แต่กลับฝากร่องรอยอะไรบางอย่างไว้ที่ทำให้สิงห์ซึ่งอยู่เดียวดายมานานหลายปีทำท่าราวกับคิดจะมีคู่อีกครั้ง
ป้าสำลีกระแอมเรียกชายหนุ่มที่ยังไม่ละสายตากลับมาจากทางไปห้องใต้หลังคาเบาๆ “วันนี้คุณอิงค์ทำอะไรมาให้ป้าคะ”
“วันนี้ก็มีกาแฟเหมือนเดิมครับ” อิงค์บอก “กับคุ้กกี้อีกนิดหน่อย”
“ที่ให้ชิมเมื่อคราวก่อนใช่ไหมคะ” มอญว่าพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาดูด้วยความสนอกสนใจ “น่าทานจังค่ะคุณอิงค์ เอ~ คราวก่อนที่ทำให้ชิมเป็นรูปดอกไม้นี่นา ทำไมวันนี้เปลี่ยนเป็นรูปอื่นล่ะคะ”
“รูปดอกไม้มีคนทำเยอะแล้วครับ ผมเลยทำรูปอื่น อันนี้เป็นตัวโลโก้ร้านไงครับ”
“ค่ะ โลโก้ร้าน” มอญพูดซ้ำ “ไม่ได้หมายถึงใครใช่ไหมคะ”
“ก็… เปล่าครับ” อิงค์ตอบอย่างขัดเขินนิดๆ เขาตั้งใจทำเป็นรูปหัวสิงโตน่ะแหละ ส่วนเรื่องว่าหมายถึงใครนั้นก็คงรู้ๆ กันอยู่ ก็แค่ตอนปั้นแป้งนึกถึงหน้าใครบางคนกับนมข้นหวาน แล้วมันก็ได้ออกมาเป็นรูปนี้นี่แหละ
ป้าสำลีกับมอญเริ่มต้นแกะถุงคุ้กกี้ออกชิมเป็นการตรวจสอบขั้นตั้นก่อนส่งผ่านไปถึงปากลูกค้าที่มาพัก อิงค์จึงเอ่ยปากขอยืมพื้นที่ชงกาแฟเพื่อนำมาทานคู่กัน
“ไม่เป็นไรค่ะคุณอิงค์ ป้าเกรงใจ”
“เกรงใจอะไรล่ะครับ ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยเป็นกำลังใจให้ผม คุณสุพจน์ขอโทษเรื่องที่เข้าใจผิด แล้วตอนนี้ร้านอื่นๆ ก็รับกาแฟผมไปขายเหมือนเดิมแล้วครับ”
“ดีจังเลยนะคะคุณอิงค์” มอญปรบมือให้
“หมดเคราะห์แล้วนะคะ” ป้าสำลีลูบหลัง “ต่อจากนี้ไปก็ขอให้ขายดิบขายดี เฮงๆ นะคะ”
“ดังนั้นป้าสำลีกับพี่มอญต้องดื่มกาแฟที่ผมชงนะครับ เป็นการเอาฤกษ์เอาชัยของวันนี้” อิงค์เดินไปที่รถแล้วหยิบอุปกรณ์ที่เตรียมมาจากร้านออกมาวาง
ป้าสำลีกับมอญเขยิบเข้ามามุงดูด้วยความสนอกสนใจ
อิงค์เริ่มต้นด้วยการเทช็อตเอสเพรสโซที่เตรียมมาในกระบอกเก็บความร้อนใส่ในแก้วกระเบื้อง แล้วนำนมสดไปอุ่นในไมโครเวฟให้ร้อนก่อนจะเอาก้านตีฟองนมตีจนกระทั่งได้ฟองนมเนียนๆ ขึ้นมาจึงตักขึ้นมาโรยบนหน้ากาแฟเป็นเส้นๆ หลังจากนั้นก็ใช้ไม้จิ้มฟันขีดขวางลงไปบนเส้นฟองนมสีขาว เกิดเป็นลวดลายคล้ายหัวใจดวงเล็กๆ ลอยอยู่บนหน้าแก้วกาแฟ
“ขอบคุณป้าสำลีกับพี่มอญนะครับที่คอยช่วยเหลือผม” อิงค์เสิร์ฟแก้วกาแฟให้พร้อมกับยิ้มกว้าง
“ขอบคุณค่ะคุณอิงค์” ป้าสำลีกับมอญรับไปด้วยสีหน้าเอ็นดูระคนชื่นชม ถ้าหากสิงห์คิดจะคว้าผู้ชายสักคนมาเป็นสะใภ้บ้าน คนเดียวที่ทั้งสองจะยอมให้ก็คือชายหนุ่มคนนี้นี่แหละ ตอนนี้คุณสิงห์อาจจะยังไม่รู้หัวใจตัวเองก็ไม่เป็นไร แล้วคุณอิงค์ก็คงยังสงวนท่าทีไม่กล้ารุกหนัก
...ไม่เป็นไร ใครไม่ชงเดี๋ยวป้าชงเอง ป้าจะชงให้แก้วแตกเลยคอยดูสิ! ...
ป้าสำลีกับมอญหันมาพยักหน้าให้กันอย่างรู้ใจ
ไม่กี่นาทีต่อมาสิงห์ที่อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยก็เดินกลับลงมา “จะไปหรือยัง”
“ครับ” อิงค์ตอบได้เท่านั้น ปกติเขาคุ้นตากับสิงห์ในชุดผ้าฝ้ายคอวีตัวโคร่งกับกางเกงผ้าตัวหลวม แต่ที่อยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้แทบจะกลายเป็นคนละคนกัน
สิงห์สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวดูสะอาดตากับกางเกงเข้ารูปสีดำสนิท เรือนผมที่ปกติจะสยายยาวไปข้างหลังถูกจับรวบตึงเรียบร้อย เผยให้เห็นโครงหน้าที่คมอยู่แล้วชัดขึ้นไปอีก
“คุณสิงห์จะไปไหนคะ” ป้าสำลีถาม “แล้วทำไมต้องแต่งตัวหล่อด้วย”
“พาเจ้าหนูนี่ไปหาปู่กมล” สิงห์ตอบ
“ตายแล้ว!” ป้าสำลียกมือทาบอก
“ยังไม่ตายป้า”
“นี่คุณสิงห์ของป้าจะ…”
“พอๆ ป้า หยุดเลยหยุด!” สิงห์รีบพูดเสียงดังดักคอไว้ก่อน “แค่ไปส่ง เพราะปู่เขาจะสั่งกาแฟร้านเจ้าหนูนี่ก็เท่านั้น”
อิงค์นึกขึ้นได้ สถานที่ที่พวกเขากำลังจะไปคือโรงแรมอันดับหนึ่งในเมืองน่าน การที่สิงห์จะต้องแต่งตัวดูดีให้เกียรติสถานที่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาก้มลงมองดูตัวเองอย่างขัดเขินถึงจะแต่งตัวคล้ายกันด้วยเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาว แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเองดูปอนๆ ไม่เหมือนเจ้าของร้านกาแฟที่กำลังจะไปเจรจาธุรกิจเลยสักนิด คิดแล้วก็อยากจะกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่บ้างเหมือนกัน
“แล้วนี่ทำอะไรกินกัน” สิงห์กวาดตามองอุปกรณ์ทำลาเต้อาร์ตของอิงค์ที่วางอยู่ก่อนจะมองเลยไปยังแก้วกาแฟที่ป้าสำลีกับมอญดื่มค้างไว้
“ลาเต้ค่ะ” มอญรายงาน “คุณอิงค์วาดเป็นรูปหัวใจดวงเล็กน่ารักๆ ด้วย คุณสิงห์ดูสิคะพี่มอญถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยนะ”
สิงห์เหลือบตามองรูปในโทรศัพท์ที่มอญเปิดอวดก่อนจะฮึมฮัมในลำคอเบาๆ ตัวเขาที่อุตส่าห์ถ่อไปส่งถึงร้านได้กินกาแฟธรรมดา แต่สองคนนี้อยู่ที่บ้านเฉยๆ กลับมีลาเต้อาร์ตสวยๆ มาเสิร์ฟถึงที่... เชอะ! แล้วจะไม่ให้เขาน้อยใจได้ยังไง
“ขึ้นรถ” เขากล่าวเสียงห้วนก่อนจะเดินนำไปที่รถมอเตอร์ไซค์
อิงค์ที่ยังไม่รู้ตัวว่าโดนงอนรีบขึ้นซ้อนท้าย
สิงห์บึ่งออกไปเพียงครู่เดียวก็มาถึงเฮือนไกรสร ในขณะที่ขับรถวนรอบสิงโตหินเพื่อหาที่จอดอิงค์ก็สังเกตเห็นว่ามีคนงานกำลังต่อบันไดปีนขึ้นไปบนรูปปั้นเพื่อทำอะไรสักอย่างตรงปากสิงโตที่อ้ากว้าง
สิงห์เองก็เห็นเช่นกัน “สงสัยนกจะเข้าไปทำรัง”
อิงค์พยายามเพ่งมองขึ้นไปดูคนงานที่ทำงานกันอย่างทุลักทุเล นึกสงสัยว่าเจ้านกน้อยนั่นคงดื้อไม่เบาทีเดียว
ด้านหน้าโรงแรมนั้นที่จอดเต็มหมด สิงห์จึงวนไปด้านหลังและแทรกรถเข้าไปจอดตรงใต้ร่มไม้
“เป็นอะไร” สิงห์ถามชายหนุ่มที่พอลงจากรถเขาแล้วก็ไม่ขยับไปไหนเอาแต่ยืนนิ่งและยกมือข้างหนึ่งกุมหน้าอกไว้ จะว่าตกใจที่เขาขับรถซิ่ง แต่ความเร็วแค่ร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงนี่เขาก็ไม่คิดว่ามันเร็วมากเท่าไหร่นะ
“จู่ๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมานิดหน่อยครับ ผมเพิ่งเคยมาคุยธุรกิจที่ดูเป็นทางการขนาดนี้เป็นครั้งแรก” อิงค์ตอบ
“ก็ทำเหมือนเวลาที่เธอไปคุยกับที่อื่นน่ะแหละ”
“กำลังพยายามคิดแบบนั้นอยู่ครับ ขอเวลาผมแป๊บนึงน่ะ” อิงค์หลับตาลงแล้วเริ่มต้นทำสมาธิโดยการสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกช้าๆ โดยมีสิงห์ยืนดูอยู่เงียบๆ
ครั้งแรกผ่านไป...
ครั้งที่สอง...
ครั้งที่สาม...
ตาคมเหลือบลงมองริมฝีปากที่เป่าปากส่งเสียงฟืดฟาดเบาๆ สิงห์ก็รู้สึกว่าตัวเองต้องทำอะไรสักอย่าง
“อิงค์เงยหน้าขึ้นหน่อย”
“ทำไมหรือครับ...”
แล้วเสียงของอิงค์ก็เงียบหายไปเพราะริมฝีปากหยักลึกที่ประกบลงมาแนบสนิท กลีบปากนุ่มกดย้ำซ้ำๆ เบาสลับหนัก และเมื่อริมฝีปากนั้นผละออกมันก็ดึงเอาความกังวลทั้งหมดทั้งมวลไปพร้อมกันด้วย
“พร้อมหรือยัง” สิงห์กระซิบถามที่ข้างหู
“พ... พร้อมแล้วครับ” อิงค์รู้สึกว่าตัวเองร้อนเหมือนเมล็ดกาแฟที่กำลังโดนคั่วด้วยรอยยิ้มอุ่นๆ ที่ส่งมาจากชายหนุ่มผิวแทน เขาเงยหน้าขึ้นสบตาสิงห์ เมื่อฝ่ามือใหญ่จับลงกลางศีรษะแล้วลูบเบาๆ เติมกำลังใจให้จนเต็ม
“เธอทำได้อยู่แล้ว”
อิงค์พยักหน้ารับคำ
“เป็นอะไรอีกล่ะ” สิงห์ถามคนที่จู่ๆ ก็เงียบไปและเอาแต่จ้องหน้าเขา
“ก… ก็แค่คิดว่าวันนี้พี่สิงห์ดูหล่อกว่าทุกวัน” อิงค์ตอบ “ยิ่งรวบผมแบบนี้ยิ่งหล่อ”
สิงห์หยักยิ้มมุมปากก่อนจะก้มหน้าลงมาใกล้ “ถ้าเธอชอบ ฉันแต่งให้ดูทุกวันเลยดีไหม”
อิงค์เขินจนหน้าแดง “แต่งให้ดู ก็ดูนะ”
สิงห์หัวเราะในลำคอก่อนจะยืดตัวขึ้นเต็มความสูง “ไม่เอาหรอกร้อนจะตาย… นอกเสียจากว่าเธอจะมีอะไรมาเป็นของแลกเปลี่ยน” แล้วขยิบตาให้ครั้งหนึ่ง
ทั้งสองเดินเข้าไปในโรงแรม ตรงหน้าประตูนั้นมีพนักงานต้อนรับคนหนึ่งยืนอยู่ อิงค์เดินเข้าไปหายังไม่ทันจะพูดอะไรเขาก็เอ่ยขึ้นก่อน
“คุณอิสระใช่ไหมครับ เชิญทางนี้เลยครับ คุณกมลรอพบคุณอยู่ด้านในแล้ว ส่วนผมชื่ออินถาครับเป็นผู้ช่วยของคุณกมล”
อิงค์เดินตามหลังพนักงานต้อนรับคนนั้นเข้าไปโดยมีสิงห์เดินตามหลังมาอีกที ระหว่างที่เดินไปตามทางอิงค์ก็เหลียวมองการตกแต่งที่เต็มไปความวิจิตรและปราณีต ด้วยการประดับเสาและหลังคาด้วยลวดลายสลักเสลาตามแบบไทย รวมไปถึงโคมไฟอันใหญ่ที่อยู่ตรงกลางโถง ทุกอย่างเป็นโทนสีไม้ดูสบายตาให้ความรู้สึกเหมือนมาพักผ่อนอยู่ที่บ้านอีกหลัง พนักงานต้อนรับทั้งชายหญิงแต่งกายด้วยชุดไทยล้านนา มีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงผ้าซิ่นที่ใช้นุ่งนั้นเป็นพื้นสีดำสนิททอลายพญาราชสีห์สีทองดูน่าเกรงขามและสวยงามในเวลาเดียวกัน
“ถึงแล้วครับ” อินถาซึ่งทำหน้าที่นำทางกล่าวพลางผายมือไปด้านใน
อิงค์เงยหน้าขึ้นมองป้ายห้องอาหารที่แกะสลักจากไม้สักทั้งแผ่นเป็นคำว่า ‘บัวพันกาบ’ แล้วก็นึกประหม่าอยู่ครามครัน เขาหันไปสบตาสิงห์เรียกขวัญและกำลังใจให้ตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
ห้องอาหารบัวพันกาบนั้นเน้นการตกแต่งเป็นลวดลายดอกบัวขาวตามความหมายของชื่อห้อง อาหารที่เสิร์ฟที่นี่จะเน้นอาหารไทยเป็นหลักซึ่งถูกจัดมาในชุดขันโตกที่แต่งขอบให้มองดูคล้ายกลีบดอกบัวโดยมีจานอาหารวางเรียงอยู่ตรงกลางคล้ายกับเกสร มีนักเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาตินั่งรับประทานอาหารกันอยู่หลายโต๊ะ
ชายชรานั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งลุกขึ้นยืนต้อนรับเมื่อเห็นอินถาพาแขกที่นัดไว้เข้ามา “สวัสครับคุณสิงห์ คุณอิงค์”
“สวัสดีครับคุณกมล” อิงค์รีบยกมือไหว้อย่างนอบน้อม “ในเมลที่ทางคุณส่งมาให้ผมบอกว่าให้มาตรงเวลานัดหมาย ผมก็เลยไม่ได้เตรียมของมาตามที่เราคุยกันไว้ทีแรก”
“พอดีฉันเปลี่ยนแผนนิดหน่อยน่ะ รบกวนเธอทางนี้หน่อย” ชายชราตอบพลางเดินนำไปยังเคาน์เตอร์ชงกาแฟที่มีอุปกรณ์ทันสมัยครบครันและเมล็ดกาแฟนานาชนิด มันเป็นสวรรค์ขนาดย่อมของคนรักกาแฟจนอิงค์ต้องแอบร้องว้าวในใจ
“มีอะไรหรือครับ” อิงค์ถาม
“ผมอยากให้คุณอิงค์ช่วยชงกาแฟสดให้พวกเราดื่มหน่อยได้ไหมครับ ตามเมนูโจทย์ที่ให้ต่อไปนี้”
“ตกลงนี่ปู่จะขอร่วมงานด้วยหรือจะหลอกใช้งานกันแน่เนี่ย” สิงห์แทรกขึ้น
“ก็เห็นในรีวิวบอกว่ากาแฟขวดอร่อยแต่ที่ชงขายสดๆ อร่อยกว่า”
“มีคอมเมนต์แบบนั้นด้วยเหรอครับ” อิงค์ถามพาซื่อ ตั้งแต่เขาเห็นคอมเมนต์ในทางลบพวกนั้นก็เลี่ยงการเข้าไปดูข้อความอื่นๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกแย่ไปมากกว่าเดิม
“นี่ไง” กมลหันไปรับแท็ปเล็ตจากผู้ช่วยที่เปิดรออยู่แล้วส่งให้ดู โพสต์ตัวปัญหาที่ให้คะแนนรีวิวหนึ่งดาวนั้นตอนนี้มีคนมาตอบต่อท้ายด้วยข้อความชื่นชมพร้อมด้วยภาพประกอบที่เขาจำได้ว่าเป็นลูกค้าที่เคยมาที่ร้านและหนึ่งในนั้นก็คือคุณกิตติ์ที่เขียนชมวานิลลาไอซ์คอฟฟี่ของเขาเสียยืดยาว
“ดีจัง” อิงค์แอบอมยิ้มจนแก้มป่อง
“ส่วนอันนี้ไม่ค่อยเกี่ยวเท่าไหร่แต่คิดว่าน่าสนใจมากครับ” อินถาใช้ปลายนิ้วเลื่อนไปอีกภาพซึ่งมาจากทวิตเตอร์
มันเป็นภาพตัวเขาสวมผ้ากันเปื้อนอยู่ที่ร้านขณะกำลังชงกาแฟในมุมมองที่แอบถ่ายมาจากอีกฟากของเคาน์เตอร์ คำบรรยายพร้อมแฮชแทคทำให้ใจเต้นตึกตักไม่น้อย
ภาพประกอบที่ใจมันสั่นเป็นเพราะกาแฟหรือเป็นเพราะรอยยิ้มของพี่แกกันแน่นะ #บาริสต้าหล่อบอกต่อด้วย คนชง #อร่อยบอกต่อ
อิงค์หน้าร้อนขึ้นมาทันที
ปู่กมลไล่สายตาอ่านคอมเมนต์ที่อินถาเลื่อนให้ดู
อู้วววว~งานดีย์❤
แม่ขา~ หนูอยากกินพี่เค้า เอ๊ย! อยากกินกาแฟของพี่เค้าจังเลยค่ะ
พี่คะ ตอนเด็กๆ แม่บอกว่าหนูไม่ยอมกินนมแม่เลยค่ะ ร้องจะกินแต่กาแฟ แสดงว่าเราต้องเกิดมาเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ เลย
ถ้าร้านพี่ไม่รับพนักงานพาร์ทไทม์งั้นหนูขอพาสไปเป็นแฟนประจำตัวพี่เลยได้ไหมคะ
ถึงว่าทำไมยังหาเนื้อคู่ไม่เจอ ที่แท้มัวไปชงกาแฟอยู่ที่น่านนี่เอง
“นายว่าไง” กมลถามความเห็นผู้ช่วย
“เท่าที่เห็นด้วยสายตาก็งานดีครับ แต่ฝีมือจะดีด้วยหรือเปล่าต้องมาพิสูจน์กันครับ”
กมลเงยหน้าขึ้นมองอิงค์ “ตกลงจะทำไหม”
“ผมทำได้ครับ” อิงค์ตอบอย่างกระตือรือร้น “โจทย์ของผมคืออะไรครับ”
“เธอเห็นคุณผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงริมหน้าต่างนั่นไหม” กมลชี้มือไปที่ชายวัยกลางคนซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ “ถ้าเธอทำให้เขาเอ่ยชมกาแฟของเธอได้ ถือว่าผ่าน”
“แล้วผมต้องชงอะไรครับ”
อินถาส่งใบสั่งเครื่องดื่มที่พนักงานของห้องอาหารเพิ่งเดินไปรับมาให้อิงค์
“ลาเต้ร้อน”
อิงค์เริ่มต้นด้วยการทำเอสเพรสโชช็อต สตรีมนมร้อนแล้วเทขึ้นลายทำเป็นรูปหัวใจ
“เธอคิดว่าไง” กมลหันไปกระซิบกับอินถา
“รูปหัวใจเป็นพื้นฐานของการทำลาเต้อาร์ตที่บาริสต้าทุกคนทำเป็นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรพิเศษครับ แต่ที่น่าสนใจคือจังหวะข้อมือและความเร็วในการขึ้นลาย เห็นได้ชัดว่าสมาธิดีมากเกิดจากการฝึกฝนมาอย่างหนักครับ”
“คิดว่ารสชาติใช้ได้ไหม” กมลถามต่อ
“อัตราส่วนกาแฟต่อนมเป็น1ต่อ2 และเติมวานิลลาไซรัป 1 ปั๊ม… ตามสูตรนี้แน่นอนว่าจะทำให้ได้รสชาติพื้นฐานที่ดีของลาเต้ ถือว่าอร่อยแต่ไม่ว้าวครับ” อินถาตอบ “ถ้าไม่ใข่เพราะมีฝีมือแค่นี้ ผมคิดว่าเขาเลือกใช้วิธีเพลย์เซฟครับ”
กมลมองดูอิงค์ที่กำลังใช้ช้อนตักฟองนมขึ้นมาแล้วเทใส่ช้อนอีกคันสลับกันไปมาคล้ายกับกำลังพยายามปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ ก่อนจะโปะลงไปบนแก้วกาแฟที่ทำเสร็จแล้ว “ฉันว่าเขาไม่ได้เพลย์เซฟนะ”
อินถาพยักหน้าเมื่อเห็นอิงค์ผสมกาแฟลงในฟองนมอีกแก้วแล้วหยิบไม้พายอันเล็กขึ้นมาจุ่มป้ายลงไปบนฟองนมก้อนใหญ่นั้น “ผมคงด่วนตัดสินใจเร็วไป”
“เสร็จแล้วครับ” อิงค์กล่าวพร้อมกับหันผลงานที่เสร็จเรียบร้อยแล้วมาให้เห็นกันชัดๆ
ในแก้วกระเบื้องสีขาวมีสิงโตตัวใหญ่สีน้ำตาลเกาะอยู่คล้ายกับมันกำลังชะโงกหน้าออกมาจากแก้ว ยิ้มและโบกมือให้อย่างอารมณ์ดี
อินถาจัดการยกไปเสิร์ฟให้ ระหว่างที่อิงค์กำลังไขว้นิ้วลุ้นผลอย่างใจจดใจจ่อสิงห์ก็เขยิบมายืนข้างๆ แล้วกระซิบที่ได้ยินกันสองคน
“ทำไมถึงทำลาเต้อาร์ตรูปฉันไปให้คนอื่นกินล่ะ”
อิงค์เหลือบตามอง ระยะที่ห่างกันแค่คืบจนลมหายใจรดต้นคอทำให้เขาต้องเกร็งยืนตัวแข็ง “ใครว่าผมทำรูปพี่สิงห์ ผมทำตัวมาสคอตของที่นี่ต่างหาก”
“กล้าสาบานไหม”
“กล้าอยู่แล้ว”
“เมื่อวานเธอเพิ่งบอกว่ามันเหมือนฉัน”
“หลงตัวเอง”
“เอาดีๆ ฉันน้อยใจนะเนี่ย เมื่อเช้าก็ทำให้ป้าสำลีกับพี่มอญ ทีของฉันได้กินแบบธรรมดา”
“ใครบอก ของพี่สิงห์น่ะพิเศษสุดเลยนะ”
“ตรงไหน”
“ตรงที่ใส่ใจคนชงลงไปด้วยไง”
“เหรอ” สิงห์เขยิบไปใกล้อีกนิดและกระซิบที่ข้างหู “แต่ฉันอยากกินคนชงมากกว่านะ”
อิงค์หน้าร้อนวาบ อีกนิดเดียวริมฝีปากหยักก็จะโดนแก้มเขาอยู่แล้ว อิพี่สิงห์นี่ชอบแกล้งแหย่เขาเล่นโดยไม่เลือกเวล่ำเวลาจริงๆ
อินถาเดินกลับมา สิงห์จึงขยับกลับไปยืนที่เดิมและทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เป็นอย่างไรบ้างครับ” อิงค์ถาม
กมลหันไปฟังคำตอบจากผู้ช่วยก่อนจะหันมาบอกอิงค์ “ฉันเปลี่ยนใจไม่รับกาแฟจากร้านเธอแล้ว”
อิงค์หน้าเสีย “ผม… ผมทำอะไรไม่ถูกใจ…”
“แต่ฉันจะจ้างเธอมาทำงานที่นี่แทน” กมลพูดต่อจนจบ
“คุณ… ล้อผมเล่นหรือเปล่าครับ”
“เรื่องแบบนี้ฉันไม่เอามาล้อเล่นหรอก” กมลบอก “ตอนนี้ร้านเรากำลังขาดคน ถ้าเธอไม่รังเกียจจะร่วมงานกับเรา เธอสามารถเริ่มงานได้ทันทีที่พร้อม”
“แต่ว่าผมมีร้านอยู่แล้วนะครับ”
“ทำงานสัปดาห์ละห้าวันจันทร์ถึงศุกร์ วันเสาร์อาทิตย์ฉันให้เธอหยุด เธอจะไปเปิดร้านหรือทำอะไรก็ตามใจเธอ เงินเดือนฉันให้สามหมื่นไม่รวมโอทีและโบนัสประจำปี”
“ขอโทษจริงๆ ครับแต่ผมรับข้อเสนอของคุณไม่ได้จริงๆ” อิงค์ค้อมศีรษะปฏิเสธ
“มีอะไรที่เธอไม่พอใจหรือ ลองเสนอมาสิ ฉันคิดว่าเราตกลงกันได้นะ” กมลกล่าว “ถ้าเธอแค่อยากจะชงกาแฟ เธอก็เห็นแล้วว่าที่นี่มีให้เธอพร้อมทุกอย่าง แถมเธอยังไม่ต้องมาคอยกังวลกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ด้วย”
“ผม…” อิงค์รวบรวมความกล้าและตอบไปตามตรง “จริงอยู่ว่าข้อเสนอนั่นทั้งน่าสนใจและค่อนข้างมั่นคงทางการเงิน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการครับ ผมอยากจะมีร้านเป็นของตัวเอง ถึงจะไม่ใหญ่โตแต่อบอุ่นและมีความสุขด้วยรอยยิ้มของคนที่แวะเวียนมาชิมกาแฟที่ผมชง นั่นต่างหากครับคือความฝันของผม”
“ถ้าอย่างนั้นก็น่าเสียดายนะ” กมลกล่าว “เพราะแทนที่จะได้ร่วมงานกัน เราจะกลายเป็นคู่แข่งทางการค้ากันทันที”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นผมก็ยินดีมากเลยครับ”
กมลเลิกคิ้ว “แทนที่จะตกใจหรือเสียใจ เธอกลับดีใจงั้นหรือ ประหลาดคนจัง”
“ต้องดีใจถูกแล้วครับ ห้องอาหารใหญ่ของโรงแรมอันดับหนึ่งในจังหวัดน่านยอมรับผมเป็นคู่แข่ง แสดงว่าผมต้องเก่งพอตัวเลยใช่ไหมล่ะครับ”
“สรุปเจ้าหนูนี่กำลังชมฉันหรือชมตัวเองกันแน่นะ” กมลหันไปหัวเราะกับอินถาอย่างชอบอกชอบใจ
“คุณอิสระครับ ลูกค้าท่านนั้นบอกว่าชอบลาเต้อาร์ตรูปสิงโตมาก อยากจะขอพบบาริสต้าเจ้าของผลงานหน่อยครับ ไม่ทราบว่าคุณสะดวกไหมครับ” อินถากล่าว
“สะดวกมากๆ เลยครับ”
“เชิญครับ” อินถาผายมือพร้อมกับเดินนำไปยังโต๊ะที่ชายคนนั้นนั่งอยู่
“ผมพาคุณอิสระ บาริสต้าที่ชงกาแฟให้คุณมาแล้วครับ”
ชายคนนั้นพับหนังสือพิมพ์ที่อ่านค้างไว้ลงและหันมา
ตอนที่เห็นข้างหลัง อิงค์คะเนว่าเขาคงสักวัยกลางคนแต่พอมาดูใกล้ๆ กลับพบว่าหน้าตายิ่งดูอ่อนกว่าอายุหลายปีนัก เขามีโครงหน้าคมชัด ตาคม แผงคิ้วหนา ดูหล่อเหลาราวกับรูปสลัก
“เธอเองเหรอที่เป็นคนทำสิงโตน่ารักๆ ตัวนี้” เสียงนุ่มทุ้มของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ผมเองครับ”
พอฟังจบ ชายคนนั้นก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมืออิงค์จนเขาตกใจและพูดเสียงดัง
“ชอบนะ อยากได้”
“ว… ว่าไงนะครับ” อิงค์ถึงกับไปไม่เป็น เขาหันมองหน้าสิงห์เลิ่กลั่ก
“ปู่ ฉันชอบคนนี้ ฉันจะเอาคนนี้ ปู่เจรจาเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” ชายคนนั้นพูดรัวเร็ว
“เจรจาล้มเหลวครับท่าน เขาเพิ่งปฏิเสธผมมาเมื่อสักครู่นี่เอง”
“ปู่นี่ไม่ได้เรื่องเลย” ชายคนที่กมลเรียกว่า ‘ท่าน’ ทำเสียงฮึดฮัดในลำคอแล้วหันมาหาอิงค์ “ฉันให้เพิ่มจากราคาที่ปู่บอกอีกหมื่นนึง ไม่ต้องทำงานที่ร้าน หน้าที่ของเธอคือตามฉันไปทุกที่และชงกาแฟให้ฉันกินคนเดียว ตกลงไหม… เอ๊ะ! หรือว่าน้อยไป ปลายปีฉันให้โบนัสหกเดือน แถมพาไปเที่ยวต่างประเทศฟรีปีละหนด้วยนะ หรือจะมากกว่านั้นก็ได้ถ้าเธอสะดวกไป”
“คือ… ผม… ไม่…”
“วันหยุดพิเศษสิบห้าวันต่อปี ตกลงไหม” ชายคนนั้นพูดต่อ “เงินต่อรองได้ แต่จำนวนวันหยุดอย่าต่อรองเลยนะ ฉันคงขาดใจตายแน่ๆ ถ้าไม่ได้กินกาแฟฝีมือเธอ”
“ถ้างั้นก็ให้มันขาดใจตายไปเลยครับ” สิงห์เข้ามาแทรกกลางพร้อมกับคว้าข้อมือชายคนนั้น
“พ… พี่สิงห์…” อิงค์ตาเหลือก ทั้งสิงห์และชายคนนั้นทำท่าพร้อมจะวางมวยใส่กันได้ทุกเมื่อ
“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของแก”
“ใช่สิครับเพราะผมเป็นคนพาเขามา” สิงห์ตอบ
“เด็กแกเหรอไอ้สิงห์”
“แล้วถ้าผมบอกว่าใช่ล่ะครับ… คุณพ่อ”
อิงค์ตาโต สมองขบคิดอย่างหนัก พยายามประมวลผลกับคำว่า ‘คุณพ่อ’ ที่สิงห์เรียกชายคนนั้น ...พ่ออุ้ย? ... ภาษาเหนือมันแปลว่า ปู่หรือตา… ไม่น่าใช่สินะ เอ๊ะ! หรือจะหมายถึงพ่อเลี้ยง ที่คนเหนือเขาเอาไว้เรียกพวกเจ้านายหรือคนมีเงิน… แล้วคนๆ นี้ถ้าดูจากการแต่งตัวที่ใส่สูทอย่างเนี้ยบแล้วก็น่าจะรวยไม่หยอก ใช่แล้ว! พี่สิงห์ต้องหมายความแบบนั้นแน่ๆ
“คุณท่านกับคุณหนูลดเสียงลงหน่อยได้ไหมครับ แขกท่านอื่นๆ เริ่มมองแล้วนะครับ” อินถาเอ่ยขึ้นเบาๆ
อิงค์หันควับ …คุณหนู? อะไรอี๊กกกก…
ชายคนนั้นหันไปค้อมศีรษะรอบๆ เป็นเชิงขอโทษ ก่อนจะหันมาหาเขาและผายมือไปยังเก้าอี้ข้างตัวที่ว่างอยู่ “เชิญคุณอิสระนั่งครับ”
“ครับ”
อิงค์ยังไม่ทันจะนั่ง สิงห์ก็กระแทกตัวลงนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วคว้ามืออีกข้างของอิงค์พร้อมสะบัดสายตาไปยังที่ว่างข้างตัว “มานั่งนี่”
“เอ่อ… ผม” อิงค์เหลือบตามองมืออีกข้างที่ชายคนนั้นยังจับไว้ไม่ปล่อย
ชายคนนั้นยอมปล่อยมือ อิงค์จึงเดินไปนั่งกับสิงห์อย่างงงๆ ว่าตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่
“ขออนุญาตแนะนำครับ” อินถาเอ่ยขึ้น ดูท่าเขาจะเข้าใจเครื่องหมายคำถามมากมายบนหน้าอิงค์ “นี่คุณเหมราช เป็นประธานคณะกรรมการผู้บริหารโรงแรมในเครือไกรสรกรุ๊ปคนปัจจุบันครับ”
“อ่อ” อิงค์พยักหน้า รู้สึกสมองมันประมวลผลช้าๆ ชอบกล
“ฉันเป็นเจ้าของที่นี่” เหมราชสรุปให้อีกครั้ง
อิงค์รีบยกมือไหว้แทบไม่ทัน “สวัสดีครับ ขอโทษครับที่ผมเสียมารยาทกับท่าน”
“เธอยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” เหมราชโบกมือ “ฉันต่างหากที่ชอบเจ้าสิงโตน้อยของเธอมากจนเผลอทำตัวเป็นเด็กๆ ไปหน่อย ทีแรกนึกว่าเป็นฝีมืออินถา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนของเจ้าสิงห์… นี่ๆ ยกให้พ่อเถอะนะ”
“เจ้าหนูนี่ไม่ใช่สิ่งของจะมายกให้กันง่ายๆ ได้ยังไงล่ะพ่อนี่ก็”
“ซื้อตัวไง ซื้อตัว ทำไมแกนี่เข้าใจอะไรยากจัง” เหมราชว่า “จะเรียกเท่าไหร่ก็ว่ามาเลย พ่อสู้เต็มที่”
“เจ้าหนูนี่ไม่ใช่ลูกน้องผมเสียหน่อย”
“อ้าว ก็เมื่อกี้แกบอกว่าเด็กแก ตกลงมันยังไงล่ะ”
อิงค์เหลือบตามองสิงห์ เขาเองก็แอบลุ้นคำตอบอยู่นิดๆ เหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วก็คิดว่าสิงห์คงจะไม่ตอบอะไรที่มากไปว่า ‘คนรู้จัก’
“ก็ดูๆ กันอยู่”
อิงค์สะดุ้งโหยง จ้องสิงห์ตาไม่กะพริบ
“ดูนี่ดูยังไงวะ ถ้ามากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟนมันก็กิ๊กน่ะสิ”
“ไม่ใช่กิ๊ก” สิงห์ตอบ “ผมไม่มีแฟนจะมีกิ๊กได้ไง”
“คุยกับแกปวดหัว ฉันถามคุณอิสระดีกว่า” เหมราชหันมาหาเขา “ขอเสียมารยาทนะครับ คุณอิสระเป็นอะไรกับลูกชายผมครับ”
คำเรียกขานนั้นสร้างความตกใจให้อิงค์มากกว่าคำถามเสียอีก “ลูก… ลูกชาย?”
เหมราชหันไปมองหน้าสิงห์ “นอกจากจะบอกไม่ได้ว่าเป็นอะไรกันแล้วนี่แกยังไปหลอกอะไรคุณอิสระเขาไว้อีกเนี่ยไอ้สิงห์”
“ผมไม่ได้หลอกอะไรเลยนะ เจ้าหนูนี่มันเข้าใจผิดไปเอง” คนโดนกล่าวหารีบพูด
“พี่สิงห์ไม่ใช่พนักงานของข่วงเมืองสิงห์เหรอ” อิงค์ถาม
“เป็น” สิงห์ตอบ
“แต่ถ้าพี่สิงห์เป็นลูกชายของคุณเหมราชที่เป็นเจ้าของเฮือนไกรสร แล้วทำไมพี่สิงห์ต้องไปเป็นลูกจ้างเขาด้วยล่ะ” อิงค์ยังไม่มีทีท่าจะเข้าใจ
“ไม่ได้เป็นลูกจ้างแต่เป็นเจ้าของ” สิงห์ว่า “ชื่อก็บอกอยู่ไม่ใช่เหรอว่า ‘ข่วงเมืองสิงห์’ แปลตรงตัวก็คืออาณาจักรของสิงห์ หรือก็คือฉันไง”
อิงค์มองชายสองคนตรงหน้าสลับกัน เขารู้สึกว่าตัวเองหลงเข้ามาในอาณาจักรของสิงห์จริงๆ เสียแล้ว
(ต่อข้างล่างค่ะ)