‡ ชอบก็ ‘JEEB’ ‡
- จีบที่1 -
ฝันดี
ผมขอนิยามความรู้สึกอุ่นๆ ในอกที่อยู่ในห้วงแห่งความฝันนี่ว่า “ฝันดี” โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้สึกว่าความฝันนั้นเป็นความทรงจำพิเศษที่ติดอยู่ในห้วงความทรงจำมาตลอด ใครกันเล่าอยากจะตื่นจากความฝันที่ว่า และฝันดีของผมคือการที่เห็นภาพความทรงจำในวันวาน
ภาพเด็กน้อยร่างเล็กแกรนคนหนึ่งกำลังนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นมือทั้งสองยกขึ้นปาดน้ำตาที่อาบเต็มร่องแก้ม สีหน้าเหยเกเพราะรู้สึกเจ็บแผลตรงหัวเข่าที่ตัวเองวิ่งหกล้มจนหัวเข่าครูดไปกับพื้นถนน
แน่นอนว่าบาดแผลเลือดไหลซิบนั่นทำให้เด็กน้อยขวัญเสียจนร้องไห้ จนกระทั่งร่างของเด็กอีกคนเดินมาหยุดยืนเบื้องหน้า ร่างของเด็กหนุ่มวัยกำลังโตนั่นสูงพอจะยืนบังแดดให้กับคนเสียขวัญ ผู้มาใหม่ทำหน้ายุ่งยากใจกอดอกเลียนแบบกิริยาของผู้ใหญ่ก่อนถอนหายใจออกมา
“หยุดร้อง”
มือที่เพียรปาดน้ำตาให้ตัวเองของร่างเล็กแกรนหยุดชะงักก่อนจะเงยหน้าหยีตาเมื่อแสงแดดส่วนหนึ่งสาดมากระทบดวงตา คนตัวโตกว่าจึงขยับเบี่ยงตัวไปอีกทางเพื่อบังแสงแดดนั่น
“เป็นผู้ชายอะไรร้องไห้”
“ก็หนูเจ็บ”
เด็กน้อยขี้แงเบะปากทันที
“ตัวขนาดนี้ไม่หนูแล้ว”
เด็กที่ยืนอยู่โน้มตัวลงมาจนใกล้
“แบบนี้เรียกหมู”
“ฮือออ”
พูดจบคนถูกแหย่ก็ร้องไห้โฮจนอีกฝ่ายเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าไม่ถูก สุดท้ายคนที่โตกว่าจึงทรุดตัวนั่งข้างกับเด็กขี้แงนั่น
“ร้อนตูดชะมัด”
คนตัวโตบ่นพึมพำก่อนจะล้วงเข้าไปในกางเกงเนื้อดีแล้วควักเอาบางอย่างมายื่นให้คนที่ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“อ่ะ”
เด็กขี้แงทำหน้างงไม่เข้าใจ
“ให้”
คนตัวโตกว่าทำหน้าหงุดหงิด
“พี่ให้หนูเหรอ”
“เออ”
“รับไปสิ มานี่เดี๋ยวแกะให้เลย กินแล้วต้องหยุดร้องไห้นะ”
คนที่ถูกล่อด้วยของกินพยักหน้าหงึกหงัก
“หยีน้ำมูกไหล”
ฝ่ายที่แกะซองห่อลูกอมให้ทำหน้าขยะแขยงแต่ถึงอย่างนั้นก็ยื่นชายเสื้อตัวเองให้อีกฝ่ายเช็ดน้ำมูก
“อร่อยฮะ”
หลังจากถูกป้อนด้วยลูกอมรสมินท์ สีหน้าคนงอแงก็ดีขึ้น ดวงตาคู่นั้นมองพี่ชายแปลกหน้าที่ใจดีกับตัวเองอย่างชอบใจ
“ย้ายที่นั่งเหอะ นั่งกลางแดดมันร้อน”
แต่อีกฝ่ายดูเหมือนไม่ได้ให้ความสนใจ ผุดลุกขึ้นฉุดแขนร่างแกรนให้ลุกขึ้นเดิน
“พี่ชายลูกอมอร่อยจัง มีอีกมั้ยฮะ”
ฝ่ายนั้นถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะจูงแขนอีกฝ่ายให้เดินเคียงข้างกัน
“บ้านอยู่ไหนเดี๋ยวไปส่ง”
“ตรงซอยข้างหน้าฮะ”
“เดี๋ยวถึงบ้านจะให้ลูกอมที่เหลือ”
ดวงตาคู่เล็กเป็นประกายทันที จนกระทั่งทั้งคู่เดินมาถึงรั้วบ้านไม้สีฟ้าตัดกับตัวบ้านสีขาวสะอาดตา
“นี่บ้านหนู”
“อืม”
คนตัวโตกว่ายื่นลูกอมรสมินท์ที่เหลือให้อีกฝ่าย
“นี่เรียกว่าลูกอมมายมินท์ แต่รสชาติเหมือนยาสีฟันเนี่ยนะอร่อย” คนให้บอกก่อนจะยักไหล่ “ถ้าชอบก็เอาไปให้หมดเลย อันนี้ของน้องสาวมันติดกระเป๋ามา”
“ขอบคุณฮะพี่ชายใจดี”
“รีบเข้าไปได้ทำแผลได้แล้ว เดี๋ยวเลือดก็หมดตัวซะก่อนหรอก”
“ฮะ”
คนได้ของกินพยักหน้ารับอย่างแข็งขันก่อนจะรีบวิ่งเข้าบ้าน แต่จังหวะนั้นนึกอะไรออกจึงหันไปตะโกนถามแผ่นหลังที่กำลังจะผละออกไป
“พี่ชายใจดีชื่ออะไรฮะ”
ฝ่ายนั้นชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะกดยิ้มมุมปากก่อนจะตอบ
“ยักษ์”
“คนอะไรชื่อยักษ์”
คนน้อยเกาหัวแกรกๆ มองเจ้าของชื่อประหลาดอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ชายไม่ได้มีเขี้ยวเหมือนยักษ์ทศกัณฐ์สักหน่อย”
เจ้าของชื่อยักไหล่อีกครั้งก่อนจะผละออกไป เด็กน้อยมองตามแผ่นหลังนั่นไปจนลับตาก่อนจะทำหน้าเสียดาย
“ถามแต่ชื่อพี่ยักษ์ ยังไม่ได้บอกชื่อตัวเองเลย”
เด็กน้อยพึมพำเหม่อไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้าแล้วถอนหายใจออกมา
“ผมชื่อเปียวนะฮะ”
“...”
“เปียว ปัณณกิตชอบกินลูกอมมายมิ้นท์ของพี่ยักษ์มากเลยฮะ”
.
.
.
ผมสะดุ้งตื่นตอนที่แสงแดดยามเช้าซึ่งลอดผ่านม่านหน้าต่างที่ไม่ได้รูดปิดเมื่อคืนเข้ามา ผมลูบหน้าตัวเองแรงๆ ก่อนจะผ่อนลมหายใจเมื่อรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นรัว
ฝันถึงเรื่องตอนเด็กอีกแล้ว ผมยิ้มน้อยๆ เหลือบตามองไปยังโต๊ะที่วางโคมไฟข้างเตียงซึ่งมีลูกอมยี่ห้อหนึ่งวางอยู่ตรงนั้น
ลูกอมมายมิ้นท์
“อยู่ๆ ทำไมถึงฝันเรื่องนี้วะ”
“...”
“ป่านนี้ไอ้พี่ยักษ์มีลูก มีเมียไปแล้วมั้ง”
คนที่หวนนึกถึงอดีตพูดขำๆ จำได้ว่าตอนเด็กๆ ย้ายตามพ่อไปอยู่เชียงใหม่ช่วงหนึ่ง ช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอมเลยบังเอิญได้รู้จักไอ้พี่ยักษ์ซึ่งมาเยี่ยมปู่ย่ากับครอบครัวที่บ้านอยู่ระแวกเดียวกัน ตอนเด็กนั้นมาก ความทรงจำถึงได้เลือนๆ ลางๆ แต่ที่จำไม่ลืมก็เรื่องที่ผมร้องไห้งอแงหนักตอนที่พ่อกับแม่บอกว่าจะย้ายบ้าน เพราะมีคำสั่งให้พ่อไปรับตำแหน่งที่จังหวัดอื่น
ผมจำได้ดีว่าร้องไห้เสียใจมากเพราะจะไม่ได้เจอไอ้พี่ยักษ์อีก
เฮ้อ กี่ปีแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน
คิดถึงตอนนั้นชะมัด
ผมยักไหล่ก่อนจะปัดความทรงจำวัยเยาว์ทิ้งไปแล้วผุดลุกขึ้นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ดังขึ้น แล้วเดินดิ่งไปคว้าเอาผ้าเช็ดตัวที่ตากไว้ตรงระเบียงหอพัก จังหวะที่เลื่อนประตูกระจกตรงระเบียงออกกลิ่นฉุนกึกก็ลอยมาประทะจมูกทันที
ไม่ต้องเดาให้ยาก
ผมหันขวับไปตามกลิ่นนั้นทันเห็นเพื่อนข้างห้องที่ระเบียงติดกันเหลือบตามองมาทางนี้พอดี ก่อนที่มันจะดับบุหรี่ในมือด้วยการทิ่มไปกับกระถางทรายแถวนั้น
“สูดมะเร็งแต่เช้าเลยนะ”
มันโคลงศีรษะก่อนจะทำเสียงจิ๊ปาก
“เรื่องอะไรมาแช่งกูไอ้เปียว”
ไอ้เวรที่เป็นทั้งเพื่อนข้างห้องและเพื่อนสนิทของผมยักไหล่ทันที พูดตรงๆ นะ ผมว่ามันเป็นผู้ชายที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อย แต่คำพูดที่พ่นออกจากปากมันนี่ทำให้ความน่ารักของมันหายวับเลย
“เพลาๆ บ้างเหอะอ๋อง”
“...”
“กูเห็นมึงสูบบ่อยมากนะช่วงนี้ มีเรื่องเครียดอะไรนักหนาวะ”
มันยักไหล่อีกครั้ง
“อีกอย่างนะเว้ยมันเหม็น”
ไอ้อ๋องชะงักไปแล้วถอนหายใจแรงๆ เพราะมันรู้ดีว่าผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ถ้าดมมากๆ เข้าก็จะแพ้ผื่นขึ้นในบางครั้ง
“โทษทีว่ะ”
“...”
“กูจะพยายามเพลาๆ กูลืมไปว่ามึงแพ้กลิ่นมัน”
มันว่าพร้อมกับคว้าผ้าเช็ดตัวพาดไหล่เดินเข้าห้องตัวเองไป
“เลิกได้ก็ดี”
ผมตะโกนตามหลังมันไปแล้วส่ายหัวเพราะพอจะรู้มาบ้างว่าเพื่อนสนิทมีปัญหาเรื่องที่บ้านแต่มันไม่ค่อยปริปากเล่าอะไรให้ฟังหรอก คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วคว้าเอาผ้าเช็ดตัวไปอาบน้ำบ้าง ทุกเช้าๆ ผมจะอาศัยซ้อมซูซูกิสีดำของไอ้อ๋องไปเรียนทุกวัน หลังจากสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองในชุดนิสิตแล้วผมก็รีบคว้ากระเป๋าแล้วปิดประตูห้องทันทีเมื่อได้ยินเสียงห้องข้างๆ เปิดประตู
ไอ้อ๋องโยนหมวกกันน็อคให้ผมตอนที่เปิดประตูออกไปเจอมัน
“สายแล้ว เมื่อกี้ไอ้ห่าโต้งไลน์มาว่ามันถึงคณะแล้ว”
มันทำหน้าแปลกใจ
“รอคณะเราเหรอวะ”
“อือ”
ผมเองก็ประหลาดใจไม่แพ้มันหรอก เพราะ ‘ไอ้โต้ง’ เพื่อนสนิทอีกคนมันเรียนคนละคณะกับพวกผม ซึ่งคณะของมันอยู่ตั้งฝั่งใหญ่โน่น แต่ดันถ่อมากินข้าวที่คณะผมซึ่งอีกฝั่งได้เกือบทุกวัน
“มันเรียนวิศวะฯ ไม่ใช่เหรอ ทำไมถ่อมากินซะไกล”
ผมโคลงศีรษะไปมา
“สงสัยมันติดใจไก่ทอดป้าสมศรีรึเปล่าวะ”
ป้าสมศรีที่ว่าเป็นเจ้าของร้านขายไก่ทอดขึ้นชื่อที่คณะของผม ทั้งผมและไอ้อ๋องต่างพากันยักไหล่เพราะไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เดือนปีหนึ่งคณะวิศวะฯ หอบสังขารมากินข้าวเช้าที่คณะผมบ่อยๆ
- J E E B -
โรงอาหารที่คณะผมยามเช้าคนเยอะจนแทบไม่มีที่นั่งเนื่องจากเป็นโรงอาหารรวมของสามคณะซึ่งไปประกอบไปด้วยคณะจิตวิทยา คณะสหเวชฯ และคณะผม (วิทยาศาสตร์การกีฬา) บรรยากาศหนาตาเต็มไปด้วยผู้คนจนมองไม่เห็นโต๊ะที่นั่งว่างเลย ผมหันซ้ายหันขวาอยู่พักหนึ่งก่อนที่สายตาจะเหลือบไปปะทะกับร่างสูงของเพื่อนสนิทที่นั่งเด่นเป็นสง่าอยู่โต๊ะๆ หนึ่ง ผมคงมองหามันไม่ง่ายขนาดนี้หากไม่ใช่เพราะหมอนั่นตัวสูงตั้งร้อยแปดสิบกว่าขนาดเวลามันนั่งยังเห็นเด่นชัด ซ้ำโต๊ะที่มันนั่งนั่นมีแต่สาวๆ แวะเวียนมาทักและขอถ่ายรูปกันไม่ขาดสาย
“หล่อนักนะไอ้ห่าโต้ง”
ผมทักมันพอดีกับที่โอ้โต้งถ่ายเซฟฟี่กับสาวๆ กลุ่มหนึ่งเสร็จ ไม่แปลกหรอกหากไอ้เวรนี่จะเป็นคนดังที่ใครๆ ต่างก็รู้จักเพราะมันเป็นเดือนคณะวิศวะฯ ซ้ำยังเป็นหนึ่งใน ‘คทากร’ ที่จะทำหน้าที่ถือคทาเดินนำขบวนพาเหรดในงานฟุตบอลประเพณีระหว่างมหาลัยผมและมหาวิทยาลัยแถวรังสิตที่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้
แน่นอนว่าหนังหน้าอย่างมันโผล่มาแถวคณะผมย่อมเป็นที่สนใจของสาวๆ ไม่มากก็น้อย
“พวกมึงมาช้า กูจะเดินไปสั่งข้าวจานที่สองแล้ว”
ผมเหลือบตามองข้าวในจานมันที่พร่องไปกว่าครึ่งแล้ว
“ระวังพุงมึงออกแล้วสาวไม่กรี๊ดนะ”
ไอ้อ๋องเอ่ยแซว
“ให้กินกูเถอะ ซ้อมคทากรแต่ละวันกูเหนื่อยจะตาย”
ผมพยักหน้ารับหงึกหงักเพราะได้ยินมันบ่นเรื่องซ้อมคทากรในช่วงเย็นของแต่ละวันหนักหน่วงพอสมควร
“เหนื่อยขนาดนี้ก็ยังถ่อมากูข้าวที่คณะกูได้เนอะ”
ผมหันไปพยักพเยิดกับไอ้อ๋อง
“ติดใจอะไรกับข้าวที่คณะกูนักหนาว่า วิศวะฯ กับวิทย์กีฬาห่างกันคนละโยชน์เลยนะ”
คนถูกถามไม่ตอบในทันทีมันแค่ยักไหล่ ท่าทางแบบนั้นทำให้หรี่ตามองด้วยความสงสัยแต่ยังไม่ทันจะได้คาดคั้นเอาคำตอบจากเพื่อนสนิทหรอก พอดีร่างคุ้นตาของลุงรหัสผมเดินถือจานข้าวมาแต่ไกล แต่เพราะตอนเช้าที่คับคั่งไปด้วยประชากรนิสิตสามคณะ โต๊ะว่างจึงหาได้ยากจนพี่แกทำหน้าเซ็งๆ
“พี่อุ้มทางนี้”
คนถูกเรียกผินใบหน้ามาทางนี้ก่อนจะขยับรอยยิ้ม คนในเสื้อกีฬาปกสีส้มสวมกางเกงบอล ไหล่ข้างหนึ่งสะพายกระเป๋ากีฬาเลยเดินตรงมาทางผม จังหวะที่ผมขยับที่นั่งเพื่อให้เพิ่มพื้นที่ให้ลุงรหัส แวบหนึ่งผมเห็นไอ้ห่าโต้งขยับรอยยิ้มที่มุมปาก
“โรงอาหารตอนเช้าคนโคตรเยอะ”
พี่แกพูดขึ้นหลังจากรับไหว้พวกผมก่อนจะทำหน้าเหม็นเบื่อเมื่อเห็นไอ้โต้งซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยักคิ้วให้
“โรงอาหารคณะมึงไม่มีข้าวกินเหรอ”
ลุงรหัสผมพูดขึ้น ขณะที่ไอ้เพื่อนเวรแค่ยักไหล่ ผมมองภาพตรงหน้าก่อนจะส่ายหัวเพราะมันเป็นภาพที่ชินตาซะแล้วเวลาที่พี่แกเห็นไอ้เดือนวิศวะฯ นี่โผล่หัวมาที่คณะผมทีไร สองคนนี่ไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่ ถ้าให้พูดตรงๆ คือมีแต่สายรหัสปีสามของผมฝ่ายเดียวที่ไม่ชอบขี้หน้าไอ้โต้ง เพราะไอ้เวรนั่นเคยแซวส่วนสูงของพี่อุ้ม แน่นอนว่ามันทำให้ลุงรหัสผมโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ขณะที่คนชอบแหย่อย่างเพื่อนผมดันชอบใจซะอย่างนั้น
“มีพี่ แต่คณะผมกะเพราเนื้อไม่อร่อย”
ผมเหลือบตามองจานข้าวผัดกะเพราของพี่อุ้มทันที ก่อนคลึงขมับเพราะเห็นแววต่อล้อต่อเถียงกันระหว่างคนคู่นี้
“ทำไมของคณะมึงเป็นเนื้อหมาเหรอ”
ผมกับไอ้อ๋องหัวเราะทันที
“เปล่าพี่”
ไอ้โต้งยิ้มตาพราว มันจ้องใบหน้าขาวของพี่อุ้มก่อนกดยิ้มมุมปาก
“ผมว่าเนื้อคณะพี่น่าจะอร่อยที่สุด”
เดี๋ยวนะ! ที่มึงพูดถึงนี่เนื้อสัตว์หรือเนื้อคน ผมหรี่ตามองเพื่อนสนิทที่จ้องใบหน้าลุงรหัสผมไม่วางตา
สายตามันมองพี่อุ้มเหมือน...กำลังจ้องอาหาร
“ไอ้สัตว์”
พูดไม่พอพี่อุ้มแม่งยังชูนิ้วกลางให้อีกฝ่ายเป็นของแถม ขณะที่ไอ้เพื่อนเวรดันหัวเราะชอบใจจนไอ้อ๋องส่ายหัวแล้วผละออกไปซื้อข้าว
“เพื่อนมึงแม่งประสาทแดกว่ะเปียว”
พี่อุ้มส่ายหัวก่อนจะหันมาคุยกับผม
“มันมีได้แค่หน้าตาเท่านั้นแหล่ะพี่”
ผมเหน็บเพื่อนสนิทซึ่งๆ หน้าจนมันเบะปากให้ ระหว่างนั้นมีสาวๆ กลุ่มหนึ่งเดินมาขอไอ้โต้งถ่ายรูปผมเลยทันได้เห็นพี่อุ้มเบะปากใส่แผ่นหลังมันไป
“หมั่นไส้เพื่อนผมขนาดนั้นเลย”
“ถามจริงนะ”
พีรหัสปีสามเจ้าของส่วนสูงตามาตรฐานชายไทยพอดิบพอดีหันมาถามผม
“มึงคบไอ้เวรนี่ไปได้ยังวะ กวนตีนฉิบหาย”
ผมยิ้มน้อยๆ
“จริงๆ มันนิสัยดีนะพี่ แต่มันชอบหยอกชอบแซวเท่านั้นเอง”
พี่แกส่ายหัวแรงๆ
“ปากแบบนี้อ้อนตีนน่ะสิ” พี่แกเบะปาก “เออว่าแต่เย็นนี้อย่าลืมที่นัดนะ”
ผมพยักหน้าหงึกหงักเพราะเย็นนี้สายรหัสผมนัดเลี้ยงกันที่ร้านอาหารกึ่งผับใกล้ๆ มหาวิทยาลัยนี่แหละ เพราะตอนเปิดสายวันนั้นสายรหัสปีสี่ดันติดธุระมาไม่ได้ ฉะนั้นวันนี้พี่แกเลยจะเลี้ยงสายให้พวกผมอีกที
“มายมิ้นท์อีกแล้วเหรอวะ”
พี่อุ้มบุ้ยปากไปที่ลูกอมในมือที่ผมล้วงออกมาจากกระเป๋าเป้
“ของโปรดผมนี่พี่”
หยิบเข้าปากแล้วเคี้ยวรสมิ้นท์ที่สัมผัสได้ทำให้รู้สึกตื่นตัวและเย็นสบาย ที่สำคัญกินทีไรนึกถึงคนให้ครั้งวัยเยาว์ทุกที
“ชอบอะไรขนาดนั้นวะ”
“กินแล้วนึกถึงตอนเด็กๆ พี่”
คิดถึงคนให้ที่ใจดีพาเด็กขี้แงไปส่งถึงบ้าน และหลังจากนั้นยังอุตส่าห์แวะเวียนมาเล่นด้วย และทุกครั้งที่มามักจะมีลูกอมมายมิ้นท์ติดมือมาฝาก ไอ้พี่ยักษ์คงไม่รู้ว่านอกจากลูกอมรสนี้แล้วผลข้างเคียงจากความชอบนั่นทำให้ผมคลั่งไคล้ของกินแทบจะทุกชนิดที่เกี่ยวกับมิ้นท์ เรียกว่าเป็นสายมิ้นท์เข้าเส้นเลือดเลยก็ว่าได้
“ชอบเหมือนน้องสาวเพื่อนกู”
ผมทำหน้าสนใจ
“เพื่อนกูนะต้องซื้อของกินเกี่ยวกับมิ้นท์ไปให้น้องสาวมันประจำ กูว่าน้องสาวเพื่อนกูคงคลั่งมิ้นท์พอๆ กับมึงเนี่ยแหละ”
“...”
“แต่มึงรู้มั้ยว่าเพื่อนกูแม่งเกลียดมิ้นท์ฉิบหาย”
จังหวะที่กำลังนิ่งฟังพี่อุ้มเล่าอย่างตั้งใจผมรู้สึกผมว่าบรรยากาศในโรงอาหารพลันเงียบสงบไปชั่วพริบตา เสียงเซ็งแซ่จอแจหายไปราวกับหยุดเวลา ความสงสัยนั่นทำให้ผมกวาดสายตามองไปรอบโรงอาหารทันที
“พูดถึงไม่ได้เลยนะไอ้ห่า”
พี่อุ้มส่ายหัว
“โผล่หัวมาทำให้คณะกูวุ่นวายจริงไอ้ห่าเซียน”
หือ?
ผมมุ่นหัวคิ้วทันทีเมื่อได้ยินชื่อใครสักคนหลุดออกมาจากปากพี่แก แล้วความสงสัยของผมก็ได้คำตอบเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อช๊อปคณะวิศวะฯ สองคนเดินเด่นปะปนกับคนอื่นมาแต่ไกล
หนึ่งในสองเป็นคือคนดังของภาคยานยนต์ที่ใครๆ ก็รู้จัก
“ไอ้เซียน ไอ้เดี่ยวทางนี้”
พี่อุ้มโบกมือเรียกสองคนนั่น แน่สิ ก็สองคนนั้นคือเพื่อนสนิทของลุงรหัสผม
“โต๊ะโน้นว่างพอดี เดี๋ยวกูย้ายไปนั่งโน้นนะ ตรงนี้คงนั่งไม่พอตัวควายๆ ของพวกมันคงเบียดเบียนที่นั่งของพวกมึงน่าดู”
ผมพยักหน้าหงึกหงักเอาจริงๆ ก็เคยเห็นเพื่อนสองคนนั้นของพี่อุ้มแวะมาที่คณะบ่อยๆ วันนี้คงแวะมากินข้าวเหมือนที่เห็นบ่อยๆ มั้ง ผมสรุปในใจก่อนจะผุดลุกขึ้นผละออกไปต่อแถวซื้อข้าว
“พี่เซียน”
สองสาวข้างหน้าที่ผมกำลังต่ออยู่ซุบซิบกันเสียงไม่เบาก่อนจะชี้ไม้ชี้มือไปที่ยังคนในหัวข้อสนทนา
“พี่เซียนจริงๆ ด้วย”
“ตัวจริงหล่อมาก”
“จริงแก ขนาดหน้าไม่ค่อยยิ้มยังดูดีขนาดนั้น”
ผมโคลงศีรษะแล้วอดคิดตามสองสาวข้างหน้านี้ไม่ได้ แวบหนึ่งผมเหลือบตามองไปยังคนในชุดเสื้อช๊อปที่ทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะเดียวกับพี่อุ้ม ขนาดเห็นไกลๆ ยังรู้สึกว่าฝ่ายนั้นดูดีไม่น้อย
“แต่เสียดายมาก พี่เซียนมีเจ้าของแล้ว”
สองสาวตรงหน้าบ่นขึ้นอีกครั้ง
“จริงเหรอ”
“ก็ไอ้เพจนั่นไง”
ผมกดยิ้มมุมปากเพราะก่อนหน้านี้ตัวเองก็ไปกดไลท์เพจดังกล่าวมาแล้ว
ตึ้ง!
จังหวะนั้นเสียงแจ้งเตือนเพจซึ่งผมกดติดตามเอาไว้ก็เด้งขึ้น ผมจึงไม่รอช้ากดเข้าไปอ่านโพสซึ่งลงรูปชายหญิงยืนเคียงกันพร้อมข้อความ
เพจทวงคืนเหมียวมาริสาสมบัติสาธารณะจากเซียนศกัณฐ์
ช่วงนี้คนเลิกกันเยอะนะ ไม่สนใจแยกกันบ้างหรือครับ
Comment
รักน้องเหมียวคนเดียว เหมือนน้องเหมียวถ่ายกับพ่อว่ะ
Sitt.Sita โฉมงามกับอสูรชัดๆ
โอชิน้องเหมียวคนเดียวในใจ ทุกคนอย่าตกใจไป จริงๆ น้องเหมียวกับผมคบกันสักพักแล้ว เซียนมันก็แค่ตัวหลอก
Arm❤Meow หยี! น้องเหมียวไปล้างมือให้สะอาดนะครับ
FCพี่เซียน หล่อเยี่ยวเล็ด
แมนวังหินซิ่งเบาะปลิว พลาดจากเซียนยังมีเพี้ยนรออยู่นะครับ
Onlyพี่เซียนวิศวะฯ พร้อมเป็นเมียพี่เซียนค่ะ
Tichob_tichob คสพ.คู่นี้ก้าวแรกไม่เป็นอะไร ก้าวต่อไปคือเลิกรา
จะชงจนกว่าจะได้พี่เซียน @FCพี่เซียน ข้ามศพฉันไปก่อน!
คอมเมนต์แม่งโคตรจี้!
ผมขำจนไหล่สั่นตอนที่อ่านความคิดเห็นใต้โพสซึ่งไหลเป็นน้ำ ทั้งๆ ที่โพสดังกล่าวถูกโพสไปแค่ไม่กี่นาที ความเห็นส่วนใหญ่เป็นไปที่ทางแซะผู้ชายในภาพที่ยืนเคียงคู่อยู่กับ ‘เหมียว มาริสา’ นักแสดงสาววัยรุ่นที่แจ้งเกิดจากบทสาวน้อยที่มีปัญหาครอบครัวจนเลือกทางผิดในซีรีย์เกี่ยวกับวัยรุ่นสะท้อนสังคมเมื่อสองปีกว่า แน่นอนว่าบทนั้นทำให้นักแสดงหน้าใหม่แจ้งเกิดชั่วข้ามคืน บวกกับหน้าตาที่น่ารักเกินห้ามใจ และรอยยิ้มหวานๆ ที่กระชากใจบุรุษเพศ เพียงออกอากาศไม่นานชื่อของเธอก็ถูกค้นหามากมาย แน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในแฟนคลับที่แอบปลื้มเธออยู่เงียบๆ
เหมียว มาริสาคือสมบัติสาธารณะของหนุ่มๆ ภาพจำของเธอคือหญิงสาวเจ้าของรอยยิ้มที่บอบบางบริสุทธิ์ จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนแอบถ่ายรูปเธอกับชายแปลกหน้า แต่หน้าไม่แปลกซ้ำยังหน้าหล่อบรรลัยคนหนึ่งได้ในอิริยาบถดูสนิทสนม แม้จะไม่เคยยอมรับตรงๆ ว่าทั้งคู่คบหากันแต่การที่เหมียวมาริสาไม่เคยออกมาปฏิเสธก็ทำให้ข้อสันนิษฐานที่ว่าทั้งคู่เป็นแฟนกันมีเค้าลางเป็นจริง จนทำให้บรรดาชายไทยที่หลงปักใจกับเหมียวมาริสาจึงพาลพาโลตั้งไอ้เพจนี้ขึ้น
หนุ่มๆ ต่างหลงรักเหมียว มาริสาและในทางตรงกันข้ามหนุ่มๆ ต่างก็หมั่นไส้เซียน ศกัณฐ์
ผมหวนนึกถึงช่วงที่คลั่งพี่เหมียวมากๆ เคยไปแอบสืบประวัติเพื่อนสนิทของพี่อุ้ม
‘ศกัณฐ์ เตชะวรลักษณ์’
ปี3 วิศวเครื่องกล สาขายานยนต์
หน้าตาไม่ต้องพูดถึงแค่ความสามารถรอบด้านตั้งแต่กีฬาไปจนถึงดนตรีทำให้พี่เซียนได้รับความสนใจพอๆ กับเน็ตไอดอลยุคนี้ เสียแต่เจ้าตัวเป็นคนค่อนข้างเก็บตัวเลยไม่ค่อยมีข้อมูลส่วนตัวหลุดออกมามากนัก
ผมส่ายหัวก่อนจะปล่อยให้ความคิดนั่นผ่านไปเมื่อถึงคิวที่ตัวเองต้องสั่งอาหาร
.
.
“กินข้าวที่คณะกูเสร็จมึงก็กลับไปได้แล้ว”
ผมเอ่ยปากไล่ไอ้โต้งทันทีหลังจากที่มันนั่งเอ้อระเหยอยู่นานจนกระทั่งผมต้องแวะมาเข้าห้องน้ำก่อนจะขึ้นเรียนในคาบเช้า
“ไล่กูจังวะ”
ผมส่ายหัวทันที
“ได้กินกะเพราะเนื้อสมใจมึงแล้วนี่ กินแล้วก็กลับไปได้แล้ว”
ผมหรี่ตามองมัน
“มองอะไร”
“อย่านึกว่ากูไม่รู้ทันมึงนะไอ้โต้ง”
มันแกล้งทำหน้าไม่เข้าใจแต่นี่แหละมันคืออาการของเสือซ่อนเล็บชัดๆ ไม่ใช่เสือธรรมดาด้วยแต่เป็นเสือที่พร้อมจะตะปบเหยื่อ และถ้าผมเดาไม่ผิดผมมองออกแล้วว่าเหยื่อที่ว่านั่นคือใคร
“ห้ามยุ่งกับพี่กู”
“ขอปฏิเสธ”
มันตอบแทบจะทันที
“ไอ้โต้ง”
ผมทำมุ่นหัวคิ้วทันทีขณะที่มันกดยิ้มมุมปากให้
“เอาน่า คนนี้กูชอบจริง”
“ให้ตาย มึงก็จีบลุงรหัสกูไม่ติดหรอก”
“ถึงกูจะหล่อไม่เท่าพี่เซียน แต่กูก็น้องๆ พี่มันเลยนะเว้ย”
มันอวยรุ่นพี่ที่คณะมันไม่พอยังอวยตัวเองไปด้วย
“รุ่นพี่มึงเนี่ยนะหล่อ”
ผมแกล้งบลั๊ฟรุ่นพี่มัน เพราะนอกจากเซียน ศกัณฐ์จะเป็นเพื่อนสนิทพี่อุ้มแล้วหมอนั่นยังเป็นรุ่นพี่คณะที่ไอ้โต้งมันสนิทสนมด้วยพอสมควร แหงล่ะสิ ก็พี่เซียนเคยถูกคัดเลือกเป็นคทากรตอนปีหนึ่ง ข่าวว่าไม่เต็มใจนักหรอกแต่ถูกบังคับให้ลงสมัครจนได้รับคัดเลือก ด้วยเหตุผลนี้ไอ้โต้งมันถึงสนิทกับพี่มัน
“ไอ้ห่าอย่าดูถูกของดีภาคยานยนต์”
ผมยักไหล่
“มึงไม่รู้เหรอว่าวิศวะฯ นอกจากมีเกียร์แล้วก็มีพี่เซียนนี่แหละ”
“ไม่รู้”
ผมลอยหน้าลอยตาตอบ
“รู้แต่ว่า มะเขือยาวยังดูดีกว่าหน้าพี่มึง”
“ไอ้สัตว์”
มันสบถขึ้นก่อนจะส่ายหัวราวกับว่ายุติการต่อล้อต่อเถียงระหว่างกัน เพราะมันรู้ดีว่าผมแกล้งพูดไปอย่างนั้นแหละ เห็นเพื่อนชื่นชมยกย่องใครเข้าหน่อยมันเลยอดหมั่นไส้ไม่ได้ โดยเฉพาะคนๆ นั้นดูจะมีซัมธิงกับเหมียวมาริสาที่ผมแอบปลื้มอยู่เงียบๆ
ไอ้โต้งผละกลับคณะมันไปแล้ว หลังจากล้างไม้ล้างมือเสร็จเหลือเพียงผมคนเดียวที่ยังอยู่ในห้องน้ำ
แกรก
ผมหันขวับไปตามเสียงนั้นทันที
เข้าใจผิด ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าในห้องน้ำนั่นเหลือผมเพียงคนเดียว เมื่อประตูห้องน้ำห้องหนึ่งถูกเปิดออกมาก่อนที่เสียงฝีเท้าของใครสักคนจะก้าวมาหยุดอยู่เบื้องหน้า
“หน้ากูแย่กว่ามะเขือยาวอีกเหรอ”
ผมยืนอึ้งอ้าปากค้างทันที
“พะ พี่”
เซียน ศกัณฐ์ตัวเป็นๆ ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา
ผมรู้สึกเหมือนหายใจติดขัดราวกับมีมือที่มองไม่เห็นบีบคั้นลำคอไม่ให้หายใจ ยิ่งฝ่ายนั้นขยับเหยียดยิ้มด้วยท่าทางสบายๆ แต่แววตาที่จ้องมองกันราวกับเปลวไฟที่พร้อมจะเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
ร่างสูงใหญ่ในชุดเสื้อช๊อปยืนกอดอกมองหน้ากันในระยะประชิด นั่นทำให้ผมสังเกตว่าพี่มันตัดผมรองทรงสูงเปิดท้ายทอยเข้ากับผมสีดำสนิท หน้าคมคายมีไรหนวดตามสันกรามส่งเสริมให้ดูดิบเถื่อนไม่น้อย บุคลิกของคนตรงหน้าทำเอาผมแอบกลืนน้ำลายทันที
“พี่เซียน”
ฝ่ายนั้นขยับเคลื่อนกายมาใกล้ท่าทางคุกคามนั่นทำเอาผมถอยหลังอย่างตกใจ
“ขะ ขอโทษครับ”
“กลัวกูเหรอ”
ผมเม้มปากแน่นก่อนจะเบือนหน้าหนีเมื่อพี่มันโน้มใบหน้ามาใกล้ มันใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่าย ไหนจะฝ่ามือทั้งสองข้างกางกั้นผมเอาไว้ไม่ให้ขยับหนี
“ผมขอโทษครับที่พูดแบบนั้น”
ตอนนี้แทบจะยกไหว้ขอโทษอีกฝ่ายที่พูดไม่คิดแบบนั้น แต่ใครจะรู้ว่าผมจะโชคร้ายขนาดนี้ นี่ไงเขาถึงบอกให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว ว่าร้ายใครผลก็ย้อนเข้าตัวเองจนได้
“มองหน้ากูสิ”
“...”
“มองให้ชัดๆ”
ลมหายใจร้อนผ่าวกระซิบที่ข้างหู
“หน้ากูเหมือนมะเขือยาวจริงเหรอ”
ไม่เหมือนเลย
ไม่มีตรงไหนที่เหมือนเลย
ผมส่ายหน้าหวือ
“ขอโทษครับพี่ ผมแค่พูดแซวเล่นกับเพื่อน ผมไม่ได้ตั้งใจจะว่าพี่จริงๆ ขอโทษครับ”
พูดไปก็ยกมือไหว้อีกฝ่ายปลกๆ
“อือ”
พี่มันขยับถอยห่างนั่นทำให้หายใจสะดวกขึ้น แต่ประโยคที่หลุดจากปากพี่มันต่อจากนั้นสิที่ทำให้ผมอึ้ง
“หน้ากูไม่เหมือนมะเขือยาวหรอก แต่กูว่าอวัยวะอย่างอื่นของกูเหมือนมะเขือยาวมากกว่า อาจจะยาวยิ่งกว่ามะเขือยาวด้วยซ้ำ”
เชี่ยยยยยยยยยย
ผมตาเหลือกทำหน้าไม่ถูก สายตาสัปดนก้มต่ำทันที ฝ่ายนั้นกระตุกยิ้มมุมปากแววตาดูไม่น่าไว้วางใจจนผมรู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงวาบ
“กูหมายถึงข้อศอก”
ฝ่ายนั้นกระซิบข้างหู
“ไอ้เด็กลามก”
แม่งงงงงงงงงง
ผมทึ้งศีรษะตัวเองแรงๆ ตอนที่ฝ่ายนั้นกระตุกยิ้มมุมปากแล้วผละออกไป
- J E E B -
กลับมาแล้วค่ะ พยายามปรับปรุงเนื้อหาให้มันน่าสนใจมากขึ้น
ชอบไม่ชอบยังไงเมนต์บอกเป็นกำลังใจให้กันบ้างนะคะ
หวีดในทวิตติด #ชอบก็Jeeb ให้ด้วยน้า