อสงไขย กาลพิเศษที่๑
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งกำลังนั่งกระสับกระส่ายบนที่นั่งของตัวเอง พลางเหลือบมองคนข้างกายก่อนเอ่ยปากถามให้ฝ่ายนั้นหัวเราะ
“ไอ้เจ้านี่มันบินได้หรือ?”
“หือ พ่อเปรมว่ายังไงนะ?” ผู้มีศักดิ์เป็นอาเอ่ยถามพลางกลั้วหัวเราะ
“ไอ้เจ้านี่ ที่เรานั่งกันอยู่น่ะ มันได้บินหรือ?” เมื่อฝ่ายตรงข้ามขอทวนคำถามเขาจึงถามกลับไปใหม่
“ทำไมจะบินไม่ได้เล่า เรือบินนี้น่ะพ่อก็นั่งอยู่บ่อยๆ เอ หรือบาดเจ็บคราวนี้หัวจะได้การกระทบกระเทือนไปด้วย?” ท้ายประโยคเจ้าตัวพึมพำแล้วหันมามองหน้าหลานชายเต็มตา
“อา...ก็คงแบบนั้นขอ.. ครับ นี่ก็ปวดหัวมากเลย อีกอย่างผมจำอะไรไม่ได้สักนิด”
“ตายจริงพ่อเปรม!” อาสาวตัดสินใจแล้วว่าเมื่อไปถึงบ้านเมื่อไหร่จะพาหลานชายไปตรวจอย่างละเอียดอีกที เหตุที่รีบมารับหลานชายกลับบ้านเพราะข่าวว่าชายหนุ่มไปช่วยเหลือบ้านคนที่ถูกไฟไหม้ หนำซ้ำยังบาดเจ็บ บรรดาญาติๆต่างพากันเป็นห่วงและส่งให้เธอมารับตัวหลานชายกลับ แต่ดูท่าตอนนี้จะมีปัญหาใหญ่ตามมาเสียแล้ว
ชายหนุ่มถูกพาไปหาหมอที่เก่งที่สุดแต่ก็ไม่พบความผิดปรกติของสมองอันบ่งบอกว่าเจ้าตัวความจำเสื่อมได้อย่างไร สรุปสุดท้ายว่าช๊อคจากการตกใจเพราะเหตุการณ์ไฟไหม้
เขาเรียนรู้จดจำรายชื่อบรรดาญาติพี่น้อง รวมถึงเรื่องตัวของตัวเขาเอง... การใช้ชีวิตของชายที่ชื่อเปรม หากผ่านไปเพียงแค่หกเดือนเขาก็อดรนทนคิดถึงใครบางคนซึ่งอยู่คนละฝากฟ้าไม่ได้ เขาจึงหว่านล้อมขอกลับมาเมืองไทยโดยอ้างว่าบางทีเรื่องราวต่างที่นี่อาจจะฟื้นความจำเขาได้บ้าง
อันดับแรกเขาตามหาบ้านเช่าของอาจารย์เปรมจนพบแล้วสวมรอยใช้ชีวิตของฝ่ายนั้น หากแต่ไม่ง่ายเลย ไหนจะเรื่องเสื้อผ้า การเดินทาง อาหารการกิน ทุกสิ่งอันเขาไม่เคยได้เตรียมเองสักอย่างตั้งแต่เล็กจนตายกลายเป็นผี...
จะจัดการเรื่องใดก่อนดีหนอ...เขาถามตัวเองพลางจรดดินสอลงบนกระดาษขาว ยิ่งดึกยิ่งเงียบกลับยิ่งคิดถึงคนที่ใจคะนึงหา ....แก้วตาพี่...เมื่อใดพี่จะได้พบหน้าเสียที...
.
.
.
*****
ชายหนุ่มก้มลงมองม้วนกระดาษในมือตนเองแล้วให้ขมวดคิ้ว ในอกอึดอัดเพราะความตื่นกลัวอย่างประมาณมิได้...เขาพร้อมพบหน้าคนในห้วงคำนึงแล้วหรือ? ไม่เลย...เขายังไม่พร้อมสักนิด
แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่าในเมื่อบัดนี้เรือนขาวนั้นเหลือเพียงเถ้าซึ่งทำให้คนเฝ้ามองได้แต่ทำหน้าหม่นหมอง เขาทนได้หรือที่จะเห็นแก้วตาร้องไห้ยามเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าสถานที่ที่เคยตั้งเรือนขาว...
คงไม่เป็นกระไรหรอก ในเมื่อนี่เป็นเพียงภาพแปลนเรือนขาวเท่านั้น เขาหวังเพียงอยากให้แก้วตาหายระทมทุกข์แม้เพียงเสี้ยวก็ยังดี ดังนั้นชายหนุ่มจึงฝากภาพแปลนเรือนขาวไว้ที่เพื่อนอาจารย์เพื่อส่งต่อให้แก้วตา หากเขาไม่คิดเลยว่าผลที่ตามมาจะทำให้เขาตื่นตระหนกได้มากมายเพียงนี้!
“หยุดนะ!”
“เฮ้ย!” ชายหนุ่มร้องเสียงหลงเมื่อเขากลับมาจากท่าเรือแล้วพบว่ามีใครบางคนยืนทุบประตูรั้วหน้าบ้านเขาอยู่ อารามตกใจเขาจึงหันหลังวิ่งหนีทันทีโดยไม่ต้องคิด กลายเป็นว่าคนตัวเล็กวิ่งไล่กวดตามหลังเขามาติดๆ
“.....” เขาได้แต่นั่งก้มหน้าเงียบ ใจเต้นระรัวในหัววิ่งวุ่นว่าจะทำอย่างไรดีหนอไม่ให้คนตรงหน้ารู้ว่าเป็นเขา
“คุณวิ่งหนีทำไม?” แก้วตาถามในที่สุดหลังจากมองเขาเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากรอบที่สาม
“เปล่า...!” ปัง! เพียงแค่อ้าปากเอ่ยปฏิเสธยังไม่จบมือเล็กก็ตบโต๊ะดังปังจนเขาสะดุ้งเฮือก (รวมถึงฤดีด้วย) มือใหญ่ดันแว่นกันแดดอันโตซึ่งเลื่อนลงขึ้นไปบังดวงตาตามเดิม
“กล้าโกหกเหรอ” เหงื่อซึมผุดบนหน้าผากกว้างเมื่อเห็นสายตาของร่างเล็กตรงหน้า พลางคิดในใจว่าเหตุใดเดี๋ยวนี้แก้วตาคนน่ารักของเขาถึงได้กลายเป็นดุร้ายไปเสียแล้ว (แน่นอนว่ามันมาจากตัวเขาเองนั่นแหละ ซึ่ง...เขายังไม่รู้ตัว
“เปล่าจ้ะ เอ้ย เปล่าครับ” เขาดันแว่นขึ้นอีกครั้งเพราะรู้สึกว่าเหงื่อจะทำให้มันลื่นเลื่อนลงมาเรื่อยๆ
“คุณผิดสัญญากับผม”
“เอ๊ะ?” นี่อาจารย์เปรมไปสัญญาเรื่องใดไว้กับแก้วตากัน? ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดเหงื่ออีกรอบด้วยยังหวาดวิตก
”อย่ามาแกล้งลืมนะ คุณบอกว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าไม่ได้รับอนุ... อะไร?” แก้วตาชะงักประโยคค้างไว้เมื่อฤดีดึงแขนเสื้อเขาแรงๆ
“เธอควรจะพูดอีกประโยคหนึ่งก่อนนะ” ชายหนุ่มเหลือบมองเด็กสาวพลางยิ้มขอบคุณไปให้เมื่อหล่อนช่วยแก้สถานการณ์ตรงหน้า
“อ้อ ขอบคุณนะครับที่คุณช่วยผมจากเรื่องเมื่อคราวที่แล้ว” ยังไม่ทันให้ชายหนุ่มได้พยักหน้ารับแก้วตาก็พูดประโยคต่อไปให้เขานิ่งอึ้งเสียก่อน “ถึงแม้ว่าผมจะเห็นคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ไม่ใช่คุณก็ตาม”
“แก้ว!”
“.....” ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้แว่นกันแดดซีดเผือดทันที นี่เขาควรจะดีใจที่แก้วตารู้ว่าเขาเป็นคนช่วยเมื่อคราวนั้นหรือจะเสียใจดี...เสียใจแทนอาจารย์เปรมผู้เสียสละทั้งชีวิตและวิญญาณเพื่อคนตรงหน้านี้...
“ทีนี้ก็มาเข้าเรื่องหลักเสียที ...อ้อ ช่วยถอดแว่นกันแดดได้ไหม?” แก้วตากอดอกพลางชี้มาที่แว่นกันแดดบนหน้าเขา ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธทันทีเช่นกัน “นี่คุณ มันเสียมารยาทนะ อยู่ในที่ร่มแล้วจะใส่แว่นกันแดดทำไม” พอเห็นเขาปฏิเสธคนตัวเล็กเลยได้แต่สูดลมหายใจเข้า เฮือกใหญ่เพื่อระงับอารมณ์โกรธที่พุ่งทะลักขึ้นมา แต่จะให้ทำอย่างไรเล่าก็เขาเกิดสงสารนายอาจารย์เปรมขึ้นมาเสียแล้วนี่... แก้วตารักมั่นเพียงเขานั้นก็ดีใจอยู่หรอก แต่อดเวทนาเจ้าของร่างกายนี้ไม่ได้... ยิ่งนึกถึงภาพสุดท้ายที่ฝ่ายนั้นก้มจรดริมฝีปากลงบนหน้าผากเนียนก่อนหายวับไปยิ่งอดสงสารไม่ได้ คล้ายกับว่าเขาแย่งชิงร่างกายนี้มา...
“เข้าเรื่องดีกว่า ตอนนี้คุณรู้ใช่ไหมว่าผมโกรธมาก” ชายหนุ่มส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นพยักหน้าอย่างรวดเร็วแทนเมื่อสบดวงตาวาวโรจน์ “เรื่องอะไรรู้ไหม?” คราวนี้เจ้าของใบหน้าน่ารักยิ้มหวานหากคนมองกลับเสียวสันหลังวาบแล้วส่ายหน้า “เป็นใบ้หรือคุณน่ะ?”
“เปล่า”
“เห็นส่ายหน้ากับพยักหน้าแค่นั้นก็นึกว่าเป็นใบ้ไปเสียแล้ว”
“ปากร้ายเสียจริง” เขาพึมพำแผ่วเบาหากคนจ้องหาเรื่องก็หูดีเกิน เด็กหนุ่มสะบัดเสียงถาม
“อะไรนะ!”
“เอ่อ เข้าเรื่องดีกว่าไหม?” ฤดีอดเอ่ยแทรกไม่ได้ หากปล่อยทิ้งไว้เห็นทีอาจารย์เปรมผู้เคยมั่นใจในตนเองคงโดนคนตัวเล็กข่มไปมากกว่านี้เป็นแน่
“ใช่! ผมจะบอกว่าผมโกรธมากที่คุณผิดสัญญา”
“สัญญา?”
“ก็ที่คุณสัญญากับผมว่าจะไม่วาดภาพเรือนขาวถ้าผมไม่อนุญาตไง!”
“เอ่อ” สีหน้าเหมือนลืมไปแล้วทำเอาเด็กหนุ่มตบโต๊ะเสียงดังให้สะดุ้งกันอีกรอบ
“คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“คือ พี่ เอ้ย ผมแค่ แค่อยากให้มีเรือนขาวเหมือนเดิม” เขาพลาดไปเสียแล้ว...
“ก็เลยละเมิดสัญญาแล้ววาดภาพนี้ขึ้นมา?”
“พี่สัญญาไว้อย่างนั้นรึ?”
“ยังไม่แก่ไม่น่าจะความจำสั้นนะคุณ” คนตัวเล็กขมวดคิ้วมองเขาอย่างสงสัย เขาได้แต่นั่งนิ่งไม่ตอบโต้ แก้วตาฮึดฮัดเทกระดาษออกจากกระบอกสีน้ำตาล
“โทษที่คุณผิดสัญญา ผมจะฉีกมันทิ้งซะ!”
“อย่านะ!” อารามตกใจเขาลุกขึ้นยืนยืดกายเอื้อมแขนแย่งภาพนั้นออกจากมือเล็ก เป็นจังหวะเดียวกับที่แว่นกันแดดหลุดออกจากใบหน้าพอดี
“!” เด็กหนุ่มนิ่งค้างจ้องมองหน้าเขา ปล่อยให้เขาฉวยของในมือกลับคืนอย่างง่ายดาย
“พี่ขอตัวก่อนนะ” ชายหนุ่มคว้าแว่นกันแดดแล้วเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็วทิ้งให้อีกฝ่ายนิ่งค้างอยู่แบบนั้น
เขาจะทำอย่างไรดี...แก้วตาจะสังเกตเห็นหรือเปล่านะ?
แววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่คู่นี้...
ดวงตาคู่เดิมที่เฝ้ามองน้องตลอดมา...
.
.
.
*****
“อ๊ะ!” ชายหนุ่มสะดุ้งกายเมื่อจู่ๆโดนคว้าขาเอาไว้
“คุณจะไปไหนหรือ?”
“แก้วตา! เอ่อ ไปเที่ยว”
“เที่ยว? ถ้าอย่างนั้นผมไปด้วยนะ”
“เอ๊ะ?” จะทำอย่างไรดี เขารู้ซึ้งถึงความดื้อรั้นของแก้วตาดีว่าหากคนตัวเล็กดื้อดึงขึ้นมาแล้วยากนักจะให้อีกฝ่ายสะบัดมือจากไป
“เอารถคุณไปซิ นะ จะได้นั่งได้หลายๆคนไง” เด็กหนุ่มเขย่าแขนออดอ้อนให้ร่างสูงตกประหม่า
“รถ รถหรือ?” เขาขับเป็นเสียที่ไหนเล่า!
“ใช่ ผมเคยเห็นคุณขับไปมหาวิทยาลัย”
“เอ่อ คือ พี่ เอ้ย ผมอยากลองนั่งสามล้อดูน่ะ”
“งั้น คุณไปเที่ยวที่ไหน ผมไปด้วยนะ” ชายหนุ่มยกมือปาดเหงื่อ แล้วเขาจะพาแก้วตาไปเที่ยวที่ไหนเล่า เขาไม่รู้จักสถานที่ใดสัที่!
“เที่ยว เอ่อ เที่ยว...”
“ไปที่ที่คุณเคยพาผมไปก็ได้นะ คุณจำได้ใช่ไหม?” เจ้าอาจารย์เปรมพาแก้วตาของเขาไปเที่ยวที่ใดกัน!
“...ที่ไหนหรือ?”
“....” สุดท้ายก็กลายเป็นแก้วตาเอ่ยบอกสถานที่ออกมา แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้นั่งสามล้ออย่างที่ต้องการหากเป็นรถของฤดี ซึ่งเด็กสาวทำหน้าที่เป็นสารถีให้เขามองอย่างสนใจจนหลุดถามว่าผู้หญิงก็ขับรถเป็นด้วย หรือ? ฤดีหัวเราะชอบใจกับคำนั้นส่วนแก้วตาได้แต่จ้องหน้าเขาอย่างจับผิด
หรือแก้วตาจะจำได้แล้ว? เขาซุกมือลงกระเป๋ากางเกงด้วยใจไม่เป็นส่ำ...หรือจะถอดสิ่งนั้นออกดี?
หลายวันที่ผ่านมาแก้วตาเอาแต่เฝ้าตามเขาชนิดไม่ให้ห่างสายตา เว้นเพียงเขาจะกลับบ้านมานอนเท่านั้น หรือแก้วตาจะจำเขาได้แล้วจริงๆ? ทั้งๆที่เขาสวมแว่นตาดำตลอดเพื่อปกปิดสายตาเอาไว้ หรือแม้จะแกล้งเงียบในยามอีกฝ่ายชวนพูดคุยเพื่อที่ฝายนั้นจะได้ไม่รู้ว่าเขาจำอะไรไม่ได้สักอย่าง... แต่แก้วตาก็ขยันพาเขาไปนู่นมานี่บ่อยเหลือเกินและเขาก็อดจะตื่นตาตื่นใจกลับสิ่งที่พบเห็นไม่ได้ทุกครั้ง ไหนจะพาไปชมภาพยนตร์ ไหนจะงานเต้นรำหรือแม้แต่ภัตคารอาหาร
“....ทำไมถึงนั่งเงียบนักเล่า ภาพยนตร์ไม่สนุกหรือ?” แก้วตาหันมาถาม เขาไม่รู้ว่าแก้วตาเอาสตางค์จากไหนมาพาเขาเที่ยวเล่นอย่างนี้ พออ้าปากทักท้วงก็โดนดุกลับมา
“ก็สนุกดี ไม่เหมือนหนังญี่ปุ่นที่เคยดู”
“หนังญี่ปุ่น?”
“ใช่ เมื่อคราวนั้นพวกชาวญี่ปุ่นมักมาฉายหนังเร่บ่อยครั้ง พี่เองได้ดูบ้างบางหนเมื่อคราวว่างจากงาน”
“นี่น่ะ โรงภาพยนตร์คนไทยทำ ไม่มีพวกชาวญี่ปุ่นหรอก” แก้วตาอธิบายยิ้มๆ
“อย่างนั้นรึ?” แก้วตาไม่ได้ชวนเขาคุยอีกเพราะไม่อยากรบกวนคนอื่นๆ หากเมื่อเขาจับจ้องภาพในจอหนังตรงหน้า คนข้างๆมักจะจ้องมองเขาแล้วทำท่าครุ่นคิดพอเขาหันไปมองเพราะรู้สึกถึงสายตาคนข้างตัวก็จะแกล้งชวนคุยว่าภาพยนตร์สนุกอย่างนั้นอย่างนี้
“เป็นอย่างไรบ้าง?” คนตัวเล็กสีหน้าไม่สู้ดีเมื่อเห็นท่าทางของเขา เพราะอยู่โรงภาพยนตร์แคบๆมืดๆนานไปนิดทำให้เขารู้สึกอึดอัดและผะอืมผะอมเหลือแสน คล้ายลมตีให้เมาหัว
“คราวหน้าไม่มาแล้วนะ ทั้งแคบทั้งมืดชวนเมาหัวจริงเชียว” แก้วตาหัวเราะเสียงใสเมื่อได้ฟัง เขาจึงพลอยยิ้มตามไปด้วย หากแลกกับการเมาหัวแล้วให้แก้วตาหัวเราะเสียงดังอย่างนี้ นานๆมีก็ไม่ว่ากัน
•
สมัยก่อนจะเรียกว่าหนังญี่ปุ่น เนื่องจากชาวญี่ปุ่นเป็นผู้นำมาฉายในสยามยุคแรกๆก่อนมีการทำโรงภาพยนตร์โดยคนไทย “.....” เขาจ้องมองแผ่นสีดำที่หมุนวนไม่หยุดพลางนึกสงสัยว่าก่อนหน้านี้ที่จำได้มันต่างออกไป
“มีอะไรหรือครับ?” แก้วตาเอ่ยถาม เขาขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“จานเสียงนี้น่ะ มันเปลี่ยนแล้วหรือ เมื่อครั้งกระนู้นเหมือนจะแผ่นหนาหนักกว่านี้มากนัก”
“?”
“แล้วนี่หันมาบันทึกเพลงอื่นแล้วหรือ? ไม่ใช่เพลงปี่พาทย์ที่นิยมกันแล้วรึไง?” เขาหันมาถามคนข้างกายด้วยความสงสัย พลันสะดุ้งวาบในใจเมื่อเผลอแสดงท่าทางออกไป แก้วตาเงยหน้ามองเขาแล้วยกยิ้มริมฝีปากให้เขานึกหวั่น หากคนตัวเล็กกลับกระแอมไอเสียทีหนึ่งแล้วหันมา
“ฤดีรอเต้นรำกับคุณอยู่นะ”
“เต้นรำหรือ?”
“เพลงนี่ไม่ใช่มีไว้ฟังหรอกรึ?”
“คุณอย่าบอกนะว่าเต้นรำไม่เป็น?” คนตัวเล็กเลิกคิ้วถาม ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วอึดใจ จะบอกว่าอย่างไรเล่าว่าเขาเต้นรำไม่เป็นจริงๆ
“ผมยังเคยเห็นคุณเต้นเมื่อคราวก่อนอยู่เลย”
“?” แย่จริง! จะทำอย่างไรดี! ชายหนุ่มกัดริมฝีปากพลางครุ่นคิดหาทางออก โดยไม่ทันคิดเลยว่าอีกฝ่ายกำลังหยอกอำเขา
“เอาเถอะๆ ถ้าคุณไม่ไปผมจะเต้นรำกับฤดีเองก็แล้วกัน” ชายหนุ่มถอนหายใจโล่งอกที่คนตัวเล็กไม่ได้คาดคั้นเขาให้ไปเต้นรำจริงๆ ก่อนจะหันมาให้ความสนใจกับจานเสียงด้านหลังอีกครั้ง
“ยุคสมัยเปลี่ยนแปลง จานเสียงเดี๋ยวนี้แผ่นบางลงแล้วหรือ?” เขาพึมพำกับตนเองโดยไม่ได้รับรู้ถึงสายตาจับผิดของทั้งสองคนที่กำลังเต้นรำกันอยู่
.
.
.
“ร้อนจริง” เขาพึมพำพลางดึงเสื้อขยับให้ลมเข้า
“ถ้าอย่างนั้นไปทานขนมกันไหม ที่ตลาดน้ำข้างหน้ามีร้านอร่อยๆอยู่” แก้วตาเดินขึ้นขนาบข้างเอ่ยชวน ชายหนุ่มชะงักเท้าหยุดคิด วันนี้แก้วตาก็ตามติดเขาเป็นเงาอีกแล้ว...หรือว่าเขาแสดงท่าทีอะไรให้น่าสงสัยออกไป? “ไม่ไปหรือ?” เจ้าของดวงตาดำขลับเอียงคอมองให้หัวใจเขาเต้นแรง พาลอ้าปากปฏิเสธไม่ออก
เขาก้มลงมองข้อมือที่โดนอีกฝ่ายฉุดรั้งให้เดินตามแล้วขมวดคิ้ว นี่แก้วตาถึงขนาดจูงมือถือแขนชายอื่นด้วยรึ? ในใจพลันกรุ่นโกรธด้วยหึงหวงว่าความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์เปรมผู้นี้กับแก้วตาของเขานั้นสนิทชิดเชื้อมากถึงระดับใดแก้วตาจึงแตะเนื้อต้องตัวร่างกายนี้แบบนี้
“นี่ ไข่กบ นกปล่อย บัวลอย อ้ายตื้อ ใส่น้ำแข็งเย็นชื่นใจ”
“น้ำแข็ง?”
“ใช่น้ำแข็ง นี่อย่างไร ก้อนเล็กๆใสๆนี่” แก้วตาว่าพลางใช้ช้อนตักก้อนน้ำแข็งจากถ้วยขึ้นให้อีกฝ่ายดู
“ไม่ใช่ของที่เจ้าขุนมูลนายในวังท่านทานดอกรึ? เหตุ ใดจึงมีออกมาข้างนอกให้ได้กินกัน?”
“คุณว่าอะไรนะ?” แก้วตาเอียงคอถาม
“เอ่อ พี่ เอ้ย ผมนึกว่าเขาจะใส่พิมเสนให้เย็นๆเสียอีก”
“พิมเสน? เดี๋ยวนี้เขาใช้น้ำแข็งแทนพิมเสนแล้วครับ เย็นเหมือนกัน”
“?” เขาเหลือบมองก้อนน้ำแข็งในถ้วยขนมนิ่ง ก่อนจะตักขึ้นใส่ปาก
“เป็นอย่างไร เย็นเหมือนพิมเสนหรือเปล่า?” แก้วตายิ้มเมื่อเห็นท่าทางตกใจของเขา
“เย็น แต่ไม่เหมือนพิมเสน ไม่มีรสชาติแต่กินกับขนมแล้วอร่อย” เขาว่าพลางตักขนมใส่ปาก
“แล้วพิมเสนอร่อยใส่ขนมอร่อยไหม?”
“ก็อร่อยนะ พวกซ่าหริ่มก็มักนิยมใส่พิมเสนเข้าไป กินแล้วจะเย็นๆ...” เขาชะงักคำพูดเมื่อเห็นสายตาวิบวับของคนตรงหน้า นี่เขาเผลอหลุดพูดเรื่องแปลกๆออกไปอีกแล้วใช่ไหม!
แก้วตาพาเขานั่งเรือยนต์กลับบ้านหลังเล็ก ระหว่างทางเขาปิดปากเงียบไม่ยอมพูดคุยกับแก้วตาเพราะกลัวจะเผลอแสดงตัวตนออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ หากดูเหมือนฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ซักไซ้ชวนพูดคุยมากนัก เอาแต่นั่งยิ้มชอบใจอะไรอยู่คนเดียว บางหนก็หันมาจ้องมองเขาแล้วพยักหน้าคนเดียวบ้าง ยกยิ้มมุมปากบ้าง คาดว่าวันต่อๆไปแก้วตาคงไม่พาเขาไปลองใจที่ไหนอีกนะ... เฮ่อ~~~
•
ไข่กบ คือ เม็ดแมงลัก, นกปล่อย คือ ลอดช่อง , บัวลอย คือ ข้าวตอก และอ้ายตื้อ คือ ข้าวเหนียว ซึ่งขนมทั้ง 4 ชนิดนี้ จะรับประทานคู่กับน้ำกระสาย (น้ำกะทิ) .
.
*****
“คราวนี้จะชวนไปไหนอีกหรือ?”
“คุณไม่อยากไป?” แก้วตาที่ควักสตางค์จ่ายค่าเรือคนละครึ่งกับฤดีถามเมื่อเขาเอ่ยท้วง
“น้อง... คุณพาผม ออกมาเที่ยวทุกสุดสัปดาห์อย่างนี้ลำบากแย่”
“ผมแค่อยากขอบคุณที่คุณช่วยชีวิตผมน่ะ ไม่ได้หรือ?”
“แต่...”
“ไปเถอะไปไหว้พระกัน”
“ไหว้พระ?” เขามองทางเข้าวัดแล้วใจหายวาบ เหตุเพราะเขาคุ้นเคยกับวัดนี้ดีเหลือเกิน “วันหลังดีกว่าไหมเจ้า?”
“มาถึงวัดแล้วจะกลับหรือ?” แก้วตาถามพลางเดินนำ ฤดีวิ่งตามขนาบข้างแล้วหันมามองเขาก่อนจะยิ้มเซียวส่งมาให้ สุดท้ายเพราะโดนมัดมือชกเขาจึงต้องมานั่งอยู่ตรงหน้าพระคุณเจ้าท่านอย่างนี้
“เอ่อ กะ เอ่อ หน้าผมมีสิ่ง...มีอะไรแปลกไปหรือครับหลวงพ่อ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามพยายามควบคุมหางเสียงไม่ให้สั่นหลังจากปล่อยให้ท่านจับจ้องอยู่นานจนอึดอัด
“เปล่าดอกโยม แล้วไปอยู่ที่ไหนมาล่ะไม่เห็นหน้าเสียนาน” เขานึกขอบคุณพระคุณเจ้าอยู่ในใจที่ท่านไม่พูดอะไรออกมามากกว่านั้น
“บ้านที่อเมริกาน่ะครับ”
“อ้อ อย่างนั้นรึ แล้วนี่กลับมาอยู่ถาวรหรือแค่มาเที่ยวเฉยๆ” ท่านถามทั้งๆที่ยังไม่ละสายตา
“คงอยู่ถาวรถ้าสามารถทำได้ครับ”
“อย่างนั้นรึ? มา เข้ามาใกล้ๆนี่ซิ” เมื่อร่างสูงขยับเข้าไปใกล้ท่านก็ประพรมน้ำมนต์แล้วยื่นบางสิ่งให้ชายหนุ่ม รับไป “ขอให้อยู่เย็นเป็นสุข พ้นทุกข์พ้นโศกเสียทีนะโยม เวลาที่เหลืออยู่ก็อย่าให้เสียเปล่าล่วงเลยนะโยมนะ”
“ขอรับ หลวงพ่อ” ชายหนุ่มก้มลงกราบ ในใจรับคำนั้นมาพิจารณาแล้วถอนหายใจ พระคุณเจ้าท่านคงเห็น...
“คุณมีอะไรจะบอกผมไหม?” เขาหยุดชะงักเท้าที่ก้าวเดินก่อนจะหันกลับไปมองคนด้านหลัง พลางเมินหลบสายตาค้นหาของอีกฝ่าย
“อะไรหรือ?”
“...ถ้าคุณไม่บอกผมจะถามละกัน คุณวาดแปลนเรือนขาวออกมาได้อย่างไรกัน?”
“เอ่อ” น้องจะมาไม้ไหนกันแก้วตา?
“ทั้งๆ ที่คุณไม่ได้รู้โครงสร้างละเอียดนัก แต่ผมอาศัยอยู่ที่นั่นมานานพอที่จะรู้ว่าภาพที่คุณวาดนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจาก ของเดิมแม้แต่น้อย”
“พะ ผม คิดว่ามันคงบังเอิญ” ลองปฏิเสธให้ถึงที่สุดดู...จะเป็นอย่างไร?
“ทำไมคุณไม่บอกล่ะว่าคุณเป็นถึงอาจารย์สอนวาดรูปแค่มองอย่างละเอียดไม่กี่ครั้งก็สามารถวาดมันออกมาได้”
“!”
“แล้วก็อีกข้อ วันที่ผมขอสัญญาไม่ให้คุณวาดภาพเรือนขาวคุณจำได้ไหมว่าคุณขอสิ่งใดจากผมเป็นการแลกเปลี่ยน “ผม..” มือใหญ่ชื้นเหงื่อ เขากำลังคิดหาข้อแก้ตัวมากมายแต่ดูเหมือนว่าเขาไม่สามารถหาเหตุผลใดมาอ้างได้เลย
“และข้อสุดท้าย ทำไมคุณถึงต้องใส่แว่นกันแดดตลอดเวลาที่อยู่กับผม ” คนตัวเล็กเลื่อนกายมายืนประจันหน้ากับเขา ค่อยๆเอื้อมมือถอดแว่นกันแดดออกแผ่วเบา “เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง และที่ผ่านมาคุณเป็นอาจารย์เปรมได้ไม่แยบยลเลยสักนิด”
“!”
“ใช่ไหมคุณใหญ่? เพราะคุณกลัวว่าผมจะรู้อย่างนั้นหรือว่าคุณไม่ใช่อาจารย์เปรมตัวจริง? ”
“!”
“ใช่ไหมคุณใหญ่?” แก้วตาถามซ้ำเขาซึ่งตกตะลึงยืนนิ่ง ก้มลงมองเจ้าของใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นด้วยสายตาหวาดหวั่น
“คุณพูดอะไร?” เขารู้ว่าเสียงตัวเองสั่นไหวจนจับได้
“....” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ฟัง พลางขบริมฝีปากก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นในระดับสายตาให้เขาเห็นสิ่งที่อีกฝ่ายสวมอยู่บนนิ้วนาง ก่อนที่มือขวาค่อยๆถอดแหวนวงนั้นออกมาอย่างแช่มช้า
“อย่า!” ชายหนุ่มผวาคว้ามือเล็กที่ทำท่าจะขว้างแหวนวงนั้นทิ้งแล้วตวัดร่างบอบบางไว้ ในอ้อมกอดอย่างตื่นตระหนก “พี่ขอโทษ! พี่ขอโทษ...” ยอมแล้ว...พี่ยอมแพ้เจ้าแล้วคนดี...
“ทำไมต้องโกหก ฮึก ทำไมต้องปิดบัง?” ร่างเล็กซุกหน้าลงกับอกเขาพลางสะอื้นไห้จนตัวโยน
“คนดี พี่ขอโทษนะเจ้า”
“รู้ไหมว่าผมคิดถึงคุณแค่ไหน ในอกเจ็บจนแทบขาดเมื่อคิดว่าคงไม่ได้พบคุณอีกแล้ว ฮึก~”
“ขอโทษนะคนดี พี่เองก็คิดถึงน้องเหลือเกิน” เขาค่อยประคองใบหน้าเนียนขึ้นอย่างทะนุถนอมแล้วกดจูบหน้าผากเนียนแผ่วเบา เลื่อนจูบซับหยาดน้ำตาให้เหือดแห้ง สุดท้ายที่ริมฝีปากสีเข้ม ...เนิ่นนานด้วยโหยหาลึกซึ้ง
“คุณใหญ่”
“หืม?”
“รักนะครับ”
“!” ชายหนุ่มเบิกตากว้างก่อนจะยิ้มเจิดจ้า กดจูบปลายจมูกมนแล้วกระซิบ “พี่ก็รักแก้วตาเช่นกันครับ”
ถ้อยสัญญา...
เมื่อพี่กลับมาแล้วจะได้ยินเจ้าเอื้อนเอ่ย...
รัก...
รักเหลือเกิน...ยอดดวงใจ...
*****
สวัสดีค่ะ หายไปนานเพราะ...ตันค่ะ ฮาาาาา
วันนี้มีตอนพิเศษสั้นแสนสั้นมาค่ะ เป็นเรื่องราวระหว่างทางที่คุณใหญ่เธออยู่ในร่างอาจารย์เปรมแล้วพยายามทำตัวให้เนียนอยู่เพราะยังไม่พร้อมเผชิญหน้ากับแก้วตาในร่างใหม่ อันที่จริงคุณใหญ่เธอก็แค่กลัวนั่นแหละค่ะ กลัวการใช้วีวิตใหม่อีกครั้ง หนำซ้ำยังรู้สึกผิดที่เอาร่างอาจารย์เปรมแกมา
เช่นเคยค่ะ มีอะไรก็ติ-ชมกันได้นะคะ
เสร็จแล้วก็เอามาลงเลยทันที หากผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
ด้วยรักและคิดถึง