ผมได้ยินเสียงคลื่นสาดเข้ากระทบกับชายฝั่ง
เสียงกระดิ่งตรงหน้าต่างที่ดังกรุ๊งกริ๊งยามถูกลมพัด
เสียงลมหายใจของตัวผมเอง
เสียงหัวใจของผมที่มันเต้นแรงจนรู้สึกได้ เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังอยู่ใกล้ๆหู...
ใครโทรมาวะ... แง่ง...
“ณัฐ...ฟี่ขอ...รับโทรศัพท์ก่อนได้ไหม?” ผมบอกกับคนที่อยู่บนตัวผมด้วยเสียงออดอ้อนแบบที่ผมไม่ได้ต้องการจะใช้สักนิด แต่ไม่รู้ว่าทำไมเสียงผมถึงเป็นแบบนั้น ยิ่งเห็นสายตานิ่งๆที่มองมา หัวใจของผมมันก็ยิ่งอ่อนระทวย ผมกำลังจะเป็นบ้าครับ...
“...” ณัฐไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ขยับตัวออกให้ผมได้ลุกไปรับโทรศัพท์ได้
“ว่าไงครับ” ผมรับสายด้วยน้ำเสียงแสดงความคุ้นเคยกับปลายสายที่โทรมา
/ฟี่~ ไปเที่ยวที่ไหนไม่บอกเลยน้า/
“เชอรี่รู้ได้ยังไงเนี่ย”
/ก็เชอรี่มีญาณวิเศษไง อิอิ/
“ตลกแล้ว รู้ได้ไงเนี่ยหืม?”
/ก็ไปหาที่บ้านมาน่ะสิ แล้วคนบางคนก็ไม่อยู่/
ผมลุกเดินไปนั่งที่โซฟาริมหน้าต่าง เพราะดูท่าว่าการสนทนานี้คงจะอีกยาว เสียงหวานๆของเชอรี่แฝงความเป็นห่วงมาอย่างชัดเจน ที่ผมต้องทำมีเพียงแค่รอฟังสิ่งที่เชอรี่จะถามเท่านั้น
/ฟี่... เชอรี่จะรอนะ ถ้ามันเจ็บปวดจนทนไม่ไหวก็รีบกลับมา..ไม่ต้องงกค่ารีสอร์ทล่ะ.../ ผมกัดริมฝีปากแน่น น้ำใจจากผู้หญิงที่แสนอ่อนโยนคนนี้เป็นอะไรที่ผมไม่มีทางตอบแทนได้หมด อย่างที่เขาบอก มีเพื่อนเป็นร้อยก็ไม่เท่าเพื่อนแท้แค่คนเดียว
“รออะไร..” ผมสะดุ้งเฮือก ณัฐมายืนฟังผมคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ และลำโพงของผมมันก็ดังพอที่คนอื่นที่อยู่ใกล้ผมจะได้ยินไปด้วย ผมหันไปมองใบหน้าเรียบเฉยของณัฐ ไม่ต้องเป็นอัจฉริยะก็รู้ว่าณัฐอารมณ์ไม่ดีชัวร์
“เชอรี่รออะไร” ณัฐถาม แล้วผมก็ส่ายหัว ผมดันตัวณัฐให้ถอยออกไปห่าง แต่ณัฐก็บีบแขนผมไว้แน่น
“ทำไม? ตอบณัฐไม่ได้เหรอ” เสียงณัฐเข้มขึ้นเรื่อยๆ ผมเองก็อึกอัก ไหนจะโทรศัพท์ ไหนจะณัฐ
/ฟี่...มีอะไรหรือเปล่า?/ เสียงเชอรี่ฟังดูกังวล คงจะได้ยินเสียงณัฐหงุดหงิดสินะ...
“ไม่มีอะไรหรอกเชอรี่ ฟี่ขอวางก่อนนะ” แล้วผมก็วางสาย พอผมวางปั๊บณัฐก็เอาโทรศัพท์ไปจากมือผมแล้วโยนลงบนที่นอนอีกด้านหนึ่ง เรียกว่าคนละมุมห้องเลยแหละครับ
“เชอรี่โทรมาทำไม”
“ก็โทรมาคุยเฉยๆ..”
“แล้วทำไมต้องพูดว่าจะรออะไรด้วย”
“ไม่มีอะไร... เชอรี่ก็แค่บอกว่าจะรอของฝาก..” ผมโกหกไปดีกว่าเนอะ..
“รอของฝาก? แล้วเชอรี่รู้ได้ยังไงว่าฟี่มาเที่ยว”
“ก็เชอรี่ไปหาฟี่ที่บ้าน แล้วเห็นว่าบ้านปิดทั้งที่เป็นวันหยุด...” ผมกระเถิบตัวหนีณัฐที่ขยับมาใกล้ผมเรื่อยๆ ตัวผมแทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับโซฟาอยู่แล้ว และคงจะจมลงไปในโซฟาแน่ๆถ้าณัฐไม่หยุดรุกมาใกล้ผมแบบนี้
“อ่าฮะ...เชอรี่ไปหาที่บ้านบ่อยเหรอ..”
“ก็บ่อยนะ เกือบทุกวันหยุดแหละ..” ผมตอบไปก็ไม่เข้าใจว่าทำไมณัฐต้องมารุกไล่อะไรผมแบบนี้
“เป็นเพื่อนกันแน่ใช่มั้ย?” ผมพยักหน้า ก็เป็นเพื่อนกันสิ(วะ) มันจะเป็นอื่นนอกจากเพื่อนได้ไงในเมื่อหัวใจผมให้ไอ้บ้าตรงหน้านี่ไปหมดแล้ว!
“อืม...” ณัฐพยักหน้ารับรู้ ทำสีหน้าประมาณว่าเชื่อก็ได้ (แต่อย่าให้รู้ว่าโกหกนะ...) นี่ผมกลัวเขา?
“งั้นไปกินข้าวกันเถอะ” ณัฐถอยออกไปห่างจากผมแล้วเดินไปหยิบกระเป๋าเงิน ผมก็เลยลุกจากโซฟาแล้วจะเดินไปหยิบของตัวเองบ้าง แต่พอผมลุกจากโซฟาเท่านั้นแหละ...
“อะ...” ตัวผมชาวาบเลยครับ จู่ๆณัฐก็หันมาผลักผมกลับไปที่โซฟาแล้วล็อกตัวผมไว้ หน้าณัฐห่างจากหน้าผมแค่นิ้วเดียว ริมฝีปากของเราก็ห่างกันแค่สองเซน. ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจของณัฐที่รินรดอยู่บนแก้มของผม แล้วจมูกกับริมฝีปากของณัฐก็ขยับมาใกล้แก้มของผมมากขึ้นจนผมเริ่มรู้สึกขนลุกซู่เหมือนไฟฟ้าสถิตย์ ผมหลับตาปี๋ตอนที่ริมฝีปากของณัฐแตะลงบนแก้มผม... สัมผัสวูบวาบและใกล้ชิดเกินกว่าเพื่อน... ความรู้สึกแบบที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน กับแค่การหอมแก้มมันจะอะไรนักหนา ก็แค่การเอาปากหรือจมูกมาแตะที่แก้ม มันไม่น่าจะทำให้ผมรู้สึกอะไรได้มากแบบนี้นี่!
ณัฐทำให้ระบบทุกอย่างในตัวผมเพี้ยนไปหมด!!!
ณัฐทำให้ผมหวั่นไหวไปกับแค่การหอมแก้ม แค่การแนบชิด...
ผมเองไม่ใช่ว่าจะใสซื่อบริสุทธิ์ ขนาดจูบครั้งแรกสมัยม.ปลายผมยังไม่รู้สึกอะไรมากแบบตอนนี้ แล้วนี่ณัฐแค่หอมแก้มผม เราแค่ใกล้กันนิดๆหน่อยๆผมก็รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย ร่างกายของผมทุกอณูมันตื่นตัวผิดปกติเกินไปแล้ว...
“ฟี่...หอมจังเลยนะ...ตัวฟี่หอมจังเลย..” เสียงของณัฐฟังดูทุ้มและนุ่มนวลเหลือเกิน น้ำเสียงของณัฐมันทำให้ผม...รู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นที่ต้องการ น้ำเสียงของณัฐทำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีความสำคัญ...
“ท๊อฟฟี่...หวานเหมือนชื่อหรือเปล่านะ...” หา? ณัฐว่าอะไรนะ ผมฟังไม่ชัดเลย
“อะ..” สัมผัสอุ่นและนุ่มที่ริมฝีปากของผมบ่งบอกว่าผมกำลังถูกณัฐชิมหาความหวานตามที่ณัฐสงสัย... ถึงตอนนี้ผมแอบเคืองพ่อนิดๆที่ตั้งชื่อผมเป็นขนมหวาน ถ้าตั้งชื่อผมว่าไอ้ขม ณัฐก็คงไม่คิดจะชิมหรอก...คุณว่างั้นไหม?
“อืม...ฟี่” ณัฐกระซิบขึ้นมาเสียงแผ่ว ณัฐจะทำเสียงแบบนั้นทำไมว้า… ผมคลั่งจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ไอ้ร่างกายผมมันก็เป็นอะไรไม่รู้ ทำเหมือนเป็นหนุ่มจิ้นไปได้ แค่เขาหอมก็อ่อนระทวย แค่เขาจูบก็ละลายเป็นขี้ผึ้งลนไฟไปแล้ว สมองผมมึนเบลอไปหมดเลย ตอนนี้ผมลืมไปหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุผลหรืออะไรก็ตาม สมองของผมสั่งการแต่ว่าอยากจะผูกพันกับคนๆนี้ให้มากขึ้นอีก ผมเหมือนตัดขาดกับสรรพสิ่งรอบตัว ไปจนหมด ณ จุดนี้ผมสนใจแต่เรื่องของคนตรงหน้าเท่านั้น ยิ่งริมฝีปากของณัฐรุกเร้ามามากเท่าไร ผมก็ยิ่งสนองตอบไปมากเท่านั้น ณัฐขบและกัดริมฝีปากของผมแล้วส่งเสียงอืออาในลำคอ มือของณัฐเริ่มแตะลูบไปตามแผ่นหลังของผม เอ่อ...แผ่นหลังมัน...เป็น...จุดอ่อนของผมนะครับ...
“อะ..ณัฐ...อย่า...” ผมหันหน้าหนีริมฝีปากของณัฐแล้วดันอกณัฐออก ผมเหมือนกำลังต่อสู้กับความต้องการของตัวเองไม่มีผิด คุณเคยไหมที่แบบว่าขนมมาจ่ออยู่ตรงปากแต่ก็ต้องห้ามใจไม่กิน...
กริ๊ง กริ๊ง
การกระทำทุกอย่างหยุดนิ่งเลยครับ...เสียงโทรศัพท์ในห้องช่างดังได้จังหวะ ผมมองหน้าณัฐที่กัดฟันกรอดแล้วเดินไปรับโทรศัพท์เสียงห้วน
“ฮัลโหล” ผมมองณัฐที่ยืนหันหลังคุยโทรศัพท์แล้วผมก็มองตัวเอง เสื้อผ้าหน้าผมยุ่งไปหมด ผมหันไปมองกระจก ปากของผมแดงเจ่อ แก้มก็ช้ำ ผมเป็นคนผิวขาว พอเจออะไรมากระตุ้นก็มักจะแดงช้ำได้ง่าย
“ขอบคุณมาก เดี๋ยวพวกผมจะลงไป” พอได้ยินณัฐพูดผมเลยรีบลุกและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย คงเป็นคุณแซนด์โทรมาบอกเรื่องอาหารแน่เลย
“อ๊ะ ฟี่จะไปไหน” พอณัฐวางหูปุ๊บ ผมก็วิ่งออกไปนอกห้องแล้วครับ จังหวะนี้ผมต้องรีบโกยก่อนที่จะหมดโอกาส
“ไปกินข้าว เดี๋ยวณัฐรีบตามมานะ ฟี่จะไปรอข้างล่าง” ผมตะโกนบอกณัฐจากตรงบันไดทางลง พูดจบผมก็วิ่งลงไปเลยโดยไม่รอณัฐ
อากาศชายทะเลในยามค่ำคืนบวกกับแสงไฟสีส้มช่างเหมาะเจาะลงตัว ทางรีสอร์ทมีการก่อกองไฟประดับเอาไว้ช่วงกลางคืนด้วย ปาร์ตี้บาร์บีคิวไนท์มีแขกคนอื่นๆลงมาใช้บริการกันอีกมาก ทั้งผมและณัฐเลือกโต๊ะตัวที่อยู่ติดชายทะเล ณัฐบอกให้ผมคอยเป็นคนย่าง ส่วนณัฐก็เป็นฝ่ายเดินไปหยิบของสดมาจากบาร์
“ฟี่ กินนี่สิ” ผมมองปลาหมึกย่างที่ณัฐตักมาวางในจานผมที่เต็มไปด้วยกุ้งหอยปูปลามากมายจนผมกินไม่ทันแล้วถอนใจ
“เอ่อ...ณัฐ... ฟี่กินไม่หมดหรอกนะ”
“ไม่ได้ กินในจานให้หมด ผอมจะตายอยู่แล้ว” พระเจ้า...ถ้าผมกินหมดจานนี้อย่างที่ณัฐว่า ผมคงอิ่มไปถึงพรุ่งนี้เย็นแหละครับ
“ณัฐ ฟี่กินไม่หมดจริงๆนะ” ผมหันไปย้ำกับณัฐอีกรอบ ณัฐหันมามองผมด้วยสายตาประเมินแล้วก็ยิ้มก่อนจะขยี้หัวผม
“อืม งั้นกินอีกคำนึงนะ” ณัฐจิ้มปลาหมึกมาจ่อตรงหน้าผม แล้วสุดท้ายผมก็ต้องยอมกิน พอกินหมดชิ้นหนึ่ง ณัฐก็เอามาป้อนใหม่ พอผมส่ายหน้าหนีณัฐก็จะตัดพ้อต่างๆนาๆจนผมรู้สึกผิดแล้วก็ยอมกินต่อ...จนหมดจาน..
“เก่งจังเลย..” ณัฐชมแล้วลูบหัวผม ผมไม่ใช่เด็กนะ!! แต่ผมก็ชอบที่ณัฐทำแบบนี้แฮะ..
ระหว่างมื้อเย็นนั้นที่รีสอร์ทมีลูกค้าเยอะพอสมควร คุณแซนด์เองก็ต้องคอยดูแลแขกทุกคนเลยไม่ได้มาคุยกับผมเท่าไรนัก แต่มีอยู่ครั้งสองครั้งที่ผมหันไปจ๊ะเอ๋กับคุณแซนด์พอดีแล้วเขาก็ส่งยิ้มให้ผม ผมจึงยิ้มกลับไปตามมารยาท แต่พอผมหันหน้ากลับมาก็จะเห็นณัฐทำตาขวางมองเลยผมไป...ที่คุณแซนด์...
“อิ่มแล้วไปเดินเล่นกันมั้ยฟี่” ณัฐที่กำลังตักไอศครีมเข้าปากเงยหน้ามาถามผม ผมก็พยักหน้าตอบกลับไปแล้วหันไปนั่งจ้องทะเลต่อ
“เอาแก้วมานี่มา เดี๋ยวณัฐไปเติมน้ำให้” ณัฐเอื้อมมือมาเอาแก้วน้ำอัดลมไปจากมือผม ผมมองตามหลังณัฐที่เดินไปเติมน้ำให้แล้วก็นั่งยิ้มคนเดียว ผมว่าผมคงเป็นบ้าไปแล้วแหละครับ ที่แค่เห็นแผ่นหลังณัฐก็มีความสุข...
“คุณฟี่ ทำไมนั่งคนเดียวละครับ”
“อ๋อ ณัฐไปเอาน้ำให้น่ะครับ” ผมหันไปก็เห็นคุณแซนด์ยืนยิ้มอยู่ข้างๆ
“แหม สนิทกันดีจังนะครับ” ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
“แล้วคบกันมานานหรือยังครับ”
“ก็รู้จักกันมาสี่ปีได้แล้วมั้งครับ” ผมนิ่งคิดแล้วก็ตอบไป แต่พอผมตอบ คุณแซนด์กลับทำสีหน้าแปลกใจ
“รู้จักกัน? สรุปแล้วไม่ได้คบกันเป็นแฟนหรอกเหรอครับ” ผมขมวดคิ้ว อะไรทำให้คุณแซนด์คิดแบบนั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือทำไมคุณแซนด์ถึงถามอะไรที่ละลาบละล้วงจังหว่า ดูเขาจะเฟรนด์ลี่ไปหน่อยไหม
“อะฟี่ ชาเขียวกับฝอยทอง” ณัฐมาเป็นผู้ช่วยชีวิตผมครับ ผมมองจานฝอยทองอบกรอบกับชาเขียวในมือณัฐ...
“ณัฐ... ทำไมเป็นชาเขียวละ ไหนเป๊ปซี่ของฟี่ละ” ผมถามแล้วณัฐก็ส่ายหัว
“วันนี้กินเป๊ปซี่ไปเยอะแล้วนะฟี่ พอแล้ว”
“โหย...” ผมส่งเสียงขัดใจนิดเดียวณัฐก็ทำตาดุใส่ผม จนผมต้องยอมเงียบไปเอง
“ว่าแต่คุณแซนด์มีอะไรเหรอครับ” ผมลืมไปซะสนิทว่าคุณแซนด์ยืนอยู่ด้วย พอหันไปก็เห็นคุณแซนด์แค่ยิ้มแล้วก็ส่ายหัว
“เปล่าหรอกครับ แค่มาทักทายเฉยๆ ผมต้องขอตัวก่อนนะครับ” คุณแซนด์พูดแค่นั้นแล้วก็เดินไปดูแลลูกค้าคนอื่นๆ ผมเองก็แปลกใจว่าทำไมไม่เป็นช่างคุยเหมือนตอนที่ณัฐยังไม่มาเลยหว่า
“ณัฐ ณัฐว่าคุณแซนด์เขาแปลกๆไหม” ผมแอบกระซิบถามณัฐที่ตวัดหางตามองคุณแซนด์ แล้วก็หันมาทำตาขวางใส่ผม
“เพิ่งจะรู้สึกเรอะ” ณัฐพูดกับผมเสียงห้วนแล้วก็หยิบเอาฝอยทองของผมไปกินโดยไม่พูดถึงคุณแซนด์อีก
พอเราทั้งสองคนอิ่มแล้วก็เลยชวนกันขับมอเตอร์ไซค์ไปที่หาด พอหาที่จอดได้เราก็ลงไปเดินเล่นกัน ช่วงนี้มืดแล้วคนก็เลยไม่ค่อยมี น้ำทะเลที่นี่ใสจนผมอยากจะเล่นน้ำซะเดี๋ยวนั้นแต่ก็ต้องอดใจรอให้เช้าก่อนครับ
“ฟี่ ไปนั่งตรงนั้นกัน” ณัฐจับมือผมแล้วพาผมเดินไปนั่งตรงโขดหิน ผมบอกหรือยังครับ... ว่าตั้งแต่มาที่นี่ณัฐจับมือผมบ่อยมาก...ผมเองไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะครับ แต่ผมแค่เขิน...แล้วก็สับสนบ้าง...ในบางที...
“ทำไมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแบบนั้นละฟี่” ณัฐเอานิ้วมาจิ้มตรงหว่างคิ้วผมอีกแล้ว แต่มันก็ทำให้ผมรู้ตัวนะ ว่าผมกำลังขมวดคิ้ว
“อือ...ฟี่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ..”
“คิดอะไรแล้วทำไมต้องขมวดคิ้วด้วยละ ถ้าต่อไปนี้ฟี่ขมวดคิ้ว ณัฐจะเอานิ้วดีดหน้าผาก ดีไหมครับ?”
“หึ! ไม่ดีอะ มันเจ็บนะ”
“งั้นก็อย่าขมวดคิ้ว” ครับ...ง่ายๆสั้นๆ แล้วพ่อเจ้าประคุณก็หันไปนั่งชมคลื่นชมดาวต่อ ผมเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นคนว่าง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องที่ณัฐคอยห้ามหรือคอยเตือนผมนั้นมันก็มักจะเป็นเรื่องที่ส่งผลดีกับตัวผมเอง อย่างเรื่องที่ผมดื่มจัด(เป๊ปซี่นะครับ) ณัฐก็คอยห้ามให้ผมดื่มน้อยลงเพราะกลัวกระเพาะผมจะมีรู ขนาดนิสัยที่ผมชอบขมวดคิ้วณัฐก็ไม่อยากให้ทำ เพราะเขาไม่อยากให้ผมหน้าแก่
ผมเองก็นั่งเพลิดเพลินกับลมเย็นๆและดาวที่เต็มท้องฟ้าไปเรื่อยเปื่อยจนกระทั่งณัฐเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดกับผมก่อน
“ฟี่... ฟี่ไม่มีอะไรที่อยากจะถามณัฐบ้างเหรอ” ผมละสายตาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวแล้วหันไปมองหน้าคนข้างๆ ผมก้มหน้านิ่งแล้วก็คิด ผมอยากถามสิ...สารพัดสิ่งที่ผมคิดอยากจะถาม แต่บางครั้งที่ผมตั้งใจว่าจะถาม พอเจอหน้าณัฐผมก็ลืมไปหมดทุกสิ่ง เวลาที่อยู่กับณัฐผมมักจะลืมเรื่องราวที่ขุ่นข้องหมองใจไปจนหมด มันเป็นแบบนั้นเพราะว่าตัวผมอยากจะเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่ผมมีความสุขให้มากเข้าไว้ หากมีเรื่องที่จะทำให้ทุกอย่างต้องพังทลายลงผมก็จะพยายามทุกทางไม่ให้มันเกิดขึ้น
“ฟี่ก็ไม่รู้สิณัฐ บางทีฟี่ก็มีเรื่องอยากจะถามณัฐมากมาย แต่พออีกแว่บหนึ่งฟี่ก็คิดว่าไม่ถามเสียยังจะดีกว่า” ผมบอกแล้วก็ถอนหายใจ พูดไปพูดมาผมมันก็เหมือนคนขี้ขลาดคนนึงเท่านั้นเอง...
“ทำไมฟี่ถึงคิดแบบนั้น ทำไมฟี่ถึงคิดเอาเอง บางทีคำตอบมันอาจไม่ได้เป็นอย่างที่ฟี่คิดก็ได้นี่นา” ผมมองณัฐด้วยความแปลกใจ ใบหน้าณัฐดูจริงจัง... แต่ผมก็ยังไม่กล้าถามอยู่ดี
“ฟี่...ณัฐไม่รู้หรอกนะว่าฟี่คิดอะไร หรือรู้สึกยังไง ถ้าฟี่ไม่พูดออกมา..” ผมมองตามมือของณัฐที่เอื้อมมาจับมือผมไว้ ใจจริงผมก็แค่ไม่กล้าสู้สายตาของณัฐ ผมเลยก้มมองมือ แต่ณัฐก็จับคางให้ผมเงยหน้าขึ้นและสบตากับเขาแทน
“รู้ไหม...ว่าตรงนี้ของณัฐ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีให้ฟี่นะ...” ณัฐจับมือของผมไปแตะที่อกด้านซ้ายของเขา..ด้านที่รับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นอยู่ข้างใน ผมกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ผมไม่เข้าใจว่าเวลาคนเราจะกลั้นน้ำตาทำไมต้องกัดริมฝีปาก เพราะสำหรับผมมันไม่ช่วยอะไรเลย ต่อให้ผมกัดริมฝีปากตัวเองจนเลือดอาบ น้ำตาผมก็ยังไหลอยู่ดี และสุดท้ายผมก็กลั้นเสียงสะอื้นไว้ไม่ได้..
“ไม่เอานะ ฟี่ไม่ร้องไห้สิ...” ณัฐดึงให้ผมไปนั่งบนตักเขาแล้วลูบแก้มของผม นิ้วของณัฐแตะให้ผมเลิกกัดปากตัวเอง เขาพรมจูบลงบนแก้ม เปลือกตา และริมฝีปากของผม เขาลูบหลังปลอบโยนผมสารพัดแต่ก็ไม่ช่วยหยุดน้ำตาของผมได้...
ผมรู้สึก...ว่าหัวใจของผมมันกำลังพองโต...
“ณัฐไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะสูงหรือตัวโตอะไรเลยนะ แต่พอมาอยู่ใกล้ๆฟี่แล้วณัฐก็รู้สึกว่าตัวเองตัวใหญ่ชะมัด หึหึ”
“ฮึก...ใช่สิ...ฟี่มันเตี้ย...” ผมเถียงไปทั้งที่ยังสะอื้น ก็ดูสิ ผมนั่งบนตักเขาเหมือนเป็นเด็กตัวน้อยๆไม่มีผิด ผมรับรู้ได้ถึงอุณหภูมิจากร่างกายของณัฐ ผิวกายของเราต่างก็แนบชิดกัน ผมสูดกลิ่นหอมจากซอกคอของณัฐ กลิ่นกายของณัฐ กลิ่นที่ผมสูดดมเท่าไรก็ไม่เคยพอเสียที
“ฮื้อ... มาดมซอกคอเขาแบบนี้ได้ยังไง” ณัฐพูดแต่ผมก็ไม่นำพา ผมชอบของผมนี่นา
“ไหนเงยหน้ามาคุยกันก่อนสิ ฟี่ยังไม่บอกกับณัฐเลยนะ...” ผมถูกณัฐจับให้หันมามองหน้าเขา แสงจันทร์ยามค่ำคืนสาดแสงไปที่ใบหน้าของณัฐชัดแจ่ม แล้วณัฐล่ะ...จะเห็นไหมว่าผมหน้าแดงแค่ไหน ณัฐจะรู้ไหมว่าผมกำลังเขินสุดๆ
“ทำไมณัฐต้องถามด้วยละ...”
“แล้วณัฐอยากรู้ไม่ได้เหรอ ฟี่บอกไม่ได้เหรอ หรือว่าเราไม่ได้คิดเหมือนกัน..” ณัฐพูดเสียงตัดพ้อ พอผมได้ยินผมก็ปรี๊ดทันทีเลยครับ
“ณัฐอย่ามาขี้โกงนะ... ณัฐอย่ามาหาว่าฟี่ไม่ได้รู้สึกเหมือนณัฐนะ ณัฐไม่รู้หรอกว่าฟี่คิดมากแค่ไหน ณัฐไม่รู้หรอกว่าฟี่กลัวทุกครั้งที่ใกล้ณัฐ กลัวว่าสักวันหนึ่งที่ฟี่เผลอพูดไปก็จะทำให้ณัฐเกลียด..” ผมเคืองจริงๆนะครับ...จะมาหาว่าผมไม่รู้สึกอะไร...ไอ้น้ำตาบ้านี้ก็ไหลเอาๆ หรือว่าชาติที่แล้วผมจะเป็นสาวน้อยเจ้าน้ำตากันแน่นะ
“ณัฐไม่เคยเกลียดฟี่เลยสักนิด...” ณัฐบอกแค่นั้นผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แค่ได้รับรู้ว่าเขาไม่เกลียดผมก็เพียงพอ...
แค่ตอนนี้เท่านั้นที่ผมจะพอใจกับคำๆนี้ หากสักวันที่อะไรๆมันชัดเจนขึ้นมามากกว่านี้ก็ค่อยว่ากัน สำหรับผมแล้ว ความสัมพันธ์มันไม่ได้สร้างขึ้นมาได้ด้วยคำพูดเพียงอย่างเดียว ณัฐอาจจะไม่ได้บอกว่าเขาชอบผม และผมก็ไม่ได้บอกว่าผมชอบเขา ที่มันเป็นแบบนั้นเพราะเราต่างก็รู้กันดีอยู่ เรื่องบางเรื่องผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องพูด เพราะทุกสิ่งที่ผมเป็น มันก็บอกความรู้สึกของผมได้หมดแล้ว ผมอยากให้เรื่องราวมันค่อยเป็นค่อยไป ผมจะใช้ความรู้สึกนำทางหัวใจ ตราบใดที่ณัฐรู้สึกดีกับผม ผมว่ามันก็เป็นก้าวแรกที่ดีเกินความคาดหมายแล้ว
ผมย้ำอีกครั้ง...แค่ตอนนี้เท่านั้นนะที่ผมจะพอใจกับความรู้สึกนั้น... เพราะไม่ว่ายังไงระหว่างเราสองคนก็ยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการอีกมากมาย แต่ผมขอแค่ช่วงเวลานี้เท่านั้นที่จะทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและเก็บเกี่ยวความสุขไว้ให้มากที่สุด...
----------------------------- To Be Continue -----------------------------
ปล.1 ค้างคาใช่มั้ยคะ สรุปจะอะไรยังไงก็ยังไม่รู้แน่ชัด แถมยังปิดท้ายเหมือนจะจบอีกต่างหาก เหอะๆ
แต่ลองคิดดูนะคะ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว (ใช่ป่าวหว่า?) ความสัมพันธ์ของคนเรามันก็ต้องค่อยเป็นค่อยไปค่ะ หิหิ
** ใจจริงคือไม่อยากให้สุขจนล้นมากนัก เดี๋ยวผิดคอนเซ็ปท์เรื่องความหดหู่ 555+
ปล.2 มีคนไม่ชอบณัฐเหมือนกันแฮะ :-)