chapter 06
imposter syndrome
สาบานเลยว่าเรื่องเมื่อคืนผมเจตนาทำลงไปทั้งหมด
เจตนาทำทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายเมา เมื่อตื่นขึ้นมาอีกวันแล้วก็อดไม่ได้ที่จะกังวลเมื่อธูปหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ผมถอนหายใจหนักๆ จนพี่นันต์ละสายตาจากคุณกานดามามอง ผมสบตาบาริสต้าแล้วก็เกือบถอนหายใจอีกครั้งถ้าลูกค้าไม่เดินเข้าร้านก่อน
วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ตื่น ออกไปวิ่ง กลับร้านมาอาบน้ำ ช่วยพี่นันต์เปิดร้าน ตรวจงานให้อาจารย์ อะไรที่ทำโดยร่างกายสั่งการยังคงทำได้ปกติ แต่ในหัวเผลอวกวนคิดถึงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นไม่หยุด
ผมแม่ง โคตรฉวยโอกาส
ลูกค้าจ่ายเงิน เดินออกไปจากร้านโดยใส่ถุงผ้าที่พกมาด้วย ว่ากันว่าคนที่มีลักษณะอัลทูลิซึมสูงจะมีพฤติกรรมตรงข้ามกับคนมีอีโก้ หมายถึงลักษณะนิสัยชอบใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นโดยยอมเสียผลประโยชน์ของตัวเองเช่นกันกับผึ้งบางตัวที่ยอมตายเพื่อให้นางพญามีชีวิตอยู่ เปล่า ไม่ใช่เพราะนางพญา แต่มันทำไปเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ ซึ่งลักษณะนิสัยเหล่านี้มียีนหรือสมองส่วนอะมิกดาลาใหญ่กว่าปกติ ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น เช่นกันกับนักอนุรักษณ์นิยม นักบริจาคทั้งหลาย การยอมลำบากเพื่อให้ชีวิตอื่นได้สุขสบายยิ่งขึ้น กระทั่งเมื่อคืนก็พบว่าแท้จริงแล้วผมมันก็คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง คนที่เอาอารมณ์ตัวเองเป็นใหญ่ ไม่สามารถควบคุมจิตสำนึกได้เหมือนคนไม่ได้รับการศึกษา
ไม่ต้องเทียบกับคนที่ยอมบริจาคไตตัวเองเพื่อคนอื่นเลย กับแค่ดูแลลูกชายของผู้มีพระคุณในวันที่เขาอ่อนแอยังทำไม่ได้ ผมแม่งโคตรรู้สึกผิดจนไม่รู้จะสู้หน้าไอ้ธูปได้ยังไงไหว
“Where’s Tube?” เสียงสำเนียงอเมริกาชัดแจ๋วดังปลุกผมให้หลุดจากความคิดของตัวเอง มาร์คโยนกุญแจรถขึ้นลง กวาดสายตามองรอบร้านก่อนหยุดที่ผม “ He isn’t here?”
ผมยักไหล่ ไม่ตอบด้วยคำพูด เด็กหนุ่มควานหาโทรศัพท์ของตัวเองทันที กดหาเบอร์เพื่อนสนิทพลางบ่น
“Did he drunk last night? What’s happen? , Hey Tube where are you? ”
ผมไม่ทันตอบสักคำถามประโยคท้ายของมาร์คก็เปลี่ยนไปคุยกับคนในสายก่อน ผมกับพี่นันต์มองหน้ากันแล้วสลับกลับมามองมาร์คอีกที
“Ok. I’ll go there”
พูดจบก็พลิกตัวกลับ ผมผุดลุกขึ้นทันที “มาร์ค”
“หืม?”
“ธูปอยู่ไหน”
มันเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า หยิบกุญแจรถขึ้นมาก่อนตอบ “Home, I’m going there”
“เฮ้ย เฝ้าร้านเป็นเพื่อนพี่นันต์ให้หน่อย” พี่นันต์มองค้อนขวับ ผมไม่สนใจ โกยหนังสือและโน้ตบุ๊กเข้ามุม ใช้ผ้าคลุมไว้ลวกๆ “ยืมรถด้วย เดี๋ยวเอามาคืน”
“I’m going to see him a bit. If he ok I’ll back here” มันว่า ขยิบตาให้พี่นันต์แต่ผมยังค้าน
“โนๆ” ไอ้ฉิบหาย ภาษาอังกฤษน่ะอ่านเก่ง ฟังเก่ง แต่ไม่ค่อยได้พูดโว้ย “ไอมีเรื่องจะคุยกับมัน ยูเฝ้าร้านนี่แหละ แทงกิ้ว”
ไม่รอให้มาร์คตอบผมก็คว้ากุญแจจากมือมันแล้ววิ่งออกจากร้านรวดเร็วจนไม่ได้ยินเสียงตะโกนไล่หลังจบประโยค ขอบคุณที่เคยลองขับรถทุกอย่างตั้งแต่จักรยานถึงรถแบ็คโฮ บิ๊กไบค์ล้อใหญ่ของมาร์คกลายเป็นอุปสรรคยิบย่อยเมื่อเทียบกับความต้องการเจอธูปของผมในตอนนี้หลายเท่า ผมสตาร์ทรถ สวมหมวกกันน็อค ออกตัวอย่างเซียนเหมือนคนเรียนมา
ผมเคยมาที่บ้านของอาจารย์พิภพมาก่อน บางครั้งเอางานมาส่ง หรือเอาของมาให้จากมหาวิทยาลัย ขับรถมาด้วยการใช้กูเกิ้ล เดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ถึง
บ้านของอาจารย์พิภพเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น พื้นที่มากพอให้ปลูกต้นไม้สูงใหญ่ ต้นที่ใหญ่ที่สุดคือโมกริมลานจอดรถ ผมกดกริ่งเรียกคนในบ้าน รถของอาจารย์พิภพไม่อยู่ ที่บ้านเขามีรถสองคันสำหรับตัวเองและภรรยา แปลว่าวันนี้ธูปอยู่บ้านคนเดียว
ไม่เกินสิบนาทีธูปก็เดินออกมาจากบ้านด้วยท่าทีสโลเสล ใส่แว่นกรอบดำ หนาเหมือนเคย มันมองรถ แล้วมองผม แล้วก็หันกลับไปมองที่รถอีกที
“พี่ขับมอไซค์เป็นด้วยเหรอ”
“อืม” ผมเกาท้ายทอย แล้วใช้หลังมือปัดจมูกพยักหน้าหงึกหงัก “โกรธอะดิ”
“ผมเหรอ พี่น่าจะถามไอ้มาร์คมากกว่า ผมเพิ่งวางสาย มันโทรมาฟ้องผม ว่าพี่ไปขโมยของมันมา เลยด่าพ่อให้เป็นชุด”
“ด่าไปเถอะ มันไม่ได้นับถือพุทธ” คงไม่บาปถ้ามันจะด่าพระ
“พี่แม่ง ตลกว่ะ เมื่อคืนพี่ไม่เมาเลยเหรอ อ้อ ใช่สิ กินไปนิดเดียว”
“มึงอะ” ผมถาม อึดอัดใจไปหมด ภาวะเครียดแบบนี้ไม่เกิดขึ้นนานแล้ว และมันกำลังเกิดขึ้นเพื่อชดใช้ความผิดของตัวเองที่ทำไปเมื่อคืนอย่างสาสม “ออกมาไม่บอก”
ผมเพิ่งสังเกตว่าธูปใส่เสื้อผ้าตัวเดิมกับที่ใส่ไปคาเฟต์เมื่อวาน ลากแตะเดินนำเข้าบ้าน หาวหวอดทั้งที่ไม่ปิดปากก่อน
ตอบ “รอออกมาตอนพี่นันต์มาถึงก็โดนด่าเปิงดิ”
ธูปหัวเราะ ไม่เหมือนคนกลัวบาริสต้า เรียกให้ถูกคือเกรงๆ มากกว่า
“ผมแม่ง จำอะไรไม่ได้เลย ภาพตัดฉิบ ผมเมาแล้วก่อเรื่องให้พี่หรือเปล่า โทดที ไม่รู้ว่าตัวเองควรเบรกตอนไหน”
“ดื่มครั้งแรกก็แบบนี้แหละ”
“อื้อ ตอนนี้รู้แล้ว แม่งเริ่มมึนตอนเพลงนั้น ผมกินไปได้เยอะหรือยังนะเพลงที่ร้องว่าได้ชิดเพียงลมหายใจ แค่ได้ใช้เวลาร่วมกันอะ”
“อยากรู้แต่ไม่อยากถาม ของป๊อบ”
“เอ้อ นั่นแหละ ผมโคตรเฮิร์ท กับพี่กานต์คงเป็นได้เท่านั้นเลยกรอกไปไม่ยั้ง”
เจ้าของบ้านพามาที่โถงรับแขก ผมไม่ทันสังเกตว่ามันดื่มหนักหลังจากเพลงนั้นด้วยซ้ำ ธูปทิ้งตัวลงบนโซฟาผ้าหนานุ่มสีเขียวอมเทา ใช้ผ้าสำลีสีฟ้าครามแทนหมอนข้าง ส่วนหมอนหนุนเป็นตุ๊กตาหมาง่วงนิ่มๆ สีน้ำตาลอ่อน อากาศในบ้านเย็นสบาย เปิดหน้าต่างทุกบานให้ลมเข้าและออก เสริมทัพด้วยพัดลมตัวสูงส่ายหน้าไปมา
“ปวดหัวฉิบ”
“แฮงค์อะดิ”
“ไม่รู้อะ กลับมาถึงก็อ้วกแตกเลย นี่ดีขึ้นแล้วนะ ไม่งั้นลุกออกไปรับพี่ไม่ได้ โชคดีชะมัดสัปดาห์นี้ไม่อยู่กันหมด”
ผมพยักหน้า ยืนห่างจากคนพูดที่ซุกหัวไปใต้ตุ๊กตา หลบแสงสว่างของกลางวันเพื่อพักผ่อน
“ขอใช้ครัวหน่อย เดี๋ยวไปดูให้ว่ามีอะไรกินให้รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง”
“ตามสบายเลย ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยอะ โคตรหิว แต่ก็คลื่นไส้”
“เออ นอนไปก่อน”
ผมละความตั้งใจที่จะสารภาพความผิดทั้งหมด เก็บไว้กับตัวเองและยังคงหนักอึ้ง แปลกที่มันหนักขึ้นเท่าทวีคูณเมื่อธูปบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย
ผมหยุดยืนหน้าตู้เย็น นึกถึงเพลงนั้นที่พี่นันต์เล่น เพลงที่ผมนั่งมองเสี้ยวหน้า สันกรามของธูป เด็กหนุ่มที่เหม่อลอยไปทางเวที เท้าคาง และสบตากับผมเมื่อเพลงจบลง
ถอนหายใจทิ้งหนึ่งครั้งเมื่อพบว่าที่จริงแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรเลย