Love Sick
- 2 -
“!!!”
ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ ร่างดำที่เห็นเป็นเงารางๆ ในความมืดนั่งอยู่ข้างเตียงและจ้องมาทางผม ไอเย็นยะเยือกขึ้นมาตามแนวกระดูกสันหลัง หรือว่านี่ผมจะเจอดีเข้าให้แล้ว!!
และก่อนที่ผมจะทันได้ทำอะไร ร่างนั้นก็ส่งเสียงพูดขึ้นมาว่า
“ตื่นแล้วเหรอวะ เป็นไงมั่งเนี่ย”
ไอ้เหี้ยมิ้นท์!!!!!!
“อะไรของมึงเนี่ย! มานั่งจ้องหน้ากูมืดๆทำไม ไฟก็ไม่เปิด ดีนะกูไม่ถีบหงายหลังน่ะ!!” ลองนึกดูสิครับว่าผมจะตกใจแค่ไหน
“อ้าว ก็มึงหลับอะ ถ้าเปิดไฟเดี๋ยวมึงก็จะหลับไม่สบาย จะปลุกมึงกูก็ไม่กล้า เลยคิดว่านั่งรอมึงตื่นดีกว่า” ไอ้มิ้นท์อธิบายแบบซื่อๆ
“...” ผมด่ามันไม่ออกเลยครับ ไม่ใช่ไม่โมโหนะ แต่ไม่รู้จะพูดอะไร อึ้งกับตรรกะของมันจริงๆครับ
“แล้วจะปลุกกูทำไม มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” ผมเลี่ยงดีกว่า ขี้เกียจพูดกับมันเรื่องที่มันมานั่งจ้องหน้าผมแล้ว
“คือว่า...” ไอ้มิ้นท์พูดคาไว้แล้วก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋ามันมาควานหาอะไรสักอย่างในนั้น
“?” ผมเองก็สงสัยไม่น้อย เพราะไอ้มิ้นไม่เคยมีท่าทีประหลาดๆแบบนี้มาก่อนครับ มันเหมือนว่ามันอึ้ง มึน สับสนจนหาทางออกไม่ได้น่ะครับ
“อะ..นี่ เออ! วันนี้วันอะไรมึงรู้หรือเปล่า” มันหดมือที่ถือกล่องปริศนาในมือกลับ แล้วถามผมเรื่องวันที่ขึ้นมาเฉยๆ
“อะไรของมึงเนียะ วันนี้ก็ 17 ไง เอากล่องนั่นมาดูดิวะ อะไรกันนักหนา”
“ไม่ใช่เว้ย วันนี้ 18 มึงหลับไปวันนึงเลยนะโว้ย” ผมตะลึง นี่ผมหลับนานขนาดนั้นเลยเหรอ
“มึงอะ ไข้ขึ้น เพ้อทั้งคืนเลย ไปทำอะไรมาถึงไข้ขึ้นวะ”
“เอ่อ...” ผมไม่อยากเล่าเลยครับ เรื่องสาเหตุที่ทำให้ผมไข้ขึ้นน่ะ... พอนึกถึงก็รู้สึกร้อนๆอีกแล้ว...
“แล้วเมื่อเย็นน่ะ ตอนกูออกไปซ้อมบาส พี่เปปเปอร์เขาก็ถามถึงมึง ว่าวันนี้เพื่อนไม่มาเหรอ” อ๋า~ ชื่อนี้อีกแล้ว ผมไม่อยากได้ยินชื่อนี้เล้ยยยย แค่นึกถึงก็ใจสั่นอีกแล้ว
“ละ...แล้วไงล่ะ”
“กูก็บอกเขาว่าเพื่อนไม่สบายครับ ไข้ขึ้น พี่เปปเปอร์ก็พยักหน้าว่ารับรู้นะ แล้วก็ไม่มีอะไร ก็ไปซ้อมต่ออะ”
“แค่เนี้ย มึงจะมาทำหน้าแปลกใจอะไรนักหนาวะ” ผมคิดว่าพี่เขาก็คงแค่ขำๆที่พวกผมไปตีกันทีสนามบาส เลยจำได้ ก็แค่นั้นมั้งครับ...
“ไม่ใช่แค่นี้น่ะสิ อีตอนที่กูจะกลับน่ะ พี่เขาก็ยื่นไอ้กล่องเนี้ยมาให้กู” หงะ ตอนนี้สายตาผมเริ่มชินกับความมืดแล้ว กล่องในมือไอ้มิ้นท์เป็นกล่องที่ใหญ่เอาเรื่องเลยครับ
“มึงแกะดิ กูอยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร” ผมรับกล่องมาจากไอ้มิ้นท์ มันลุกมานั่งขัดสมาธิบนเตียงผมแล้วชะโงกหน้ามารอดูอย่างสนใจ
“...” ผมขมวดคิ้ว ทั้งสงสัย ทั้งแปลกใจ พอผมแกะกระดาษที่ห่อออกถึงได้เห็นว่าเป็น....
ซุปไก่สกัดตราแบรนด์...
“แบรนด์เหรอวะ?”
“...เขาให้กูเพื่ออะไรวะ?” ผมมองหน้าไอ้มิ้นท์ด้วยความสงสัย มันเองก็ส่ายหัว
“มึงมีอะไรที่ไม่ได้บอกกูหรือเปล่าเอม”
“เฮ้ย บ้าแล้ว”
“แล้วทำไมจู่ๆพี่เปปเปอร์เขาถึงสนใจมึงวะ พอกูบอกว่ามึงเป็นไข้ ก็ซื้อแบรนด์มาให้อีก” มิ้นท์เริ่มสวมรอยเป็นนักสืบแล้วครับ ผมเองส่ายหัวเหนื่อยใจแล้วเดินเอากล่องไปวางที่หลังตู้เย็นของไอ้มิ้นท์
“กูไม่รู้ และก็ไม่ต้องถามด้วย ไอ้ซุปไก่เนี่ยถ้ามึงจะกินก็กินเลยนะ”
“แล้วมึงไม่กินเหรอ”
“ไม่ว่ะ กูไม่ชอบกิน มันเหม็น”
“ไรว้า คนให้เสียน้ำใจแย่เลย” ไอ้มิ้นท์บ่นพึมพำจนผมเริ่มหมั่นไส้
“แล้วมึงจะกินมั้ย”
“กินดิวะ ของชอบกูเลยนะนั่น” แล้วมันก็ดี๊ด๊าไปเปิดขวดแรกมากระดกทีเดียวหมดเลยครับ แหวะ... เหม็นจะตาย...
วันนี้ผมตื่นแต่เช้าเพื่อจะเตรียมตัวไปเรียน เมื่อวานผมขาดเรียนไปแล้ววันนึง ผมจึงต้องรีบไปตามงานกับอาจารย์ครับ ที่นี่มีการแข่งขันสูง ถ้าผมมัวแต่เอ้อระเหย ไม่ช้าเกรดเฉลี่ยก็คงแย่ลง
“มึง...รีบตื่นจังวะเอม” เสียงไอ้มิ้นท์งัวเงียอยู่ในผ้าห่ม ผมไม่ได้ตอบอะไรมันเพราะรู้ว่ามันคงหลับต่ออีก ผมสำรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้า มีเศษฝุ่นติดตรงชายกางเกงนิดหนึ่ง ผมไม่ชอบให้เสื้อผ้าของผมไม่เรียบร้อย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ สงสัยนี่อาจจะเป็นนิสัยของพวกเกย์ละมั้ง..
“กูไปก่อนนะมิ้นท์” ผมบอกเพื่อนที่ยังคงนอนอุตุบนเตียง แม้ว่ามันอาจจะไม่รู้ก็ตามว่าผมออกไปตอนไหนก็ตาม
ผมชอบอาคารเรียนยามเช้ามาก ที่นี่มีต้นไม้เยอะ ตอนเช้าก็เลยมักจะมีหมอกบางๆ ยิ่งถ้าหน้าหนาวละก็ หมอกลงจัดเลยแหละครับ
‘มีคนมาจ๊อกกิ้งด้วยแฮะ’ ผมคิดได้แค่นั้นก็มองเห็นนักวิ่งคนนั้นพอดี ผมตกใจจนอยากจะเดินกลับไปที่หออีกรอบ แต่ก็ไม่ทันแล้วละครับ เจ้าของหน้าหล่อๆนั่นมาหยุดวิ่งตรงหน้าผมแล้วยิ้มกว้างให้
“น้องเอม หายไข้แล้วเหรอครับ” อ๊ากกกก พี่เปปเปอร์เรียกผมว่า ‘น้องเอม’ ด้วยละ!!
“คะ...ครับ” ผม...ผมเก็บอาการอยู่มั้ยนะ ผมแสดงอะไรให้เขาผิดสังเกตไปหรือเปล่านะ
“แล้วได้ของที่พี่ฝากมิ้นท์ไปให้หรือเปล่า” พี่เปปเปอร์ถามพลางเอาผ้าขนหนูมาซับเหงื่อที่หน้า ผมอยากจะดึงผ้าขนหนูผืนนั้นมาลองดมดูจังว่ากลิ่นเหงื่อของพี่เขาจะเป็นยังไง โฮก~
“ได้รับแล้วครับ เอ่อ...ขอบคุณมากนะครับ” นึกได้ผมก็รีบขอบคุณเลยครับ ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้กินเลยสักขวดก็เถอะ นึกแล้วยังแหวะกับรสชาติไม่หาย
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่เต็มใจให้ บำรุงร่างกายดีๆจะได้ไม่ป่วยอีก” พี่เปปเปอร์ยิ้มครับ โอ้มายก็อด ให้ตายเถอะ นี่ผมกำลังจะตายเพราะสำลักความหล่อของพี่เขามั้ยเนี่ย
“คะ...ครับ” ฮึ่ย! นี่ผมเป็นอะไรไปนะ ทั้งที่มีโอกาสอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ดันมาเขินตอบคำถามคำอยู่ได้ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีบ่อยๆนะเว้ยไอ้เอม
ฮือ...แต่ผมก็ไม่กล้าอยู่ดีอะ ผมยังเขินอยู่เลย จะเงยหน้าคุยกับพี่เขายังไม่กล้าด้วยซ้ำ ผมก็ได้แต่ยืนก้มหน้ามองรองเท้าวิ่งไนกี้ของพี่เปปเปอร์อยู่แบบนั้นแหละครับ
“อืม..งั้นพี่ขอตัวก่อนนะครับ ไว้วันหลังค่อยคุยกันใหม่นะ” พี่เขาลูบหัวผมอีกแล้ว เขาลูบหัวผมเบาๆแล้วก็ยิ้มให้ ก่อนจะวิ่งต่อไปครับ ทำไมพี่เขาใจดีแบบนี้นะ
ตอนนี้ผมเลยนึกถึงคำคมของฝรั่งที่เขาบอกไว้ว่า การเริ่มต้นเช้าวันใหม่ที่ดี จะทำให้วันนั้นมีแต่เรื่องดีๆไปทั้งวัน แล้วเช้านี้ผมเพิ่งเจอเรื่องดีซูเปอร์ดี แบบนี้วันทั้งวันผมคงโคตรเฮงเลยสินะ!!
ทั้งที่เมื่อเช้าผมคิดแบบนั้นครับ...
แต่ตอนนี้ผมต้องมาช่วยอาจารย์วิชาเลขเก็บสมุดการบ้านของพี่ปีสามหลังเลิกเรียน ทำไมผมถึงต้องเจอเรื่องเฮงซวยแบบนี้เนี่ย!!
คุณคงสงสัยสินะว่าช่วยงานอาจารย์มันแย่ตรงไหน ถ้าเป็นโรงเรียนทั่วไปมันจะไม่แย่เลยครับ แต่ถ้าเป็นโรงเรียนนี้ พื้นที่ขนาดนี้ ระยะห่างระหว่างแต่ละอาคารไกลขนาดวิ่งมาราธอนได้เลยนะครับ ฮือ....กรรมของไอ้เอม
ในขณะที่ผมกำลังหอบสมุดการบ้านกว่าห้าสิบเล่มแล้วลากสังขารไปที่ตึกแผนกภาษานั้นผมก็นึกก่นด่าความเชื่อของพวกฝรั่งไปในใจด้วย
“ทำไมทำหน้าหงิกแบบนั้นละครับเอม”
โอว.... ผมขอกลับคำพูดแล้วกันนะครับ วันนี้ผมคงโชคดีจริงๆสินะ ได้เจอพี่เปปเปอร์ตั้งสองรอบ! พี่เปปเปอร์เขาเดินลงมาจากบันไดอีกฝั่งพอดีครับ สงสัยคงจะเพิ่งเลิกเรียนเหมือนกัน
“ถืออะไรมาเยอะแยะเนี่ย เอามานี่มา พี่ช่วย” ผมยังไม่ทันได้อ้าปากพูดสักแอะ พี่เปปเปอร์ก็คว้าสมุดจากผมไปทั้งกองเลย
“ขะ..ขอบคุณมากนะครับ แต่เอมว่าเราช่วยกันถือคนละครึ่งดีกว่ามั้ยครับ” อ๊าก! ผมอยากจะกัดปากตัวเอง นี่ผมใช้คำว่า ‘เรา’ ไปได้ยังไงเนี่ย แถมยังเรียกแทนตัวเองว่า ‘เอม’ อีก หวังว่าพี่เปปเปอร์คงไม่ทันสังเกตนะ
“ไม่เป็นไรครับ พี่มีคนช่วย เฮ้ย จิน มาช่วยถือหน่อย” เอ๋? พี่เปปเปอร์มีเพื่อนมาด้วยเหรอเนี่ย ผมมัวแต่สนใจพี่เปปเปอร์จนไม่ทันได้สังเกตคนที่เดินตามหลังพี่เขาเลยแฮะ
“อะไรวะเนี่ย?” น้ำเสียงทุ้มห้าวของคนที่ผมเข้าใจว่าเป็น ‘เพื่อน’ ของพี่เปปเปอร์ช่างเหมือนพี่เขาราวกับโขกคีย์เดียวกันมาเลยครับ ติดที่ว่าเสียงพี่คนนี้ฟังดูดิบกว่า แบบว่าเถื่อนๆอะครับ แต่แค่เสียงไม่ใช่ประเด็น หน้าตานั่นเหมือนพี่เปปเปอร์อย่างกับแกะเลยครับ!
“ช่วยน้องเขาถือหน่อย ตัวก็นิดเดียวไม่รู้แบกมาได้ไง” ผมมองพี่เปปเปอร์สองคนคุยกันแบบงงๆ พี่เปปเปอร์คนที่มาทีหลังเหลือบมองผมแล้วก็หันไปคุยกับพี่เปปเปอร์คนแรก
“ไอ้เตี้ยนี่ใครเนี่ย” เฮ้ย! มันด่าผมว่าเตี้ยอะ
“มึงนี่! ไปเรียกเขาว่าเตี้ยได้ไง ชื่อน้องเขาออกจะน่ารัก เอ้อ! พี่ก็ลืมแนะนำไป เอมครับ คนนี้เป็นน้องชายฝาแฝดพี่เอง ชื่อพี่จินเจอร์นะครับ” พี่เปปเปอร์พูดไปยิ้มไป
“เรียกแค่จินก็พอ” เสียงพี่จินพูดขึ้นมาลอยๆ บอกกับผม? หรือบอกกับพี่ชายตัวเอง? แต่จะบอกกับใครก็ช่างมันเถอะครับ เพราะตอนนี้ผมรู้สึกหลอนๆนิดหนึ่ง ทำไมเรื่องพี่เปปเปอร์มีแฝดผมถึงไม่รู้มาก่อนเลยนะ แถมยังดูเป็นพี่น้องที่สนิทกันดีเสียอีก
“นี่มึงไม่รู้จริงดิ ว่าพี่เปปเปอร์มีฝาแฝด” ไอ้มิ้นท์ทำสีหน้าระอาใส่เมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้มันฟัง
“เอ๊า ก็กูไม่เคยเห็นเขาเลยนี่หว่า” ผมเถียง
“แหม แล้วมึงจะรู้ได้ไง ว่าบางทีที่มึงเห็นน่ะคือพี่เปปเปอร์จริงๆ ไม่ใช่พี่จิน พี่สองคนนี้เขาเป็นแฝดไข่ฟองเดียวกันนะเว่ย เหมือนกันจะตายห่า” ไอ้มิ้นท์หันไปซดน้ำมาม่าคัพในมือต่อ ผมฟังที่มันพูดแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว เหมือนกันอย่างนั้นเหรอ? ทำไมผมไม่เห็นรู้สึกอย่างที่มันว่าเลยละ เขาเหมือนกันก็จริงนะ แต่ผมคิดว่าผมแยกออก
ถ้าให้เปรียบพี่เปปเปอร์เป็นเหมือนดวงอาทิตย์ที่สดใสและเป็นตัวแทนแสงสว่าง พี่เปปเปอร์ดูใจดี ดูเฟรนด์ลี่
แต่พี่จิน... ดูตรงกันข้ามกับพี่เปปเปอร์นะผมว่า เขาดูดาร์คๆ เหวี่ยงๆ ดูไม่น่าคบอะ
ส่วนเรื่องความหล่อไม่ต้องพูดถึง หล่อกันคนละแบบ คนนึงหล่อแบบใจดี อีกคนหล่อแบบแบดบอย แต่ยังไงผมก็ชอบพี่เปปเปอร์คนเดียวแหละ ก็พี่เขาออกจะน่ารักขนาดนั้นนี่นะ
“แล้ววันนี้มึงไปเจอพี่เขาที่ไหนมาอะ”
“ก็หลังเลิกเรียนแหละ เจอตรงชั้นล่างอาคารศิลปะ พี่เขามาช่วยกูยกสมุดการบ้านไปให้อาจารย์ที่แผนกภาษาอะ แล้วพี่เปปเปอร์ก็เลยให้พี่จินมาช่วยกูยกด้วย”
“โว้! พี่จินเนี่ยนะ”
“ทำไมอะ แปลกเหรอ?”
“เออดิ พ่อคุณนะ หยิ่งจะตายห่า ทั้งหยิ่งทั้งเก๊ก ทั้งโหด ทั้งซาดิสม์” ไอ้มิ้นท์มันพูดเหมือนแค้นครับ จนผมสงสัยว่าพี่จินเขาไปทำอะไรให้มันหรือเปล่า
“พี่จินเขาไปทำอะไรให้มึงเหรอวะ? ดูอาฆาตเขาจัง”
“ก็มึงจำได้ปะ วันที่กูไปรับน้องชมรมบาสอะ ที่กูกลับมาห้องแล้วเปียกโชกเหนื่อยแทบขาดใจอะ” ผมนึกถึงวันที่มิ้นท์บอก เออว่ะ วันนั้นมันกลับมาแบบเปียกโชกทั้งตัว แล้วก็สลบไสลไปทั้งคืนจนเช้าเลย เห็นมันบอกว่ารุ่นพี่ในทีมรับน้องโดยการให้มันว่ายน้ำในสระบัวข้ามจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งระยะทางไม่ใช่น้อยๆเลยนะครับ
“อย่าบอกนะมิ้นท์ ว่าไอ้รุ่นพี่คนที่สั่งให้มึงว่ายน้ำคือพี่จิน”
“เออเดะ แม่ง ถ้าวันไหนไอ้พี่จินมันมาคุมฝึกนะ วันนั้นอะ นรกชัดๆ”
แม่เจ้า ไม่อยากจะเชื่อว่าฝาแฝดจะต่างกันได้ขนาดนั้น คนนึงดีแสนดี อีกคนโฉดแสนโฉด ผมว่าผมคิดถูกแล้วแหละ ที่ชอบพี่เปปเปอร์...
ราตรีสวัสดิ์นะครับพี่เปปเปอร์
ตายแล้วๆ
นี่บีทำให้ทุกคนคิดว่านี่เป็นเรื่องแนวน่ารักกุ๊กกิ๊กไปแล้วใช่มั้ยคะ?
จริงๆมันไม่ใช่นะงิ > <
เพราะอย่างนั้นก็เลยเอาตัวละครสำคัญอีกคนหนึ่งซึ่งก็คือพี่จินมาคั่นเวลาไว้ก่อนเลยนะคะ
ไม่อยากให้คิดว่าเป็นแนวน่ารัก เพราะกลัวว่าถ้าอ่านไปเรื่อยๆแล้วมันไม่ใช่ก็จะผิดหวังกัน
บอกไว้เลยว่าไม่ใช่แค่น่ารักกุ๊กกิ๊กแน่นอนค่ะ เอาชื่อบีการันตีเลยค่ะ โฮะโฮะโฮะ