Part II
(**หมายเหตุ ตัวละครในสถานที่นี้เป็นตัวละครสมมตินะคะ)
“ล็อกบ้านเรียบร้อยแล้วนะฟี่” ณัฐหันมาถามผม ผมพยักหน้าแล้วตรวจตราความเรียบร้อยในบ้านเป็นรอบที่สาม ประตูหน้าต่างล็อกเรียบร้อยแล้ว รถมอเตอร์ไซค์ของณัฐจอดคู่กับคันของผมอยู่ตรงที่จอดรถโดยมีโซ่คล้องไว้อีกชั้น ผมคล้องกุญแจประตูบ้านแล้วล็อกอย่างแน่นหนา
เราตกลงกันว่าจะออกเดินทางตอนหกโมงครึ่ง ณัฐขับมอเตอร์ไซค์มาจอดที่บ้านผมตอนตีห้าแล้วโทรปลุกผมอยู่สิบห้านาทีกว่าผมจะได้ยินเสียงโทรศัพท์ พอผมตื่นก็จัดหามื้อเช้าให้ณัฐกินระหว่างรอผมอาบน้ำ พอหกโมงครึ่งเราก็ออกจากบ้านเพื่อไปขึ้น
รถตู้ไปแหลมบาลีฮายเพื่อข้ามไปเกาะล้านอีกที
หลังจากวันนั้นที่เรามีความคิดว่าจะไปเที่ยวกันผมก็มาหาข้อมูลที่พักแล้วจองเสร็จสรรพ ทริปแบบด่วนจี๋ช่างน่าตื่นเต้น เพราะเราสองคนจะได้ลุ้นกันว่าที่พักจะเป็นยังไง ทะเลจะสวยไหม เราสองคนไม่เคยไปเกาะล้านกันทั้งคู่ จึงยิ่งน่าลุ้นเข้าไปใหญ่
พอได้ขึ้นรถตู้เราสองคนก็หลับไปตามระเบียบ หัวผมพิงอยู่ที่ไหล่ของณัฐ ผมหลับยาวไปจนถึงตัวเมืองพัทยาแล้วสะดุ้งตื่น มองไปข้างทางเริ่มเห็นทะเล แสงแดดเจิดจ้าเหมาะแก่การมาเที่ยวทะเล ณัฐหันมามองผมแล้วยิ้ม ทำไมเขาชอบยิ้มนักนะ... ใจผมมันสั่นรู้ไหม...
“ฟี่พิงไหล่ณัฐซะนานเลย เมื่อยหรือเปล่า”
“ไม่เมื่อยหรอก ถ้าเมื่อยจริงๆก็ให้ฟี่นวดให้ ได้มั้ย?” ผมก้มหน้า สถานการณ์ตอนนี้มันเหมือนเกินไปแล้วนะ...มันเหมือนแฟนกันเกินไปแล้ว..
นั่งรถตู้กันอีกพักหนึ่งก็ถึงท่าเรือแหลมบาลีฮาย เราทันขึ้นเรือตอนสิบโมงพอดี เรือที่นำผู้โดยสารไปส่งที่เกาะล้านเป็นเรือลำใหญ่ที่โคลงเคลงไปตามแรงคลื่น ตอนเดินขึ้นไปผมแอบหวาดเสียวนิดๆ แต่มือของณัฐที่กุมมือผมไว้แน่นนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจมากขึ้น เรือใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงเกาะ น้ำทะเลสีฟ้าใสเห็นถึงข้างใต้ ผมเริ่มรู้สึกตื่นเต้นเพราะอยากจะเล่นน้ำ ณัฐเองก็ดูอารมณ์ดีไม่แพ้กัน
พอไปถึงท่าเรือหน้าบ้านก็มีรถของรีสอร์ทมารับ เจ้าของรีสอร์ทเป็นคนขับรถมารับเอง เขาดูยังอายุน้อยแถมยังอัธยาศัยดีจนผมพูดคุยได้อย่างออกรส ระหว่างที่ไปเช็คอินเขาก็แนะนำร้านอาหารและหารถมอเตอร์ไซค์ให้หนึ่งคัน เพราะว่าที่เกาะล้านนักท่องเที่ยวมักจะใช้มอเตอร์ไซค์ในการเดินทางไปหาดต่างๆครับ ผมกับณัฐซื้อของสดมาจากบนชายผั่งเพื่อจะทำอาหารทะเลกินกันเอง แล้วที่รีสอร์ทมีเตาปิ้งย่างไว้ให้บริการด้วย โชคดีชะมัด
“ฟี่ เอาของไปเก็บก่อนเถอะ แล้วค่อยไปเล่นน้ำ” ณัฐบอกผมที่กำลังคุยกับเจ้าของรีสอร์ทอย่างเพลิดเพลิน อ้อ! ผมลืมบอกไป เจ้าของรีสอร์ทชื่อคุณแซนด์ครับ คุณแซนด์มองหน้าผมกับณัฐสลับกันแล้วก็เลยถามขึ้นมา
“คุณสองคนเป็นแฟนกันเหรอครับ?” ผมจุกเลยครับ เขินชิบเป๋ง แต่ก็รีบบอกปัดไปว่าไม่ใช่
“อ้าว ยังงั้นเหรอครับ ถึงว่าถ้าเป็นแฟนกันทำไมจองห้องเตียงคู่ ฮ่าๆ” คุณแซนด์ยิ้มกว้าง ผมเองก็ยิ้มตอบไป ใจหนึ่งผมก็อยากจะบอกครับว่าเป็นแฟนกัน แต่มันไม่ใช่นี่นะ.. เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ผมต้องทำใจรับเรื่องนี้ให้ได้ เพราะณัฐเองก็มักจะแนะนำกับคนอื่นว่าผมเป็นเพื่อน แต่วันนี้ผมไม่อยากได้ยินจากปากณัฐครับ ว่าเราเป็นเพื่อนกัน ผมจึงชิงตอบเสียเอง ผมขอเจ็บเพราะปากผมเองดีกว่าครับ...
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยคุณฟี่หิ้วกระเป๋าไปนะครับ” คุณแซนด์เอื้อมมือมาจะช่วยผมยกกระเป๋า พอจะบอกว่าไม่เป็นไร ก็มีคนที่ไวกว่าผมครับ
“ไม่ต้อง ผมหิ้วให้ ‘เพื่อน’ เองได้ครับ” ณัฐคว้ากระเป๋าไปจากมือผมแล้วใช้อีกมือที่ว่างคว้ามือผมไว้
“ขอตัวก่อนนะครับคุณแซนด์” ณัฐพยักหน้าให้คุณแซนด์แล้วลากผมไปที่ห้อง ผมเองก็เหวอไปกับท่าทีของณัฐจนไม่ทันได้สังเกตสายตาของคุณแซนด์ที่มองตามมา
“โห ห้องน่ารักเป็นบ้า” ผมอุทานด้วยความตื่นเต้น ก็ห้องนี้น่ะเป็นห้องแบบยกพื้นที่ยื่นไปตรงทะเล ห้องที่ใช้ไม้ในการสร้างให้อารมณ์เหมือนอยู่บ้านต่างจังหวัดเลย
“เตียงเดี่ยวสองเตียง?” ผมหันไปตามเสียงที่พูดขึ้นมา ณัฐยืนมองเตียงทั้งสองนิ่ง ผมเดินเข้าไปใกล้แล้วสายตาสงสัยว่าณัฐไม่พอใจอะไรหรือเปล่า
“ไม่มีอะไรหรอก” พอผมถามณัฐก็แค่ส่ายหัวแล้วยิ้มกลับมา ณัฐเดินเอากระเป๋าไปวางไว้ตรงมุมห้อง ผมเองก็รื้อกระเป๋าตัวเองออกมาและหยิบเสื้อผ้าใส่ไม้แขวนเข้าตู้ พอจัดของๆตัวเองเสร็จผมก็หันไปหาณัฐ
“ให้ฟี่จัดของให้มั้ย”
“ไม่เป็นไร”
“เอาเถอะ ยังไงฟี่ก็ทำของตัวเองเสร็จแล้ว” ผมลากกระเป๋าณัฐมาแล้วลงมือเอาเสื้อผ้ามาแขวน เสื้อผ้ามีกลิ่นของณัฐทุกตัว ผมเหลือบไปเห็นณัฐกำลังตั้งใจมองวิวนอกหน้าต่าง ผมเลย...
แอบดมกลิ่นเสื้อของณัฐครับ...มันหอมเป็นบ้า...ฮ้า...กลิ่นของณัฐ
“ทำอะไรน่ะฟี่..” เสียงทุ้มนุ้มข้างหุทำผมสะดุ้งเฮือก ผมทำหน้าไม่ถูกเลยครับตอนนี้ มันเหมือนเด็กแอบกินขนมแล้วโดนคุณครูจับได้ ผมไม่รู้ว่าผมจะอายดี จะตกใจดี หรือจะกังวลดี
“ณัฐถามว่าฟี่ทำอะไรครับ” โฮ....... คราวนี้ไอ้ฟี่ตายแน่ครับ ณัฐจะทำหน้ายังไง ณัฐต้องโกรธ ณัฐต้องรังเกียจผมแน่เลย
“อ๋อ.. เอ่อ...คือกลิ่นมันหอมดี ฟี่เลยสงสัยว่าณัฐใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มอะไรน่ะ” ผมตอบโดยไม่หันไปมองณัฐ
“เหรอ... ถ้าอยากรู้ก็ถามณัฐก็ได้นี่ จะไปดมทำไม”
“....” ผมอึ้งเลย พูดไม่ออก จะให้เหตุผลว่าอะไรดีวะเนี่ย จะบอกว่าผมจมูกเทพ แค่ดมก็แยกแยะยี่ห้อได้งั้นเหรอ คนนะ ไม่ใช่หมา หรือจะบอกไปตามตรงว่าผมอยากดมกลิ่นณัฐ? สงสัยแบบนั้นคงได้กลับบ้านแน่
“ฟี่จะไปดมเสื้อทำไม ณัฐอยู่นี่ทั้งคน... มาดมที่ตัวณัฐไม่ดีกว่าเหรอ” !?! หา??? อะไรนะ ผมฟังผิดเหรอ?
“!?!” พอผมจะหันไปถามณัฐก็สะดุ้งเฮือกเพราะณัฐอยู่ใกล้ผมมากทีเดียว ใกล้ขนาดที่ว่าพอผมหันไปปากเราสองคนก็เกือบแตะกันน่ะครับ
“มานี่มา” ณัฐพูดแค่นั้นแล้วตัวผมก็ลอยเลยครับ ลอยหวือขึ้นมาเพราะถูกอุ้ม ใช่เลย ผมถูกอุ้มเหมือนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมเหลือบมองแขนของณัฐที่มีกล้ามขึ้นเพราะใช้แรง คางของณัฐที่มีไรหนวดจางๆ ณัฐดูสมเป็นผู้ชายขนาดนี้เลย มันจะดีแค่ไหนกันถ้าเขากอดผมไว้ด้วยมือที่แข็งแรงทั้งสองข้างนั้น...
“ณัฐ ทำอะไรน่ะ!” แต่ผมก็ต้องหยุดความคิดอกุศลไว้แค่นั้นเมื่อณัฐโยนผมลงบนฟูก ต้องใช้คำว่าฟูกครับ เพราะว่าผมเลือกจองห้องที่ไม่มีเตียง ผมไม่ชอบนอนเตียงเท่าไรเพราะผมนอนดิ้น กลัวว่าจะตกเตียงเอาน่ะครับ
“อยากกอด”
“กอดได้ไหม”
สงสัยว่าณัฐยังกลัวผมอึ้งไม่พอ พ่อเจ้าประคุณเลยถามซ้ำอีกรอบ รูปการณ์ตอนนี้มันล่อแหลมมากครับ เราสองคนอยู่บนฟูกนุ่มนิ่ม ผมอยู่ด้านล่าง มีณัฐคล่อมอยู่ด้านบน เพื่อนกันเขาไม่ใกล้ชิดกันขนาดนี้ ใช่ไหมครับ!!!
“เอ่อ.. ถ้าอยากกอดก็บอกดีๆ ไม่เป็นต้องลากมาบนที่นอนแบบนี้เลย” พระเจ้า ผมพูดอะไรออกไปวะครับ!
“ณัฐอยากนอนกอดนี่ ไม่ได้เหรอ” แล้วณัฐก็ทำหน้าเศร้า ผมเองกำลังสงสัยว่าตัวเองจะโดนเด็กใช้ใบหน้าหล่อๆมาล่อลวงให้ติดกับหรือเปล่า ไอ้ใจของผมมันก็ง่ายครับ หวั่นไหวอ่อนยวบไปหมดแล้ว
“ได้สิ...” พอผมบอก ณัฐก็ล้มตัวลงมานอนข้างๆแล้วกอดผมไว้แน่น ผมรับรู้ว่าจมูกของณัฐสูดดมกลิ่นจากตัวผม แขนแข็งแรงของณัฐกอดรัดผมแน่นขึ้นๆ จนสุดท้ายผมก็ยกแขนโอบณัฐไปพร้อมกัน...ผมใจง่ายว่ะ... แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าใครก็คงอยากทำตามที่ใจเรียกร้อง...
“ฟี่...” ณัฐถามผมเสียงเบา เรายังคงกอดกันอยู่อย่างนั้น หน้าผมซุกอยู่กับอกของเขา ผมจึงต้องผงกหัวขานรับแนบอกณัฐ
“หืม?”
“อย่าไปคุยกับไอ้เจ้าของรีสอร์ทมากนักนะ”
“หา? ทำไมล่ะ เขาก็ออกจะดูเฟรนด์ลี่” คุณแซนด์ใจดีนะครับ อุตส่าห์อาสาว่าจะให้เด็กที่รีสอร์ทปิ้งพวกอาหารทะเลที่ผมซื้อมาให้ระหว่างที่ผมไปเล่นน้ำ พอผมกลับมาจะได้กินพอดี
“ณัฐไม่ชอบที่มันมองฟี่” ผมขมวดคิ้ว ณัฐต้องการจะสื่ออะไรของณัฐ?
“อ้าว ก็คุยกันมันก็ต้องมองหน้าสิ ไม่มองหน้าจะให้มองก้นเหรอ” ผมพูดกลั้วหัวเราะ บางทีณัฐก็ทำอะไรพิลึกๆดีนะครับ
“ก็ลองให้มันมองก้นฟี่ดูสิ!” ง่า...ผมพลาดครับ ณัฐไม่ขำตาม แถมยังขยับตัวมาคล่อมผมเหมือนตอนแรกแล้วแถมออพชั่นเสริมโดยการล็อกแขนสองข้างของผมไว้แน่น หน้าหล่อๆขมวดคิ้วทำหน้าบึ้ง
“ณัฐเป็นอะไรน่ะ ไม่พอใจอะไรก็บอกสิ?” ผมเริ่มสับสนว่าณัฐเป็นอะไรกันแน่ ร้อยวันพันปีณัฐไม่เคย...เอ่อ...งี่เง่าแบบนี้
“ณัฐไม่อยากให้คนอื่นมองฟี่นี่ ไม่อยากให้คนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะกับฟี่”
“ณัฐต้องการจะสื่ออะไร ฟี่ไม่เข้าใจ” ผมถามณัฐเสียงสั่น ผมเริ่มจับต้นชนปลายไม่ถูก ณัฐเองก็ขมวดคิ้วแล้วทำหน้าเศร้า
“ณัฐหวงของณัฐนี่นา...ไม่อยากให้คนอื่นมาเจ๊าะแจ๊ะด้วย..”
“หวง?” ผมทวนคำถามอีกรอบ หวงที่มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า ‘Jealous’ งั้นเหรอครับ...
“ใช่”
“ณัฐหวงฟี่ทำไม...” เสียงผมมันสั่นแล้วครับ ผมกำลังจะร้องไห้... ณัฐทำให้หัวใจของผมเตลิดไปแบบกู่ไม่กลับแล้ว ณัฐแกล้งผมงั้นเหรอ? ต้องใช่แน่ๆ เพราะณัฐยิ่งชอบแกล้งผมอยู่ คงเห็นผมทำตัวไม่ถูกแล้วสนุกสินะ...
“...” นั่นไง ณัฐไม่ตอบครับ ณัฐเงียบ น้ำตาผมก็ไหล ณัฐแกล้งผม...
“ฟี่ ไม่เอานะ...ไม่ร้อง อย่าร้องไห้...” ณัฐใช้นิ้วป้ายน้ำตาให้ผม แต่ความเศร้าของผมมันก็มากจนผมกลั้นไม่ไหว มันเหมือนว่าผมกำลังขึ้นสวรรค์ กำลังจะบินโผล่พ้นจากเมฆขึ้นไปอยู่แล้วก็ถูกถีบกลับลงมา ณัฐเกลียดผมมากหรือไงนะถึงต้องแกล้งให้ผมดีใจแบบนี้...
“อ๊ะ...อย่า...” ผมดันหน้าณัฐออก จากที่ใช้นิ้วเกลี่ยน้ำตาบนแก้มผม ณัฐก็เปลี่ยนมาจูบเบาๆ จูบที่ใช้ริมฝีปากแตะอย่างอ่อนโยน ถ้าเป็นปรกติผมคงจะหวั่นไหวไปกับสัมผัสนี้ที่ณัฐกำลังทำ แต่ตอนนี้ผมเสียใจ ผมถูกปั่นหัว ณัฐคงเห็นผมเป็นของเล่น ผมเบี่ยงตัวให้ออกมาจากอ้อมแขนของณัฐแต่ก็สู้แรงเขาไม่ได้ ยิ่งผมขืนตัวออกมาเท่าไร เขาก็ยิ่งรัดผมไว้แน่น
“ฟี่.. หยุดร้องเถอะนะ ณัฐขอโทษ” ผมส่ายหัว...ณัฐแกล้งผมเองแล้วจะมาขอโทษทำไมกัน...
“ณัฐขอโทษนะที่หวงฟี่... ขอโทษที่ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ...”
อะ
ไร
นะ
.
.
.
ผมฟังไม่ผิด? ณัฐไม่ได้ขอโทษที่แกล้งผม ณัฐขอโทษที่หวงผม เราเข้าใจกันคนละเรื่องงั้นเหรอ?
ณัฐไม่ได้แกล้งผม ผมแค่คิดไปเอง ที่จริงณัฐหวงผม ไม่อยากให้ผมคุยกับคุณแซนด์?
จะเป็นไรไหมถ้าผมจะขอบินขึ้นสวรรค์อีกรอบ...
----------------------------- To Be Continue -----------------------------ปล. ยิ่งเขียนยิ่งมันส์ 555+