{OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: {OMEGAVERSE} ║PREY เหยื่อ ◑║ แจ้งข่าวรวมเล่ม p.10  (อ่าน 47286 ครั้ง)

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เอาใจช่วย อยากเห็นจันทร์สติแตกบ้าง :z3:

ออฟไลน์ shannara

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 165
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
จ้าว แกสงสัยเรื่องที่ว่าทำไมน้องเกลียดนั่นน่ะ ก็ขอบอกเลยว่า เอ็งไปถามพ่อแม่เอ็งซะสิ ว่าไปยุอะไรน้อง
แล้วเอ็งก็จะ
 :m15: :serius2: :mew2:

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
บ้านจ้าวจันทร์เป็นแนวพ่อแม่รังแกฉันอ่ะ ผลมันก็ตกมาที่ลูกๆ โดยเฉพาะจันทร์ที่กลายเป็นเด็กเก็บกด มีปมในใจจนทำเรื่องร้ายๆกับจ้าว แต่ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ทำบาปอะไรไว้ก็ต้องใช้กรรม จ้าวกับพี่เหมันต์สู้ๆ หาหลักฐานมาจับจันทร์ให้ได้ไวๆนะ

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
เครียดง่ะ แต่ชอบเวาลาคุณเหมันต์แทนตัวเองว่าพี่จัง

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
คุณตำรวจจะมาช่วยจ้าวใช่ไหม

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 21

สำหรับข้าวแล้วนี่ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยทีเดียว

เขาผ่านออดิชั่นแล้ว! เขาจะได้อยู่สังกัดเดียวกับพี่จ้าวแล้ว!!!

ตอนรู้ข่าวข้าวถึงกับต้องหลบไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจแทบหลุดออกมาจากอก ยิ้มกว้างกับตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกของตัวเองจริงๆ

เขากำลังจะหลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้แล้ว!

เขาไม่ต้องอดข้าว เขาไม่ต้องไปร้องเพลงตามร้าน เขาไม่ต้องทนโดนลวนลามเพื่อเงิน เขาไม่ต้องกลายเป็นที่รองมือรองเท้าให้ใครแล้ว!

ยิ่งคิดข้าวก็รู้สึกมีความสุข โลกสีหม่นดูจะมีสีสันขึ้นมาบ้างจนเผลอฮัมเพลงของพี่จ้าวในคอขณะที่กำลังเดินเข้าไปในซอยซึ่งเป็นทางเ
ข้าของหอพักตัวเอง

ไม่สิ จะเรียกหอพักก็ไม่ถูกนัก เรียกว่า ‘อาคารรวมโอเมก้าจะถูกกว่า’ เพราะมันเป็นตึกขนาดใหญ่ที่มีหลายชั้นโดยมีลักษณะเดียวกันหมดทุกชั้นคือพื้นที่ตรงกลางจะเปิดโล่งเพื่อปูที่นอนให้พวกโอเมก้ามานอนรวมกันตามสัญชาตญาณ ไม่แน่ใจเพราะความอ่อนแอในสายพันธุ์หรือเปล่าถึงทำให้ชื่นชอบการนอนด้วยกันพร้อมกับฉีดฮอร์โมนอัลฟ่าในอากาศเพื่อให้ผ่อนคลาย ส่วนบริเวณฝั่งซ้ายและฝั่งขวานั้นจะเป็นห้องน้ำกับตู้เก็บของประจำตัวโอเมก้าแต่ละคน

ซึ่งข้าวก็คือหนึ่งในนั้น

“พี่ข้าววว”

เสียงเล็กแหลมดังเจื้อยแจ้วก่อนที่ร่างเล็กจะทะยานเข้าไปเกาะเอวข้าวในพริบตา

“วันนี้มีของกินไหม ผมไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว”

โอเมก้าร่างเล็กที่ผอมจนเห็นซี่โครงถามข้าวอย่างคาดหวัง ใบหน้าเล็กนั้นซูบจนเห็นสันกรามได้ชัดเจน

ข้าวดึงตัวเด็กน้อยมายืนหน้าตัวเองแล้วลูบหัวเบาๆ

มันคือความโหดร้ายของความจน ในตอนเด็กเขาก็เป็นแบบนี้ ถูกทอดทิ้งเพราะเป็นโอเมก้าและต้องกระเสือกกระสนหาทางเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง ต้องขอบคุณที่โอเมก้าไม่ได้ใจร้ายต่อกันนัก ถึงจำนวนจะไม่ได้มีมากเท่าพวกเบต้าและต่ำต้อยกว่าใครแต่เราก็ไม่เคยทิ้งกัน

“มีสิ พี่ซื้อของโปรดมาให้เดียวด้วย”

ข้าวยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างของเด็กน้อย

เงินเกือบทั้งหมดที่ข้าวหามาได้ถูกนำมาซื้ออาหารจำนวนมากเพื่อแจกจ่ายให้คนอื่นๆ ทั้งโอเมก้าเด็กๆ ที่ยังหางานทำไม่ได้และพวกโอเมก้าคนอื่นๆ ที่มีปัญหาชีวิตแตกต่างกันไป ทั้งอาการป่วยจากการทำงานมากเกินไป การกดขี่ข่มเหงที่ทำให้ต้องพักรักษาตัวเองเป็นอาทิตย์โดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปขอยาในโรงพยาบาลรัฐ หรือจะโดนทำร้ายมาจนพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยก็มี

พวกเขาทุกคนลำบากจึงต้องหาทางช่วยกันประคับประคองลมหายใจกันไว้ ไม่เช่นนั้นก็จะพากันตายกันหมด แน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะมาให้ความช่วยเหลือหรือเห็นใจ ถึงจะได้เงินสนับสนุนลึกลับบ้างมาเป็นครั้งคราวแต่มันก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของทุกคนอยู่ดี จำนวนโอเมก้าที่ถูกนำมาทิ้งและเนรเทศมาอยู่ที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับงบประมาณที่ให้มาเท่าเดิม
ไม่ต้องฉลาดหรือมีความรู้มากก็พอจะรู้ว่าทางการคิดยังไงกับพวกโอเมก้า

“ตายๆ ไปให้หมดซะก็ดีสินะ”

ข้าวพึมพำกับตัวเองขณะที่มองอาหารที่ตัวเองซื้อมาถูกแจกจ่ายให้ทุกคนที่มีสีหน้าหดหู่เศร้าสลดและหมดหวัง มีแค่เด็กที่ยังไม่รู้ความเท่านั้นที่ยังสามารถหัวเราะให้กับทุกวันได้ พอโตขึ้นมาหน่อยก็จะได้เรียนรู้ถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้ด้วยตัวเอง

เจ็บ เจ็บปวดเหลือเกิน

นัยน์ตากลมโตของข้าวสั่นระริก อวยพรให้ตัวเองมีโชคในการทำงานและประสบความสำเร็จเพื่อที่จะได้กลับมาช่วยทุกคน เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะดังเท่าพี่จ้าวแค่ได้สักเศษเสี้ยวก็ยังดีเพื่อที่เขาจะได้นำเงินกลับมาช่วยทุกคนให้พ้นจากสภาพแบบนี้ เขาไม่อยากให้ใครต้องอดหรือป่วยตายอีกแล้ว แค่นี้มันก็มากเกินพอแล้ว

เขาอยากจะกลายเป็นคนดัง อยากจะกลายเป็นผู้มีอำนาจที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ เขายอมรับว่าตัวเองโลภมากที่อยากได้ทุกอย่างทั้งเงินตราและชื่อเสียงแต่แล้วยังไงล่ะในเมื่อสิ่งเหล่านี้มันจะช่วยพวกพ้องเขาได้ เขาก็ยอมโดนตราหน้ายอมทุกอย่าง จะโดนว่าอะไรก็ช่าง ขอเพียงแค่พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นก็เพียงพอแล้ว

“เดี๋ยวพี่กลับมานะ เดียว”

เด็กน้อยเอียงคองุนงงขณะที่กำลังแทะขนมปังอย่างตะกละตะกลาม “พี่ข้าวจะไปไหน” นัยน์ตาซื่อจ้องมองกระเป๋าสะพายของพี่ข้าวที่อัดแน่นจนแทบล้นออกมา

“พี่จะไปทำงาน ถ้าพี่รวยแล้วพี่จะพาเดียวไปอยู่ด้วย”

เดียวหน้ายู่ทำท่าจะร้องไห้ “พี่ข้าวจะไปนานไหมอ่ะ”

“ไม่นานหรอก” ข้าวนั่งข้างเดียวและกอดแน่นเพราะไม่รู้ว่าอีกนานไหนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ “เอาเป็นว่าฝากบอกคนอื่นด้วยละกันว่าพี่ไปทำงาน ถ้ามีเงินเยอะๆ เมื่อไหร่จะกลับมาหาทุกคนเอง”

“..พี่ข้าวต้องรีบกลับมานะ”

ถึงแม้เดียวจะไม่อยากให้ข้าวไปมากแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้ารั้งไว้อยู่ดีเพราะรู้ดีว่าเงินนั้นสำคัญกับชีวิตตัวเองมากขนาดไหน อีกปีสองปีหรือไม่ก็ปีนี้เขาก็ต้องหางานทำแล้ว แม้จะอายุไม่กี่ขวบก็ตาม

“อื้อ พี่จะพยายาม”

ข้าวพูดเสียงปกติทั้งๆ ที่กำลังสะอื้นออกมา ว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่อยากไปจากที่นี่เลย ถึงมันจะไม่ได้ดีเลิศเลอแต่ทุกคนก็ดีกับเขามากจริงๆ “พี่ไปแล้วนะ” และรีบผลุดลุกขึ้นก่อนที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้

“พี่ข้าว” เดียวเรียกเสียงสั่น “สู้ๆ นะ ฮึก เดียวจะรอพี่ข้าวนะ”

เจ้าของชื่อพยักหน้าส่งๆ ไม่ได้ตอบรีบเดินออกมาเพราะน้ำตาเริ่มคลอเบ้าขืนอยู่คุยต่อคงได้ร้องไห้ออกมาแน่ๆ ข้าวพยายามนึกถึงเรื่องงานในหัวเพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง

ผลั่ก

และดูเหมือนจะเหม่อมากไปจึงเผลอไปชนหลังใครเข้าแต่กลับเป็นฝ่ายที่ล้มไปกองกับพื้นแทน ยังไม่ทันได้สติดีก็โดนกระชากคอขึ้นมาและตะคอกใส่ทันที

“เดินห่าอะไรวะ!”

ข้าวเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นพวกตำรวจเบต้าที่มักจะรังแกพวกโอเมก้าเป็นประจำ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตั้งนานจึงแตกทันที  “ขอโทษครับๆ ฮึก ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” รีบยกมือไหว้ปลกๆ ก่อนที่อะไรจะแย่ไปกว่านี้

“ร้องไห้ทำห่าอะไร มึงขอโทษกู กูหายเจ็บไหมวะ!”

“ฮึก ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ครับ”

ข้าวตัวสั่นระริกอย่างหวาดกลัวคร่ำครวญขอความเมตตาไม่หยุด ถึงแม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกแต่เขาก็ยังกลัวเหมือนทุกครั้งอยู่ดี ระบบชนชั้นในสังคมตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเลยสำหรับพวกโอเมก้า พวกเขาถูกเหยียบถูกทับถมให้จมดินจนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ

“ขอโทษ ฮึก อย่าทำอะไรผมเลย ขอโทษครับ”

“กูถามว่ามึงเคยเห็นจ้าว วงมูนไลท์ไหม ถ้าไม่เคยก็ตอบกู กูจะได้ปล่อยมึง!” นายตำรวจร่างท้วมพูดอย่างหงุดหงิดจนอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนจากกระชากคอเสื้อเป็นบีบคอแทน รอยช้ำที่ปรากฎบนคอจางๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย

“อึก ไม่เคยครับ ฮึก ไม่เคยครับ ผมไม่เคย”

ข้าวรีบตอบอย่างไม่ต้องคิด สะอื้นจนหายใจไม่ทัน ต่อให้นายตำรวจคนนี้เผลอพลั้งมือบีบคอเขาตายตรงนี้ก็ไม่มีใครคิดจะสนใจเอาผิดเพราะค่าของพวกโอเมก้านั้นน้อยซะยิ่งกว่าน้อย คดีความที่เกี่ยวกับโอเมก้านั้นส่วนใหญ่มีแต่เบต้าและอัลฟ่าเป็นฝ่ายชนะ เอาเข้าจริงแล้วไม่ต้องเสียเวลาทำคดีด้วยซ้ำเพราะยังไงโอเมก้าก็ต้องผิดทุกกระทงอยู่แล้วแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนก่อคดีก็ตาม

“ถ้ามึงโกหก” มืออวบบีบแน่นขึ้นจนข้าวหน้าซีด “กูฆ่ามึงแน่”

“ผม..ไม่รู้”

“นายใหญ่บอกว่าถ้าใครหาข้อมูลได้จะให้แสนนึง” นายตำรวจยื่นข้อเสนอ “ถ้ามึงรู้แล้วบอกกูตอนนี้ กูจะไม่ฆ่ามึงแล้วกูยังจะแบ่งมึงสักหมื่นนึงด้วย”

“ฮึก ผมไม่รู้ จ้าว แค่ก เป็นใครผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”

“นั่นสินะ พวกโอเมก้าจนๆ อย่างพวกมึงคงไม่มีปัญญาซื้อทีวีกันหรอก”

ในที่สุดมืออวบก็ยอมปล่อย คอของข้าวจึงเป็นอิสระอีกครั้งหากแต่ขาสองข้างก็สั่นเทาจนยืนไม่อยู่ ข้าวทรุดฮวบนอนลงกับพื้น สูดอากาศเข้าปอดอย่างตะกละตะกลาม นัยน์ตากลมโตแดงก่ำมองนายตำรวจที่เพิ่งทำตัวเองเกือบขาดอากาศตายเดินไปหาข้อมูลต่ออย่างหน้าตาเฉยและไม่รู้สึกผิดอะไร

“ฮึก ทำไมวะ”

ถึงแม้จะรู้ว่าพื้นไม่ได้สะอาดมากพอที่จะให้นอนแต่ข้าวก็ยังนอนอยู่ตรงนั้น มองท้องฟ้าสีฟ้าสว่างสดใสที่ดูสวยงามกว่าชีวิตของพวกโอเมก้าอย่างเขานับพันเท่า

“ทำไมพวกเราถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้วะ”

เพราะมัวแต่นอนคร่ำครวญข้าวจึงไม่ได้สังเกตเห็นถึงมือที่ยื่นมาให้ตัวเองจับสักทีจนเจ้าของมือต้องเอ่ยทักเรียกสติ

“ลุกขึ้นเถอะ”

ข้าวกระพริบตาปริบมองร่างที่ดูสูงใหญ่จนแทบจะสามารถบังท้องฟ้าได้ทั้งหมด ใบหน้าคมคายคุ้นตาเข้ากันดีกับชุดสูทสีดำทั้งตัวและที่โดดเด่นที่สุดคือแหวนเงินพิเศษสลักด้วยตราสัญลักษณ์อัลฟ่าที่ยื่นมาให้ตัวเอง

อัลฟ่า..?

เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก นี่นับเป็นเรื่องที่ช็อคที่สุดในชีวิตข้าวเลยทีเดียวเพราะไม่เคยมีอัลฟ่าคนไหนใจดีถึงขั้นยื่นมือเข้าช่วยพวกโอเมก้าที่เพิ่งถูกข่มเหงหรอก

ยิ่งเห็นสีหน้าเอ็นดูนั่นทอดถอนใจน้อยๆ ข้าวยิ่งช็อคแต่ก็ยอมยื่นมือสั่นๆ ให้อีกฝ่ายดึงตัวเองขึ้นไปยืนและเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นอีก อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์และยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวัฏจักรกำลังใช้มือนั่นปัดฝุ่นตามตัวเขาให้อย่างไม่รังเกียจ สีหน้ายุ่งยากใจนั้นดูสมจริงจนข้าวแทบหลั่งน้ำตา

“คราวหลังก็เดินระวังๆ หน่อยล่ะ”

“..ขอบคุณครับ” ข้าวเงยหน้ามองด้วยความประหม่า คนตรงหน้าดูดีมากจริงๆ ราวกับเป็นนายแบบที่หลุดมาจากนิตยสารยังไงยังงั้น ทั้งใบหน้าที่ดูมีสเน่ห์เป็นเอกลักษณ์แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อนัยน์ตาที่ควรจะแฝงไปด้วยสุขุมกลับเป็นแววตาเจ้าชู้ที่มองเขาอย่างแพรวพราวและนั่นก็ทำให้เขานึกออกว่าคนตรงหน้าเป็นใคร

“คุณ คุณสุริยะ!”

เจ้าของชื่อยิ้มรับยีหัวข้าวเบาๆ เชิงลาแล้วเดินผิวปากไปอย่างอารมณ์ดี

ข้าวมองตามแผ่นหลังที่ดูแข็งแกร่งนั่นอย่างตื่นตระหนก

‘สุริยะ พิทักษ์วงศ์’ อดีตนายแพทย์ชื่อดังที่ผันตัวไปเป็นประกอบอาชีพนายแบบด้วยเหตุผลส่วนตัวก่อนที่จะโด่งดังจนถึงขีดสุด เป็นนายแบบชั้นแนวหน้าที่ต่อให้รับงานแค่ครั้งสองครั้งต่อปีก็สามารถอยู่ได้สบายๆ ติดอยู่อย่างเดียวที่เป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตของนายแบบคนนี้คือเรื่องความเจ้าชู้ที่แก้ไม่หายสักที ดารานายแบบนางแบบแทบครึ่งวงการที่เคยควงกับนายสุริยะอย่างออกหน้าออกตาก่อนจะจบลงที่การเลิกรา ตราบใดที่นายสุริยะยังหาคนที่หยุดตัวเองไม่ได้ก็ย่อมต้องตามหาต่อไปแม้จะแลกด้วยน้ำตาและคำสาปส่งก็ตามที

ใบหน้าน่ารักค่อยๆ ขึ้นสีเพราะสเน่ห์ของสุริยะนั้นรุนแรงจริงๆ ราวกับแสงแดดที่แผดเผาทุกอย่างอย่างไม่ลดละจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ กลิ่นหอมอย่างพวกอัลฟ่ายังติดจมูกข้าวจนรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้รู้จักมากกว่านี้ ถึงจะรู้ว่าจุดจบของความสัมพันธ์จะเป็นยังไงแต่ก็ยังอยากที่จะลองเสี่ยงดู เผื่อว่าตัวเองจะได้ทั้งคนรักทั้งเงินแบบที่พี่ซินได้บ้าง
แต่นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากที่เขาไปหาคุณต้นน่ะนะ

ข้าวสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปและรีบสาวเท้าเดินต่อ โดยลืมไปสิ้นเชิงเลยว่าตัวเองควรจะโทรไปบอกพี่ซินหรือฝุ่นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองวันนี้

เรื่องที่ว่า ‘จ้าว นฤภัทร’ กำลังถูกตามหาตัวและเบาะแสในซ่องนกพิราบ!


ร่างสูงโปร่งซึ่งอยู่ในชุดลำลองเรียบร้อยกอดอกจ้องมองตำรวจที่ถูกเกณฑ์มาทำงานให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาโศกใต้กรอบแว่นใสกวาดตามองผู้คนที่เดินกันขวักไขว่อย่างรวดเร็วราวกับเหยี่ยวที่กำลังหาเหยื่ออันโอชะของตัวเอง ริมฝีปากบางเฉียบถูกคมเขี้ยวขบกดน้อยๆ อย่างไม่สบอารมณ์เพราะพอจะรู้ว่ายังไงวันนี้ก็คงหาตัวไม่เจอเหมือนเดิมอยู่ดี

แต่ลางสังหรณ์กลับกระตุ้นให้เขาพยายามต่อไป อย่างไรก็ตามสถานที่ที่จ้าวมาในวันแรกหลังออกจากคุกก็คือซ่องนกพิราบ ตลาดขนาดใหญ่ที่มีทุกอย่างที่คุณต้องการ เป็นตลาดที่ทางรัฐบาลเลือกที่จะหลับตาข้างนึงเพื่อผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ของบางอย่างยังเป็นที่ต้องการในหมู่ผู้คนแต่ไม่อาจวางขายกันอย่างเอิกเกริกได้ ตลาดนี้จึงต้องคงอยู่ต่อไปเพื่อเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้า

“สวัสดีครับ คุณจันทร์”

แววตาคมกริบเหลือบมองอาคันตุกะที่บังอาจเข้ามาในระยะสามเมตรหรือก็คือกรอบพื้นที่ส่วนตัวของจันทร์ที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้นอกจากไซมอนด์ที่ตายไปแล้ว

“สวัสดีครับ” จันทร์ไม่ยิ้มรับเหลือบมองคนทักด้วยหางตา “มีอะไรกับผมงั้นเหรอครับ คุณสุริยะ”

แน่นอนว่าสุริยะไม่สะทกสะท้านหนำซ้ำยังยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่จันทร์อย่างไม่ปิดบัง “เรียกห่างเหินจัง ผมก็บอกแล้วว่าเรียกซัน ไม่ก็ อาทิตย์ก็ได้”

จันทร์สบถคำหยาบในใจแม้สีหน้าจะไม่แสดงอารมณ์แต่ในใจด่าไปหลายร้อยประโยค “ครับ คุณสุริยะ” กดเสียงเข้มเพื่อเน้นย้ำถึงความห่างเหินเพราะเขาไม่อยากสนิทกับใครโดยเฉพาะกับคนแบบนี้

“ถ้าไม่เรียกผมอาทิตย์ก็เรียกที่รักก็ได้นะครับ” นายแบบหนุ่มยิ้มตาหยี “ผมไม่ถือหรอกเพราะคุณจันทร์ก็น่ารักเหมือนกัน”

“ครับ คุณสุริยะ” นายแพทย์หนุ่มยังคงความคงเส้นคงวาได้อย่างเหนียวแน่น รู้สึกรำคาญทุกคนที่ชื่ออาทิตย์ทั้งเบอร์หนึ่งที่เป็นตำรวจและเบอร์สองที่เป็นนายแบบไร้สาระนี่ “มีอะไรกับผมเหรอครับ ผมว่าคุณก็น่าจะรู้ดีว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง” จันทร์จงใจเว้นประโยคและมองสุริยะอย่างรำคาญโดยไม่ปิดบัง “และผมไม่ต้องการสิ่งที่รบกวนใจช่วงนี้”

“ต้องไม่มีผมรวมอยู่ในนั้นแน่ๆ “ คนโดนเหน็บพูดลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้าน กว่าจะเก็บแต้มควงคนได้ครึ่งวงการต้องบอกว่าสุริยะผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆ และทุกสิ่งก็ต้องอาศัยความหน้าด้านกับไหวพริบไม่เช่นนั้นคงไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้

“ครับ” จันทร์ตัดบทหงุดหงิด “คุณต้องการอะไรจากผม”

“ความรักครับ”

สุริยะแทบหลุดขำกับสีหน้าเหมือนอยากฆ่าคนของจันทร์ ถึงแม้จะพยายามกลบเกลื่อนด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่คนที่อยู่ในวงการที่ต้องเจอผู้คนแทบทุกวันอย่างเขา เรื่องแค่นี้สบายมาก ต่อให้จันทร์ร้องไห้เขาก็สามารถดูออกว่าจันทร์อยากต่อยหน้าเขามากขนาดไหน

“พูดเล่นครับ” หนุ่มเจ้าสเน่ห์ยิ้มการค้าก่อนจะเข้าโหมดจริงจังไม่เช่นนั้นคงจะโดนบีบคอตายตั้งแต่ตอนนี้ “ผมได้รับคำสั่งให้มาช่วยคุณจันทร์ครับ”

แน่นอนว่าจันทร์ไม่เชื่อ “คุณเป็นนายแบบ”

“ผมเคยเป็นแพทย์นิติเวชครับ ถ้าคุณไม่รู้”

“แล้วเกี่ยวอะไรกับผม” นัยน์ตาโศกแทบจะเปลี่ยนเป็นมีดแล้วแทงทุกที่ที่มองเห็นบนตัวนายแบบดัง “ผมมีมือดีจากสำนักงานตำรวจมาช่วยอยู่แล้ว ผมว่าคุณไม่จำเป็นต้องทิ้งงานนายแบบมาช่วยผมทำคดีหรอก”

“แล้วถ้าบอกว่าผมสามารถสื่อสารกับวิญญาณล่ะ คุณจะสนใจผมไหม” สุริยะยิ้มมุมปาก

จันทร์เบิกตากว้างรู้สึกพรั่นพรึงจนแทบยืนไม่อยู่ แม้จะสามารถรักษาสีหน้านิ่งสงบได้แต่ในใจก็หวาดผวากรีดร้องไม่หยุดราวกับเกิดงานเทศกาลในหัว ทั้งพลุทั้งผู้คนเยอะแยะวุ่นวายไปหมดจนสมองอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก

“..ผมไม่เชื่อ”

“อยากให้ผมพิสูจน์ไหมล่ะครับ” นายแบบดังหัวเราะในลำคอแต่แววตากลับไม่หวานเชื่อมเหมือนน้ำเสียง

“แล้วแต่คุณเถอะ” จันทร์ตัดบทไม่อยากยุ่งกับคนตรงหน้าไปมากกว่านี้เพราะชนักที่ติดหลักตนเองนั้นเป็นหลักฐานชั้นดี ถ้าคนตรงหน้าสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้จริง ถึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักแต่ก็ไม่อยากจะเสี่ยง

“ชู่ว ไม่ต้องกลัวครับ คุณจันทร์” ในที่สุดสุริยะกลับคืนสู่ตัวตนเดิม ไร้สาระ หน้าม่อไปวันๆ ใบหน้าที่เห็นสันกรามชัดฉีกยิ้มเป็นมิตรให้จันทร์อย่างจริงใจ “ผมชอบคุณก็เลยอยากมาช่วยคุณ มันก็เท่านั้น ผมไม่สนหรอกว่าคดีนี้จะพลิกหรือไม่พลิกเพราะยังไงมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมอยู่แล้ว”

“ผมถามจริงๆ “ จันทร์พูดเสียงอ่อนลงไหล่แข็งที่มักจะแข็งขึงอย่างดุดันคล้ายกับแมวที่ขู่ฟ่อใส่ศัตรูตกลงนิดๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกต “คุณมายุ่งกับผมทำไม”

ท่าทีตอบรับที่ผิดไปจากที่คิดเล่นเอาคนเจ้าชู้ไปต่อไม่ถูกเพราะคิดว่าจันทร์คงจะเย็นชาใส่ตัวเองเหมือนเดิม แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีอ่อนลงไม่แข็งกร้าวเท่าเดิม

“ผมไม่สนใจเรื่องความรัก ถ้าคุณเข้าหาผมเพราะเรื่องนี้ก็ยอมแพ้เถอะ คุณไม่ใช่คนแรกหรอกที่พยายามมายุ่งกับผมด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้”

“เฮ้อ” สุริยะถอนหายใจเฮือกใหญ่เกาหัวแกรกๆ ด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “ก็ได้ๆ ผมยอมรับก็ได้ว่าผมค่อนข้างถูกใจคุณเพราะคุณก็จัดอยู่ในสเป็คที่ผมชอบพอดี แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลหลักหรอกที่ผมจะยอมทิ้งงานเดินแบบเพื่อมาช่วยคุณ” ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้จันทร์และสบกับนัยน์ตาโศกตรงๆ เพื่อแสดงความจริงใจของตัวเอง

“ผมถามจริงๆ นะ คุณจำผมไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

จันทร์ขมวดคิ้วมองใบหน้าอีกฝ่ายที่ดูต่างไปจากพิมพ์นิยมสมัยนี้ด้วยอัตลักษณ์อันโดดเด่นที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไรกันแน่ อาจจะเป็นสเน่ห์อันล้นเหลือที่แค่สบกับนัยน์ตาสีดำทมิฬนั้นแล้วคล้ายกับถูกช่วงชิงลมหายใจไปวูบนึง แน่นอนว่ามันไม่เกิดขึ้นกับจันทร์ สำหรับนายแพทย์หนุ่มแล้วมนุษย์ทุกคนก็เป็นแค่ลิงที่ฉลาดขึ้นมาหน่อยเท่านั้น หน้าตาจึงไม่ค่อยมีผลอะไรกับจิตใจสักเท่าไหร่
หลังจากค้นของความทรงจำในหัวประมาณนาที ริมฝีปากบางเฉียบจึงปริปากตอบ “ผมจำไม่ได้”

“ใจร้ายชะมัด” สุริยะตำหนิด้วยสีหน้าดุๆ “คุณเป็นคนช่วยทำแผลให้ผมเลยนะ”

ทั้งๆ ที่พยายามจะช่วยรื้อความทรงจำให้จันทร์แต่สุริยะก็ต้องพบกับความล้มเหลวเพราะจันทร์ยังทำหน้าเดิมคือขมวดคิ้วงุนงง ไม่มีเค้าเลยว่าจะจำนายแบบที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์หนึ่งในประเทศตอนนี้

“ผมจะเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังแล้วกันนะ” สุริยะเล่าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นิดๆ รู้สึกเสียเซลฟ์นิดหน่อยที่ตัวเองไม่แม้แต่จะอยู่ในเศษเสี้ยวของสนใจของจันทร์เลยแม้แต่นิดเดียว “ผมกำลังเดินอยู่ในสนามบินตั้งใจจะขึ้นเครื่องแต่บังเอิญมีเด็กบ้าที่ไหนไม่รู้วิ่งมาชนผมจนล้มใส่พวกชั้นวางไวน์ แน่นอนว่าผมบาดเจ็บทั้งแขนทั้งขาผมโดนเศษแก้วบาดจนผมแยกไม่ออกว่าอันไหนเลือดอันไหนไวน์กันแน่ คนของผมกำลังจะเรียกพยาบาลมาช่วยผม”

แววตาคมของสุริยะละมุนขึ้นขณะที่มองนายแพทย์หนุ่มที่ยังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์ไม่ยินดียินร้ายกับโลกใบนี้ “แต่คนที่พุ่งมาผมคนแรกก็คือคุณ ถึงสีหน้าคุณจะไม่เปลี่ยนก็เถอะตอนที่ผมร้องโอดโอยตอนที่คุณเอาเศษแก้วออกจากแผลให้ คุณทำแผลให้ผมด้วยอุปกรณ์ของคุณที่ผมไม่รู้ว่าจะพกติดตัวทำไมตลอดเวลา”

สุริยะหลุดยิ้มนิดๆ เพราะขนาดตอนนี้เขายังเห็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่บรรจุอยู่ในกล่องขนาดเล็กเหน็บอยู่ข้างเอวและถูกปิดบังด้วยเสื้อโค้ทสีดำตัวยาวทำให้มองเห็นได้ไม่ถนัดตานัก

“มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเพราะขนาดคุณยังจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ผมก็อยากบอกคุณว่าผมชอบคุณนะ อาจจะไม่ใช่ในแง่ความรักแต่ในแง่อื่นๆ ที่คุณอาจจะไม่รู้จักดี ผมดูออกว่าคุณแทบไม่มีความสุขเลย ทั้งๆ ที่คุณกำลังยิ้มอยู่ก็เถอะ”

“…” จันทร์นิ่งอึ้งพูดไม่ออกเนื่องจากไม่รู้จะพูดอะไรและก็ยังจำสุริยะไม่ได้อยู่ดี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องของสุริยะเลยจริงๆ

“ผมอาจจะดูไว้ใจไม่ค่อยได้แต่ก็อยากให้คุณลองเปิดใจกับผมหน่อย” สุริยะหัวเราะเพราะรู้ตัวเองดีว่าถูกคนภายนอกและสื่อต่างๆ มองยังไง “เอาเหอะ ตอนนี้ผมขอแค่สถานะเพื่อนไม่ก็คนที่มีค่าพอให้คุยด้วยก็พอ”

“…ผมไม่เข้าใจ”

จันทร์ถอยหนีสีหน้าหวาดหวั่น ไม่หวั่นไหวตามคำหวานของสุริยะแม้แต่คำเดียว ประสบการณ์และสัญชาตญาณที่สั่งสมมานานกำลังสั่งให้ถอยหนีอย่าได้เผลอเข้าใกล้เชียว

“ผมสาบานนะ คุณจันทร์” สุริยะมองจันทร์อย่างจริงจัง “ผมเข้าหาคุณเพราะเจตนาอื่นก็จริงแต่ตอนนี้ผมอยากช่วยคุณมากกว่า ผมไม่รู้หรอกว่าคุณเจออะไรมาบ้างแต่คุณก็ควรจะมีคนที่จริงใจกับคุณบ้าง”

“ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณไว้ใจได้”

ถ้าหากเปรียบจันทร์เป็นแมวตอนนี้คงไม่วายขู่ฟ่อใส่สุริยะที่น่าจะเป็นหมาโกลเด้นที่พยายามดุ๊กดิ๊กๆ เรียกความสนใจ ซึ่งเจ้าหมาก็ดูจะต้องผิดหวังหน่อยเพราะแมวตัวนี้ดุมาก

“ใช้เวลาไงครับ คุณจันทร์ นฤภัทร”

เจ้าหมาโกลเด้นหมอบต่ำช้อนตามองเจ้าแมวที่ตอนนี้แทบจะกระโดดหนีขึ้นหลังคาแล้ว

“ผมไม่รู้”

จันทร์หลุบตามองต่ำ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีเพื่อนจริงๆ สักคน มีแต่เพื่อนที่คุยกันเป็นครั้งคราวอย่างผิวเผินในตอนที่เรียนและเรื่องงานเท่านั้น เขาไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวหรือดูหนังกับกลุ่มเพื่อน ไม่มีกลุ่มไลน์ห้อง ไม่มีเบอร์โทรของเพื่อนที่สามารถโทรไประบายความสุขความเศร้าได้ ไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากตัวเขาเองที่เป็นเพื่อนกับตัวเองได้ดีที่สุด

“ก็ลองสิ จันทร์”

“ผมไม่อยากมีเพื่อน” แววตาของจันทร์กลับมาเด็ดเดี่ยวแม้ว่าลึกๆ ในอกจะรู้ดีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ความเค็มที่จุกในลำคอที่เขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ความเหงาที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด

“ทำไม”

“…”

“มันไม่แย่หรอก จันทร์ ใช่ว่าทุกคนบนโลกจะใจร้ายกับคุณซะหน่อย”

“ไม่จริงหรอก”

จันทร์หัวเราะเสียงแผ่วกล้ำกลืนความเจ็บปวดที่อยู่ๆ ก็ปะทุขึ้นมาจนกระบอกตาร้อนผ่าว ความทรงจำอันเจ็บปวดปรากฎในหัวจนอยากร้องไห้ออกมา

“คุณไม่ใช่ผม คุณไม่เข้าใจหรอก สุริยะ”

นัยน์ตาโศกสั่นระริกแทบจะลืมเลือนถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องมาอยู่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ รู้เพียงแค่อยากร้องไห้อยากระบายความเศร้าโศกที่สุมอยู่ในอกจนอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว

“…ไม่มีใครเข้าใจผมหรอก”

“ผมไง” สุริยะชี้หน้าตัวเองด้านๆ ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เวลาที่ควรมาเล่นแต่ก็คิดวิธีรับมือที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว “คุณเล่าให้ผมฟังได้ ถึงตอนเด็กๆ ผมจะไม่ได้สู้ชีวิตเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ผมว่าช่วงเรียนแพทย์หกปีเราก็น่าจะมีมรสุมชีวิตพอกัน”

จันทร์หัวเราะเสียงแผ่วยอมยิ้มนิดๆ เพราะชีวิตช่วงนั้นก็ถือว่าหนักหนาเอาการทีเดียว

“ก็ได้ ผมจะยอมเป็นเพื่อนกับคุณ”เขาไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว…


==============

จะเกลียดน้องจันทร์ดีไหมนะ  :z10:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-05-2018 21:57:27 โดย Foggy Time »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เกลียดจันทร์ได้ไม่สุดอ้ะ สงสารมากกว่า
เกลียดที่สุดก็พ่อแม่ของแฝด

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อยากรู้เหตุผลที่สุริยะเข้าหาจันทร์ ใช่คนที่คุณเหมันต์ส่งมาเพื่อเข้าใกล้จันทร์หรือเปล่า

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
รอค่ะ

เลือดเหมันต์ยังไม่เป็นอัลฟ่า
แต่ทำไมมีช่วงหนึ่ง ที่จ้าว(ซึ่งกลายเป็นโอเมก้าแล้ว)เข้าใกล้เหมันต์แล้วได้กลิ่นหอม... อ่านแล้วเหมือนเจอกลิ่นของคู่แห่งโชคชะตา

ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
คุณเหมันต์ส่งมาหรือว่าเข้าใจว่าจันทร์คือจ้าวกันแน่นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
น้องจันทร์จะมีคนดี ๆ อยู่เป็นเพื่อนแล้วใช่ไหม
ทำไมเรายิ่งอ่านยิ่งสงสารจันทร์เข้าไปอีก
ส่วนข้าวรู้สึกว่าเด็กคนนี้แปลกๆ เหมือนเป็นไบโพล่า
ตัวข้าวที่สื่มาเมื่อกี้ให้อารมณ์แบบ รักนะแต่ถ้าอยู่แล้วทรมานก็ตายไปเถอะ
เป็นตัวละครที่น่าจับตามองแหะ

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เกลียดจันทร์เหมือนเดิม

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 22

‘สภาพอากาศวันนี้ค่อนข้างมีเมฆมาก มีโอกาสฝนตกมากถึงแปดสิบเปอร์เซ็นของพื้นที่—“

เสียงจอโทรทัศน์เครื่องเก่าครางอื้ออึงแทบถูกกลบมิดด้วยเสียงฝนที่ตกลงมาห่าใหญ่ ท้องฟ้าในวันนี้ดำครึ้มจนคล้ายกับเวลากลางคืน ถ้ามีหมอดูเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวนี้คงไม่วายบอกว่าวันนี้คงไม่ใช่ฤกษ์ที่ดีนักสำหรับจะเริ่มทำอะไร

แน่นอนว่าสำหรับใครบางคนที่ตั้งใจจะทำอะไรๆ วันนี้ก็อดบ่นขรมในใจไม่ได้ นึกด่าทอสภาพอากาศที่ไม่ค่อยเป็นใจนักแต่ก็ไม่ได้เคืองอะไรมากเพราะภายใต้ฝนฟ้าคะนองนี้ก็มีประโยชน์หลายๆ อย่างอยู่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นรถที่มีโอกาสติดยาวไม่ขยับเขยื้อนส่งผลให้คนที่พยายามจะล่าตัวเขากลับไปด้วยรถตำรวจนั้นทำได้ยาก หนำซ้ำเขายังสามารถกลมกลืนไปกับฝูงชนที่ยืนออรอให้ฝนหยุดตกได้อย่างง่ายดายแต่แน่นอนว่าเขาจะไม่เสี่ยงถึงขนาดนั้น

หากแต่ระหว่างที่กำลังคิดวางแผนหลบหนีอยู่ในใจกับถูกทักขึ้นมาซะอย่างงั้น

“หนูมาแล้วเหรอลูก เห็นเขาบอกจะเข้าอาทิตย์หน้านี่แต่มาก็ดีแล้ว มาๆ เดี๋ยวป้าเอาอุปกรณ์ทำความสะอาดให้”
หญิงสาวเบต้าร่างท้วมผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแม่บ้านกวักมือเรียกร่างโปร่งที่สวมชุดรัดกุมทั้งตัวจนเห็นแค่นัยน์ตาโศกที่พ้นผ้าปิดปากขึ้นมานิดหน่อย อีกฝ่ายดูประหม่ายืนเก้ๆ กังๆ ตรงลานจอดรถพนักงานไม่ยอมเข้ามาสักที

คนโดนเรียกสะดุ้งสุดตัวจนป้าอดยิ้มเอ็นดูไม่ได้เมื่อเดินร่างผอมเดินมาใกล้ก็ลูบหัวอย่างเอ็นดู “หนูไม่ต้องกลัวป้าหรอก ป้าไม่ได้รังเกียจพวกโอเมก้า ลูกป้าคนนึงก็เป็นโอเมก้า”

“คะ ครับ”

“กินอะไรมารึยัง หน้าหนูซีดมากเลย”

“ทานแล้วครับ ขอบคุณมากครับ” จ้าวผงกหัวปลกๆ หัวใจในอกเต้นรัวอย่างตื่นเต้นแต่อีกใจก็อยากถอยกลับเพราะกลัวความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการตัดสินใจโดยฉุกละหุกและไม่บอกใครของตัวเอง ซึ่งมันก็เสี่ยงเอามากๆ ถ้าเกิดโดนจับได้ทุกอย่างที่พยายามเพียรทำมาก็คงจบลงทันที

จ้าวกัดปากจนได้กลิ่นสนิมอวลในปากเพื่อเรียกสติตัวเอง อย่างไรก็ตามเขาได้ตัดสินใจไปแล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดขึ้นกับเขาคนเดียว เขาจะไม่ให้ใครมาโดนลูกหลงเด็ดขาด ถ้าเขาตายก็มีแค่เขาคนเดียวก็พอที่เป็นศพไม่ต้องลากใครมาเอี่ยวอีก ให้เฮียสามเป็นคนสุดท้ายก็พอ คุณเหมันต์ไม่จำเป็นต้องมาเสียหายเพื่อเขาที่เป็นแค่นักร้องตกอับคนนึง การสืบสวนทั้งหมดยิ่งถลำลึกเข้าไปความจริงมันอาจจะปรากฎก็จริงแต่ก็ต้องแลกกับตัวตนที่อาจจะถูกเปิดเผย

แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้คนของคุณเหมันต์ต้องมาซวยเพราะช่วยเขา เขาจึงได้กระทำการโง่ๆ ด้วยการมาสืบด้วยตัวเอง ต่อให้คุณเหมันต์กระชับว่าไว้ค่อยมาด้วยกันแต่เขาก็ใจร้อนเกินกว่าจะรอ ตอนนี้กระแสเพลงเขาที่ถูกปล่อยใหม่อีกครั้งกำลังไปได้สวย เอ็มวีอันทรงพลังที่ถูกควบคุมกำกับใหม่ด้วยตัวเขาเองเข้ากันดีกับน้ำเสียงและทำนองอันเกรี้ยวกราดในโชคชะตา

ทุกคนกำลังให้ความสนใจจ้าวไปในทางที่ดีซึ่งนั่นก็คือโอกาสของเขาที่จะรีบเผยความจริงทั้งหมด เขาต้องการจะกลับไปยืนในวงการเพลงเต็มแก่ เขาอยากร้องเพลง อยากเต้น อยากมีคอนเสิร์ต อยากทำทุกอย่างใจจะขาด เขาไม่ต้องการถูกล่ามโซ่ตรวนเอาไว้ในกรงของระบบชนชั้นงี่เง่าพวกนี้

และสิ่งที่เขาต้องทำคือการหาหลักฐานในห้องของพริมให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่รู้หรอกว่าจะเจออะไรรึเปล่าแต่ก็ยังดีกว่ามานั่งรอลมๆ แล้งๆ อยู่เฉยๆ ซึ่งมันไม่ใช่เขาเลย เขาผ่านมาเยอะจนไม่คิดว่าจะมีอะไรเจ็บปวดไปมากกว่านี้แล้ว ต่อให้โดนจับอีกเขาก็จะตะเกียกตะกายสุดชีวิต ต่อให้เสียแขนเสียขาเสียวิญญาณไปก็ช่าง

เขาทนไม่ไหวแล้ว!

“งั้นป้าขอดูเอกสารของหนูหน่อยนะ”

“นี่ครับ” จ้าวยื่นเอกสารที่คุณเหมันต์ทำเอาไว้ให้และพยายามยืนให้ดูทะมัดทะแมงสมกับเป็นพนักงานทำความสะอาดปลอมๆ ที่ถูกส่งมาทำความสะอาดห้องของพริม

“นี่จ๊ะ” ป้ายิ้มอย่างเป็นมิตรก่อนจะพูดติดตลก “หนูไม่กลัวผีเหรอลูก ป้านะ เคยเข้าไปทำ ประตูปิดเองตลอด ไหนจะกลิ่นศพที่คลุ้งจมูกอีก เฮี้ยนมากๆ จนไม่มีใครกล้าเข้าไปทำเลยล่ะ”

“ไม่กลัวหรอกครับ ฮะๆ” จ้าวหัวเราะเสียงแผ่วหน้าซีดเพราะเพิ่งรู้กับป้าเนี่ยแหละว่าห้องพริมมีเรื่องเล่าซะด้วย ถึงเขากับพริมจะเป็นมิตรกันก็เถอะแต่ก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี “งั้นผมขอขึ้นไปทำเลยนะครับ พอดีผมมีงานที่อื่นต่อ”

“ได้จ้า ถ้ามีปัญหาอะไรยังไงก็โทรเข้าเบอร์ป้านะ”

“ขอบคุณมากๆ ครับ” อดีตนักร้องดังที่ผันตัวไปเป็นพนักงานทำความสะอาดยกมือไหว้ปลกๆ ก่อนจะรับคีย์การ์ดและอุปกรณ์ทำความสะอาดมาถือ ใบหน้าที่ถูกซ่อนไว้หลังผ้าปิดปากฉายความกังวลแต่ก็พยายามลืมความกลัวของตัวเองรีบสาวเท้าไปยังลิฟต์ของคอนโด

หากแต่โชคชะตาก็เหมือนเล่นตลก จ้าวเบิกตากว้างตัวสั่นสะท้านไปทั้งตัวเกือบจะล้มคะมำเมื่อเห็นว่าใครเดินผ่านตัวเอง ความหวาดกลัวที่ถูกฝังไว้ในส่วนลึกของความทรงจำถูกกระตุ้นขึ้นมาจนน้ำตาคลอเบ้า มือที่ถือกุญแจสั่นเทาจนได้ยินเสียงโลหะกระทบกันเช่นเดียวกับขาที่สั่นจนก้าวแทบไม่ออก

“หึ พวกโอเมก้าเหรอวะ?”

เสียงทุ้มต่ำที่พูดเสียงไม่ดังนักหากแต่ฟังกระโชกโฮกฮากราวกับถูกตะโกนอยู่ข้างหู

จ้าวก้มหน้าต่ำพยายามจะก้าวเดินต่อแต่ขานั้นสั่นไม่หยุดจนไม่กล้าก้าวต่อ ภาพในหัวภาพนึงปรากฎจนแทบจะร้องไห้ออกมา กลิ่นคาวในปากอวลจนรู้สึกเลยว่าถ้าถ่มออกมาคงสามารถย้อมพื้นให้กลายเป็นสีแดงฉาน

เขาเกือบจะเคยโดนคนตรงหน้าข่มขืน!

นัยน์ตาโศกสั่นระริกไม่หยุดเมื่อสมองยังทำในสิ่งที่ไม่ต้องการที่สุดอย่างการฉายภาพในวันนั้นซ้ำราวกับมันกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า คล้ายกับเขาเสพติดมันจนต้องคิดถึงแต่มัน ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นแบบนั้น เขาเกลียด เขากลัววันนั้น กลัวจนแทบจะกลายเป็นบ้า!

   

‘มะ มีอะไร’ จ้าวถามเสียงสั่นขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และแปรงฟัน ความหวาดกลัวกัดกินร่างทั้งร่างจนตัวสั่นระริกไม่หยุด นัยน์ตาโศกสั่นระริกจดจ้องร่างใหญ่ยักษ์ที่สวมเพียงกางเกงนักโทษสีส้มขาดๆ เผยแผ่นอกเปลือยเปล่าที่เต็มไปด้วยรอยสักและแผลเป็นแทบจะทุกอณูผิว ใบหน้าที่มีรอยบากขนาดใหญ่ครึ่งใบหน้านั้นสำหรับจ้าวแล้วดูน่ากลัวราวกับปีศาจร้ายที่หลุดมาจากขุมนรก

‘ขาวดีนี่’ มันว่าก่อนจะเลียริมฝีปากอย่างหื่นกระหาย ‘วันนี้กูอยาก’

จ้าวทิ้งทุกอย่างในมือหันหลังวิ่งหนีทันทีแต่ก็พลาดท่าเหยียบสบู่เหลวที่หกเลอะเทอะจนล้มไปกองกับพื้น พยายามจะลุกวิ่งหนีต่อก็ไม่ทันกาล

‘ไม่!!—“

‘ชู่ว อย่าร้อง’ ใหญ่แสยะยิ้มร้ายใช้มืออุดปากเล็กๆ ไม่ให้ส่งเสียงดังน่ารำคาญ ‘กูอุตสาห์รอวันนี้มานาน มึงอย่ามาทำให้กูเสียอารมณ์’

ชั่วขณะนั้นจ้าวรู้สึกกลัวจนหายใจไม่ออก ยิ่งตอนที่รู้สึกถึงลิ้นเปียกแฉะที่สัมผัสบริเวณซอกคอยิ่งรู้สึกเหมือนจะหยุดหายใจ ร่างกายแข็งทื่อจนก้าวไม่ออก รู้สึกกลัวและขยะแขยงอยากตายๆ ไปตั้งแต่ตอนนั้น

‘ฮึก ไม่เอา’

จ้าวสะอื้นจนตัวโยนแต่มันก็ไม่สนใจใช้มือข้างเดียวพยายามดึงกางเกงของจ้าวออกและมันก็ทำได้สำเร็จ มันโยนกางเกงของจ้าวทิ้งเหลือเพียงกางเกงชั้นในบางๆ เพียงอย่างเดียว

มันยิ้มอย่างพอใจแนบตัวมันเข้ากับสะโพกบาง

อุณหภูมิร้อนจัดเรียกสติจ้าวได้ทันควันเกิดเป็นเสียงกรีดร้องดังลั่นราวกับสัตว์ป่าโหยหวน

‘ไม่!!!!’

เสียงของจ้าวดังและเสียสติราวกับคนคลุ้มคลั่งเล่นเอาใหญ่ตกใจจนเผลอปล่อยตัวจ้าวก่อนจะรีบหนีออกไปเพราะพวกผู้คุมเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวายวิ่งมาทางนี้

ทั้งๆ ที่ภัยอันตรายได้ผละหนีออกไปแล้วแต่จ้าวก็ยังคงกรีดร้องไม่หยุด คลุ้มคลั่งจนต้องใช้ผู้คุมถึงสามคนในการจัดการและถูกตรวนข้อมือข้อเท้ามากกว่าเดิมเป็นสองเท่าในห้องเป็นอาทิตย์กว่าจะกลับมาเป็นปกติ

เหตุการณ์คลุ้มคลั่งครั้งนี้ของจ้าวเป็นที่โจษจันไปหลายเดือนแม้แต่เหล่าอันธพาลก็ยังเลี่ยงๆ ที่จะรังแกจ้าวบ้าง โดยเฉพาะใหญ่ที่ขยาดจนกลับไปกินพวกโอเมก้าที่ขายเหมือนเดิม

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ร่างยักษ์หยุดเดินโน้มตัวลงมาหาจ้าวด้วยรอยยิ้มร้าย มือหนาเตรียมจะจับตัวจ้าวที่ยืนตัวแข็งไม่กล้าขยับตัว จ้าวแทบจะร้องไห้เมื่อมือหน้านั้นเปลี่ยนจากจะจับแขนแต่เอื้อมไปที่สะโพกแทน

ป้าซึ่งเห็นท่าไม่ดีรีบตะโกนขัดจังหวะทันที “เฮ้ย ไอ้ใหญ่นายเขาให้ไปตัดสวน!”

ใหญ่ชะงักมือสีหน้าหงุดหงิดเหมือนจะฆ่าคน “เออ!” แต่ก็ยอมเดินออกมาเพราะไม่อยากมีเรื่องกับคนที่เป็นหัวหน้าของตัวเองในตอนนี้นัก ขืนโดนเอาเรื่องไปรายงานคงไม่วายต้องไปหางานใหม่หรือโดนโยนเข้าคุกเหมือนเดิม

หัวใจของจ้าวกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติอีกครั้ง จ้าวใช้หลังมือเช็ดน้ำตาที่คลอเบ้าตัวเองออกแล้วรีบตั้งสติเดินต่อ กลืนเลือดกลุ่มใหญ่ที่คั่งอยู่ในปากลงคอโดยไม่สนใจความคาว บาดแผลในปากที่เริ่มเป็นแผลเหวอะหวะนั้นทั้งเจ็บและชา แต่จ้าวก็ไม่สนใจเพื่อเรียกสติตัวเองที่กำลังจะหายไปนั้น มันคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

กลิ่นสะอาดในอากาศรวมถึงบรรยากาศของคอนโดหรูใจกลางเมืองเป็นสิ่งที่จ้าวคุ้นเคยเพราะมักจะมาเยือนที่นี่เป็นประจำในฐานะเพื่อนสนิทของพริม การเข้าออกที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเนื่องจากพริมจะหาเรื่องชวนจ้าวขึ้นห้องบ่อยๆ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าคำอธิบายของทั้งสองคนคืออะไร

เขาทั้งสองคนมันก็แค่ ‘เพื่อน’

ต่อให้พยายามมากแค่ไหนในเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลือกที่จะหยุดความสัมพันธ์ไว้แค่นั้น สิ่งที่ทำก็เปล่าประโยชน์เพราะมันจะไม่มีค่าใดๆ เลยในสายตาอีกฝ่าย

ซึ่งจ้าวก็รู้ตัวดีว่าสำหรับพริมแล้วเขาคงจะเป็นตัวร้ายคนนึงเลยล่ะ ให้ความหวังทั้งๆ ที่ไม่ได้คิดอะไร แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้เพราะครอบครัวพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ยากที่จะเลี่ยงไม่เจอกัน พริมก็เลยยังพยายามอยู่อย่างนั้นแม้ว่าเขาจะพยายามถอยหนีมากแค่ไหนก็ตาม

แม้แต่ลิฟต์ที่ไม่ได้มาเยือนถึงห้าปี จ้าวก็ยังจำมันได้ดี ต่อให้หลับตาก็ยังสามารถกดชั้นของพริมได้อย่างแม่นยำ มือผอมลากนิ้ววนรอบเลขหกหลังจากกดลงไปด้วยสติที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

เขากำลังเข้าใกล้มันขึ้นเรื่อยๆ

ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นในหัวราวกับต้องการทบทวนว่าวันนั้นได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

วันนั้นเขากดลิฟต์ด้วยความประหม่านิดๆ เพราะไม่ได้เจอพริมซะนาน เขาหัวปั่นกับงานคอนเสิร์ตทั้งอัลบั้มใหม่ ทุกอย่างมันเยอะไปหมดจนเขาไม่สามารถให้เวลากับคนที่มีสถานะแค่เพื่อนได้ วันนั้นเขายังไม่ทันเคาะประตูพริมก็โถมกอดแล้วลากเข้าไปในนั่งที่โซฟาเล่าเรื่องต่างๆ ของตัวเองให้เขาฟังผสมตัดพ้อเขาที่ไม่ยอมมาหา

แน่นอนว่าเขานั่งยิ้มหัวเราะแห้งๆ ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง หนึ่งในสาเหตุที่เขากับพริมเปลี่ยนสถานะไม่ได้สักทีก็เพราะเรื่องนี้เนี่ยแหละ พริมเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับตัวเองมากกว่าใครๆ แทบจะทุกประโยคที่หลุดออกจากปากคือเรื่องของตัวเอง แต่นี่ก็เป็นนิสัยที่เผยออกมาแค่ตอนที่อยู่กันส่วนตัวเท่านั้น อีกตัวตนหนึ่งของพริมคือดาราสาวใจบุญคนนึงและนิสัยดีมากๆ เป็นมิตรกับทุกคน

ซึ่งก็มีแต่คนในอีกเหมือนกันที่รู้ว่ามันเป็นแค่เปลือกนอกที่ใช้เข้าสังคมเท่านั้น อย่างไรก็ตามสังคมแสงสีก็ไม่ใช่สังคมที่ซื่อตรงอะไร ถ้าไม่ปรับตัวก็มีหวังตายตั้งแต่วันแรกที่หลงเข้าไปในนั้น

‘602’

จ้าวเหลือบประตูห้องด้วยความเศร้าหมองนิดๆ ถึงเขาจะไม่ได้รักพริมแบบคนรักแต่พริมก็เป็นเพื่อนที่ดีคนนึงของเขาเลยทีเดียว ความรักที่พริมให้เขานั้นเป็นของจริงจนเขารู้สึกได้ น่าเสียดายที่วันที่สมควรจะเป็นวันที่มีความสุขที่สุดของพริมกลายเป็นวันตายซะอย่างนั้น

ติ๊ด

ระบบประตูแบบดิจิตัลส่งเสียงออกมาพร้อมกับเปลี่ยนสีเป็นไฟเขียวเมื่อถูกใช้คีย์การ์ดเปิด ร่างผ่ายผอมในชุดยูนิฟอร์มบริษัททำความสะอาดสีดำรัดกุมเดินเข้าไปในห้องก่อนจะเสียบคีย์การ์ดเข้ากับช่องเพื่อเปิดระบบไฟฟ้าในห้อง

“…”

ทันทีที่แสงไฟสาดสิ่งต่างๆ ในห้อง หัวใจของอดีตคู่หมั้นของพริมก็เต้นช้าลงอย่างเจ็บปวด

ทุกอย่างยังเหมือนเดิม.. เหมือนกับวันนั้น

กลิ่นในห้องนั้นเหม็นอับทั้งๆ ที่ควรจะไม่มีกลิ่นอะไรเพราะสภาพห้องนั้นดูเหมือนถูกทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ ถึงแม้ว่าจะยังมีร่องรอยทุกอย่างตั้งไว้เหมือนเดิมก็ตามที

ใช่.. แม้แต่รอยเลือดที่กลายเป็นสีดำไปแล้ว

นัยน์ตาโศกสั่นระริกยามที่กวาดตามองในห้อง สิ่งแรกที่ปรากฎในสายตาคือโต๊ะอาหารที่เขากับพริมกินข้าวด้วยกันก่อนที่จะเป่าเค้กวันเกิด พริมขอให้เขาร้องเพลง เขาก็ร้องให้ฟังก่อนที่พริมจะบ่นร้อนแล้วขอตัวไปอาบน้ำ

มีเลือดเลอะกระจัดกระจายไปทั่วห้องทั้งผนังและพรม ซึ่งก็น่าจะมีเลือดเขารวมอยู่ด้วยเพราะวันนั้นก็ออกมาไม่น้อยจริงๆ ไหนจะตอนที่โดนตำรวจลากออกจากห้องอีก เลือดถึงได้ไหลเป็นทางยาวมาถึงประตูที่เขายืนอยู่

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ทำลายหลักฐานพวกนี้ไปซะ แต่ก็นะ ใครจะไปรู้ว่าในแต่ละคนคิดอะไรอยู่ ขนาดน้องชายฝาแฝดของเขายังไม่รู้เลยว่าคิดอะไรกันแน่

จ้าวเดินไปเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดใส่ตู้เก็บของข้างประตูที่ว่างเปล่าพอดี อย่างไรก็ตามจุดประสงค์หลักในการมาห้องนี้ก็ไม่ได้เพื่อทำความสะอาดอยู่แล้ว ที่เขาต้องทำคือหาหลักฐานที่พริมอาจจะเหลือไว้ให้ต่างหาก

ด้วยความจำกัดของพื้นที่ทำให้คอนโดห้องของพริมมีขนาดไม่ใหญ่นัก ทุกตารางนิ้วถูกสร้างขึ้นมาให้เกิดประโยขน์สูงสุดโดยคำนึงถึงผู้ใช้เป็นหลัก ทำให้ห้องกินข้าวและห้องอาหารถูกทำเป็นห้องเดียวกันโดยกั้นด้วยสายตาคือระยะห่าง สิ่งแรกที่จะเห็นทันทีเมื่อเก้าเข้ามาในห้องหลังจากเดินในระยะสองสามก้าวคือโต๊ะอาหาร ถัดไปจากนั้นจะเป็นโซฟาตัวยาวสีดำที่คราบเลือดชัดเจน

ซึ่งจ้าวก็พอจะจำได้ว่าตัวเองฟื้นตรงนี้แหละและทันเห็นเห็นพริมที่นั่งพิงประตูห้องนอนโชกเลือด ใบหน้าสวยนั่นดูทรมานแม้แต่ตอนที่สิ้นลมไปแล้ว ชุดเดรสสีขาวที่เธอใส่กลายเป็นสีแดงฉานจนดูไม่ออกว่าโดนแทงกี่แผลแต่ก็คงรุนแรงมากพอที่จะทำให้เธอเสียเลือดจนตายได้

ทั้งๆ ที่ห้องนี้เป็นเหมือนกับห้องตัวอย่างที่ทางคอนโดขายให้กับคนทั่วไป แต่จ้าวรู้สึกคล้ายกับอยู่คนละโลก บรรยากาศในห้องมันหม่นหมองจนหายใจได้ไม่เต็มปอดนัก

“สู้ๆ จ้าว”

ให้กำลังใจตัวเองเสียงแผ่วก่อนจะเริ่มปฏิบัติการค้นหาทุกอย่างในห้องตั้งแต่ชั้นวางของยันใต้ตู้ ทุกที่ที่มีความเป็นไปได้ที่น่าจะหลงเหลืออะไรไว้ นัยน์ตาโศกกวาดตามองรอบๆ อย่างกระตือรือร้น พยายามทำตัวให้กระปี้กระเปร่าเพื่อที่ตัวเองจะได้ไม่พลาดอะไรไป

หากแต่ผ่านไปชั่วโมงนึงกับการค้นห้องครัว ห้องนั่งเล่น อย่างละเอียดรอบคอบ จ้าวก็หาอะไรไม่พบอยู่ดีซึ่งก็คาดว่าโดนพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บไปหมดแล้ว แต่กำลังใจจ้าวก็ยังไม่ฝ่อ พยายามรื้อห้องน้ำต่ออีกครึ่งชั่วโมงก็เจอแต่ความว่างเปล่า ต้องยอมรับเลยว่าเจ้าหน้าที่นั้นทำงานได้ดีมากจริงๆ แม้แต่รองเท้าสักคู่ยังไม่เหลือเอาไว้เลย มีเพียงทรัพย์สินขนาดใหญ่ที่เคลื่อนย้ายยากเท่านั้นที่ยังคงอยู่

หลังจากลองสำรวจรอบๆ อีกสองสามครั้งเพื่อความแน่ใจว่าตัวเองไม่ขาดตกบกพร่องอะไร จ้าวจึงเข้าไปยังห้องสุดท้ายที่ตัวเองยังไม่ได้เข้าไปเช็ค

ห้องที่ ‘พริม’ ถูกฆ่าตายในนั้น

ทันทีที่ดันประตูเข้าไปจ้าวก็รู้สึกเหมือนลมวูบใหญ่เข้าหน้าตัวเองทั้งๆ ที่ไม่ได้เปิดหน้าต่าง รู้สึกเย็นวาบไปทั้งร่างอย่างไร้สาเหตุ จ้าวเบิกตากว้างลูบแขนตัวเองเพราะรู้สึกเหมือนโดนจับเบาๆ ชั่วขณะหนึ่งก่อนที่มันจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย นัยน์ตาโศกกวาดไปมาอย่างหวาดระแวง

คงไม่มีอะไรหรอก…

จ้าวปลอบใจตัวเองแม้จะรู้ดีว่ามันมีแน่ๆ แต่จะทำอะไรได้นอกจากปล่อยผ่านไป ตั้งหน้าตั้งตาค้นห้องนอนของพริมต่อและพบว่าห้องนี้นั่นประหลาดกว่าห้องอื่นๆ ตรงที่ของใช้ส่วนตัวของพริมยังอยู่ครบ ตั้งแต่เครื่องสำอางจนถึงเสื้อผ้า

“…”

มือผอมชะงักทันทีที่เปิดลิ้นชักใต้เตียงออกมา

รูปภาพของ ‘จ้าว นฤภัทร’ ในอิริยาบถต่างๆ นั้นเต็มไปหมด อีกทั้งยังมีแท่งไฟรูปพระจันทร์เสี้ยว โปสเตอร์ อัลบั้มเพลงรุ่นลิมิตเต็ด รูปถ่ายครอบครัวเขากับพริมตอนที่ได้มีโอกาสกินข้าวร่วมกัน ความทรงจำทุกอย่างที่พริมมีเกี่ยวกับเขาถูกนำมาไว้ในที่แห่งนี้ทั้งหมด

น้ำตาหยดนึงตกลงบนมือของจ้าวก่อนที่จะหยดอื่นๆ จะตามมา

จ้าวนั่งสะอื้น ดูภาพตัวเองยิ้มกว้างตอนคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายด้วยมืออันสั่นเทา

พริมชอบเขามากจริงๆ

แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจตอบรับความรู้สึกของพริมได้จนกระทั่งอีกฝ่ายตายไปแล้วเขาก็ยังรู้สึกแบบเดิมอยู่ดี

“ขอโทษนะ ถ้าไม่มีเราสักคน พริมคงจะไม่ตาย”

จ้าวเก็บของทุกอย่างเข้าที่เดิมแล้วนั่งนิ่งๆ พยายามกล้ำกลื้นความรู้สึกทุกอย่างลงคอเพราะหน้าที่ของเขายังไม่จบ เขายังค้นห้องพริมไม่เสร็จ จะมามัวนั่งร้องไห้แบบนี้ไม่ได้

แต่ในอกกลับเศร้าจนหายใจไม่ออก เมื่อห้าปีที่แล้วก่อนทุกอย่างจะเกิดขึ้นพริมยังมีชีวิตอยู่ ยังมีโอกาสได้โลดแล่นในวงการตามฝัน ยังสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้ และยังหายใจ..

“ขอโทษ.. เราขอโทษ ฮึก”

ท้ายที่สุดจ้าวก็ร้องไห้จนตัวโยน รู้สึกผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทั้งๆ ที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเองด้วยซ้ำ เป็นเวลาพักใหญ่กว่าจ้าวจะควบคุมตัวเองได้ก่อนจะกลับไปค้นหาอีกครั้ง

“ไม่มีงั้นเหรอ..”

จ้าวพึมพำซึมๆ ไม่มีอะไรเลยที่สาวไปถึงเรื่องวันนั้นได้ หากแต่เมื่อกำลังจะลุกออกไปจู่ๆ กลับมีการ์ดบางอย่างปลิวออกมาหาจ้าว

การ์ดที่มีเลือดเปรอะอยู่ประปราย!

นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อได้สิ่งที่ต้องการโดยบังเอิญจนน่าขนลุกแต่ก็ไม่ได้สนใจกลัวอะไรนัก รีบเก็บเข้ากระเป๋ากางเกงเตรียมตัวกลับไปยังคฤหาสน์ของคุณเหมันต์เพราะนี่ก็กินเวลามาหลายชั่วโมงแล้วที่เขาหายตัวไป ขืนถ้าโดนจับได้ว่าหนีออกมาคงจะไม่สนุกเท่าไหร่ ถึงเขาจะไม่เคยเห็นตอนคุณเหมันต์โกรธแต่ก็ไม่อยากจะเสี่ยงที่จะเห็นมันนัก

ร่างโปร่งหยุดยืนหน้าห้องหันหน้าไปมองห้องอดีตคู่หมั้นของตัวเองด้วยหัวใจวูบโหวงนิดๆ เชิงลาก่อนที่จะจับกลอนประตูเตรียมจะเปิดออกไป

ติ๊ด

เลือดในกายเย็นวาบ จ้าวสะดุ้งสุดตัว

มีคนกำลังจะเปิดประตูเข้ามาด้านใน!

แทบไม่ต้องเสียเวลาคิด จ้าวรีบดึงคีย์การ์ดออกแล้วรีบไปหลบที่ๆ ใกล้ที่สุด ทุกอย่างในสายตาดูจะรวดเร็วไปหมด จ้าวกอดเข่าขดตัวให้เล็กที่สุดในตู้ใต้อ่างล้างจาน ที่นี่น่าจะเหมาะที่สุดแล้วสำหรับการซ่อนตัวเพราะมันมีช่องถี่ๆ สำหรับระบายอากาศและยังใช้สามารถสอดส่องข้างนอกได้ด้วย

“…”

จ้าวหลับตาหยีกัดปากแน่นจนได้กลิ่นสนิมในปาก มันเป็นนิสัยเสียที่แก้ไม่หายสักที เป็นการระบายความเครียดจัดที่ติดนิสัยมาจากในคุกที่ไม่มีอะไรสามารถทำร้ายตัวเองได้

เสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาในห้องทำเอาจ้าวกดดันจนหายใจไม่ออก แต่ละย่างก้าวดังก้องในหูราวกับเดินอยู่ในหัว นัยน์ตาโศกเบิกโพลงจดจ้องภายนอกที่เห็นเป็นภาพที่ถูกซี่ไม้บังกลายเป็นภาพตาราง

“…?”

จ้าวมองมือตัวเองที่สั่นไม่หยุดเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามาในห้องครัว แม้จะเห็นแค่ท่อนขายาวที่ขยับเข้ามาทางตัวเองก็พอจะจดจำได้ทันที

ซ่า ซ่า

เสียงน้ำไหลดังขึ้นเหนือหัว จ้าวกลืนน้ำลายเอือกมองชายเสื้อที่ขยับไปมา ตัวทั้งตัวสั่นสะท้านราวกับเป็นโรคชักกระตุก เขาไม่อยากคิดเลยว่าถูกจับได้ตอนนี้มันจะเป็นยังไง

มันคงจะเลวร้ายมากแน่ๆ

แค่คิดว่าต้องกลับไปโดนรับโทษ จ้าวก็แทบจะร้องไห้ ถ้าเกิดต้องโดนส่งไปสัตว์ทดลองจริง สู้เขาฆ่าตัวตายไปตั้งแต่ตอนนี้ยังจะดีเสียกว่า แต่ตอนนี้เขายังไม่โดนจับ เขายังมีโอกาสหนีอยู่

ทั้งๆ ที่ปลอบใจตัวเองแบบนั้นแต่จ้าวกลับไม่รู้สึกดีขึ้นสักนิด จ้องมองคนที่ยืนตรงหน้าตัวเองอย่างไม่วางตา มีเพียงประตูไม้ที่มีความหนาไม่ถึงห้าเซ็นที่กั้นพวกเขาไว้เท่านั้น

จ้าวกลั้นหายใจเครียดจนแทบไม่รู้สึกถึงบาดแผลในปาก

กลัว.. กลัวจนแทบบ้า

แอ๊ด

“…!!!”

ประตูถูกแง้มออก หัวใจของจ้าวคล้ายกับหยุดเต้น

มันจบแล้วสินะ..

จ้าวคิดด้วยความเศร้าหมองยกมือขึ้นปิดหน้าแต่พอรอไปสักพักกลับพบว่าประตูถูกปิดเหมือนเดิมแล้ว ที่มีแง้มเมื่อกี้น่าจะเพราะขาไปเผลอเกี่ยวกับประตูเข้า

โชคยังอยู่กับเขาสินะ

ร่างผอมลูบอกตัวเองพยายามปลอบตัวเอง ถ้าหากเขากลายเป็นวิกลจริตตั้งแต่ตอนนี้ก็คงไม่แปลกนักและในที่สุดช่วงเวลาที่ทุกข์ทรมานที่สุดก็จบลง เจ้าของท่อนขายาวเดินออกไปแล้ว ทำให้จ้าวสามารถหายใจหายคอได้อีกครั้งแต่ก็ยังไม่กล้าผ่อนคลายเพราะเขายังไม่สามารถหลบหนีออกไปได้

จ้าวรออย่างใจเย็น ไม่กล้าผลีผลามเพราะกลัวจะพลาดพลั้ง

เมื่อตกอยู่ในความเงียบสงัดทุกอย่างก็ดูจะชัดเจนขึ้นมาทันที จ้าวหลับตาพยายามเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าที่มักจะเดินด้วยจังหวะสม่ำเสมอราวกับเครื่องจักร ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความมั่นใจและความเด็ดขาด

“ฮึก..”

เสียงร้องไห้..?

นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก

นานแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้ยินจันทร์ร้องไห้ อาจจะสิบปี ยี่สิบปี เขาไม่แน่ใจนัก แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่เรื่องปกติเพราะจันทร์ที่เขารู้จักตอนนี้คือคนที่เฉยชาต่อโลกราวกับว่ากลายเป็นเครื่องจักรตัวนึงในโรงพยาบาลไปแล้ว

“…ขอโทษ ฮึก”

แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่จ้าวก็ได้ยินมันชัดเจน

ความรู้สึกลึกๆ ของจ้าวนั้นคืออยากเดินเข้าไปกอดปลอบน้องเหมือนตอนเด็กๆ ที่พอมีเรื่องอะไร ก็จะเล่าให้กันฟังและปลอบประโลมกัน ต่อให้คนทั้งโลกหันหลังให้พวกเขา ขอแค่จันทร์มีเขาและเขามีจันทร์ แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไปแล้ว
แต่มันก็เป็นเพียงเรื่องในอดีต มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว…

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ความสัมพันธ์ของเขากับจันทร์ตอนนี้มันยุ่งเหยิงเกินกว่าจะคลายได้แล้ว เขารักน้องก็จริงแต่ก็เจ็บปวดเหลือเกินที่ต้องมารู้ว่าน้องเกลียดตัวเองขนาดนี้อย่างไร้สาเหตุ

จ้าวกระพริบตาปริบ

หรืออาจจะมีสาเหตุบางอย่างมาจากเขารึเปล่า..?
แต่เขาก็เคยนั่งคิดเป็นวันตอนอยู่ในคุก ทั้งตอนอื่นๆ ก็นึกไม่ออกอยู่ดีว่าเขาทำผิดอะไร เขารักน้อง รักมาก รักจนถ้าน้องเลือกที่จะกลับตัวตอนนี้เขาก็คงจะให้อภัยง่ายๆ ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองผ่านความเจ็บปวดมามากขนาดไหน

“ฮึก ขอโทษ”

น้องของเขากำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

มือผอมค่อยๆ ดันประตูออกและพาร่างตัวเองออกมาข้างนอกอย่างเชื่องช้า ระมัดระวังอย่างที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียง นัยน์ตาโศกกวาดตามองรอบๆ อย่างหวาดระแวงเมื่อพาตัวเองมาถึงขอบประตูห้องครัวได้ซึ่งมันก็ใกล้กับประตูทางออกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองควรใช้จังหวะนี้ในการหนีแต่จ้าวกลับอดไม่ได้ที่จะมองกลับหลังไปหาน้อง

ยังไงซะ เราก็เป็นพี่น้องกัน เขาไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงแย่ๆ เลย ไม่เลยสักนิด

เขาเองเห็นหลังของจันทร์ในห้องนอน จันทร์กำลังนั่งอยู่บนเตียงสะอื้นไม่มีเสียงจนตัวโยน บนเตียงมีดอกกุหลาบสีแดงสดช่อใหญ่วางอยู่

พริมชอบดอกกุหลาบสีแดง…

จ้าวเลิกคิ้วนิดๆ เหมือนจะเรื่องบางอย่างที่เขาไม่รู้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งคิดเยอะแยะ จ้าวรีบทรุดตัวยืนและเปิดประตูด้วยความเงียบที่สุดแต่ก็ยังไม่วายมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดอยู่ดี

และแน่นอนว่ามันเป็นสัญญาณชั้นดีเลยว่ามีคนอยู่ในห้อง!

“จ้าว!!!”

เสียงตะโกนไล่หลังอย่างกราดเกรี้ยว ทำให้จ้าวออกแรงวิ่งสุดชีวิต พยายามสับขาให้ไวที่สุด ไม่สนอาการเจ็บปวดอะไรของตัวเอง ในหัวมีเพียงเส้นทางไปยังลานจอดรถที่น่าจะพอหาทางหนีต่อไปได้เพราะแถวนั้นไม่ค่อยมีคนตรวจตรานักอีกทั้งกล้องวงจรปิดยังเสียเป็นช่วงๆ ซึ่งจ้าวก็หวังว่ามันจะเป็นแบบเดิม ไม่งั้นเขาก็คงไม่มีที่ไปแล้ว!

“หยุด!!! กูบอกให้หยุดไง!”

นับเป็นการพบปะกันในรอบอาทิตย์ที่ไม่หวานชื่นเท่าไหร่ จ้าววิ่งและวิ่ง ต้องขอบคุณที่จันทร์เห็นเขาช้าไปหลายวินาทีทำให้เขามีเวลาออกตัวไวกว่าเยอะมาก จันทร์จึงทำได้แค่ไล่ตามแบบทันเห็นแค่หลังไวๆ ยังไม่ถึงในระยะที่สามารถกระชากเสื้อแล้วทุ่มลงพื้นได้

อุณหภูมิในตัวจ้าวร้อนระอุจากการเผาพลาญพลังงานจำนวนมหาศาลในเวลาไม่กี่วินาที จ้าวเปิดประตูบันไดหนีไฟแล้วสับให้มันเป็นล็อกก่อนจะวิ่งเร็วๆ ลงไปต่อ

ปัง!!

“เปิดเดี๋ยวนี้!!! จ้าว!!!”

แน่นอนว่าจ้าวไม่สนใจ บันไดหนีไฟนี่สามารถเชื่อมไปกับลานจอดรถได้ สิ่งที่เขาต้องทำคือไปถึงที่นั่นให้เร็วที่สุด อีกไม่นานจันทร์ก็จะเรียกพวกรปภ. มาตามล่าเขา ถ้าเขาช้าไปมากกว่านี้ เขาก็ไม่โอกาสได้ตีปีกออกมาจากกรงอีก เขาจะโดนจับขังไว้ในกรงแล้วตายในนั้นในที่สุด

ผลั่ก

จ้าวเบิกตากว้างเมื่อเห็นประตูที่เชื่อมไปยังลานจอดรถอยู่ข้างหน้าแต่ตัวเองกลับพลาดตกบันไดซะก่อน แต่ก็ไม่มีเวลามาพิรี้พิไรนัก รีบลุกขึ้นยืนวิ่งกะเผลกๆ ตรงไปข้างหน้าไปยังลานจอดรถที่รถเก่าจอดอยู่ประปราย ชั้นนี้เป็นชั้นบนสุดจึงไม่ค่อยมีคนขึ้นมานักอีกทั้งระบบรักษาความปลอดภัยก็มักจะพังเป็นช่วงๆ เหมือนน้อยใจที่ไม่ได้รับความสำคัญนัก
   
ปัง!
   
ประตูทางหนีไฟชั้นที่ใกล้กับจ้าวถูกเปิดออก เสียงฝีเท้าดังตึงตังบ่งบอกถึงจำนวนคนที่ไล่ตามจ้าวเกือบหลายสิบคนแน่นอนว่ามีนายแพทย์ชื่อดังรวมอยู่ในนั้น
   
จ้าวแทบร้องไห้เมื่อวิ่งมาถึงรถเก่าๆ คนนึงแล้วก็พบว่าไม่มีทางหนีแล้ว มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มกำลังวิ่งขึ้นมาดักทางเขาถ้าเกิดจะวิ่งลงไป ตอนนี้มีเพียงระเบียงเท่านั้นที่สามารถใช้หนีได้แต่เขาก็คงไม่มีปัญญากระโดดลงใส่สระว่ายน้ำพอดีแบบในหนังหรอก อีกทั้งแถวนี้ก็ไม่น่ามีอะไรที่พอจะรองรับแรงกระแทกที่เกิดจากการกระโดดลงจากตึกได้
   
“…ฮึก”
   
ร่างผอมทรุดตัวลงกับพื้นตัวสั่นระริก กอดตัวเองทั้งน้ำตา
   
ไม่มีทางหนีแล้ว..
   
“…!”
   
จ้าวสะดุ้งสุดตัวเมื่ออยู่ๆ ประตูรถเก่าก็เปิดออกแล้วตัวเองก็ถูกรวบตัวขึ้นอุ้มอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าอีกฝ่ายสวมชุดสูทสีดำปลอดเหมือนพวกบอดี้การ์ดอีกทั้งยังสวมแว่นสีดำทรงทันสมัย ยังไม่ทันได้ขัดขืนคนตรงหน้าก็บอกตัวตนของตัวเองออกมาทันที
   
“ผมชื่อออสติน เป็นคนของคุณเหมันต์ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้”
   
ออสตินกล่าวอย่างเย็นชาก่อนจะวิ่งไปยังระเบียง โอบอุ้มจ้าวด้วยแขนเดียวและใช้แขนอีกข้างเป็นที่ยึดหลักก่อนจะไถลลงจากขอบ
   
“...หวา!” จ้าวสะดุ้งเมื่อเห็นพื้นเบื้องล่างเป็นภาพเล็กๆ เนื่องจากความสูง ตัวสั่นระริกเพราะหากพลาดพลั้งขึ้นมาคงไม่วายคอหักตายทั้งคู่
   
แต่ภาพนี้สำหรับบอดี้การ์ดที่ผ่านการฝึกมาหลายร้อยชั่วโมงแล้ว แค่นี้สบายมาก ออสตินเอื้อมจับเสาและไถลลงอย่างใจเย็นก่อนจะเหวี่ยงตัวลงอีกชั้นซึ่งเป็นเวลาเดียวกับรถที่จ้าวได้ยินเสียงขับขึ้นไปพอดี ถือว่าเป็นการทำเวลาที่ได้ดี ไม่เช่นนั้นอาจจะถูกเห็นเข้าซะก่อน
   
ออสตินวิ่งเร็วๆ เข้าไปยังรถสีดำคันหรูราคาเหยียบหลายสิบล้านที่จอดรออยู่อย่างนิ่งสงบกลมกลืนกับรถคันอื่นๆ ที่จอดกันอยู่เป็นแนว ซึ่งในมุมที่รถคันนี้จอดนั้นก็เป็นมุมอับของกล้องวงจรปิดพอดี จึงหมดปัญหาเรื่องการตามตัวจากกล้องได้เลย
   
แน่นอนว่าทั้งหมดทั้งมวลนี่ล้วนเกิดจากมันสมองของใครบางคนที่นั่งรออยู่บนรถ
   
จ้าวนั่งตัวลีบเมื่อถูกนำมาวางไว้ข้างๆ ร่างสูงใหญ่ที่มีสีหน้านิ่งสงบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แม้ว่าจะสามารถช่วยจ้าวได้แล้วก็ตาม
   
ออสตินขึ้นรถฝั่งคนขับโดยไม่พูดอะไรแล้วขับกลับคฤหาสน์ทันทีตามคำสั่งของคุณเหมันต์ที่สั่งไว้ตั้งแต่ก่อนออกมา นัยน์ตาสีฟ้าเหลือบมองสีหน้าของนายตัวเองชั่วครู่หนึ่งและเป็นดังที่คาด
   
นายของเขาโกรธมาก
   
สีหน้าหงุดหงิดจัดของคุณเหมันต์เป็นสิ่งที่เขาไม่ได้เห็นมานานมากแล้วเพราะอีกฝ่ายมักจะควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีเสมอ น้อยครั้งนักที่จะโกรธจัด น้อยครั้งมากจริงๆ
   
“…ขอบคุณครับ”
   
จ้าวพูดไม่เต็มเสียงนักเพราะรู้ว่าตัวเองผิดเต็มๆ และเกือบจะเอาตัวไม่รอด มองคุณเหมันต์หวาดๆ ด้วยความกลัว แต่เมื่อพูดไปกลับไม่ได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบ คุณเหมันต์นั่งนิ่งไม่แม้แต่จะปรายตามองเขาด้วยซ้ำ
   
ฉับพลันความเศร้าก็จุกขึ้นมาจนทนแทบไม่ไหว จ้าวไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกอะไรแต่เขาเจ็บปวดกับมันมาก จนแทบทนไม่ไหว เผลอเอามือไปแตะแขนคุณเหมันต์เพื่อขอความเห็นใจโดยไม่รู้ตัว
   
“คุณเหมัน—“
   
เพี๊ยะ
   
ความเจ็บปวดจู่โจมเข้าฉับพลันที่แก้มซ้ายของจ้าว นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างกุมแก้มตัวเองมองเหมันต์ด้วยนัยน์ตาสั่นระริกและพบว่าแววตาสีเทาของคุณเหมันต์นั้นวาวโรจน์ ราวกับว่ามีกองเพลิงปะทุอยู่ในนั้น
   
“อย่าเพิ่งคุยกับฉัน”
   
น้ำเสียงของเหมันต์เย็นเยียบจนจ้าวขดตัวกอดตัวเองสะอื้นเงียบๆ
   
“ขอโทษครับ.. ฮึก ขอโทษ”
   
น่าแปลกนักที่จ้าวรู้สึกว่ามันไม่คุ้มค่าเลยสักนิดกับการได้หลักฐานมาแลกกับการทรยศความไว้ใจของคุณเหมันต์ที่มีให้กับตัวเอง
   
มันไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ

ออฟไลน์ kanj1005

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-1
จบตอนแบบไม่ทันตั้งตัว   :ling1: :ling1: :ling1:
อย่าโกรธนานนะคุณเหมันต์

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
งืออออออออ ตีน้องทำไมอ่ะคุณเหมันต์
จ้าวดื้อแต่ก็มีเหตุผลนะ
ส่วนจันทร์ รักพริมแล้วก็ฆ่าพริมสินะ เศร้าอ่ะ

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
โถ่จ้าว คุณเหมันต์อย่าตีน้อง อย่าโกรธน้องนานเลยนะ

ออฟไลน์ fxxg0430

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
คุณเหมันต์นี่เป็นพระเอกที่ค่าตัวแพงมากเลยค่า ออกน้อย พูดก็น้อย แต่เราชอบเขาจัง รุ้สึกว่าคนวู่วาม เตลิดง่ายๆแบบจ้าวต้องเจอคนแบบนี้ถึงจะเอาอยู่

แต่ก็แบอยากรู้ว่าตอนนี้คุณเหมันต์รู้สึกยังไง รักหรือยังหรือยังเป็นแค่แฟนคลับผู้หวังดีอยู่ อยากให้รีบๆรักน้อง เผื่อความรักจะทำให้น้องใจเย้นลงบ้าง

เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะชอบมากอ่านรวดเดียวเลย

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 645
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
 :katai2-1: :katai2-1:
สนุกจุง.. เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ
มีหลายอารมณ์มากเรย..
รอตอนต่อไปนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Noname_memi

  • 7 or never, 7 or nothing
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1324
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-1
 :serius2: กรี๊ดๆ โดนโกรธเข้าให้แล้วไหมล่ะจ้าว

เกือบแล้ว เกือบโดนจับเข้าให้แล้ว

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เข้าใจคุณเหมันต์ และไม่เห็นด้วยกับจ้าวนะคราวนี้

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 23
   

หลังจากวันนั้นก็เป็นเวลาอาทิตย์หนึ่งแล้วที่จ้าวไม่ได้เจอคุณเหมันต์ ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ถึงแม้คนรอบตัวจะวางตัวตามปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่จ้าวก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลกเล็กๆ
   
คุณเหมันต์ไม่ไว้ใจเขาอีกแล้ว…
   
นัยน์ตาโศกสั่นระริกเมื่อเหลือบไปมองบอดี้การ์ดคนนึงที่ยืนอารักขาเขาอยู่ตรงหน้าประตู ใบหน้านั้นนิ่งเฉยไม่ยอมคุยกับเขาแม้ว่าจะชวนคุยไปหลายประโยคอีกทั้งยังไม่ตอบคำถามเขาว่าคุณเหมันต์ไปไหน
   
“…”
   
จ้าวมองการ์ดเจ้าปัญหาในมือที่ทำให้เขาต้องแลกกับความไว้ใจของคุณเหมันต์ ค่อยๆ คลี่มันออกเพื่ออ่านข้อความภายในอีกครั้ง หวังว่ามันจะช่วยจุดประกายความหวังให้ตัวเองไม่รู้สึกสิ้นหวังไปกว่านี้

   

ถึง พริม
   
สุขสันต์วันเกิดนะครับ ผมอวยพรคนอื่นไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ แต่ผมอยากให้พริมมีความสุขตลอดทั้งปีนะครับ และหวังว่าปีนี้พริมจะว่างไปกินข้าวกับผมสักมื้อสองมื้อนะ ผมอยากจะรู้จักพริมมากกว่านี้ :)
                                                                               จันทร์ (17/1/2018)

   
ตัวอักษรถูกเขียนด้วยความบรรจงอ่านง่ายและเป็นระเบียบแสดงให้เห็นถึงอุปนิสัยของผู้เขียนที่เป็นคนเคร่งครัดในกฎระเบียบ ซึ่งครั้งแรกที่จ้าวเห็นข้อความในการ์ดนี้ก็ตกใจไม่น้อยเพราะไม่เคยเห็นจันทร์อวยพรวันเกิดใครแบบส่วนตัวมาก่อน ส่วนใหญ่ก็ทำตามมารยาททางสังคมเท่านั้น โดยเฉพาะกับตัวเขาเองที่ไม่ได้รับคำอวยพรมาจากจันทร์มาเป็นสิบๆ ปีแล้ว
   
แต่ที่แน่ๆ มันทำให้เขามั่นใจได้ว่าสำหรับจันทร์แล้วพริมคงจะเป็นคนที่พิเศษไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่ถึงกับเขียนการ์ดพร้อมวาดรูปเค้กด้วยความเอาใจใส่มากขนาดนี้
   
จ้าวพยายามจดจ่อกับการ์ด พยายามนึกหาเหตุผลต่อแต่ก็คิดอะไรไม่ออกและอยู่ๆ ก็น้ำตาไหลออกมาก่อนจะสะอื้นจนตัวโยน รู้สึกเจ็บปวดจนทนแทบไม่ไหวโดยไม่รู้สาเหตุ
   
ไม่สิ ไม่ใช่ไม่รู้สาเหตุ..
   
มือผอมพยายามเช็ดน้ำตาตัวเองที่ไหลบ่าออกมาไม่หยุด

เขาทนไม่ไหวแล้ว เขาทนรับความเย็นชาจากคุณเหมันต์ไม่ไหวแล้ว

“ฮึก พอแล้ว ผมขอโทษ หายโกรธผมเถอะนะ”

จ้าวสะอื้นจนตัวโยนเดินไปขอความเห็นใจจากบอดี้การ์ดร่างใหญ่ที่ไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใด มือเล็กพยายามกระตุกชายเสื้อหวังว่าอีกฝ่ายจะใจอ่อนลงมาบ้าง

“ฮึก ผมจะไม่หนีไปไหนแล้ว”

แปลกที่จ้าวรู้สึกว่าครั้งนี้เป็นความเจ็บปวดที่ต่างออกไป มันไม่ใช่ความเจ็บปวดแบบเดียวกับที่เคยเผชิญมาทั้งหมด มันเป็นความรู้สึกประหลาดที่บอกไม่ถูกซึ่งจ้าวก็ไม่ค่อยเข้าใจนักว่ามันคืออะไร

เพียงแต่เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองทนไม่ไหวแล้ว

“ขอโทษ ฮึก ขอผมคุยกับคุณเหมันต์เถอะนะ”

แต่ยิ่งพูดก็เหมือนเปล่าประโยชน์ บอดี้การ์ดหนุ่มไม่แม้แต่จะปรายตามองด้วยซ้ำ นัยน์ตาที่ซ่อนหลังแว่นสีดำไม่มีความเห็นใจไม่สะท้อนอารมณ์ใด มีเพียงความมุ่งมั่นในการทำตามคำสั่งของนายเหนือหัวเท่านั้น

เพราะคำสั่งของนายท่านเหมันต์คือคำประกาศิต เขาทำงานให้กับคุณเหมันต์ ไม่ใช่อดีตนักร้องดังที่ทำตัวไม่รักดีด้วยการขัดขืนคำสั่งของคุณเหมันต์ ทั้งๆ ที่คุณเหมันต์หวังดีด้วยถึงเพียงนั้น

เขาไม่เคยเห็นนายท่านของเขาใจดีกับใครมากขนาดนี้มาก่อนและไม่เคยเห็นความโกรธที่ดุดันจนพวกเขากลัวจนตัวสั่นแบบนี้ ขืนเขาขัดคำสั่งคุณเหมันต์แล้วยอมช่วยนักร้องคนนี้ เขาคงไม่วายโดนไล่ออกแน่ๆ ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำอย่างเคร่งครัดคือเมินเจ้านักร้องนี่ซะ

“…ฮึก”

สุดท้ายจ้าวก็ยอมแพ้ ยอมเดินกลับไปนั่งบนเตียงหงอยๆ เก็บการ์ดเข้ากระเป๋าเสื้อและขีดเขียนเพลงใหม่ที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับมันในช่วงนี้ต่อ ซึ่งมันเป็นเพลงแรกที่จ้าวเขียนเพื่อระบายความรู้สึกยุ่งเหยิงในหัวของตัวเอง มันดูปั่นป่วนงุนงงราวกับเด็กสาววัยมัธยมที่กำลังอยู่ในห้วงรัก แน่นอนว่าจ้าวไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นสาวน้อยหรอก แต่อาการของเขามันแปลกมากจริงๆ

เขาคิดถึงคุณเหมันต์ คิดถึงอ้อมกอดอุ่นๆ นั่น คิดถึงยิ้มที่มีให้กับเขา คิดถึงสัมผัสเบาๆ ที่ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยนประหนึ่งของล้ำค่าที่แสนเปราะบาง เขาคิดถึงทุกอย่างที่เป็นคุณเหมันต์

ยิ่งคิดจ้าวก็ยิ่งสลด

คุณเหมันต์เป็นคนเดียวที่เขาต้องการจริงๆ ในตอนนี้ ต้องการยิ่งกว่าการได้รับความยุติธรรมจากสังคมซะอีก

“ผมขอโทษ”

ร่างผอมสะอื้นพร้อมกับเขียนเนื้อเพลงลงในกระดาษที่มีถ้อยคำที่เขาเขียนเป็นไอเดียเพื่อแต่งเพลงไว้อย่างกระจัดกระจาย มือสั่นระริกเมื่อน้ำตาหยดลงใส่กระดาษในบรรทัดต่อไปจนเขียนต่อไม่ได้

“จ้าว”

เจ้าของชื่อสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย จ้าวรีบหันไปมองตามเสียงทันทีและพบว่าเป็นคนที่ตัวเองเฝ้ารอมาตลอดทั้งอาทิตย์

“คุณ..เหมันต์”

จ้าวยิ้มกว้างก่อนที่จะชะงักไปเมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิ้มบางๆ ให้ตัวเองเหมือนที่เคย มือบางกุมกันแน่นอย่างประหม่าและกังวล

“วันนั้นฉันขอโทษ”

แม้แต่น้ำเสียงที่พูดจ้าวก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชา นัยน์ตาสีเทานั่นไม่สามารถอ่านอารมณ์ใดๆ ได้ ใบหน้าคมคายที่มักจะมีรอยยิ้มนิ่งเฉยราวกับไม่เคยยิ้มมาก่อน

“ฉันลืมไปว่าเป็นฉันเองที่เสนอหน้าเข้าไปช่วยเธอ” เหมันต์เหยียดยิ้มเยาะตัวเอง “ทั้งๆ ที่ความจริงเธออาจจะไม่ได้ต้องการมันเลยก็ได้”

นัยน์ตาสีเทาของเหมันต์นั้นคล้ายกับดวงตาของหมาป่าผู้รักสันโดษ แววตาดุดันนั้นจดจ้องนัยน์ตาโศกของจ้าวและคลี่ยิ้มออกมาบางๆ 

“หลังจากนี้จะไม่มีบอดี้การ์ดตามติดเธอ เธอเป็นอิสระแล้ว จ้าว จะทำอะไรก็ได้ ชีวิตเป็นของเธอ ฉันจะคอยช่วยอยู่ห่างๆ แล้วกัน”

จ้าวเบิกตากว้างแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

หมายความว่ายังไงกัน? คุณเหมันต์จะไม่อยู่กับเขาแล้วเหรอ

“ฉันมีงานต้องทำ” เหมันต์ยิ้มแต่นัยน์ตาไม่ได้ยิ้มตาม “คงต้องขอตัวก่อน”

ร่างสูงใหญ่หมุนปลายเท้ากลับไปยังทางที่ตัวเองเดินมา นัยน์ตาโศกมองตามด้วยร่างอันสั่นเทา สับสนมึนงงกับสถานการณ์ในตอนนี้ถึงขีดสุด

“ไม่!!!” จ้าวกรีดร้องกระโดดลงจากเตียงวิ่งเข้าไปกอดรั้งเอวคุณเหมันต์ไว้ “ฮึก ผมขอโทษ อย่าโกรธผมเลยนะ ผมขอโทษ”

“เข้าใจผิดแล้ว จ้าว” เหมันต์หยุดเดินมองแขนผอมที่ไม่สามารถโอบรอบเอวตัวเองได้มิด “ฉันไม่ได้โกรธเธอ ฉันแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น”

“ฮึก ไม่เอานะ อย่าทิ้งผมไปนะ” จ้าวพยายามกอดเอวคุณเหมันต์ให้แน่นที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้ “คุณเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมมาตลอด ฮึก ผมไม่ให้ไป! ผมไม่สนว่าคุณจะเกลียดผมไหมแต่ผมก็จะไม่ยอมให้คุณไปไหนทั้งนั้น! จนกว่า จนกว่าคุณจะยอมกลับมาเป็นเหมือนเดิม ฮึก”

“ฉันมันคนแก่น่ารำคาญ จ้าว” เหมันต์หัวเราะเสียงแผ่วเบา “ฉันจู้จี้จุกจิกกับชีวิตของเธอเกินไป เธอมีสิทธิ์ที่จะทำตามความคิดของตัวเองเพราะเธอก็บรรลุนิติภาวะมาตั้งหลายปีแล้ว เอาเข้าจริงวันนั้นฉันไม่มีสิทธิ์ตบเธอด้วยซ้ำ” รอยยิ้มบางบนใบหน้าคมคายหายไป “ฉันขอโทษ”

“ฮึก คุณไม่ผิดหรอก ผมเนี่ยแหละผิด ผมมันโง่เองที่คิดว่าตัวเองจะทำทุกอย่างได้ ทั้งๆ ที่มันไม่เป็นแบบนั้น” นัยน์ตาโศกคลอด้วยน้ำตา “ถ้าไม่มีคุณผมคงจะโดนจันทร์จับไปแล้ว เผลอๆ วันนี้ผมอาจจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ”

“อย่าร้องไห้สิ จ้าว” น้ำเสียงทุ้มพูดเสียงอ่อนลง “ฉันก็แค่ให้อิสระเธอมากขึ้นก็แค่นั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอก”

“ไม่!” จ้าวทักท้วงเสียงแข็งดื้อดึงผิดวิสัยที่ปกติมักจะว่าง่ายเออออตามทุกอย่าง “คุณไม่มาหาผมเลยตั้งอาทิตย์นึง มันไม่ปกติ คุณเหมันต์คนก่อนไม่เป็นแบบนี้”

“ฉันงานยุ่ง”

“อย่ามาอ้าง ผมรู้ ฮึก คุณเกลียดผมแล้วใช่ไหมที่ผมไม่เชื่อฟังคุณ”

เหมันต์พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ แววตาสีเทาเยือกเย็นที่จ้าวมองไม่เห็นฉายชัดถึงความสับสน “…เธอต้องการอะไรจากฉันกันแน่จ้าว”

“…คุณไม่เหมือนเดิม” จ้าวแนบหน้ากับแผ่นหลังหนาพูดเสียงอู้อี้ “ผมก็แค่อยากได้คนเดิมของผมคืน”

“บอกตามตรงนะจ้าว” เหมันต์หลับตาพูดเสียงกระซิบ “เราไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ”

คำพูดของเหมันต์เล่นเอาอดีตนักร้องดังหน้าชาและเมื่อทบทวนดูก็พบว่าเป็นดังที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ ทั้งเขาทั้งคุณเหมันต์ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำแต่กลับมีความสัมพันธ์คลุมเครืออธิบายไม่ได้

เขาดีใจทุกครั้งที่ตื่นมาเห็นคุณเหมันต์อยู่ในสายตา แม้ใบหน้าคมคายที่ดูดุดันจนน่ากลัวนั้นจะไม่ยิ้มในบางทีแต่เขาก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายหวังดีกับตัวเองขนาดไหน

“ฉันทำตัวแย่ๆ ด้วยการเข้าไปบงการชีวิตเธอหลายๆ อย่างที่ฉันคิดว่าดี ฉันพยายามช่วยเธอแต่ไม่เคยถามเธอสักคำว่าอยากให้ฉันช่วยรึเปล่า”

ไม่จริงสักหน่อย…

จ้าวทักท้วงในใจแต่ก็ไม่ได้พูดขัดเพราะรู้ว่าคุณเหมันต์ยังพูดไม่จบ

“ฉันยอมรับนะว่าทีแรกฉันสนใจเธอในฐานะของแฟนคลับ ฉันชอบเธอตอนร้องเพลง เธอไม่รู้หรอกว่าตัวเองมีสเน่ห์ขนาดไหนตอนที่เปล่งประกายบนคอนเสิร์ต มันทำให้อารมณ์หงุดหงิดของฉันหายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ แค่เธอยิ้มครั้งเดียวทุกอย่างก็เหมือนสว่างไสวขึ้นมา มันทำให้ฉันโคตรชอบเธอเลย”

เหมันต์หัวเราะในลำคอเมื่อนึกถึงความหลัง “แต่พอเธอตกต่ำมันก็ทำให้ฉันรู้สึกแย่จนทนไม่ได้ ต่อให้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ฉันก็มั่นใจว่าเธอไม่ได้ทำ ฉันพยายามจะหาทางช่วยเธอตั้งแต่ตอนที่คดีดังๆ แล้ว แต่ก็มันก็เกินความสามารถของฉันเกินไป”

จ้าวผละออกจากแผ่นหลังหนาเหลือบมองไหล่กว้างที่ดูแข็งแกร่งจนสามารถยืนหยัดได้ตลอดกาลแม้ว่าโลกจะถล่มลงมา นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่คุณเหมันต์เล่าถึงสาเหตุที่ยอมช่วยเขาออกมา ที่ผ่านมาเขาไม่เคยถามเพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง อยู่กับความทุกข์ทรมานที่กัดกินจิตใจไม่หยุด แต่พอได้มีโอกาสสังเกตดูดีๆ ก็พบว่าคุณเหมันต์ช่างใจดีกับเขาเหลือเกิน
ดีจนจ้าวไม่แน่ใจนักว่าตัวเองจะหาคนที่ดีกับตัวเองขนาดนี้ในชีวิตได้อีกไหม

“ฉันไม่สามารถเอาทุกอย่างที่ฉันมีในมือไปเสี่ยงได้ ฉันยังต้องเลี้ยงคน ทุกคนยังต้องการเงินในการใช้ชีวิต ถ้าเกิดฉันทำพลาดขึ้นมา ทุกคนคงไม่วายอดตายกันหมด”

เหมันต์ก็ยังคงเป็นเหมันต์ ไม่คิดจะนำเรื่องส่วนตัวที่แสนสำคัญมาทำทุกอย่างที่ใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างขึ้นมาให้พังทลาย เป็นหมาป่าผู้เป็นจ่าฝูงและรักสันโดษคอยรักษาสันติสุขในอาณาเขตของตัวเอง

“แต่พอมีโอกาสในการช่วยเธอขึ้นมา ฉันก็อดที่จะเสี่ยงด้วยไม่ได้” นัยน์ตาสีเทาที่ซ่อนหลังเปลือกตาสั่นระริกไม่ใช่เพราะความทุกข์ตรมแต่เป็นเพราะความตึงเครียดแกมรู้สึกผิดที่ใช้อำนาจของตัวเองในทางที่มิชอบ ขืนเรื่องของเขากับจ้าวแดงขึ้นมาคงไม่วายโดนหาว่าให้ความช่วยเหลืออาชญากรและปัญหาอีกล้านแปดก็คงตามมาให้ปวดหัว

“เรื่องของฉันก็มีแค่นั้น ฉันช่วยเธอเพราะอยากช่วยและหลังๆ ฉันก็ยุ่งกับเธอมากเกินไปจนเธอน่าจะรำคาญ ฉะนั้นฉันจะให้ระยะห่างกับเธอ”

“ผมไม่ได้รำคาญสักหน่อย”

“ไม่ต้องโกหกหรอกจ้าว ฉันไม่ใช่คนรู้จักของเธอด้วยซ้ำ เธอไม่ต้องเกรงใจที่จะต้องพูดความจริงหรอก”

“ผมไม่ได้โกหก ผมจะไม่ดื้อกับคุณแล้ว ผมสัญญา” จ้าวงอแงพยายามรั้งตัวเหมันต์ที่จะเดินหนีออกจากห้อง “แค่อย่าทิ้งผมก็พอ”

เหมันต์ถอนหายใจเฮือกใหญ่รวบตัวจ้าวขึ้นมาอุ้มอย่างง่ายดายและนำกลับไปวางบนเตียง ก่อนที่ตัวเองจะทรุดตัวลงนั่งข้างๆ และจับข้อเท้าของจ้าวขึ้นมาดู “หายเจ็บรึยัง”

รอยช้ำม่วงจางๆ ที่ยังหลงเหลือทำให้ใบหน้าคมขมวดคิ้วมุ่นไม่พอใจนัก

“หายแล้วครับ” จ้าวยิ้มจนตาหยี “คุณเหมันต์จะไม่ทิ้งผมใช่ไหม”

เหมันต์ครางอืมในลำคอก่อนที่จ้องจ้าวนิ่งจนจ้าวนั่งหลังตรงเกร็งๆ กลืนน้ำลายเอือกอย่างประหม่าเพราะอ่านอารมณ์คุณเหมันต์ไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“บอกตามตรงว่าตอนนี้ฉันไม่ได้มองเธออย่างซื่อตรงสักเท่าไหร่”

จ้าวกระพริบตาปริบงุนงง “หมายความว่ายังไงครับ”

“เธอไม่ใช่เด็ก จ้าว ฉันรู้ว่าเธอรู้ว่าฉันหมายถึงอะไร”

ใบหน้าของจ้าวจึงค่อยๆ ขึ้นสีแดงก่ำ “ผมไม่เข้าใจ”

“อย่าทำให้ฉันหงุดหงิดนักสิ” เหมันต์ขมวดคิ้วพ่นลมหายใจพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง “ฉันพูดไม่ค่อยเก่งหรอกนะ”

ยังไม่ได้ทันได้ถามอะไรต่อ จ้าวก็ถูกร่างสูงใหญ่ขึ้นคร่อม นัยน์ตาโศกเบิกตากว้างเมื่อพบว่าคุณเหมันต์ได้กลายเป็นเหมือนวันนั้นไปแล้ว! หมาป่าคลุ้มคลั่งที่ถูกกักขังเอาไว้อย่างยาวนานกำลังเริ่มจะเริ่มมื้ออาหารของตัวเองด้วยการจับเหยื่อที่ถูกใจกิน แววตาสีเทามองสีหน้าของจ้าวอย่างขบขันก่อนที่จะซุกไซร้คอขาวที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ

“..คุณ คุณเหมันต์”

จ้าวหน้าแดงเถือกพยายามดันหัวเหมันต์ออก หนวดที่ทิ่มแทงคอนั่นจั๊กจี้แต่ขณะเดียวกันก็ชวนให้รู้สึกวาบหวามเช่นกัน

“..จะทำอะไร อื้อ”

ร่างผอมสะดุ้งเฮือกเมื่อโดนขบเม้มต้นคอ สัมผัสชื้นแฉะที่อุ่นร้อนทำเอาจ้าวแทบไม่กล้าลืมตามองหน้าเหมันต์ มือที่จับหัวสั่นระริก รู้สึกคล้ายกับเห็นหูหมาป่าโผล่พ้นขึ้นมาเหนือกลุ่มผมสีดำ

“หวา! ผมเข้าใจแล้ว! ผมเข้าใจแล้ว!”

จ้าวร้องลั่นเมื่อโดนเลิกเสื้อขึ้นแล้วคุณหมาป่าก็มุดหัวเข้าไปคลอเคลียบริเวณหน้าอก ทำท่าเหมือนจะกัดจนจ้าวสติแตกถอยกรูดจนหลังชนหัวเตียง

“หึๆ”

“ไม่ตลกเลยนะครับ” จ้าวกอดตัวเองมองเหมันต์ด้วยสายตาไม่สบอารมณ์นัก สภาพร่างกายเขาตอนนี้แทบดูไม่ได้เลย ดีหน่อยที่คุณเหมันต์ไล่บอดี้การ์ดไปตั้งนานแล้วไม่อย่างงั้นเขาคงไม่รู้ว่าตัวเองจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“สรุปแล้วรังเกียจไหมล่ะ” เหมันต์ยิ้มละมุนขณะที่จัดคอเสื้อตัวเองให้กลับมาเรียบร้อยอีกครั้ง “ฉันคิดกับเธอแบบนั้นนั่นแหละ แต่ถ้าเธอรังเกียจฉันก็บอกมาตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจ ฉันจะได้เว้นระยะห่างให้เธอก่อนที่อะไรๆ มันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้”

“ผม..” จ้าวหน้าแดงก้มหน้างุดพูดเสียงเบา “ไม่ได้รังเกียจ”

“ไม่ต้องโกหกฉันหรอกจ้าว” เหมันต์ขยับเข้าไปใกล้จ้าวแล้วลูบหัวอย่างเอ็นดู “พวกโอเมก้ามักจะหวั่นไหวง่ายเวลาได้กลิ่นพวกอัลฟ่า ช่วงนี้ฉันก็เพิ่งรับฮอร์โมนอัลฟ่ามาพอดี”

“จริงสิ ผมมีเรื่องจะถามคุณเหมันต์มาตั้งนานแล้ว” จ้าวเงยหน้ามองใบหน้าคมคายที่ยิ้มนิดๆ ให้ตัวเองเหมือนทุกครั้ง รู้สึกอุ่นวาบในอกจนอดยิ้มตามไม่ได้ “ทำไมคุณเหมันต์ต้องรับฮอร์โมนอัลฟ่าด้วย”

ทีแรกจ้าวนึกว่ารอยยิ้มของคุณเหมันต์จะหายไปแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้น เหมันต์ยังคงยิ้มให้เขาแม้ว่านัยน์ตาสีเทานั่นวูบไหวนิดๆ เมื่อต้องเล่าความลับของตัวเองออกมา

“ฉันเป็นเบต้า”

จ้าวเบิกตากว้างเผลอหลุดปากพูดโดยไม่รู้ตัว “ไม่จริงใช่ไหมครับ”

“จริงสิ” เหมันต์หัวเราะในลำคอจับหัวจ้าวโคลงไปมา “ถ้าเป็นอัลฟ่าอยู่แล้วฉันจะรับฮอร์โมนอัลฟ่าทำไมล่ะ ฉันก็เหมือนกับเธอนั่นแหละจ้าว กินยาระงับฮอร์โมนเพศหลักตัวเองแล้วก็รับฮอร์โมนของเพศอื่น เธอรับของโอเมก้าจนกลายเป็นโอเมก้าได้สำเร็จ ส่วนฉันก็แค่ยังอยู่ในช่วงดำเนินการเท่านั้น ไม่ไปไหนสักที ทั้งๆ ที่ก็ทำมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว”
   
“..ผมขอโทษที่ถาม”
   
ถึงแม้ใบหน้าของเหมันต์จะมีรอยยิ้มแต่จ้าวก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าล้ำลึกที่ซุกซ่อนอยู่ เขากับคุณเหมันต์ก็เหมือนกัน เสแสร้งโกหกคนอื่นจนกลายเป็นเรื่องปกติ แสดงออกว่าไม่เจ็บปวดแต่ความจริงแล้วเจ็บปวดมาก
   
“ไม่ต้องขอโทษหรอก มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว” เหมันต์เหม่อนิดๆ เมื่อนึกถึงความสำเร็จของตระกูลกิลลาสที่มักจะเกิดจากเหล่าผู้นำอัลฟ่าที่แสนจะเก่งกาจ ไม่มีใครสักคนที่เป็นเบต้าธรรมดาที่ขึ้นแท่นความสำเร็จได้ ส่วนเขานั้นไม่นับเพราะถูกซุกซ่อนไว้เบื้องหลังพร้อมกับคำโป้ปดว่าเป็นอัลฟ่าพิเศษที่พ่อเขาสร้างเอาไว้
   
เขามันก็แค่หุ่นเชิดในคราบเบต้าเท่านั้น
   
“มีอะไรเล่าให้ผมฟังได้นะ”  จ้าวดึงมือเหมันต์ไปจับแน่นพยายามให้กำลังใจที่มีอยู่น้อยนิดของตัวเองให้กับอีกฝ่าย
   
เหมันต์ไม่ได้ตอบมองหน้าจ้าวนิ่งก่อนจะก้มลงไปจูบโดยไม่ลังเล บดเบียดริมฝีปากตัวเองกับริมฝีปากของจ้าวอย่างรุนแรงด้วยความมันเขี้ยว พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่กลืนกินเหยื่อตรงหน้าทั้งตัวในคำเดียว ในหัวที่มักจะปราดเปรื่องอยู่เสมอคิดอะไรไม่ออกนอกจากคำว่าน่ารัก
   
จ้าว.. น่ารักกว่าที่เขาคิดเสียอีก
   
สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวเหมันต์กำเริบโดยไม่รู้ตัว ความเก็บกดที่สั่งสมมานานปะทุออก หมาป่าวัยฉกรรจ์หลุดออกจากพันธะที่รัดคอเสียแล้ว มันกำลังจะกินกระต่ายตัวน้อยที่เผลอเข้ามาอาณาเขตโดยไม่ตั้งใจ
   
“อื้อ …คุณเหมันต์”
   
ร่างผอมเบิกตากว้างพยายามขัดขืนแต่ก็ไม่สามารถสู้เรี่ยวแรงมหาศาลได้ไหวเลยได้แต่ยอมโอนอ่อนตามการชักจูงของอีกฝ่าย แขนสองข้างยกขึ้นโอบรอบคอคุณเหมันต์โดยไม่รู้ตัวอีกทั้งยังขยับศีรษะเพื่อสัมผัสล้ำลึกขึ้น
   
จ้าวรู้ตัวว่าตัวเองควรจะขัดขืนแต่ลึกๆ กลับไม่อยากขัดขืนด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ เหมือนปีศาจร้ายที่ซุกซ่อนอยู่ในใจกระซิบอยู่ข้างหูตลอดเวลาว่า ‘ถ้าเป็นคุณเหมันต์ล่ะก็ไม่เป็นอะไรหรอก’
   
เรื่องทั้งหมดจึงเลยเถิดขึ้นเรื่อยๆ เพียงพริบตาเดียวจ้าวก็พบว่าตัวเองอยู่ในสภาพกึ่งเปลือยเปล่าเหลือเพียงกางเกงขาสั้นที่กำลังจะถูกมือหนาดึงออกไปให้พ้นทาง
   
“คุณ..เหมันต์”
   
จ้าวจับมือซุกซนที่ตอนนี้น่าจะสำรวจร่างของตัวเองครบหมดแล้วให้หยุดเพียงครู่ นัยน์ตาโศกจดจ้องดวงตาหมาป่าที่ตอนนี้มีสติอยู่ครึ่งเดียวพอกัน
   
“หืม..?”
   
แววตาสีเทาขุ่นมัวไม่พอใจนัก เลียริมฝีปากแห้งผากก่อนจะคำรามต่ำๆ ในลำคอเชิงประท้วง
   
“ชอบผมบ้างไหม..”
   
“ชอบสิ” เหมันต์ตอบโดยไม่ต้องคิด
   
แน่นอนว่าพอได้ยินดังนั้นจ้าวก็ยิ้มจนตาหยีหัวเราะแผ่วเบา ยอมปล่อยมือจากมือซุกซนปล่อยให้ตัวเองโดนสำรวจต่อไปโดยไม่อิดออดอีก
   
“ผมก็ชอบคุณเหมันต์เหมือนกัน”
   
“…”
   
เหมันต์ชะงักกึก ประโยคของจ้าวราวกับค้อนหนักๆ ที่ทุบหัวทีเดียวสติกลับมาแจ่มชัด รีบผละออกมาจากจ้าวราวกับต้องของร้อน ดึงตัวเองออกมาจากท่าทางหมิ่นเหม่ที่กำลังจะจับจ้าวกินทั้งตัว
   
ไอ้เหมันต์เอ๊ย มึงมันหื่นกาม
   
เหมันต์ตำหนิตัวเองในใจอย่างหงุดหงิด อาการปวดหนึบทรมานบริเวณช่วงล่างบอกได้ดีเลยว่าถ้าขืนเขายังไม่ได้สติต่อไป รับรองได้เลยว่าจ้าวคงจะไม่ได้อยู่ในสภาพดีแบบนี้แน่
   
“คุณเหมันต์..?”
   
เจ้าของชื่อมองจ้าวแล้วกลืนน้ำลายเอือก สภาพของจ้าวตอนนี้ดูไม่จืดจริงๆ นัยน์ตาโศกนั้นฉ่ำเยิ้ม ผิวที่ขาวสะอาดตาตอนนี้แดงก่ำไปทั้งตัวโดยเฉพาะบริเวณหน้าอกที่เป็นรอยกัดของเขาอย่างชัดเจน ไหนจะกางเกงที่ถูกดึงออกมาจากเรียวขาได้ครึ่งหนึ่งทำให้ปิดบริเวณช่วงกลางลำตัวได้อย่างหมิ่นเหม่ไม่สมหน้าที่ของกางเกงอีก
   
“บัดซบ!” เหมันต์สบถรู้สึกอยากต่อยตัวเองเหลือเกิน เขาหน้ามืดตามัวจะจับจ้าวกินโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจ้าวคิดแบบเดียวกับเขาหรือเปล่า ถึงจ้าวจะดูโอนอ่อนตามเขาก็เถอะ แต่ใครจะไปรู้ว่าหลังจากที่เขาทำมันไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ขืนจ้าวสติแตกรับไม่ได้ มันคงจะเป็นตราบาปในใจเขาไปจนวันตาย
   
“ฮื่อ พี่เหมันต์”
   
เป็นครั้งแรกที่เหมันต์รู้สึกเหมือนน้ำตาตกใน
   
เขาอยากกินเนื้อหวานๆ ตรงหน้าแทบตายแต่ก็ทำไม่ได้ จ้าวแค่ชอบเขาไม่ได้หมายถึงรักเขาจนยอมให้เขาบดขยี้ตามอำเภอใจ เขารู้ตัวดีว่าตัวเองถ้าหากได้กินแล้วจะตะกละตะกลามจนจ้าวไม่พอใจแน่ๆ
   
“ครับ น้องจ้าว”
   
เหมันต์ตอบรับเสียงแผ่ว
   
รู้สึกเสียดายจากใจจริงที่สุดท้ายวันนี้ก็จบลงที่เขาทำให้จ้าวสบายตัวก่อนที่จะไปจัดการตัวเองในห้องน้ำนับชั่วโมง
   
เขาเสียดายมากจริงๆ

========

ยังไม่ให้กินน้องนะ คนเขียนใจร้าย 55555555  :katai5:
   

ออฟไลน์ PrimYJ

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3473
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
สงสารคุณเหมันต์เลย อดทนไว้นะคะ 55555

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
คุณเหมันต์ลงแดงแน่ๆงานนี้

ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
ให้คุณพี่ได้กินเถอะค่ะ อร๊ายยยย

ออฟไลน์ Meen2495

  • is allergic to drama.
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-4
จะรอดูจุดจบของจันทร์
ถึงจะพ่อแม่รังแกจันทร์ .. แต่คนเลวก็ต้องชดใช้กรรมชั่ว

อย่าจบแบบจันทร์สำนึกผิดแล้วทุกอย่างดีงามนะคะ
มันไม่แฟร์กับจ้าวเลยจริง ๆ
แฝดบ้าอะไร ทำร้าย ทำลายคู่แฝดตัวเอง :katai4:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ถถถถถถถถ

หมาป่าได้แต่ดมกระต่าย 5555555555555

ออฟไลน์ fxxg0430

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 44
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :hao5: :hao5: :hao5: :hao5:

ในที่สุดคุณเหมันต์ก็เผยร่างหมาป่า งื้อ เขินๆ ใจไม่ไหวแล้ว แงงงงง น้องจ้าวรู้ก เอาตัวใส่พานถวายพี่เขาเลยดีไหม กลิ่นเนื้อนี่มันหอมจริงๆเลย ลืมเรื่องไล่ฆ่ากันไปเลยเนี่ย 55555

ออฟไลน์ Foggy Time

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 900
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +232/-1
ตอนที่ 24
   

เมื่อเวลาเช้ามาเยือนสติก็หวนกลับคืนสู่จ้าวครบร้อยเปอร์เซ็น ไม่มีขาดเกิน จ้าวนั่งอึ้งอยู่คนเดียวห้องเป็นชั่วโมงกับการกระทำน่าอายที่เผลอไปทำกับคุณเหมันต์เข้าซะได้
   
จ้าวยอมรับว่าตัวเองมีความรู้สึกดีๆ ให้กับคุณเหมันต์แต่ก็ยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น
   
และแน่นอนว่าเหตุการณ์เมื่อวานนั้นเล่นเอาจ้าวไม่กล้ามองหน้าคุณเหมันต์ที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนตั้งแต่เช้า สัมผัสอุ่นร้อนเนิบช้ายังชัดเจนในความทรงจำ ยิ่งตอนไปอาบน้ำส่องกระจกเห็นร่องรอยต่างๆ ตามร่างกายก็รู้สึกเหมือนจะเป็นลมให้ได้เพราะมันเยอะมากจริงๆ โดยเฉพาะเวลาหน้าอกเขาที่ยังแดงก่ำเหมือนเพิ่งโดนกัดไปอีกรอบ
   
“เฮ้อ”
   
จ้าวพรูลมหายใจนวดขมับตัวเอง ถึงเวลาแล้วล่ะมั้งที่เขาต้องยอมรับความรู้สึกของตัวเองว่าชอบคุณเหมันต์ ใช่ เอาเข้าจริงเมื่อวานเขารู้ว่าคุณเหมันต์หมายถึงอะไรแต่ก็ทำไขสือ ทำเป็นไม่รู้เพราะยังกลัวว่าคุณเหมันต์จะไม่ได้คิดแบบเดียวกัน เขากลัวว่าถ้าโดนล่วงรู้ความคิดตัวเองแล้วถ้าโดนปฎิเสธด้วยความรังเกียจ

ถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะเจ็บจนทนไม่ไหวแน่ๆ

นัยน์ตาโศกวูบไหวนิดๆ เมื่อมานั่งครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมด ทั้งเหตุผลที่ทำให้เผลอไปชอบคุณเหมันต์ที่เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้นตอนไหน เพราะรู้ตัวอีกทีก็มีแต่คุณเหมันต์อยู่ในหัวแล้ว มีแค่คุณเหมันต์ที่ยอมอยู่กับเขาตอนที่ตกต่ำถึงขีดสุด มีแค่คุณบเหมันต์ที่ยอมช่วยประคับประคองเขาไม่ให้บ้าไปซะก่อน มีแค่คุณเหมันต์ที่จะไม่ปล่อยให้เขาตายอย่างโดดเดี่ยว
ในตอนนี้เขามีแค่คุณเหมันต์จริงๆ ไม่สิ ในชีวิตตอนนี้ด้วยซ้ำ

เขาจินตนาการไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าถ้าไม่มีคุณเหมันต์ ตอนนี้เขาจะยังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า เขาอาจจะบ้าไปแล้วตั้งแต่ในคุกหรืออาจจะกระโดดฆ่าตัวตายและอย่างแย่ที่สุดคือเขาอาจจะตายในโปรเจคบ้าๆ ที่กำลังดำเนินอยู่ในสหรัฐอเมริกา

ถึงแม้เขาเพิ่งจะมาอยู่กับคุณเหมันต์ได้ไม่ถึงเดือนแต่ก็รู้สึกเหมือนมีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเหลือเกิน ทั้งเรื่องของจันทร์ทั้งเพลงทั้งครอบครัว อะไรมากมายที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคนๆ นึงถาโถมใส่เขาและในชั่วพริบตาเขาก็แหลกสลายป่นเป็นธุลี มีเพียงมือคู่เดียวเท่านั้นที่โอบกอดเขาแน่น ไม่ให้ลมพายุพัดฝุ่นไร้ค่าอย่างเขาให้หายไป ซึ่งต่อให้เขาโดนพัดไปก็คงไม่มีใครใส่ใจนักเพราะธารน้ำแห่งเวลาจะพัดเขาให้หายไปจากความทรงจำของผู้คนเอง

“ฮึก”

จ้าวสะอื้นเริ่มคิดถึงคุณเหมันต์ขึ้นมา เขาไม่น่าคิดถึงเรื่องเก่าๆ เลยเพราะมันทำให้เจ็บปวดจนทนแทบไม่ได้ ความสุขที่เคยมีจนมากล้นไม่ได้ช่วยให้ความทุกข์ตอนนี้มันเจือจางเลยสักนิด หนำซ้ำยังคล้ายกับเติมเชื้อไฟจนเขาเหมือนถูกความทุกข์ทรมานเผาทั้งเป็น

มันเป็นเพลิงที่ไม่ได้ทำให้เจ็บหรือปวดแสบปวดร้อนแต่ก็สามารถทำให้เขาเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส นัยน์ตาโศกรื้นด้วยน้ำตาก่อนจะหยิบปึกกระดาษเอสี่สำหรับใช้แต่งเพลงออกมาแต่งต่อ อย่างไรก็ตามอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตจ้าวก็คือบทเพลง มันเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้จ้าวตัดสินใจกระเสือกกระสกอยู่ต่อแม้ว่าจะเจ็บเจียนตายทุกเชื่อเมื่อวัน

จ้าวหลงใหลในเสียงเพลงจนเรียกได้ว่ามันคือส่วนหนึ่งของร่างกายที่ขาดไม่ได้ ถ้าหากเป็นอุดมการณ์ของจ้าวคนก่อนก็คงเป็นเรื่องการอุทิศตัวให้กับวงการเพลงไปจนตาย การประสบความสำเร็จในช่วงที่อายุยังน้อยก็เหมือนพิษร้ายมันแทรกซึมและคอยกระตุ้นให้จ้าวทุ่มทุกอย่างของตัวเองลงไปกับบทเพลงเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดแม้ว่าบางครั้งผลตอบรับที่ได้กลับคืนมาจะไม่ได้เป็นดังที่คิดก็ตาม

มือผอมเขียนเนื้อเพลงอย่างคล่องแคล่วพร้อมกับฮัมทำนองเพลงในลำคอ ไตร่ตรองครุ่นคิดพยายามคัดสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดมาใส่ในบทเพลงของตัวเองที่ถึงแม้จะไม่ได้ตั้งใจจะเผยแพร่สู่สาธารณะ แต่ก็พยายามอย่างมากที่จะทำให้มันดีที่สุด

เพราะมันเป็นเพลงที่เขาจะแต่งให้กับ ‘คุณเหมันต์’



งานประชุมด่วนถูกจัดขึ้นอย่างลับๆ ในโถงประชุมโรงแรมหรูแห่งหนึ่งใจกลางเมืองกรุงเทพมหานคร ผู้คนในระดับบนที่ถือว่าเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจและสังคมล้วนมางานนี้กันหมดโดยไม่กล้าอิดออด

เพราะผู้ที่เชื้อเชิญมานั้นคือพลตำรวจเอกโลกันต์ อังศุชวาล นายตำรวจอัลฟ่าที่ขึ้นชื่อด้านความเถรตรงและโหดเหี้ยมเย็นชาเป็นที่สุด ตำแหน่งพลเอกที่ได้มานั้นไม่ใช่เพราะเส้นสายแต่เป็นเพราะความสามารถ ในระยะเวลาไม่ถึงสิบห้าปีก็สามารถพาตัวเองขึ้นมาอยู่ในจุดสูงสุดของการเป็นตำรวจ นับว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่น่าจับตามองและต้องระวัดระวังในการวางตัวไม่เช่นนั้นก็อาจจะโดนสงสัยและเพ่งเล็งได้ง่ายๆ

เสียงเปียโนที่ดังอย่างนุ่มนวลด้วยทำนองออกอันแปลกหูทำให้เหล่าผู้คนในงานผ่อนคลายลง ถึงแม้งานจะถูกจัดขึ้นมาอย่างหรูหราในระดับหนึ่งเพื่อรองรับเหล่าอัลฟ่าหัวสูงแต่มันก็ไม่ได้ชวนให้หายใจได้ทั่วท้องอยู่ดี รอยยิ้มที่ปรากฎบนใบหน้าผู้คนในงานล้วนเป็นการเสแสร้งเพื่อเข้าสังคม ในหัวพวกเขาซุกซ่อนความวิตกกังวลเพราะไม่รู้ว่าพลตำรวจเอกจะประกาศอะไร พวกเขาเหล่านี้ล้วนมีชนักติดหลังกับอยู่ไม่มากก็น้อย ทั้งในเรื่องการงานและการกระทำตัวต่อพวกโอเมก้า ที่ทางรัฐบาลพยายามรณรงค์ในความเท่าเทียมพอเป็นพิธี

แต่ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าคนที่กำลังเล่นเปียโนอยู่นั้นเป็น ‘เวส อังศุชวาล’ ภรรยาโดยพฤตินัยและนิตินัยของพลเอกโลกันต์ ใบหน้าอ่อนเยาว์น่ามองนั้นมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับในขณะที่กำลังพรมนิ้วบนคีย์บอร์ด ท่วงทำนองอันไพเราะสร้างบรรยากาศทำให้เหล่าไฮโซหนุ่มสาวรู้สึกเจริญอาหารมากขึ้นแม้ว่าจะกินไปเพียงไม่กี่คำก็ตาม ไวน์แดงและค็อกเทลก็คล้ายกับละมุนลิ้นขึ้นอย่างน่าประหลาด

นี่นับเป็นความสามารถอันน่าชื่นชมของภรรยาของพลเอกโลกันต์ โอเมก้าหนุ่มที่พกความผิดแผกมาไว้กับตัวมาตั้งแต่เกิด เส้นผมสีขาวเผือกเข้ากันดีกับนัยน์ตาสีทองประหลาดที่ทางคณะแพทย์ยังหาสาเหตุของการเกิดไม่ได้ อาการของเวสนั้นคล้ายกับพวกผิวเผือกเพียงแต่ก็ไม่ใช่เพราะยังสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติ ไม่มีการอ่อนแอแพ้แดดหรือป่วยง่ายแต่อย่างใด

และเป็นที่รู้กันเองอีกที่ว่าพลตำรวจเอกรักและหึงหวงภรรยามาก อีกทั้งยังค่อนข้างจะเคร่งครัดกับกฎหมายใหม่ที่เพิ่งออกที่ว่าด้วยสิทธิ์ความเท่าเทียมของพวกโอเมก้า ถ้ามีคดีไหนเกี่ยวกับการข่มเหงข่มขู่โอเมก้าหลุดไปอยู่ในพลตำรวจเอกเป็นอันรับรองได้เลยว่าคนผู้ที่กระทำผิดคนนั้นชะตาขาดแล้ว

เงินมากมายก็ไม่อาจผ่อนปรนจนสามารถลบข้อกฎหมายทิ้งได้ หากกฏหมายอันศักดิ์สิทธิ์ยังดำรงอยู่พลเอกตำรวจเอกโลกันต์ก็จะเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเพื่อที่ทุกคนในสังคมจะสามารถดำรงชีวิตอย่างสงบสุข

หากแต่สิ่งที่พลตำรวจเอกทำอยู่นั้นก็เป็นเพียงการตบขึ้นมาข้างเดียว มันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้มากมายนัก เป็นเพียงฟั่นเฟืองที่ขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อยแต่ก็ไม่สามารถทำให้ระดับชนชั้นที่หลอมเป็นเนื้อเดียวกับสังคมจะเปลี่ยนไปแต่อย่างใด ระบบชนชั้นอันโหดร้ายต่อให้โอเมก้าก็ยังคงดำเนินต่อไปและผู้ที่โชคไม่ดีพอก็มักจะตายไปก่อนโดยความไม่เต็มใจ

แน่นอนว่าร่างสูงที่ยืนจิบไวน์เงียบๆ อยู่บริเวณหน้าห้องก็เป็นอีกคนหนึ่งที่หวังจะเปลี่ยนแปลงระบบอันโหดร้ายนี้ให้มันดีขึ้นมาสักนิดก็ยังดี ใบหน้าคมคายแสดงสีหน้าไร้อารมณ์เย็นชาไม่ตอบรับสายตาไหนที่พยายามส่งมาให้ตัวเองอย่างประเจิดประเจ้อทั้งจากเหล่าอัลฟ่าสาวไฮโซและโอเมก้าที่โดนหนีบมากับอัลฟ่าด้วย

เพื่อไม่ให้รู้สึกหงิดหงิดไปมากกว่านี้ เหมันต์ตัดสินใจหลับตาและตั้งใจฟังเสียงเปียโน ความนุ่มนวลของบทเพลงชวนให้คิดถึงคนที่บ้านที่น่าจะชอบฟังเพลงนี้เหมือนกัน

“…”

เหมันต์เริ่มคงสีหน้าเย็นชาไม่อยู่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวานจนถึงเมื่อเช้าที่เขาเผลอฟัดจ้าวไปรอบนึงอย่างอดไม่ได้ ใครใช้ให้ฮอร์โมนโอเมก้าของจ้าวจะรุนแรงขึ้น กลิ่นฟีโรโมนอ่อนๆ นั้นจึงได้กระตุ้นเขาจนลืมตัว

ให้ตายสิ คราวนี้สงสัยเขาต้องพกยาดมหรืออะไรสักอย่างแล้ว ไม่งั้นไม่เกินอาทิตย์จ้าวคงโดนเขาจับกินแน่ๆ โดยเฉพาะช่วงที่เขาเพิ่งรับฮอร์โมนอัลฟ่าด้วย ช่วงนี้เขาจะค่อนข้างพลุ่งพล่านเป็นพิเศษเพราะร่างกายเหมือนจะพยายามปรับตัวให้เข้ากับฮอร์โมนใหม่

“ขอยืนด้วยคนได้ไหมคะ?”

น้ำเสียงหวานไม่คุ้นหูพร้อมกับสัมผัสนุ่มนิ่มที่โดนแขนทำให้นัยน์ตาสีเทาต้องลืมตามองอย่างอดไม่ได้

“ตามสบายครับ”

เหมันต์ตอบเสียงเย็นชาเหลือบมองหญิงสาวอัลฟ่าที่พยายามส่งสายตาให้เขาเมื่อกี้ ตอนนี้ได้รุกไล่เขามาหาเขาแล้ว เดรสสีแดงสดที่ฉีกบริเวณโคนขาอวดน่องขาขาวผ่อง ส่วนสัมผัสนุ่มนิ่มเมื่อกี้..

นัยน์ตาสีเทาดุจหมาป่าหรี่ลงอย่างไม่สบอารมณ์จนหญิงสาวที่ตั้งใจจะมาผูกมิตรเต็มที่เริ่มยิ้มไม่ออก

“มาคนเดียวเหรอคะ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย”

แต่หญิงสาวก็ไม่ละความพยายาม เธอถูกใจเหมันต์ตั้งแต่ที่เขามาในงาน สูทสีเทาเข้ากันดีกับบุคลิกที่ดูเข้าถึงได้ยาก ดูลึกลับมีสเน่ห์จนเธออยากลองเสี่ยงที่จะรุกเข้าหาดู ด้วยใบหน้าของเธอ เธอมั่นใจว่าเธอจะสามารถจับเขาคนนี้ได้เหมือนกับอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่ตกลงเป็นของเธอได้อย่างง่ายดาย

เพราะเธอเชื่ออย่างนั้นจึงขยับเข้าไปชิดกับร่างสูงอีกครั้ง ใช้ทรวดทรงที่เหล่าอัลฟ่าชายพร่ำเพ้ออ้อนวอนขอให้เธอกลับไปหาอีกครั้ง

“…!”

แต่แล้วเธอก็ผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายเดินหนีไปอย่างหน้าตาเฉย ไม่แม้แต่ปรายตามองราวกับเธอเป็นเพียงเศษเดนไร้ค่าที่ไม่ควรปรายตามอง เธอรู้สึกโกรธจนตัวสั่นแต่ก็พยายามอดกลั้นไว้ มองหน้าชายหนุ่มที่บังอาจปฏิเสธเธอด้วยความกราดเกรี้ยว

และน่าเสียดายที่เป็นเธออีกครั้งที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ เธอตัวสั่นเทาเมื่อเผลอกับสบกับนัยน์ตาสีเทาที่แสดงความไม่พอใจอย่างปิดไม่มิด ใบหน้านั้นถึงจะดูคมคายมีสเน่ห์แต่ในตอนนี้สำหรับเธอแล้ว มันน่ากลัวราวกับปีศาจร้าย เธอกลัวจนเผลอทำแก้วไวน์ในมือที่ตั้งใจจะเอาไปชนดื่มกับเขาตกแตก เดือดร้อนถึงบริกรหนุ่มที่ยืนอยู่ใกล้ๆ มาเก็บกวาดกันจ้าละหวั่น

ในที่สุดทุกอย่างก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง เหมันต์เปลี่ยนมุมยืนไปยืนมุมมืดเงียบๆ คนเดียว ขี้เกียจและเบื่อที่จะเสวนากับใครที่พยายามมาผูกมิตรด้วย ความลับใหญ่หลวงที่ว่าด้วยการเป็นเบต้านั้นเปรียบเสมือนบ่วงที่รัดคอจนหายใจไม่สะดวก คงไม่ดีเท่าไหร่ถ้าเกิดมีใครจับได้ขึ้นมา

เขาจึงต้องทำตัวให้เงียบและกลมกลืนมากที่สุด กลิ่นฮอร์โมนอัลฟ่าอ่อนๆ บนตัวเขาคือน้ำหอมที่เขาบรรจงฉีดมาเพื่อที่จะได้เหมือนอัลฟ่าคนอื่นที่มักจะมีกลิ่นฮอร์โมนจางๆ

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงก็ถึงกำหนดการ ร่างสูงใหญ่ในชุดตำรวจเต็มยศเดินออกมาจากประตูอย่างองอาจบรรยากาศที่แผ่ออกมาราวกับพยัคฆ์ที่กำลังย่างก้าวเดินเพื่อแสดงอาณาเขตของมัน นัยน์ตาสีดำนั้นฉายความอ่อนโยนวูบหนึ่งเมื่อคนรักยิ้มและโบกมือให้ตัวเองเชิงให้กำลังใจ แต่มันก็เป็นเพียงชั่วเวลาสั้นๆ เท่านั้นจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น

“ขอบคุณทุกท่านที่มาในวันนี้นะครับ” โลกันต์กล่าวทันทีเมื่อมายืนกลางเวที กวาดตามองคนที่มางานคร่าวๆ ด้วยความรู้สึกไม่พอใจนักเพราะมีคนที่เขาสงสัยหลายคนไม่ได้มา “ผมจะไม่พูดมากเพราะมันไม่ใช่วิสัยของผม ผมรู้พวกคุณยังมีงานอีกมากต้องทำ ฉะนั้นผมจะเข้าเรื่องเลยเพื่อให้ทุกคนระมัดระวังตัวและเสียเวลาน้อยที่สุด”

จอภาพโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่ด้านหลังปรากฎภาพอัลฟ่าคนหนึ่งที่ถูกแทงตายในสภาพไม่น่าดูนัก ร่างกายอยู่ในสภาพกึ่งนั่งกึ่งนอนบนใบหน้าถูกเขียนสัญลักษณ์โอเมก้าทับด้วยเลือด ร่างกายช่วงบนนั้นถูกกรีดคล้ายเป็นสัญลักษณ์บางอย่างของกลุ่ม ดูน่าขนลุกและชวนคลื่นเหียนในเวลาเดียวกัน ดีหน่อยที่ภาพไม่ได้เห็นชัดเจนมากนักไม่เช่นนั้นคนขวัญอ่อนหลายๆ คนในห้องคงจะพากันเป็นลม

“อย่างที่พวกคุณเห็น ศพนี้เป็นผลงานของพวกโอเมก้าที่กำลังคิดเรื่องการปฏิวัติ” โลกันต์กล่าวด้วยสีหน้าปกติไม่เปลี่ยนแปลงแม้ภาพด้านหลังตัวเองจะสยองมากก็ตามที “มันเริ่มขึ้นเมื่อประมาณต้นปี พวกโอเมก้ารวมตัวกันเรียกร้องรัฐบาลออกกฎหมายให้โอเมก้ามีชีวิตที่ดีขึ้น แน่นอนว่าทางรัฐบาลของเราก็ทำให้ถึงแม้กระบวนการของมันจะล่าช้าไปครึ่งปี แต่ในที่สุดมันก็ออกมาเป็นรูปกฏหมายให้พวกคุณได้ใช้กัน”

ภาพเบื้องหลังนายตำรวจเปลี่ยนเป็นอีกภาพ เป็นภาพอัลฟ่าอีกศพที่จมน้ำตายในสระส่วนตัว บริเวณใบหน้าถูกกรีดให้เป็นสัญลักษณ์กลุ่มเช่นเดียวกับภาพเมื่อกี้

เริ่มมีเสียงฮือฮาไม่พอใจระคนหวาดกลัวในห้อง เหล่าอัลฟ่าผู้ถือดีในเกียรติ์และศักดิ์ศรีของตนพากันบ่นขรม ลืมความเกรงใจพลเอกโดยสิ้นเชิง

“ผมรู้พวกคุณไม่พอใจในการทำหน้าที่ของผม” สีหน้าของโลกันต์เยือกเย็นแม้ว่าจะได้ยินคำด่าหยาบคายอย่างชัดเจน “ผมยอมรับว่าผมทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอที่จะสามารถพิทักษ์ความปลอดภัยให้พวกคุณตลอดเวลา แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วและผมก็รับประกันไม่ได้ว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่ผมคงต้องข้ามเรื่องนี้ไปก่อนเพราะผมมีเรื่องที่สำคัญกว่าจะบอกพวกคุณ”

ฉับพลันภาพเบื้องหลังก็เปลี่ยนเป็นอีกภาพและมันก็สามารถช่วงชิงลมหายใจของทุกคนที่ไม่เคยเห็นภาพนี้มาก่อนทุกคนวูบหนึ่ง มีหญิงสาวหลายคนหรือแม้แต่พวกอัลฟ่าชายที่ท่าทางดูดีกลัวจนเข่าอ่อนทรุดลงไปกับพื้น หวาดกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองบ้าง

“ภาพทั้งหมดนี้เป็นภาพจริงที่คนของผมเก็บมาจากที่เกิดเหตุ”

ภาพที่ทุกคนต่างหวาดกลัวนั้นเป็นภาพศพของเหล่าอัลฟ่าเป็นร้อยๆ ภาพที่ถูกนำมารวมกันเป็นเพียงภาพเดียว สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่กำลังคลืบคลานและกำลังจะกลืนกินเหล่าอัลฟ่าในไม่ช้าถ้ายังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง

“สาเหตุที่พวกเขาทำเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะต้องการเรียกร้องความเท่าเทียมที่เคยร้องขอไปครั้งก่อน” โลกันต์ยังคงยืนหยัดพูดได้อย่างนิ่งสงบแม้ในใจลึกๆ จะรู้สึกเจ็บปวด “พวกเราเหล่าอัลฟ่าและรัฐบาลให้ความเท่าเทียมกับพวกเขาก็จริง แต่มันก็เป็นแค่พูดและตัวอักษร มันไม่มากเพียงพอที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตอันทุกข์ทรมานของพวกเขาได้ ทั้งๆ ที่ได้กฎหมายคุ้มครองแล้วแต่พวกเราก็ยังปฏิบัติกับเขาแบบเดิม มันก็ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะได้กฏหมายมา”

เหล่าโอเมก้าที่อยู่ในโถงประชุมต่างพากันทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยิน ยิ้มหน้าเฉยกับพวกอัลฟ่าที่รับตนเองเป็นเด็กเลี้ยง ทำท่าทีไม่เจ็บปวดแม้ภายในจะร่ำไห้ ในวัยเด็กชีวิตพวกเขาล้วนทุกข์ทรมานกันทั้งนั้นถ้าไม่ได้ครอบครัวที่เปิดใจและดีมากพอ
“พวกเขาเคยใช้สันติวิธีแล้วแต่ไม่ได้ผล ตอนนี้พวกเขาจึงหันมาใช้ความรุนแรงแทน—“
   
“ก็ฆ่าพวกมันให้หมดสิวะ!” อัลฟ่าคนหนึ่งตะโกนออกมาแม้ว่าจะมีโอเมก้าสาวสวยกอดแขนอยู่ ใบหน้าอวบมีเหงื่อผุดพรายทั้งๆ ที่แอร์ในห้องนั้นเย็นเฉียบ
   
“ใช่! ก็แค่ฆ่าพวกมันซะเรื่องจะได้จบ พวกโอเมก้ามันเป็นตัวอันตราย!”
   
“ฆ่ามันสิ! ขืนวันนี้ฉันตาย แกจะทำยังไง แค่นี้ก็ไม่มีปัญญาตามจับกันแล้ว!”
   
พวกอัลฟ่าเริ่มอยู่กันไม่สุข พวกเขาใช้ชีวิตที่แสนน่าอิจฉามาทั้งชีวิต พวกเขาคงทนไม่ได้ถ้าต้องปล่อยมือจากมันไปเพราะการก่อกบฏของพวกโอเมก้าชั้นต่ำที่ไม่มีค่าพอแม้แต่จะหายใจในโลกใบเดียวกัน
   
“พวกเราจ่ายภาษีมากกว่ามันด้วยซ้ำ! แกต้องปกป้องพวกเราสิวะ”
   
“มีเมียเป็นโอเมก้าแล้วคิดจะลำเอียงรึไงวะ! อย่าคิดว่าฉันจะทำอะไรแกไม่ได้นะ”

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด