บทที่ 12: เจ้าปุกปุย[1]
ความผิดหวังถาโถมกัดกินใจของเทพอสูรหนุ่ม ตลอดหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่พลัดพราก เทียนอี้หวังมาโดยตลอดว่าจะได้พบยอดดวงใจอีกครั้งไม่ว่าจะผ่านพ้นไปนานเท่าไร หากแต่เมื่อได้พบพานหญิงสาวผู้มีนามว่า ‘หลิวซู’ ความปรารถนาของเขาก็เป็นอันต้องพังทลายเมื่อเขารู้สึกได้ว่านางหาใช่หลิวซูคนเดียวกับคนรักในอดีตของตน
นางเพียงแค่มีชื่อเดียวกัน มีใบหน้าคล้ายคลึง และเกิดในตระกูลหลิวอันเป็นตระกูลเดิมของยอดดวงใจเขาก็เท่านั้น
นางเป็นเพียงลูกหลานซึ่งมีสายกำเนิดจากน้องชายของหลิวซูผู้นั้น
หลิวซู...ไม่ได้มาเกิดใหม่
แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้แน่ชัดว่าสตรีนางนั้นไม่ใช่หลิวซูของเขาอย่างแน่แท้ เพราะเพียงพูดคุยด้วยไม่มีวันนั้นไม่อาจชี้ชัดได้ว่านางไม่ใช่ ด้วยการกำเนิดในชาติใหม่ วิญญาณของหลิวซูจำต้องดื่มน้ำแกงของยายเมิ่ง[1]เพื่อลบเลือนความทรงจำในอดีตชาติ การที่นางจะแสดงท่าทางว่าไม่เคยเห็นหน้าค่าตาหรือรู้จักเทียนอี้มาก่อน ย่อมเป็นเรื่องปกติ ทว่าต่อให้มีใบหน้าไม่เหมือนอดีตชาติ หรืออุปนิสัยเปลี่ยนไปเพียงใด แต่ก็ต้องมีความรู้สึกต้องชะตากัน ทว่า...กับนางแล้ว เขาไร้ซึ่งความรู้สึกนั้น
คราแรกเขานึกว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้พบพานกันหลายเป็นร้อยปี ความรู้สึกนั้นถึงได้จางหายไป หากแต่เมื่อได้เสวนาใกล้ชิดกันอยู่หลายวัน เขาก็มั่นใจขึ้นมาว่านางไม่ใช่
เมื่อไร้ซึ่งความรู้สึกต้องชะตา เทียนอี้ก็หาได้สนในนางอีกต่อไป ปล่อยให้พ่อบ้านเหลียงคอยดูแลหญิงสาวแทน ขณะที่เขาออกมานั่งรับลมที่ศาลาในสวนยามวิกาลด้วยนอนไม่หลับ สายตาเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย เขาเกือบจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่ากี่ปีที่ไม่ได้พบหน้าคนรัก แต่กระนั้นในใจของเขาก็ยังจดจำเรื่องราวทุกข์และสุข อีกทั้งใบหน้าของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี รวมถึง...คำรักมั่นที่เขาได้เอ่ยไว้ว่าจะรักอีกฝ่ายตราบนิจนิรันดร์ ...แต่หลิวซูของเขาก็ยังไม่กลับมา
เขาต้องทุกข์ทนกับการรอคอยเช่นนี้อีกนานเท่าไรกัน สวรรค์ถึงจะเมตตาเสียที
ความทุกข์ทรมานในการเป็นเทพอสูรหาได้ทุกข์ทนเท่ากับการถูกพรากจากคนรักแม้แต่น้อย ก่อนที่เทียนอี้จะบอกกับตนเอง
ในเมื่อสตรีนางนั้นไม่ใช่ซูซู ก็คงจะต้องส่งนางกลับไป
เขากลับมาสู่ความจริงอย่างจำนนต่อลิขิตสวรรค์ พลางทอดถอนลมหายใจ มองไปยังสวนบุปผชาติ พลันนึกขึ้นมาได้ว่าตลอดหลายวันมานี้ที่สตรีนางนั้นมาเยือนจวน เขาก็หาได้เห็นเจ้าแมวป่าเลยแม้แต่วันเดียว พลันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาด
โดยปกติแล้ว หากซิ่นเฉิงทำการใด ก็ย่อมต้องเป็นปัญหาให้พ่อบ้านเหลียงมาฟ้องเขาทุกครั้งไปไม่ใช่หรือ? แล้วนี่หายเงียบไป เกิดเหตุอันใดขึ้นกัน?
ความฉงนทำให้แม่ทัพใหญ่หมายจะไปตามตัวพ่อบ้านเหลียงมาสอบถามให้รู้แจ้ง ทว่ายังไม่ทันที่จะได้ขยับตัวไปไหน ใบหูก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าเดินย่องเข้ามาใกล้จวน คราแรกคิดว่าเป็นเสียงฝีเท้าอาชาของทหารเวรยามที่มีหน้าที่ตรวจตราความเรียบร้อยในคืนนี้ หากแต่กลิ่นสาบสางคุ้นจมูกลอยโชยเข้ามา เขาก็ขมวดคิ้วเสียจนใบหน้าย่นยู่
กลิ่นสาบงู... และกลิ่นทะเลทราย...
เจี้ยนสือ!
ใบหน้าหันขวับไปยังที่มาของกลิ่นนั้น ก่อนสายตาจะปราดไปเห็นเงาดำตะคุ่มของใครบางคนปีนป่ายลงมาจากรั้วกำแพงจวน จากนั้นก็กระโดดลงมาแอบหลังพุ่มไม้ ทำท่าทีลับๆ ล่อๆ ก่อนจะรีบมุ่งตรงไปยังเรือนนอนของคนรับใช้
เทียนอี้ได้กลิ่นของอีกฝ่ายชัดเจน พลันก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของกลิ่นนั้นคือซิ่นเฉิง แต่การที่มีกลิ่นของเจี้ยนสือปะปนมาด้วย ย่อมต้องเป็นเรื่องไม่ดีแน่ ทำให้เขารีบสาวเท้าไปยังจุดหมายเดียวกับที่ซิ่นเฉิงมุ่งหน้าไป ครั้นไปถึงเรือนนอนของคนรับใช้ที่ซิ่นเฉิงเพิ่งจะแอบย่องเข้าไปเมื่อครู่ เขาก็เดือดดาลขึ้นมาเมื่อมั่นใจว่าซิ่นเฉิงลอบออกไปพบกับเจี้ยนสือโดยที่เขาไม่รู้เพราะกลิ่นสาบงูนั้นคละคลุ้งชัดเจน
“ซิ่นเฉิง!”
น้ำเสียงดุดันร้องเรียกชายหนุ่มที่เพิ่งจะทิ้งตัวลงนอนบนฟูกนุ่มข้างคนรับใช้คนหนึ่ง ทำเอาทุกชีวิตในเรือนนอนนั้นสะดุ้งตื่นกันเป็นทิวแถว ครั้นมองมายังประตูก็เห็นเงาดำของเจ้าของจวนยืนจังก้าอยู่ คนรับใช้คนหนึ่งก็รีบกุลีกุจอมาจุดเทียน ครั้นมีแสงไฟสว่างขึ้นพอให้มองเห็นด้านใน คนรับใช้ทั้งหมดก็ต้องหยุดหายใจไปชั่วขณะเมื่อเห็นสีหน้าเกรี้ยวกราดของผู้เป็นนาย
เทียนอี้กรุ่นโกรธเสียจนขนตั้งชัน...
จะด้วยเหตุผลใดก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงแต่ว่าเขาก้าวเท้าเข้ามาหายังซิ่นเฉิงที่ผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะคว้าต้นแขนของอีกฝ่ายไป
“เจ้าออกไปไหนกับเจี้ยนสือมา”
คราวนี้หาได้เสียงดัง แต่น้ำเสียงที่หลุดออกมานั้นกลับชวนให้น่าเกรงขามไม่น้อย หากเป็นคนรับใช้คนอื่นคงได้ขวัญหนีดีฝ่อกันไปแล้ว ทว่านี่คือซิ่นเฉิง เมื่อถูกจับได้ก็หาได้สำนึก เชิดใบหน้าขึ้น ถามยอกย้อนกลับ
“เจ้าจระเข้นำความไปฟ้องเจ้าแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร ไยถึงเพิ่งมาหัวเสียในตอนนี้”
ฟ้องผายลมอันใดกัน! แสดงว่าคงจะทำเช่นนี้หลายครั้งแล้วสินะถึงได้พูดออกมาอย่างนี้!
เทียนอี้กัดฟันกรอด คาดเดาได้ตรงเผงทุกประการ พลันคาดโทษพ่อบ้านเหลียงที่รู้เรื่องนี้แต่ไม่มารายงานต่อเขา จนเขามาจับได้เองอย่างนี้
“ข้าถามเจ้าว่าเจ้าออกไปไหนกับเจี้ยนสือมา”
เทียนอี้ไม่ตอบคำถาม ทว่าถามกลับแทน
ซิ่นเฉิงแสยะยิ้มออกมา ว่าด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ
“ไปเที่ยวทะเลทราย ข้าอยากกลับไป เจ้างูนั่นเลยอาสาพาข้าไปเยือน”
ได้ยินแค่กลับไปยังทะเลทราย หัวใจของเทียนอี้ก็วูบไหวแล้ว ยิ่งได้ยินว่าเจี้ยนสือเป็นผู้พาไป เขาก็ยิ่งกรุ่นโกรธมากขึ้นไปอีกจนเผลอออกแรงบีบต้นแขนแกร่งของซิ่นเฉิงโดยไม่รู้ตัว
“เจ้ามันช่าง...”
“ข้าทำไม”
แม้จะเจ็บแปลบบริเวณที่ถูกบีบรัด ทว่าซิ่นเฉิงก็ไม่แสดงอาการใด นอกเสียจากท้าทาย หากเป็นช่วงเวลาปกติ เทียนอี้คงหาได้ใส่ใจ แต่ในยามนี้มันเป็นเชื้อเพลิงอย่างดีที่กระตุ้นให้เขาเดือดดาลมากกว่าเดิม
“ตอบคำถามข้า ไยเจ้าถึงไปกับเจี้ยนสือได้”
“แล้วเจ้าจะใส่ใจทำไม ไปสนใจว่าที่ฮูหยินของเจ้าสิ!”
ซิ่นเฉิงเผลอประชดประชันออกมาโดยไม่รู้ตัว นั่นเป็นเพราะความน้อยใจที่กักเก็บไว้ ตอนเขาหลบหนีออกไปราตรีแรกไม่เห็นจะมาสน แล้วไยคราวนี้ถึงมาเดือดดาลกัน?
เป็นการจุดไฟโทสะให้เทียนอี้มากขึ้นไปอีก เขากัดฟันกรอด แยกเขี้ยวขู่คำรามเมื่อกลิ่นสาบสางของเจี้ยนสือที่ติดตัวคนตรงหน้าลอยเข้าจมูกอีกครา
“ช่างน่ารำคาญใจนัก”
หาได้หมายถึงซิ่นเฉิงแต่อย่างใด แต่หมายถึงกลิ่นของสหายเก่าต่างหาก หากแต่ซิ่นเฉิงเข้าใจเป็นอีกอย่าง
“หากข้าน่ารำคาญนักก็ปล่อยข้าไปเสีย จะกักขังข้าให้ได้อะไรขึ้นมา!”
คำแรกก็อยากกลับทะเลทราย คำต่อมาก็บอกให้ปล่อยไป จวนของเขามันไม่น่าอยู่ถึงเพียงนี้เชียวหรือ!?
หงุดหงิดเสียจนปั้นสีหน้าไม่ถูก เทียนอี้จึงตอบสนองด้วยการฉุดกระชากชายหนุ่มลงจากฟูกนอน แม้ซิ่นเฉิงจะมีรูปร่างสูงโปร่งไม่แพ้ชายหนุ่มฉกรรจ์ทั่วไป ออกจะร่างใหญ่กว่าด้วยซ้ำด้วยเขาเป็นถึงนักรบแห่งชนเผ่าทะเลทราย แต่การถูกเทพอสูรซึ่งมีรูปร่างใหญ่กว่าออกแรงดึงนั้น ร่างที่หนาก็ดูจะปลิวไปง่ายๆ ดุจกลีบดอกไม้ต้องพายุ
เมื่อได้ซิ่นเฉิงมาไว้ในมือ เทียนอี้ก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องชำระล้างร่างกายอีกฝ่ายให้กลิ่นสาบงูออกไปจนหมดสิ้น ในใจของเขาร้อนรุ่มอย่างไม่อาจพรรณา ไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงได้หัวเสียถึงเพียงนี้ ขณะที่ซิ่นเฉิงเองก็ไม่ยอมให้ตนถูกนำตัวไปโดยง่าย ร้องโวยวายเสียงดัง ปลุกทุกชีวิตในจวนให้ตื่นจากหลับใหล
“ปล่อยข้าประเดี๋ยวนี้! เจ้าหมา! ข้าบอกให้ปล่อย!”
ไม่ได้ทำให้เทียนอี้หยุดได้เลย เมื่อดิ้นมากๆ เข้า แม่ทัพใหญ่ก็อุ้มอีกฝ่ายขึ้นพาดบ่าแล้วเดินดุ่มๆ กลับเรือนใหญ่โดยไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ ในจวนที่มองมาอย่างเป็นห่วงระคนหวาดเกรงแม้แต่น้อย
พ่อบ้านเหลียงที่สะดุ้งตื่นจากนิทราเพราะคนรับใช้คนหนึ่งไปปลุกกึ่งวิ่งกึ่งเดินมายังที่เกิดเหตุ เมื่อเห็นผู้เป็นนายแบกมนุษย์หนุ่มไว้บนบ่าเดินมายังเรือนใหญ่ด้วยสีหน้าโกรธเคือง เขาก็รีบเข้าไปหา
“ท่านแม่ทัพ...”
“ข้าจะสะสางกับเจ้าคราวหลัง โทษฐานที่ละเลยหน้าที่ ไม่แจ้งเรื่องการหลบหนีออกจากจวนของซิ่นเฉิงแก่ข้า”
ยังไม่ทันที่พ่อบ้านเหลียงจะพูดจบด้วยซ้ำ เทียนอี้ก็สวนออกมาแล้ว ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ใช่...เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่แจ้งเรื่องนี้แก่เทียนอี้ทั้งที่รู้ดีแก่ใจว่าซิ่นเฉิงแอบลอบไปเที่ยวที่ไหนกับผู้ใด นั่นก็เพราะเขาอยากให้เทียนอี้ได้ตบแต่งฮูหยินเข้าจวนเสียที เมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายให้ความสนใจกับดรุณีน้อยผู้นั้น ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นด้วยไม่อยากให้เรื่องของซิ่นเฉิงไปแทรกกลางรบกวนใจของเทียนอี้ โดยหารู้ไม่ว่าการกระทำนั้นสร้างความขุ่นใจให้กับเทียนอี้เป็นอย่างมาก
ทั้งที่เขาหาได้เคยขุ่นเคืองพ่อบ้านเหลียงผู้ซึ่งเป็นคนสนิทมาตลอดหลายร้อยปีแม้แต่ครั้งเดียวแท้ๆ แต่เพราะบุรุษทะเลทรายผู้นั้น ถึงกับคาดโทษอีกฝ่ายได้ถึงเพียงนี้...
“ไปจัดเตรียมน้ำอุ่นให้ข้า ข้าให้เวลาเจ้าเพียงถ้วยชาเดียวเท่านั้น”
คาดโทษเสร็จก็ออกคำสั่ง ทำเอาพ่อบ้านเหลียงกุลีกุจอไปสั่งการกับคนรับใช้โดยพลัน
เทียนอี้ยืนรออยู่หน้าห้องนอนตนชั่วครู่หนึ่ง ขณะที่แขนก็ยังอุ้มซิ่นเฉิงพาดบ่า ส่วนอีกฝ่ายก็ร้องโวยวายทุบตีแผ่นหลังกว้างเป็นพัลวัน แต่เหมือนกับว่าความเจ็บปวดนั้นหาได้สะกิดผิวกายของเทพอสูรเลยแม้แต่น้อย
พริบตาเดียว การตระเตรียมของพ่อบ้านเหลียงและคนรับใช้ก็เสร็จสิ้น เทียนอี้ก้าวเข้าไป ก่อนออกคำสั่งอีกครั้ง
“หากข้าไม่เรียก ก็อย่าให้ผู้ใดก้าวเข้ามาเป็นอันขาด”
แม้จะเป็นห่วงเพราะพอจะคาดเดาได้ว่าเทียนอี้ต้องการจะทำสิ่งใด แต่พ่อบ้านเหลียงก็จำใจต้องรับคำสั่ง ก่อนปิดประตูให้
ซิ่นเฉิงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล มือข้างหนึ่งทุบลงไปที่แผ่นหลัง อีกข้างดึงใบหูที่ตั้งของเทียนอี้เต็มแรง
“ปล่อยข้าลงประเดี๋ยวนี้!”
ออกแรงถีบอีกด้วยเมื่อสบโอกาส แต่ก็ไร้ประโยชน์อีกเช่นเคยเมื่อเทียนอี้ไม่สะทกสะท้าน เดินดุ่มๆ มาหยุดตรงหน้าอ่างไม้ใบใหญ่แล้วจัดการทิ้งร่างของชายหนุ่มบนบ่าลงไปในนั้นทั้งตัว
เสียงดังตูมพร้อมหยดน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นที่โดยรอบ ซิ่นเฉิงที่ถูกจับโยนลงมาโดยไม่ทันตั้งตัวตะเกียกตะกายผุดใบหน้าขึ้นเหนือน้ำ ก่อนไอโขลกด้วยน้ำไหลลงคอจนสำลัก เมื่อพอจะหยุดไอได้ก็อ้าปากบริภาษดังลั่น
“บัดซบนัก! คิดว่าทำอะไรของเจ้าอยู่กัน!”
แต่เทียนอี้หรือจะสน แม้ลำตัวของซิ่นเฉิงจะถูกน้ำจนเปียกปอน แต่กลิ่นสาบงูของเจี้ยนสือก็หาได้หายไป เขาจึงคว้าอีกฝ่ายเข้ามาใกล้และใช้มือถูไปตามท่อนแขนอย่างแรง
ถูเสียจนผิวหนังสีน้ำตาลอ่อนมีรอยแดงเป็นปื้นขึ้นมา ซิ่นเฉิงพยายามที่จะดึงกลับด้วยรู้สึกปวดแปลบเล็กๆ
“ปล่อยข้า!”
ทว่าก็ไม่เป็นผล ขณะที่เทียนอี้ครุ่นคิด
กลิ่นนั้นคงติดเสื้อผ้า...
เท่านั้นก็ละมือออกจากท่อนแขน ไปคว้าคอเสื้อของซิ่นเฉิงแล้วหมายจะถอดออก หากแต่การที่ซิ่นเฉิงดิ้นหนีจนน้ำกระฉอกออกจากอ่าง ทำให้เทียนอี้พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะกระชากเสื้อนั้นขาดวิ่นเป็นเศษซาก
ถอดไม่ได้จึงทำลายอย่างนั้นหรือ!?
ซิ่นเฉิงคิด ยังคงดิ้นพล่านอยู่ ไม่ยอมลงให้เทียนอี้ง่ายๆ เมื่อสบโอกาสก็อ้าปากกัดเข้าที่แขนของแม่ทัพใหญ่ที่พยายามจะขัดเนื้อตัวเขา
เทียนอี้อุทานออกมาเล็กน้อยเมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่าน กระนั้นก็ไม่ยอมละฝ่ามือออก ใช้ปลายนิ้วพุ่งเข้าหมายจะสกัดจุดให้ซิ่นเฉิงหยุดดิ้น หากแต่อีกฝ่ายรู้ทันจึงหลบหลีกก่อนที่ปลายนิ้วจะแตะต้องมายังบริเวณจุดชีพจรที่ช่วงไหปลาร้า ก่อนจะถอยกรูดไปจนแผ่นหลังติดกับขอบถังไม้เย็นเยียบ เทียนอี้คว้าข้อมือเอาไว้ได้ กระชากกลับมา คราวนี้เองที่ซิ่นเฉิงหมดความอดทน ตะเบ็งสุดเสียง
“เป็นอันใดของเจ้า มาขัดเนื้อตัวข้าเช่นนี้ เจ้าต้องการสิ่งใด!”
อันที่จริง ซิ่นเฉิงคาดหมายการลงโทษของเทียนอี้เป็นการต่อสู้หรือการกักขังมากกว่า หาใช่การจับมาชำระล้างเนื้อตัวอย่างนี้ ขณะที่เทียนอี้จ้องใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่ายนิ่ง ก่อนจะเปล่งเสียงออกมา
“กลิ่นของเจี้ยนสือติดกายของเจ้า ข้าจะขจัดมันทิ้ง”
กลิ่นของเจี้ยนสือ?
แล้วมันเป็นอย่างไร กลิ่นของเจ้างูนั่นติดตัวเขามามันเป็นปัญหาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เทียนอี้ถึงต้องจับเขาโยนลงอ่างน้ำเช่นนี้
“จะกลิ่นผู้ใดติดตัวข้า มันก็ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”
แม้จะสงสัย ทว่าซิ่นเฉิงกลับเลือกที่จะแข็งข้อกลับไป ทำเอาเทียนอี้ต้องสวนกลับ
“เจ้าเป็นคนในจวนข้า ไยจะไม่ใช่เรื่องของข้ากัน”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้าเพราะนี่มันเป็นร่างกายของข้า จะกลิ่นผู้ใดติดมาก็หาใช่ปัญหาของเจ้าไม่!”
ดูท่าแล้ว พูดไปก็คงจะเสียแรงเปล่า ซิ่นเฉิงในยามนี้ไม่ฟังแน่ เทียนอี้จึงได้แต่ใช้มือขัดถูไปที่ผิวเนื้อของอีกฝ่ายพลางว่าเสียงเรียบเท่านั้น
“อย่ายุ่งกับเจี้ยนสือ”
มันเป็นคำสั่ง... ซึ่งในยามนี้ เจ้าแมวป่าแสนดื้ออย่างซิ่นเฉิงไม่ใคร่ที่จะเชื่อฟัง เวลาปกติก็หาได้เชื่อฟังอยู่แล้ว ในยามนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ออกแรงดึงแขนที่ถูกเทียนอี้จับอยู่กลับคืน พลางยอกย้อน
“ข้าจะยุ่ง แล้วเจ้าจะทำไม”
“อย่าข้องเกี่ยวกับเจี้ยนสืออีก!”
ฟางเส้นสุดท้ายขาดสะบั้นเมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น เทียนอี้ขึ้นเสียงด้วยลืมตัว ทำเอาซิ่นเฉิงตีหน้าไม่พอใจ มากกว่าเดิม ตะคอกกลับทันควัน
“ชีวิตข้าเป็นของข้า ข้าจะข้องเกี่ยวกับผู้ใด หาใช่เรื่องของเจ้า! อย่ามากำหนดชะตาชีวิตข้า!”
คำพูดนั้นบันดาลโทสะของเทพอสูรสุนัขป่าที่พยายามกักเก็บไว้ให้พลุ่งพล่านมากขึ้นไปอีก แค่รู้ว่าคนตรงหน้าหนีออกจากจวนไปยังทะเลทรายกับเจ้างูจงอางนั่น เขาก็สุดจะทนแล้ว ไหนยังจะกลับมาพร้อมกลิ่นสาบงูอีก แล้วซิ่นเฉิงยังจะดื้อด้านใส่ เป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ชักจะทนไม่ไหว
กลิ่นของเจ้างูนั่น...ช่างน่าคลื่นเหียนนัก!
มือขัดถูไม่หยุดจนผิวหนังของซิ่นเฉิงแทบจะหลุดออกมา ชายหนุ่มหมดความอดทนในคราวนี้เช่นกัน ออกแรงกระชากแขนตนกลับ จังหวะเดียวกับที่เทียนอี้คลายฝ่ามือพอดี การเกาะกุมนั้นจึงหลุดโดยง่าย ครั้นเทียนอี้ขยับเข้าไปหมายจะคว้าแขนของซิ่นเฉิงมาไว้ในมือเพื่อเอากลิ่นสาบน่าสะอิดสะเอียนนั้นออก เขาก็ถูกปัดซิ่นเฉิงปัดมือเข้าเต็มแรง อีกทั้งยังกระโดดหนีขึ้นจากอ่างน้ำ
“ซิ่นเฉิง... อย่าดื้อกับข้า”
เสียงต่ำร้องขู่เมื่อเห็นมนุษย์หนุ่มมีท่าทางดื้อแพ่งประหนึ่งแมวพองขนขู่ฟ่อ กระนั้นก็หาได้ทำให้ซิ่นเฉิงเชื่อฟังได้เลยแม้แต่น้อย
“หากคิดว่าข้าจะยอมเจ้าง่ายๆ ล่ะก็ เจ้าคงคิดผิด!”
เทียนอี้เหมือนจะหมดความอดทนจริงๆ แล้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดต้องเป็นเดือดเป็นร้อนเมื่อรู้ว่าซิ่นเฉิงหนีออกไปพบผู้ใดได้ขนาดนี้ รู้เพียงแต่ว่าในใจร้อนรุ่มเสียจนอยากจะมุ่งหน้าไปยังจวนของเจี้ยนสือแล้วสังหารสหายเก่าเสียให้สิ้นซาก แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาต้องจัดการกับเจ้าแมวของเขาเสียก่อน
“หากเจ้าไม่ยอม เห็นทีข้าคงต้องใช้กำลัง”
“ก็ลองดู ข้าจะไม่ยอมเจ้าอีกต่อไป!”
เคยมีครั้งใดที่ยอมด้วยหรือ?
เทียนอี้คิด มองภาพบุรุษตรงหน้าที่พร้อมจะสู้แล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ หากเป็นไปได้ เขาก็ไม่อยากใช้กำลังกับมนุษย์ผู้นี้ ถึงจะรู้ว่าซิ่นเฉิงมีวรยุทธเก่งกาจพอตัว แต่เมื่อปะมือกับเทพอสูรอย่างเขาแล้วก็กลับสู้ไม่ได้ หากต้องสู้กัน มีหวังซิ่นเฉิงต้องได้รับบาดเจ็บเป็นแน่
“ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้า ซิ่นเฉิง...เลิกดื้อดึงกับข้าเสียที ตลอดมา เจ้าดื้อดึงมามากพอแล้ว”
น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความระอาใจ ซิ่นเฉิงเองก็สัมผัสได้ แต่สาเหตุที่เขาเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะเทียนอี้หรอกหรือ?
“ข้าดื้อดึงแล้วอย่างไร หากไม่พอใจ ก็จงปล่อยข้ากลับคืนสู่ทะเลทรายสิ!”
“ซิ่นเฉิง...” เทียนอี้เรียกคล้ายกับจะบอกให้สงบอารมณ์แล้วหยุดพูดไร้สาระเสีย
ทว่าก็ไม่ทำให้ซิ่นเฉิงหยุดได้เลย
“เจ้าต่างหากที่ดื้อดึง เคยย้อนมองดูตนหรือไม่ว่าที่ข้าเป็นเช่นนี้นั้นสาเหตุมาจากผู้ใด หากไม่เป็นเพราะเจ้าที่ฉุดคร่าน้องสาวของข้าไป อีกทั้งกักขังข้าไว้โดยไม่ยินยอม มีหรือที่ข้าจะไปข้องเกี่ยวกับเจ้างูนั่นเพราะต้องการกลับไปที่ทะเลทราย! จวนของเจ้าไม่เหมาะกับข้า สวนบุปผชาติของเจ้าก็ไม่ใช่ที่ของข้า บ้านของข้าคือทะเลทราย!”
ตะเบ็งเสียงออกมาด้วยสุดจะกลั้น การที่เขาไม่เชื่อฟังเทียนอี้ก็เป็นความผิดของเขา การที่เขาหนีออกจากจวนไปพบเจี้ยนสือที่เป็นผู้พาเขากลับทะเลทราย นั่นก็เป็นความผิดของเขาอีก แล้วเทียนอี้ล่ะ ความผิดของเขาคือสิ่งใด ...ริดรอนอิสระของเขาไปเช่นนั้น อีกทั้งยังละเลย ทำราวกับว่าเขาเป็นสัตว์เลี้ยงเท่านั้น นั่นหาใช่ความผิดหรือ?