- จีบที่ 6 -
เกือบชั่วโมงหลังจากวัดความดันโลหิตแล้วให้กลุ่มตัวอย่างไปเปลี่ยนเป็นชุดออกกำลังกายมาเทรนตามโปรแกรมการฝึก ระหว่างนั้นผมก็นั่งสังเกตการณ์กลุ่มตัวอย่างไปพลาง นั่นแหละผมถึงได้มีโอกาสสังเกตคนดังของภาคยานยนต์ในชุดเสื้อกล้ามแบบกีฬา กล้ามเนื้อตรงแขนเป็นรูปสวยงามจนน่าอิจฉา ช่วงล่างอยู่ในกางเกงกีฬาผ้าลื่นนั่นยิ่งส่งเสริมคนๆ นั้นเหมือนผู้ชายสายสปอร์ต ปกติผมมักเห็นพี่มันอยู่ในเสื้อนิสิตสวมทับอยู่เสื้อช๊อปสีกรมมีตราพระเกี้ยวปักอยู่ตรงกระเป๋าที่หน้าอกข้างซ้ายท่าทางดูดิบเถื่อน ต่างจากวันนี้ราวกับคนละคนแต่ถึงอย่างนั้นความนิยมของพี่มันก็ไม่ได้ลดลงเลยด้วยซ้ำ
ผมสังเกตว่าวันนี้ฟิตเนสคณะคึกคักกว่าปกติมากโดยเฉพาะบริเวณร้านกาแฟเล็กๆ ที่ตั้งอยู่หน้าฟิตเนสซึ่งนิสิตสาวๆ และกลุ่มเจ่ๆ หรือรุ่นพี่ผู้ชายหัวใจสาวนั่งจับจองโต๊ะกันจนไม่มีที่ว่าง ไม่ต้องเดาให้ยากหรอกว่าคนพวกนั้นมาเฝ้าดูใครหากไม่ใช่คนดังของภาคยานยนต์
ตั้งแต่เซียน ศกัณฐ์แวะมาที่คณะผมบ่อยๆ นั่นทำให้คณะผมคึกคักไม่น้อย เพราะมีคนเล่ากันปากต่อปากว่าคนดังวิศวะฯ มักแวะมากินข้าวกับเพื่อนสนิทที่นี่ แน่นอนว่านั่นทำให้ใครก็ตามที่ตามติดชีวิตของไอ้พี่เซียนต่างพากันมาปักหลักเพื่ออัพเดตชีวิตส่วนตัวของเพื่อนรักพี่อุ้ม จริงๆ มีคนเคยไปตามที่สนามกีฬาที่เป็นสถานที่ฝึกซ้อมคทากรแต่หมอนั่นมาบ้างไม่มาบ้างคงเพราะเป็นรุ่นพี่คทากรจึงไม่ได้ซ้อมหนักเหมือนไอ้โต้งที่ช่วงหลังเรียนทุกวันมันต้องถูกจิกหัวให้ไปซ้อมทุกวัน
“วันนี้สาวๆ มาฟิตเนสกันเยอะจังวะ”
ไอ้อ๋องซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ กันพูดขึ้น
“วันนี้มีคลาสแอโรบิคเหรอวะ”
ผมส่ายหัวทันที
“แอโรบิคมีวันศุกร์”
“อ้าวแล้วเขามากันทำไมเยอะแยะวะ”
“มาดูคนมั้ง”
ผมยักไหล่
“ดูใครวะ”
ผมบุ้ยปากไปยังคนในหัวข้อสนทนาที่เทรนเสร็จแล้วกำลังผละไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“มิน่า”
ไอ้อ๋องพูดยิ้มๆ เพราะมันเองก็เป็นสาวกของเซียน ศกัณฐ์ตามที่ไอ้โต้งกรอกหูให้ฟังบ่อยๆ ถึงรุ่นพี่ที่มันเคารพเหมือนกัน
“โคตรสร้างความวุ่นวายให้คณะเลย”
“มึงบ่นใครวะ”
พี่อุ้มที่เดินมาหยุดตรงหน้าเอ่ยถาม
“เปล่าพี่”
“เปล่าอะไร เมื่อกี้มันเพิ่งนินทาเพื่อนสนิทพี่อยู่เลย”
“ปากมากไอ้ห่าอ๋อง”
ผมหันไปแยกเขี้ยวใส่เพื่อน
“หมั่นไส้อะไรเพื่อนกูนักหนาวะ” พี่อุ้มถามยิ้มๆ “แค่เรื่องที่มึงเคยว่ามันหน้าเหมือนมะเขือยาว แล้วโดนมาแกล้งกลับทำให้มึงแค้นฝังหุ่นเลยเหรอวะ”
“พี่รู้”
ผมอ้าปากพะงาบๆ ขณะลุงรหัสผมยักคิ้วพร้อมกันทั้งสองข้าง
“มะเขือยาวอะไรวะ”
พี่เดี่ยวที่เดินมาสมทบเอ่ยขึ้นแต่การที่มองผมแล้วยิ้มแบบนั้นหมายความว่ายังไงวะ
“ว่าไงคู่ปรับไอ้เซียน”
“ไม่ขนาดนั้นมั้งพี่”
ผมส่ายหน้าหวือ
“มึงรู้มั้ยไม่เคยมีใครคุยกับมันได้เป็นครั้งที่สองหรอก”
“ทำไมอ่ะ”
ผมทำหน้าสงสัย
“เพื่อนพี่มนุษย์สัมพันธ์แย่เหรอ”
พี่เดี่ยวส่ายหัวไปมา
“ปกติมันสนใจใครที่ไหน เรื่องแค่นี้มันไม่เก็บมาคิดให้รกสมองหรอก แต่กูแค่แปลกใจที่มันดันต่อปากต่อคำกับมึงนี่แหละ”
“...”
“ไอ้ห่าเซียนมันโลกส่วนตัวสูงจะตาย นอกจากเพื่อนในกลุ่ม กูไม่เห็นมันคุยกับใครเลย แต่นี่”
พี่เดี่ยวเดินวนรอบตัวผมไม่พอ สายคู่นั้นยังมองผมตั้งแต่หัวจรดศีรษะ
“เมื่อกี้ก่อนเทรน กูเห็นมันคุยกับมึงตั้งนานสองนาน”
ผมทำตาโตท่ามกลางเสียงหัวเราะของพี่เดี่ยวและพี่อุ้ม
ฉิบหาย
ไม่คุยธรรมดาด้วยสิ ผมเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ชวนขายหน้าก่อนหน้านี้
แม่งเอ๊ย
เครื่องวัดเฮงซวย
“กูถึงบอกไงว่ามึงคือคู่ปรับของมัน”
“...”
“ดูท่าจะเป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อด้วยสิ”
“ปากมากไอ้เดี่ยว”
ไอ้พี่เซียนมาหยุดยืนอยู่หลังผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เสียงทุ้มนั่นดังข้ามหัวผมไป นั่นทำเอาผมสะดุ้งโหยงรีบเอี้ยวตัวไปด้านหลัง
“กูพูดเรื่องจริงเถอะ”
พี่เดี่ยวยักไหล่ไม่แคร์ใบหน้านิ่งของเพื่อนตัวเอง
“เรื่องจริงอะไร”
“...”
“มึงก็รู้อยู่แก่ใจไอ้ห่าเซียน”
พี่เซียนไม่ตอบเพียงแค่เหลือบตามองมาทางผมแวบหนึ่งก่อนจะหันไปสบตาเพื่อนตัวเอง ขณะที่พี่เดี่ยวกดยิ้มมุมปากก่อนจะทำเสียงขำในลำคอ
“สู่รู้”
บรรยากาศมันแปลกๆ ว่ะ
อยู่ตรงนี้ไม่ได้แล้วโว้ย
ผมผุดลุกขึ้นทันทีก่อนจะผละออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ถึงอย่างนั้นผมยังอุตส่าห์มองกลับไปยังกลุ่มของพี่อุ้มแล้วเห็นสามคนนั่นพร้อมใจกันมองมาที่ผม พี่อุ้มมองเหมือนจะเอ็นดู พี่เดี่ยวยิ้มเจ้าเล่ห์คล้ายจะแซว
ส่วนคนสุดท้ายแค่กดยิ้มมุมปาก
ไอ้เหี้ย...ยิ้มมุมนี้แม่งโคตรดาเมจ
- J E E B -
“กูกลับก่อนนะ”
ไอ้อ๋องที่มาช่วยเก็บอุปกรณ์การเทรนเอ่ยกับผมก่อนที่มันจะเอื้อมมือไปคว้าเป้ขึ้นสะพาย
“ไม่อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันเหรอ”
ปกติหลังเลิกเรียนผมจะไปกินข้าวกับมันก่อนที่จะซื้อขนมสารพัดไปฝากไอ้โต้งที่ซ้อมคทากรอยู่ที่สนามกีฬา
“กูเปลี่ยนงานพิเศษ”
มันพูดเสียงงึมงำ
“วันนี้ทำงานวันแรกกูไม่อยากไปสาย”
“มึงเปลี่ยนงาน?”
“อืม”
ไอ้อ๋องถอนหายใจแรงๆ
“หมายความว่ามึงไม่ได้เสิร์ฟที่ร้านเหล้าแล้ว”
“เออ”
“ก็ดีแล้วเพราะงานนั่นเลิกโคตรดึก แต่ว่ามึงบอกเองนี่ว่าทิปร้านนั้นโคตรเยอะ มึงไม่เสียดายเหรอ”
“เสียดายสิ”
มันทำเสียงหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย ท่าทางแบบนั้นทำให้นึกสงสัยบวกกับเมื่อวันก่อนที่ผมไม่สบายแล้วมันบอกว่ากลับไปนอนบ้าน สุดท้ายไอ้อ๋องมันยอมเปิดปากเล่าว่าคืนนั้นมันนอนค้างที่ร้านเหล้าที่มันทำงานพิเศษอยู่เพราะกลับหอไม่ไหว และยังไงไม่รู้วันนี้ดันมาบอกว่าได้งานใหม่แล้ว
“เพราะพี่รหัสมึงเลยไอ้เปียว”
ผมมุ่นหัวคิ้วทันที
“เกี่ยวอะไรกับพี่ดลวะ”
“พี่มึงนั่นแหละเกี่ยวเต็มๆ”
มันทำหน้าเจ็บใจ
“เสือกปากโป้งไปบอกแม่กู เขาเลยโทรมาจากเมืองนอกขอร้องให้กูเลิกเสิร์ฟอาหารร้านเหล้า”
“แม่มึงเขาคงเป็นห่วง”
“เหรอ”
น้ำเสียงเย้ยหยันของมันทำให้ผมขยับไปใกล้แล้วตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ
“มึงยังมีกู มีไอ้โต้งนะอ๋อง”
“...”
“มีเรื่องอะไรทำไมไม่บอกพวกูบ้างวะ”
“กูขอโทษ”
มันทำสีหน้าอึดอัดใจ
“เรื่องของกูมันไม่น่าฟังนักหรอกเปียว กูถึงไม่อยากให้มึงกับไอ้โต้งต้องฟังเรื่องไร้สาระ”
“สำหรับกู เรื่องของเพื่อนไม่ไร้สาระนะอ๋อง ถ้าเพื่อนกูต้องการความช่วยเหลือ กูพร้อมช่วยเสมอ”
ไอ้อ๋องเม้มปากมันตบหลังมือผมเบาๆ
“ถ้ามึงไม่เบื่อที่จะฟังเรื่องน้ำเน่าจากกู ไว้ว่างๆ กูจะเล่าให้พวกมึงฟัง”
ผมขยับรอยยิ้มทันที ส่วนมันแค่ยิ้มน้อยๆ
“ว่าแต่งานใหม่ของมึงนี่ทำอะไรวะ”
“งานเสิร์ฟเหมือนกัน”
“หือ?”
ผมหูผึ่งเลย ก็ไหนว่าพี่ดลมีส่วนทำให้เพื่อนผมออกจากงานเก่าแล้วไหงถึงยอมให้ไอ้อ๋องมันกลับไปเสิร์ฟอีกวะ
“ร้านกาแฟ พวกคาเฟ่ขนมน่ะ”
ผมหัวเราะออกมาทันที
“พี่ดลนี่แม่ง”
ผมหวนนึกถึงขนมอร่อยๆ ที่อีกฝ่ายชอบเอามาฝากจำได้ลางๆ ว่าแกมีลูกพี่ลูกน้องเปิดคาเฟ่อยู่แถวมหาวิทยาลัย ไม่อยากเชื่อว่าพี่รหัสผมจะกล่อมให้คนหัวดื้ออย่างอ๋องทำงานร้านคาเฟ่ได้
ให้ตายเถอะเล่นดึงไอ้อ๋องให้ไปทำงานที่อยู่ในสายตาและเช็คได้ทุกเวลาได้นี่โคตรไม่ธรรมดา
สงสัยผมต้องมองผู้ชายกินพืชแบบพี่ดลใหม่ซะแล้ว
“มึงยิ้มอะไร”
เพื่อนผมพูดเสียงห้วน
“อะไรของมึงเนี่ย”
“มึงยิ้มล้อเลียนกู”
ไอ้อ๋องทำท่าฮึดฮัดจนอดหมั่นไส้ไม่ได้เลยตบศีรษะมันไปเบาๆ สักที
“กูเปล่า แล้วมึงอ่ะ ได้งานใหม่ก็ทำตัวดีๆ ตั้งใจทำงานล่ะ”
“ให้ตายเถอะ กูแทบอยากรีบไปลาออกวันนี้ด้วยซ้ำ เพราะพี่รหัสมึงคนเดียวเลยไอ้เปียว”
“ไม่ทันแล้วมั้ง”
ผมเอ่ยแซว
“ถึงมึงจะลาออก มึงก็หนีพี่กูไม่พ้นหรอก ขนาดเขาสามารถทำให้คนหัวแข็งอย่างมึงไปทำงานที่ร้านนั่นได้ มึงไม่คิดเหรอว่าเขาจะต้องทำให้มึงกลับมาทำงานจนได้”
ไอ้อ๋องขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ ก่อนจะเดินตึงตังผละไปโน่น ผมยืนหัวเราะมองตามแผ่นหลังมันไปจนกระทั่งเพื่อนร่วมคณะคนที่เซ็ทเครื่องวัดความโลหิตก่อนการเทรนเดินมาสะกิด
“พี่เซียนกลับยังวะ”
ฝ่ายนั้นถาม
“ไม่รู้ว่ะ เมื่อกี้เห็นคุยกับพี่อุ้มอยู่”
“อยู่ไหนอ่ะ”
“คาเฟ่หน้าฟิตเนส”
“งั้นฝากมึงเอาอันนี้ให้พี่มันเซ็นหน่อย”
“อะไรวะ”
“แบบฟอร์มที่เข้าร่วมการเทรน”
ผมชะโงกดูเอกสารที่มีรายละเอียดในกระดาษเอสี่ยาวเป็นพรืดตรงหน้าก่อนจะสะดุดตากับความผิดปกติบางอย่าง
“นามสกุลผิดนี่หว่า”
ผมพูดขึ้นแต่จังหวะนั้นเพื่อนผมผละไปทางอื่นแล้ว สุดท้ายผมเลยต้องจำใจถือกระดาษแผ่นนั้นไปหาพี่เซียนเอง
“จังหวะนรกสัด”
ผมเบะปากเพราะคาเฟ่นั้นมีพี่เซียนนั่งอยู่คนเดียวบนโต๊ะ ไม่รู้พี่อุ้มกับพี่เดี่ยวไปไหนกันแล้ว
“เอ่อพี่”
พี่เซียนเงยหน้าจากโทรศัพท์ในมือแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ฟอร์มเข้าร่วมการเทรนครับ ยังไงพี่ช่วยเซ็นหน่อย เพราะปีหนึ่งต้องรวบรวมเอาไปทำสถิติ”
พี่มันจ้องหน้าผมเหมือนตั้งใจฟัง แต่ผมดันไม่ชอบสายตาคู่คมที่จ้องกันตรงๆ แบบนี้เลย
“เอ่อ...แต่นามสกุลพี่มันพิมพ์ผิดนะ”
ผมชี้ไปที่ชื่อสกุลอีกฝ่ายในบรรทัดสุดท้าย
‘ศกัณฐ์ เตชวรลักษณ์’
“จริงๆ หลังช.ช้างมันต้องมีสระอะ แต่เพื่อนผมคงพิมพ์ตก”
พี่เซียนกระตุกยิ้มที่มุมปากทันที
“มึงจำเก่งเนอะ”
ซู่!
เดี๋ยวนะทำไมรู้สึกร้อนๆ ตรงใบหน้าวะ ผมเม้มปากแน่นเพราะยอมรับเลยว่าที่จำนามสกุลอีกฝ่ายได้แม่นยำเนื่องจากส่องไอ้เพจนั่นจนจำได้ จำได้ไม่พอยังเสือกจำแม่นทุกตัวอักษรด้วยสิ ผมตีหน้าเซ่อทำเป็นหยิบปากกาขึ้นมาแล้วใส่ปีกกาไปที่หลังช.ช้างแล้วเติมสระอะลงไป
“ปกติเวลาเทรน ทำไมถึงไม่เทรนหนักๆ ทีเดียวให้เห็นผลเลย”
ฝ่ายนั้นชวนคุย
“มันอันตรายเกินไป”
ผมตอบ
“ในฐานะนักวิทยาศาสตร์การกีฬา การฝึกกล้ามเนื้อต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างเป็นระบบ ป้องกันการบาดเจ็บ ถึงอยากให้นักกีฬาพัฒนาส่วนนั้นไวๆ เพื่อปิดจ๊อบงานตัวเอง แต่เราต้องคำนึงผลข้างเคียงด้วย นักกีฬาต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์ไปพร้อมกับการมีสมรรถภาพร่างกายที่ดี อีกอย่าง...”
ผมอธิบายไปเรื่อยจนกระทั่งเห็นแววตากึ่งเอ็นดูจากฝ่ายนั้นแหละ ถึงได้หุบปากฉับทันที
“อนาคตมึงคงเป็นนักวิทยาศาสตร์การกีฬาที่ดี”
“...”
“แต่ปัจจุบัน”
“อะ อะไร”
“ปัจจุบันเป็นนักจำที่ดี”
พี่เซียนเหลือบตามองรอยปากกาที่เพิ่งใส่ปีกกาเพิ่มสระลงไปแล้วกดยิ้มมุมปาก
“ใครๆ ก็จำนามสกุลพี่ได้เถอะ”
“...”
“จำง่ายจะตาย”
พี่เซียนชะโงกใบหน้ามาใกล้แล้วกระซิบถามว่า
“แล้วน่าใช้มั้ย”
พ่องง
ใบหูผมร้อนวูบวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุเลยแม่ง ยิ่งเห็นสีหน้าคล้ายจะเย้าของคนตรงหน้าแล้วยิ่งนึกหมั่นไส้เลยตั้งใจขีดทับสระที่ตัวเองเพิ่งเติมไปก่อนหน้านี้
“ผมจำนามสกุลพี่ไม่ได้แล้ว”
พี่เซียนยิ้มน้อยๆ
“งั้นจำใหม่”
ผมเม้มปากแน่น
“เตชะวรลักษณ์”
“...”
“นามสกุลกู...เตชะวรลักษณ์”“...”
พี่เซียนขยับป้ายชื่อผมที่ห้อยคอผมเบาๆ ป้ายชื่อที่ปีหนึ่งทุกคนต้องห้อยซึ่งจะบอกชื่อเล่นและชื่อจริงที่พิมพ์เป็นตัวเล็กๆ มุมหนึ่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มตัวอย่างที่อาจขอความช่วยเหลือปีหนึ่งที่มาเป็นอาสาสมัคร
“จำไว้ปัณณกิต”
“ไม่จำโว้ย”
พูดจบผมก็วิ่งปรู๊ดออกมาทันที
แม่ง ไม่จำห่าอะไรทั้งนั้นแหละ
.
.
ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ตอนที่เดินหิ้วข้าวกล่องไปส่งที่สนามกีฬา วันนี้ต้องฉายเดี่ยวเพราะพี่อุ้มติดธุระ ส่วนไอ้อ๋องมันรีบไปทำงานเหมือนทุกวัน
“อุ้ย ขอโทษค่ะ”
นิสิตสาวสองคนตรงหน้าทำสีหน้าลุแก่โทษตอนที่พวกเธอเดินไม่ระวังมาชนผม
“ไม่เป็นไรครับ”
“บอกแล้วว่าอย่ารีบ พี่เซียนไม่ไปไหนหรอก”
สาวคนหนึ่งพูดขึ้นก่อนจะส่ายหัวไปมา
“ก็กลัวพี่เซียนกลับไวอ่ะ ปกติผลุบๆ โผล่ๆ ตลอด นานๆ จะมีคนเจอที่นี่”
บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้ผมเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองมีธุระอะไรที่สนามกีฬาแห่งนี้
“ขอโทษนะคะ เดี๋ยวเราช่วยเก็บ”
สาวๆ ช่วยกันเก็บกล่องข้าวที่นอนอยู่กับพื้น โชคดีว่ามันถูกแพ็คมาอย่างดีไม่บุบสลาย
“ขอโทษอีกครั้งน้า พอดีเรารีบ”
หลังจากช่วยผมเก็บแล้วสองคนนั่นก็เดินลิ่วไปโน่น ทิ้งให้ผมส่ายหัวอยู่อย่างนั้น แฟนคลับเยอะจริงนะไอ้พี่เซียน ผมเบะปากแล้วนึกนึกถึงการพบเจอกับเซียน ศกัณฐ์ครั้งล่าสุด
‘นามสกุลกู...เตชะวรลักษณ์’แม่ง
ผมสะบัดศีรษะตัวเองแรงเพื่อให้ความทรงจำเมื่อเย็นที่ผ่านมาให้หลุดออกจากหัวก่อนจะถอนหายใจอย่างเซ็งๆ ที่สุดท้ายตัวเองมายืนอยู่หน้าสนามกีฬา ตอนที่ไปถึงเห็นไอ้โต้งกำลังวิ่งรอบสนามอยู่ พอถามรุ่นพี่แถวนั้นก็ได้คำตอบว่ามันทำคทาตกพื้นจึงถูกรุ่นพี่สั่งทำโทษวิ่งรอบสนามให้เท่าจำนวนที่มันทำไม้คทาร่วง
ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้อัฒจันทร์ หลังๆ มาผมต้องรอกลับหอพร้อมไอ้โต้งซึ่งมันจะแวะไปส่งทุกวัน เพราะช่วงนี้ไอ้อ๋องมันต้องทำงานพิเศษช่วงเย็น ไอ้โต้งวิ่งรอบสนามได้ครบสามรอบแล้วมันก็เดินสะโหลสะเหลมาทรุดตัวเอาศีรษะวางตรงตักผม
“เช็ดหน้าให้กูหน่อย”
“หือ เหงื่อชุ่มขนาดนี้”
“โคตรเหนื่อย”
มันพูดไปหอบไป
“กูแม่งไม่น่าหลวมตัวมาเป็นคทากรเลยว่ะ”
ผมยิ้มขำเพราะจำได้ว่าที่มันตกกระไดพลอยโจรมาคัดเลือกคทากรเพราะโดนรุ่นพี่สายมันไซโคว่าจะตัดสายมัน หากมันไม่ลงสมัครคัดเลือก มันเลยลงสมัครแล้วสุดท้ายหวยมาลงที่เพื่อนรักผมดันได้รับคัดเลือกเป็นตัวจริงของคทากรในปีนี้ แน่นอนว่าช่วงแรกมันบ่นอยากลาออกแทบทุกวัน
ผมคว้าเอาทิชชู่มาซับเหงื่อให้มัน ขณะที่ไอ้เพื่อนตัวดีนอนแผ่ไม่เกรงใจกันเลย
“เป้ากู”
ผมดันหัวมันให้ไกลจากจุดยุทธศาสตร์ของตัวเอง
“มึงมีด้วยเหรอเปียว กูนอนทับไปนึกว่ามันรวมไปกับขา”
ไอ้ห่าโต้งแซวขำๆ
“ไอ้เพื่อนเวร”
ตบกะโหลกแม่งสักทีดิ ไอ้โต้งรองโอดโอยแล้วแกล้งคืนด้วยการจักจี้เอวผมเพราะมันรู้ดีว่าผมบ้าจี้ ผมหัวเราะจนน้ำตาไหลก่อนจะชะงักเมื่อเห็นเซียน ศกัณฐ์มาหยุดอยู่เบื้องหน้า
“อ้าวพี่เซียน”
ไอ้โต้งทักรุ่นพี่มัน
“ได้เวลาซ้อมต่อแล้ว”
“โธ่พี่”
มันโอดโอย
“เร็วๆ ก่อนที่เพื่อนกูจะกินหัวมึง”
พี่เซียนพูดจบแล้วเตรียมผละออกไป แต่จังหวะนั้นพี่แกพยายามจะเก็บมือถือที่ถืออยู่เข้ากระเป๋าแต่กางเกงที่มันมันใส่วันนี้เป็นกางเกงบอลไม่มีกระเป๋า
ท่าทางพี่เซียนดูหงุดหงิดใจไม่น้อย
“เอาฝากไว้ที่เพื่อนผมก่อนก็ได้พี่”
พี่เซียนเหลือบตามองผมทันที
“เอ่อ”
ผมเกาหัวแกรกๆ
“ฝากไว้ที่ผมก่อนก็ได้ครับ”
พี่มันพยักหน้าหงึกหงัก
“งั้นฝากแป๊บ กูลืมเอาเป้ลงมาจากรถ”
หลังจากฝากโทรศัพท์มือถือกับผมแล้วพี่มันกับไอ้โต้งก็เดินกลับไปที่สนามเพื่อซ้อมกันต่อ ผมไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่เพราะเผลอหลับไปจนกระทั่งไอ้โต้งมาสะกิดปลุกนั่นแหละ
“เสร็จแล้วมึง กูไปล้างหน้าแป๊บนึงนะ”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก จังหวะที่กำลังสะลึมสะลือนั่นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า พี่เซียนแบมือมาตรงหน้าเป็นสัญญาณขอของที่ฝากเอาไว้ ผมเลยรีบควานหามือถือให้อีกฝ่ายแล้วยื่นส่งให้ พี่เซียนรับไปแล้วกดยิ้มๆ ก่อนจะมุ่นหัวคิ้ว
“โทรศัพท์กูมีปัญหา”
ผมทำหน้าตื่นทันที
“ผมไม่ได้ยุ่งกับมือถือพี่เลยนะเว้ย”
“โทรศัพท์กูมีปัญหา”
พี่เซียนหรี่ตามองผมแล้วพูดซ้ำอีกรอบ
“ปัญหาอะไรวะ”
ผมขึ้นเสียงใส่อีกฝ่าย อุตส่าห์ดูแลโทรศัพท์ให้ แทนที่จะขอบคุณดันกล่าวหาว่าผมเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้โทรศัพท์พี่มันมีปัญหาซะอย่างนั้น
“ปัญหาน่ะเหรอ”
พี่เซียนกดยิ้มมุมปากแล้วพูดว่า
“ปัญหาคือไม่มีเบอร์มึงอยู่ในนี้ไง”ตึก
ตึก
ตึก
พ่องตาย
หัวใจเต้นแรงมาก
- J E E B -
จ่ะ ปัญหาคือไม่มีเบอร์น้องโน๊ะ?? งืมๆ เข้าใจๆ 55555555
หวีดในทวิตรบกวนติดแท็ค #ชอบก็Jeeb ให้กันด้วยน้า
ปล. อ่านแล้วเมนต์บอกหน่อยนะคะว่าเป็นยังไง เราอยากรู้ว่าเรื่องนี้ยังมีคนอ่านอยู่มั้ย ฮือๆๆๆ