ตอนที่ 21
สำหรับข้าวแล้วนี่ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยทีเดียว
เขาผ่านออดิชั่นแล้ว! เขาจะได้อยู่สังกัดเดียวกับพี่จ้าวแล้ว!!!
ตอนรู้ข่าวข้าวถึงกับต้องหลบไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ รู้สึกตื่นเต้นจนหัวใจแทบหลุดออกมาจากอก ยิ้มกว้างกับตัวเองในกระจกด้วยความรู้สึกของตัวเองจริงๆ
เขากำลังจะหลุดพ้นจากเรื่องบ้าๆ พวกนี้แล้ว!
เขาไม่ต้องอดข้าว เขาไม่ต้องไปร้องเพลงตามร้าน เขาไม่ต้องทนโดนลวนลามเพื่อเงิน เขาไม่ต้องกลายเป็นที่รองมือรองเท้าให้ใครแล้ว!
ยิ่งคิดข้าวก็รู้สึกมีความสุข โลกสีหม่นดูจะมีสีสันขึ้นมาบ้างจนเผลอฮัมเพลงของพี่จ้าวในคอขณะที่กำลังเดินเข้าไปในซอยซึ่งเป็นทางเ
ข้าของหอพักตัวเอง
ไม่สิ จะเรียกหอพักก็ไม่ถูกนัก เรียกว่า ‘อาคารรวมโอเมก้าจะถูกกว่า’ เพราะมันเป็นตึกขนาดใหญ่ที่มีหลายชั้นโดยมีลักษณะเดียวกันหมดทุกชั้นคือพื้นที่ตรงกลางจะเปิดโล่งเพื่อปูที่นอนให้พวกโอเมก้ามานอนรวมกันตามสัญชาตญาณ ไม่แน่ใจเพราะความอ่อนแอในสายพันธุ์หรือเปล่าถึงทำให้ชื่นชอบการนอนด้วยกันพร้อมกับฉีดฮอร์โมนอัลฟ่าในอากาศเพื่อให้ผ่อนคลาย ส่วนบริเวณฝั่งซ้ายและฝั่งขวานั้นจะเป็นห้องน้ำกับตู้เก็บของประจำตัวโอเมก้าแต่ละคน
ซึ่งข้าวก็คือหนึ่งในนั้น
“พี่ข้าววว”
เสียงเล็กแหลมดังเจื้อยแจ้วก่อนที่ร่างเล็กจะทะยานเข้าไปเกาะเอวข้าวในพริบตา
“วันนี้มีของกินไหม ผมไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว”
โอเมก้าร่างเล็กที่ผอมจนเห็นซี่โครงถามข้าวอย่างคาดหวัง ใบหน้าเล็กนั้นซูบจนเห็นสันกรามได้ชัดเจน
ข้าวดึงตัวเด็กน้อยมายืนหน้าตัวเองแล้วลูบหัวเบาๆ
มันคือความโหดร้ายของความจน ในตอนเด็กเขาก็เป็นแบบนี้ ถูกทอดทิ้งเพราะเป็นโอเมก้าและต้องกระเสือกกระสนหาทางเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง ต้องขอบคุณที่โอเมก้าไม่ได้ใจร้ายต่อกันนัก ถึงจำนวนจะไม่ได้มีมากเท่าพวกเบต้าและต่ำต้อยกว่าใครแต่เราก็ไม่เคยทิ้งกัน
“มีสิ พี่ซื้อของโปรดมาให้เดียวด้วย”
ข้าวยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างของเด็กน้อย
เงินเกือบทั้งหมดที่ข้าวหามาได้ถูกนำมาซื้ออาหารจำนวนมากเพื่อแจกจ่ายให้คนอื่นๆ ทั้งโอเมก้าเด็กๆ ที่ยังหางานทำไม่ได้และพวกโอเมก้าคนอื่นๆ ที่มีปัญหาชีวิตแตกต่างกันไป ทั้งอาการป่วยจากการทำงานมากเกินไป การกดขี่ข่มเหงที่ทำให้ต้องพักรักษาตัวเองเป็นอาทิตย์โดยไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเข้าไปขอยาในโรงพยาบาลรัฐ หรือจะโดนทำร้ายมาจนพิการช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลยก็มี
พวกเขาทุกคนลำบากจึงต้องหาทางช่วยกันประคับประคองลมหายใจกันไว้ ไม่เช่นนั้นก็จะพากันตายกันหมด แน่นอนว่าไม่มีใครคิดจะมาให้ความช่วยเหลือหรือเห็นใจ ถึงจะได้เงินสนับสนุนลึกลับบ้างมาเป็นครั้งคราวแต่มันก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของทุกคนอยู่ดี จำนวนโอเมก้าที่ถูกนำมาทิ้งและเนรเทศมาอยู่ที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับงบประมาณที่ให้มาเท่าเดิม
ไม่ต้องฉลาดหรือมีความรู้มากก็พอจะรู้ว่าทางการคิดยังไงกับพวกโอเมก้า
“ตายๆ ไปให้หมดซะก็ดีสินะ”
ข้าวพึมพำกับตัวเองขณะที่มองอาหารที่ตัวเองซื้อมาถูกแจกจ่ายให้ทุกคนที่มีสีหน้าหดหู่เศร้าสลดและหมดหวัง มีแค่เด็กที่ยังไม่รู้ความเท่านั้นที่ยังสามารถหัวเราะให้กับทุกวันได้ พอโตขึ้นมาหน่อยก็จะได้เรียนรู้ถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้ด้วยตัวเอง
เจ็บ เจ็บปวดเหลือเกิน
นัยน์ตากลมโตของข้าวสั่นระริก อวยพรให้ตัวเองมีโชคในการทำงานและประสบความสำเร็จเพื่อที่จะได้กลับมาช่วยทุกคน เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะดังเท่าพี่จ้าวแค่ได้สักเศษเสี้ยวก็ยังดีเพื่อที่เขาจะได้นำเงินกลับมาช่วยทุกคนให้พ้นจากสภาพแบบนี้ เขาไม่อยากให้ใครต้องอดหรือป่วยตายอีกแล้ว แค่นี้มันก็มากเกินพอแล้ว
เขาอยากจะกลายเป็นคนดัง อยากจะกลายเป็นผู้มีอำนาจที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ เขายอมรับว่าตัวเองโลภมากที่อยากได้ทุกอย่างทั้งเงินตราและชื่อเสียงแต่แล้วยังไงล่ะในเมื่อสิ่งเหล่านี้มันจะช่วยพวกพ้องเขาได้ เขาก็ยอมโดนตราหน้ายอมทุกอย่าง จะโดนว่าอะไรก็ช่าง ขอเพียงแค่พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้นก็เพียงพอแล้ว
“เดี๋ยวพี่กลับมานะ เดียว”
เด็กน้อยเอียงคองุนงงขณะที่กำลังแทะขนมปังอย่างตะกละตะกลาม “พี่ข้าวจะไปไหน” นัยน์ตาซื่อจ้องมองกระเป๋าสะพายของพี่ข้าวที่อัดแน่นจนแทบล้นออกมา
“พี่จะไปทำงาน ถ้าพี่รวยแล้วพี่จะพาเดียวไปอยู่ด้วย”
เดียวหน้ายู่ทำท่าจะร้องไห้ “พี่ข้าวจะไปนานไหมอ่ะ”
“ไม่นานหรอก” ข้าวนั่งข้างเดียวและกอดแน่นเพราะไม่รู้ว่าอีกนานไหนกว่าเขาจะประสบความสำเร็จ “เอาเป็นว่าฝากบอกคนอื่นด้วยละกันว่าพี่ไปทำงาน ถ้ามีเงินเยอะๆ เมื่อไหร่จะกลับมาหาทุกคนเอง”
“..พี่ข้าวต้องรีบกลับมานะ”
ถึงแม้เดียวจะไม่อยากให้ข้าวไปมากแค่ไหนแต่ก็ไม่กล้ารั้งไว้อยู่ดีเพราะรู้ดีว่าเงินนั้นสำคัญกับชีวิตตัวเองมากขนาดไหน อีกปีสองปีหรือไม่ก็ปีนี้เขาก็ต้องหางานทำแล้ว แม้จะอายุไม่กี่ขวบก็ตาม
“อื้อ พี่จะพยายาม”
ข้าวพูดเสียงปกติทั้งๆ ที่กำลังสะอื้นออกมา ว่ากันตามตรงแล้วเขาไม่อยากไปจากที่นี่เลย ถึงมันจะไม่ได้ดีเลิศเลอแต่ทุกคนก็ดีกับเขามากจริงๆ “พี่ไปแล้วนะ” และรีบผลุดลุกขึ้นก่อนที่จะควบคุมตัวเองไม่ได้
“พี่ข้าว” เดียวเรียกเสียงสั่น “สู้ๆ นะ ฮึก เดียวจะรอพี่ข้าวนะ”
เจ้าของชื่อพยักหน้าส่งๆ ไม่ได้ตอบรีบเดินออกมาเพราะน้ำตาเริ่มคลอเบ้าขืนอยู่คุยต่อคงได้ร้องไห้ออกมาแน่ๆ ข้าวพยายามนึกถึงเรื่องงานในหัวเพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง
ผลั่ก
และดูเหมือนจะเหม่อมากไปจึงเผลอไปชนหลังใครเข้าแต่กลับเป็นฝ่ายที่ล้มไปกองกับพื้นแทน ยังไม่ทันได้สติดีก็โดนกระชากคอขึ้นมาและตะคอกใส่ทันที
“เดินห่าอะไรวะ!”
ข้าวเบิกตากว้างเมื่อเห็นว่าเป็นพวกตำรวจเบต้าที่มักจะรังแกพวกโอเมก้าเป็นประจำ น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตั้งนานจึงแตกทันที “ขอโทษครับๆ ฮึก ขอโทษครับ ขอโทษจริงๆ ครับ” รีบยกมือไหว้ปลกๆ ก่อนที่อะไรจะแย่ไปกว่านี้
“ร้องไห้ทำห่าอะไร มึงขอโทษกู กูหายเจ็บไหมวะ!”
“ฮึก ขอโทษ ขอโทษจริงๆ ครับ”
ข้าวตัวสั่นระริกอย่างหวาดกลัวคร่ำครวญขอความเมตตาไม่หยุด ถึงแม้มันจะไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกแต่เขาก็ยังกลัวเหมือนทุกครั้งอยู่ดี ระบบชนชั้นในสังคมตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวเลยสำหรับพวกโอเมก้า พวกเขาถูกเหยียบถูกทับถมให้จมดินจนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะหายใจด้วยซ้ำ
“ขอโทษ ฮึก อย่าทำอะไรผมเลย ขอโทษครับ”
“กูถามว่ามึงเคยเห็นจ้าว วงมูนไลท์ไหม ถ้าไม่เคยก็ตอบกู กูจะได้ปล่อยมึง!” นายตำรวจร่างท้วมพูดอย่างหงุดหงิดจนอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนจากกระชากคอเสื้อเป็นบีบคอแทน รอยช้ำที่ปรากฎบนคอจางๆ ทำให้รู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย
“อึก ไม่เคยครับ ฮึก ไม่เคยครับ ผมไม่เคย”
ข้าวรีบตอบอย่างไม่ต้องคิด สะอื้นจนหายใจไม่ทัน ต่อให้นายตำรวจคนนี้เผลอพลั้งมือบีบคอเขาตายตรงนี้ก็ไม่มีใครคิดจะสนใจเอาผิดเพราะค่าของพวกโอเมก้านั้นน้อยซะยิ่งกว่าน้อย คดีความที่เกี่ยวกับโอเมก้านั้นส่วนใหญ่มีแต่เบต้าและอัลฟ่าเป็นฝ่ายชนะ เอาเข้าจริงแล้วไม่ต้องเสียเวลาทำคดีด้วยซ้ำเพราะยังไงโอเมก้าก็ต้องผิดทุกกระทงอยู่แล้วแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนก่อคดีก็ตาม
“ถ้ามึงโกหก” มืออวบบีบแน่นขึ้นจนข้าวหน้าซีด “กูฆ่ามึงแน่”
“ผม..ไม่รู้”
“นายใหญ่บอกว่าถ้าใครหาข้อมูลได้จะให้แสนนึง” นายตำรวจยื่นข้อเสนอ “ถ้ามึงรู้แล้วบอกกูตอนนี้ กูจะไม่ฆ่ามึงแล้วกูยังจะแบ่งมึงสักหมื่นนึงด้วย”
“ฮึก ผมไม่รู้ จ้าว แค่ก เป็นใครผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”
“นั่นสินะ พวกโอเมก้าจนๆ อย่างพวกมึงคงไม่มีปัญญาซื้อทีวีกันหรอก”
ในที่สุดมืออวบก็ยอมปล่อย คอของข้าวจึงเป็นอิสระอีกครั้งหากแต่ขาสองข้างก็สั่นเทาจนยืนไม่อยู่ ข้าวทรุดฮวบนอนลงกับพื้น สูดอากาศเข้าปอดอย่างตะกละตะกลาม นัยน์ตากลมโตแดงก่ำมองนายตำรวจที่เพิ่งทำตัวเองเกือบขาดอากาศตายเดินไปหาข้อมูลต่ออย่างหน้าตาเฉยและไม่รู้สึกผิดอะไร
“ฮึก ทำไมวะ”
ถึงแม้จะรู้ว่าพื้นไม่ได้สะอาดมากพอที่จะให้นอนแต่ข้าวก็ยังนอนอยู่ตรงนั้น มองท้องฟ้าสีฟ้าสว่างสดใสที่ดูสวยงามกว่าชีวิตของพวกโอเมก้าอย่างเขานับพันเท่า
“ทำไมพวกเราถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้วะ”
เพราะมัวแต่นอนคร่ำครวญข้าวจึงไม่ได้สังเกตเห็นถึงมือที่ยื่นมาให้ตัวเองจับสักทีจนเจ้าของมือต้องเอ่ยทักเรียกสติ
“ลุกขึ้นเถอะ”
ข้าวกระพริบตาปริบมองร่างที่ดูสูงใหญ่จนแทบจะสามารถบังท้องฟ้าได้ทั้งหมด ใบหน้าคมคายคุ้นตาเข้ากันดีกับชุดสูทสีดำทั้งตัวและที่โดดเด่นที่สุดคือแหวนเงินพิเศษสลักด้วยตราสัญลักษณ์อัลฟ่าที่ยื่นมาให้ตัวเอง
อัลฟ่า..?
เบิกตากว้างอย่างตื่นตระหนก นี่นับเป็นเรื่องที่ช็อคที่สุดในชีวิตข้าวเลยทีเดียวเพราะไม่เคยมีอัลฟ่าคนไหนใจดีถึงขั้นยื่นมือเข้าช่วยพวกโอเมก้าที่เพิ่งถูกข่มเหงหรอก
ยิ่งเห็นสีหน้าเอ็นดูนั่นทอดถอนใจน้อยๆ ข้าวยิ่งช็อคแต่ก็ยอมยื่นมือสั่นๆ ให้อีกฝ่ายดึงตัวเองขึ้นไปยืนและเรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นอีก อัลฟ่าผู้สูงศักดิ์และยืนอยู่บนจุดสูงสุดของวัฏจักรกำลังใช้มือนั่นปัดฝุ่นตามตัวเขาให้อย่างไม่รังเกียจ สีหน้ายุ่งยากใจนั้นดูสมจริงจนข้าวแทบหลั่งน้ำตา
“คราวหลังก็เดินระวังๆ หน่อยล่ะ”
“..ขอบคุณครับ” ข้าวเงยหน้ามองด้วยความประหม่า คนตรงหน้าดูดีมากจริงๆ ราวกับเป็นนายแบบที่หลุดมาจากนิตยสารยังไงยังงั้น ทั้งใบหน้าที่ดูมีสเน่ห์เป็นเอกลักษณ์แต่ทุกอย่างก็จบลงเมื่อนัยน์ตาที่ควรจะแฝงไปด้วยสุขุมกลับเป็นแววตาเจ้าชู้ที่มองเขาอย่างแพรวพราวและนั่นก็ทำให้เขานึกออกว่าคนตรงหน้าเป็นใคร
“คุณ คุณสุริยะ!”
เจ้าของชื่อยิ้มรับยีหัวข้าวเบาๆ เชิงลาแล้วเดินผิวปากไปอย่างอารมณ์ดี
ข้าวมองตามแผ่นหลังที่ดูแข็งแกร่งนั่นอย่างตื่นตระหนก
‘สุริยะ พิทักษ์วงศ์’ อดีตนายแพทย์ชื่อดังที่ผันตัวไปเป็นประกอบอาชีพนายแบบด้วยเหตุผลส่วนตัวก่อนที่จะโด่งดังจนถึงขีดสุด เป็นนายแบบชั้นแนวหน้าที่ต่อให้รับงานแค่ครั้งสองครั้งต่อปีก็สามารถอยู่ได้สบายๆ ติดอยู่อย่างเดียวที่เป็นรอยด่างพร้อยในชีวิตของนายแบบคนนี้คือเรื่องความเจ้าชู้ที่แก้ไม่หายสักที ดารานายแบบนางแบบแทบครึ่งวงการที่เคยควงกับนายสุริยะอย่างออกหน้าออกตาก่อนจะจบลงที่การเลิกรา ตราบใดที่นายสุริยะยังหาคนที่หยุดตัวเองไม่ได้ก็ย่อมต้องตามหาต่อไปแม้จะแลกด้วยน้ำตาและคำสาปส่งก็ตามที
ใบหน้าน่ารักค่อยๆ ขึ้นสีเพราะสเน่ห์ของสุริยะนั้นรุนแรงจริงๆ ราวกับแสงแดดที่แผดเผาทุกอย่างอย่างไม่ลดละจนกว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ กลิ่นหอมอย่างพวกอัลฟ่ายังติดจมูกข้าวจนรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้รู้จักมากกว่านี้ ถึงจะรู้ว่าจุดจบของความสัมพันธ์จะเป็นยังไงแต่ก็ยังอยากที่จะลองเสี่ยงดู เผื่อว่าตัวเองจะได้ทั้งคนรักทั้งเงินแบบที่พี่ซินได้บ้าง
แต่นั่นก็เป็นเรื่องหลังจากที่เขาไปหาคุณต้นน่ะนะ
ข้าวสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปและรีบสาวเท้าเดินต่อ โดยลืมไปสิ้นเชิงเลยว่าตัวเองควรจะโทรไปบอกพี่ซินหรือฝุ่นถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองวันนี้
เรื่องที่ว่า ‘จ้าว นฤภัทร’ กำลังถูกตามหาตัวและเบาะแสในซ่องนกพิราบ!
ร่างสูงโปร่งซึ่งอยู่ในชุดลำลองเรียบร้อยกอดอกจ้องมองตำรวจที่ถูกเกณฑ์มาทำงานให้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นัยน์ตาโศกใต้กรอบแว่นใสกวาดตามองผู้คนที่เดินกันขวักไขว่อย่างรวดเร็วราวกับเหยี่ยวที่กำลังหาเหยื่ออันโอชะของตัวเอง ริมฝีปากบางเฉียบถูกคมเขี้ยวขบกดน้อยๆ อย่างไม่สบอารมณ์เพราะพอจะรู้ว่ายังไงวันนี้ก็คงหาตัวไม่เจอเหมือนเดิมอยู่ดี
แต่ลางสังหรณ์กลับกระตุ้นให้เขาพยายามต่อไป อย่างไรก็ตามสถานที่ที่จ้าวมาในวันแรกหลังออกจากคุกก็คือซ่องนกพิราบ ตลาดขนาดใหญ่ที่มีทุกอย่างที่คุณต้องการ เป็นตลาดที่ทางรัฐบาลเลือกที่จะหลับตาข้างนึงเพื่อผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ของบางอย่างยังเป็นที่ต้องการในหมู่ผู้คนแต่ไม่อาจวางขายกันอย่างเอิกเกริกได้ ตลาดนี้จึงต้องคงอยู่ต่อไปเพื่อเป็นสถานที่แลกเปลี่ยนสินค้า
“สวัสดีครับ คุณจันทร์”
แววตาคมกริบเหลือบมองอาคันตุกะที่บังอาจเข้ามาในระยะสามเมตรหรือก็คือกรอบพื้นที่ส่วนตัวของจันทร์ที่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้นอกจากไซมอนด์ที่ตายไปแล้ว
“สวัสดีครับ” จันทร์ไม่ยิ้มรับเหลือบมองคนทักด้วยหางตา “มีอะไรกับผมงั้นเหรอครับ คุณสุริยะ”
แน่นอนว่าสุริยะไม่สะทกสะท้านหนำซ้ำยังยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ยใส่จันทร์อย่างไม่ปิดบัง “เรียกห่างเหินจัง ผมก็บอกแล้วว่าเรียกซัน ไม่ก็ อาทิตย์ก็ได้”
จันทร์สบถคำหยาบในใจแม้สีหน้าจะไม่แสดงอารมณ์แต่ในใจด่าไปหลายร้อยประโยค “ครับ คุณสุริยะ” กดเสียงเข้มเพื่อเน้นย้ำถึงความห่างเหินเพราะเขาไม่อยากสนิทกับใครโดยเฉพาะกับคนแบบนี้
“ถ้าไม่เรียกผมอาทิตย์ก็เรียกที่รักก็ได้นะครับ” นายแบบหนุ่มยิ้มตาหยี “ผมไม่ถือหรอกเพราะคุณจันทร์ก็น่ารักเหมือนกัน”
“ครับ คุณสุริยะ” นายแพทย์หนุ่มยังคงความคงเส้นคงวาได้อย่างเหนียวแน่น รู้สึกรำคาญทุกคนที่ชื่ออาทิตย์ทั้งเบอร์หนึ่งที่เป็นตำรวจและเบอร์สองที่เป็นนายแบบไร้สาระนี่ “มีอะไรกับผมเหรอครับ ผมว่าคุณก็น่าจะรู้ดีว่าช่วงนี้ผมไม่ค่อยว่าง” จันทร์จงใจเว้นประโยคและมองสุริยะอย่างรำคาญโดยไม่ปิดบัง “และผมไม่ต้องการสิ่งที่รบกวนใจช่วงนี้”
“ต้องไม่มีผมรวมอยู่ในนั้นแน่ๆ “ คนโดนเหน็บพูดลอยหน้าลอยตาไม่สะทกสะท้าน กว่าจะเก็บแต้มควงคนได้ครึ่งวงการต้องบอกว่าสุริยะผ่านอะไรมาเยอะมากจริงๆ และทุกสิ่งก็ต้องอาศัยความหน้าด้านกับไหวพริบไม่เช่นนั้นคงไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้
“ครับ” จันทร์ตัดบทหงุดหงิด “คุณต้องการอะไรจากผม”
“ความรักครับ”
สุริยะแทบหลุดขำกับสีหน้าเหมือนอยากฆ่าคนของจันทร์ ถึงแม้จะพยายามกลบเกลื่อนด้วยใบหน้านิ่งเฉยแต่คนที่อยู่ในวงการที่ต้องเจอผู้คนแทบทุกวันอย่างเขา เรื่องแค่นี้สบายมาก ต่อให้จันทร์ร้องไห้เขาก็สามารถดูออกว่าจันทร์อยากต่อยหน้าเขามากขนาดไหน
“พูดเล่นครับ” หนุ่มเจ้าสเน่ห์ยิ้มการค้าก่อนจะเข้าโหมดจริงจังไม่เช่นนั้นคงจะโดนบีบคอตายตั้งแต่ตอนนี้ “ผมได้รับคำสั่งให้มาช่วยคุณจันทร์ครับ”
แน่นอนว่าจันทร์ไม่เชื่อ “คุณเป็นนายแบบ”
“ผมเคยเป็นแพทย์นิติเวชครับ ถ้าคุณไม่รู้”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับผม” นัยน์ตาโศกแทบจะเปลี่ยนเป็นมีดแล้วแทงทุกที่ที่มองเห็นบนตัวนายแบบดัง “ผมมีมือดีจากสำนักงานตำรวจมาช่วยอยู่แล้ว ผมว่าคุณไม่จำเป็นต้องทิ้งงานนายแบบมาช่วยผมทำคดีหรอก”
“แล้วถ้าบอกว่าผมสามารถสื่อสารกับวิญญาณล่ะ คุณจะสนใจผมไหม” สุริยะยิ้มมุมปาก
จันทร์เบิกตากว้างรู้สึกพรั่นพรึงจนแทบยืนไม่อยู่ แม้จะสามารถรักษาสีหน้านิ่งสงบได้แต่ในใจก็หวาดผวากรีดร้องไม่หยุดราวกับเกิดงานเทศกาลในหัว ทั้งพลุทั้งผู้คนเยอะแยะวุ่นวายไปหมดจนสมองอื้ออึงคิดอะไรไม่ออก
“..ผมไม่เชื่อ”
“อยากให้ผมพิสูจน์ไหมล่ะครับ” นายแบบดังหัวเราะในลำคอแต่แววตากลับไม่หวานเชื่อมเหมือนน้ำเสียง
“แล้วแต่คุณเถอะ” จันทร์ตัดบทไม่อยากยุ่งกับคนตรงหน้าไปมากกว่านี้เพราะชนักที่ติดหลักตนเองนั้นเป็นหลักฐานชั้นดี ถ้าคนตรงหน้าสามารถสื่อสารกับวิญญาณได้จริง ถึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อนักแต่ก็ไม่อยากจะเสี่ยง
“ชู่ว ไม่ต้องกลัวครับ คุณจันทร์” ในที่สุดสุริยะกลับคืนสู่ตัวตนเดิม ไร้สาระ หน้าม่อไปวันๆ ใบหน้าที่เห็นสันกรามชัดฉีกยิ้มเป็นมิตรให้จันทร์อย่างจริงใจ “ผมชอบคุณก็เลยอยากมาช่วยคุณ มันก็เท่านั้น ผมไม่สนหรอกว่าคดีนี้จะพลิกหรือไม่พลิกเพราะยังไงมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมอยู่แล้ว”
“ผมถามจริงๆ “ จันทร์พูดเสียงอ่อนลงไหล่แข็งที่มักจะแข็งขึงอย่างดุดันคล้ายกับแมวที่ขู่ฟ่อใส่ศัตรูตกลงนิดๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ทันสังเกต “คุณมายุ่งกับผมทำไม”
ท่าทีตอบรับที่ผิดไปจากที่คิดเล่นเอาคนเจ้าชู้ไปต่อไม่ถูกเพราะคิดว่าจันทร์คงจะเย็นชาใส่ตัวเองเหมือนเดิม แต่ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายกลับมีท่าทีอ่อนลงไม่แข็งกร้าวเท่าเดิม
“ผมไม่สนใจเรื่องความรัก ถ้าคุณเข้าหาผมเพราะเรื่องนี้ก็ยอมแพ้เถอะ คุณไม่ใช่คนแรกหรอกที่พยายามมายุ่งกับผมด้วยเรื่องไร้สาระแบบนี้”
“เฮ้อ” สุริยะถอนหายใจเฮือกใหญ่เกาหัวแกรกๆ ด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “ก็ได้ๆ ผมยอมรับก็ได้ว่าผมค่อนข้างถูกใจคุณเพราะคุณก็จัดอยู่ในสเป็คที่ผมชอบพอดี แต่มันก็ไม่ใช่เหตุผลหลักหรอกที่ผมจะยอมทิ้งงานเดินแบบเพื่อมาช่วยคุณ” ร่างสูงขยับเข้าไปใกล้จันทร์และสบกับนัยน์ตาโศกตรงๆ เพื่อแสดงความจริงใจของตัวเอง
“ผมถามจริงๆ นะ คุณจำผมไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
จันทร์ขมวดคิ้วมองใบหน้าอีกฝ่ายที่ดูต่างไปจากพิมพ์นิยมสมัยนี้ด้วยอัตลักษณ์อันโดดเด่นที่บอกไม่ถูกว่าคืออะไรกันแน่ อาจจะเป็นสเน่ห์อันล้นเหลือที่แค่สบกับนัยน์ตาสีดำทมิฬนั้นแล้วคล้ายกับถูกช่วงชิงลมหายใจไปวูบนึง แน่นอนว่ามันไม่เกิดขึ้นกับจันทร์ สำหรับนายแพทย์หนุ่มแล้วมนุษย์ทุกคนก็เป็นแค่ลิงที่ฉลาดขึ้นมาหน่อยเท่านั้น หน้าตาจึงไม่ค่อยมีผลอะไรกับจิตใจสักเท่าไหร่
หลังจากค้นของความทรงจำในหัวประมาณนาที ริมฝีปากบางเฉียบจึงปริปากตอบ “ผมจำไม่ได้”
“ใจร้ายชะมัด” สุริยะตำหนิด้วยสีหน้าดุๆ “คุณเป็นคนช่วยทำแผลให้ผมเลยนะ”
ทั้งๆ ที่พยายามจะช่วยรื้อความทรงจำให้จันทร์แต่สุริยะก็ต้องพบกับความล้มเหลวเพราะจันทร์ยังทำหน้าเดิมคือขมวดคิ้วงุนงง ไม่มีเค้าเลยว่าจะจำนายแบบที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเบอร์หนึ่งในประเทศตอนนี้
“ผมจะเล่าเหตุการณ์วันนั้นให้ฟังแล้วกันนะ” สุริยะเล่าด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์นิดๆ รู้สึกเสียเซลฟ์นิดหน่อยที่ตัวเองไม่แม้แต่จะอยู่ในเศษเสี้ยวของสนใจของจันทร์เลยแม้แต่นิดเดียว “ผมกำลังเดินอยู่ในสนามบินตั้งใจจะขึ้นเครื่องแต่บังเอิญมีเด็กบ้าที่ไหนไม่รู้วิ่งมาชนผมจนล้มใส่พวกชั้นวางไวน์ แน่นอนว่าผมบาดเจ็บทั้งแขนทั้งขาผมโดนเศษแก้วบาดจนผมแยกไม่ออกว่าอันไหนเลือดอันไหนไวน์กันแน่ คนของผมกำลังจะเรียกพยาบาลมาช่วยผม”
แววตาคมของสุริยะละมุนขึ้นขณะที่มองนายแพทย์หนุ่มที่ยังคงทำสีหน้าไร้อารมณ์ไม่ยินดียินร้ายกับโลกใบนี้ “แต่คนที่พุ่งมาผมคนแรกก็คือคุณ ถึงสีหน้าคุณจะไม่เปลี่ยนก็เถอะตอนที่ผมร้องโอดโอยตอนที่คุณเอาเศษแก้วออกจากแผลให้ คุณทำแผลให้ผมด้วยอุปกรณ์ของคุณที่ผมไม่รู้ว่าจะพกติดตัวทำไมตลอดเวลา”
สุริยะหลุดยิ้มนิดๆ เพราะขนาดตอนนี้เขายังเห็นอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่บรรจุอยู่ในกล่องขนาดเล็กเหน็บอยู่ข้างเอวและถูกปิดบังด้วยเสื้อโค้ทสีดำตัวยาวทำให้มองเห็นได้ไม่ถนัดตานัก
“มันอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกเพราะขนาดคุณยังจำผมไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ผมก็อยากบอกคุณว่าผมชอบคุณนะ อาจจะไม่ใช่ในแง่ความรักแต่ในแง่อื่นๆ ที่คุณอาจจะไม่รู้จักดี ผมดูออกว่าคุณแทบไม่มีความสุขเลย ทั้งๆ ที่คุณกำลังยิ้มอยู่ก็เถอะ”
“…” จันทร์นิ่งอึ้งพูดไม่ออกเนื่องจากไม่รู้จะพูดอะไรและก็ยังจำสุริยะไม่ได้อยู่ดี เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องของสุริยะเลยจริงๆ
“ผมอาจจะดูไว้ใจไม่ค่อยได้แต่ก็อยากให้คุณลองเปิดใจกับผมหน่อย” สุริยะหัวเราะเพราะรู้ตัวเองดีว่าถูกคนภายนอกและสื่อต่างๆ มองยังไง “เอาเหอะ ตอนนี้ผมขอแค่สถานะเพื่อนไม่ก็คนที่มีค่าพอให้คุยด้วยก็พอ”
“…ผมไม่เข้าใจ”
จันทร์ถอยหนีสีหน้าหวาดหวั่น ไม่หวั่นไหวตามคำหวานของสุริยะแม้แต่คำเดียว ประสบการณ์และสัญชาตญาณที่สั่งสมมานานกำลังสั่งให้ถอยหนีอย่าได้เผลอเข้าใกล้เชียว
“ผมสาบานนะ คุณจันทร์” สุริยะมองจันทร์อย่างจริงจัง “ผมเข้าหาคุณเพราะเจตนาอื่นก็จริงแต่ตอนนี้ผมอยากช่วยคุณมากกว่า ผมไม่รู้หรอกว่าคุณเจออะไรมาบ้างแต่คุณก็ควรจะมีคนที่จริงใจกับคุณบ้าง”
“ผมจะแน่ใจได้ยังไงว่าคุณไว้ใจได้”
ถ้าหากเปรียบจันทร์เป็นแมวตอนนี้คงไม่วายขู่ฟ่อใส่สุริยะที่น่าจะเป็นหมาโกลเด้นที่พยายามดุ๊กดิ๊กๆ เรียกความสนใจ ซึ่งเจ้าหมาก็ดูจะต้องผิดหวังหน่อยเพราะแมวตัวนี้ดุมาก
“ใช้เวลาไงครับ คุณจันทร์ นฤภัทร”
เจ้าหมาโกลเด้นหมอบต่ำช้อนตามองเจ้าแมวที่ตอนนี้แทบจะกระโดดหนีขึ้นหลังคาแล้ว
“ผมไม่รู้”
จันทร์หลุบตามองต่ำ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีเพื่อนจริงๆ สักคน มีแต่เพื่อนที่คุยกันเป็นครั้งคราวอย่างผิวเผินในตอนที่เรียนและเรื่องงานเท่านั้น เขาไม่เคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวหรือดูหนังกับกลุ่มเพื่อน ไม่มีกลุ่มไลน์ห้อง ไม่มีเบอร์โทรของเพื่อนที่สามารถโทรไประบายความสุขความเศร้าได้ ไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากตัวเขาเองที่เป็นเพื่อนกับตัวเองได้ดีที่สุด
“ก็ลองสิ จันทร์”
“ผมไม่อยากมีเพื่อน” แววตาของจันทร์กลับมาเด็ดเดี่ยวแม้ว่าลึกๆ ในอกจะรู้ดีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ความเค็มที่จุกในลำคอที่เขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ความเหงาที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด
“ทำไม”
“…”
“มันไม่แย่หรอก จันทร์ ใช่ว่าทุกคนบนโลกจะใจร้ายกับคุณซะหน่อย”
“ไม่จริงหรอก”
จันทร์หัวเราะเสียงแผ่วกล้ำกลืนความเจ็บปวดที่อยู่ๆ ก็ปะทุขึ้นมาจนกระบอกตาร้อนผ่าว ความทรงจำอันเจ็บปวดปรากฎในหัวจนอยากร้องไห้ออกมา
“คุณไม่ใช่ผม คุณไม่เข้าใจหรอก สุริยะ”
นัยน์ตาโศกสั่นระริกแทบจะลืมเลือนถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องมาอยู่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ รู้เพียงแค่อยากร้องไห้อยากระบายความเศร้าโศกที่สุมอยู่ในอกจนอึดอัดจนแทบทนไม่ไหว
“…ไม่มีใครเข้าใจผมหรอก”
“ผมไง” สุริยะชี้หน้าตัวเองด้านๆ ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เวลาที่ควรมาเล่นแต่ก็คิดวิธีรับมือที่ดีกว่านี้ไม่ออกแล้ว “คุณเล่าให้ผมฟังได้ ถึงตอนเด็กๆ ผมจะไม่ได้สู้ชีวิตเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ผมว่าช่วงเรียนแพทย์หกปีเราก็น่าจะมีมรสุมชีวิตพอกัน”
จันทร์หัวเราะเสียงแผ่วยอมยิ้มนิดๆ เพราะชีวิตช่วงนั้นก็ถือว่าหนักหนาเอาการทีเดียว
“ก็ได้ ผมจะยอมเป็นเพื่อนกับคุณ”เขาไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว…
==============
จะเกลียดน้องจันทร์ดีไหมนะ