Episode 27
คุณเป็นความรักที่แสนธรรมดา
แต่ว่าผมไม่เคยเบื่อเลยภูผา :ผมกลับมาที่บ้านหลังจากแยกกับนาวี เราหันหลังให้กันในตอนที่หยดน้ำตาแห้งหายกลายเป็นความเข้าใจ จึงไม่มีสิ่งใดติดค้างในความสัมพันธ์ที่เคยซับซ้อน เรื่องระหว่างนาวีจบลง แต่เรื่องของผมกับธงทัพ ยังคงสับสน
ผมไม่รู้จะกลับไปหาธงทัพดีไหม ธงทัพจะให้อภัยผม หรือว่ายังต้องการผมอยู่หรือเปล่า ความคิดผมวกวนอยู่อย่างนั้นไม่จบสิ้น
ความผิดที่ผมทำ ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่ามันคือความพลาดพลั้ง แต่อีกด้านหนึ่งของความคิดก็กำลังอ้อนวอนขอความเห็นใจด้วยการโต้แย้ง...ว่าผมไม่ได้ตั้งใจ
เมื่อน้ำหนักของความลังเลมีมากกว่าความมั่นใจ ผมจึงปล่อยเวลาให้ผ่านไปกับการใช้ชีวิตอย่างผิดเพี้ยน นอนจมอยู่กับกองฝุ่น ไม่ได้ออกไปกินข้าว ไม่รู้เวลาเพราะเข็มนาฬิกาหยุดเดินไปนานแล้ว ผมขังตัวเองไว้กับการสำนึกผิดและความเงียบงัน
เริ่มโหยหาแสงสว่างก็ในตอนที่ความมืดเข้ามาแทนที่จนมองไม่เห็นอะไรเลย ผมจึงยอมลุกออกจากที่นอน ตั้งใจจะไปเปิดไฟ
"แกรก..." มือที่กำลังจะแตะสวิทซ์ไฟหยุดกะทันหันตอนที่ผมได้ยินเสียงประตูอีกบานจากด้านนอกกำลังถูกเปิด เสียงฝีเท้าใกล้ค่อยๆ ใกล้เข้ามา ขณะที่ผมยังคงอยู่กับที่ สิ่งเดียวที่กำลังเคลื่อนไหวน่าจะเป็นหัวใจที่เต้นเร็วจนผิดจังหวะ ผมกำลังจะเปิดประตูออกไป ในจังหวะเดียวกันกับที่คนข้างนอกเปิดประตูเข้ามา
"อย่าขยับ!"
ผมหยุดนิ่งตามคำสั่ง แสงไฟสลัวจากด้านนอกพอจะส่องสว่างให้มองเห็นว่าวัตถุสีเงินที่กำลังชี้อยู่ที่หน้าผมคือปลายกระบอกปืนที่อยู่ในมือของ...ลุงวุธ
"ภูผา!"
"ผมเองครับ"
"โธ่! ลุงก็นึกว่าใคร"
ลุงวุธลดปืนลงแล้วก้าวเท้าไปเปิดไฟ เมื่อแสงสว่างเข้ามาแทนที่ ผมจึงได้เห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ร่างกายผมยังคงขยับไม่ออก นอกจากสายตาที่มองตามปืนกระบอกนั้นที่เมื่อครู่มันจ่ออยู่ตรงหน้าผม
"ภูผา ตกใจเหรอ ลุงขอโทษ"
สองขาผมพากันหมดเรี่ยวแรงจนทรุดลงต่อหน้าลุงวุธ ผมไม่ได้ตกใจ...แต่ผมกำลังเสียใจ
ไม่รู้เลยว่าการถูกปืนจ่อหัวมันจะน่ากลัวแบบนี้ แต่ผมเพิ่งจะทำ...
"ผมทำแบบนี้กับธงทัพ"
"ว่าอะไรนะ"
"ผมใช้ปืนขู่ธงทัพ ผมทำแบบนี้ ผมกล้าทำได้ยังไง! ทำลงไปได้ยังไง!" ผมกำลังร้องไห้และโวยวายไร้สติ ผมเพิ่งรู้ตัวว่าความผิดของผมมันร้ายแรงถึงเพียงนี้ ผมหันกระบอกปืนเข้าหาธงทัพแล้วก็หนีมากับนาวี ผมยังคาดหวังที่จะได้รับการให้อภัยหลังจากที่ทำให้ธงทัพใจสลายไปแล้ว...โคตรแย่เลย
เมื่อใจเย็นขึ้นแล้วผมจึงเอาปืนกระบอกนั้นคืนให้ลุงวุธ และค่อยๆ เล่าเรื่องทุกอย่างให้ลุงวุธฟัง ลุงวุธคือคนที่ไม่เห็นด้วยในความสัมพันธ์ของเรามาตั้งแต่แรก แต่ลุงวุธเป็นคนเดียวที่อยู่กับผมในตอนนี้ เรื่องที่อัดอั้นก็ถูกเล่าผ่านเสียงสะอึกสะอื้นและน้ำตาที่ไหลออกมาอีกรอบ
"ผมรักธงทัพจริงๆ นะครับลุง"
"..."
"ผมขอโทษ"
สองมือของลุงวุธยกขึ้นจับไหล่ผม แล้วเอ่ยบางคำออกมาให้ผมฟัง
"ลุงเข้าใจแล้ว ภูผา"
"..."
"ลุงเข้าใจแล้ว"
น้ำตาทำให้ภาพตรงหน้าพร่ามัวแต่ผมก็มองเห็นรอยยิ้มของลุงที่ส่งมาให้ คำว่าเข้าใจของลุงวุธ หมายความเช่นไร...ความคิดของผมเต็มไปด้วยคำถาม พยายามหยุดร้องไห้แล้วพูดคุยกับลุงวุธให้รู้เรื่องกว่านี้ แต่น้ำตามันไม่ยอมหยุดง่ายๆ
"ไม่เป็นไร ภูผา ร้องออกมาเถอะ ไม่เป็นไร"
กอดของลุงวุธปลอบประโลมผมอย่างใจเย็น ผมใช้เวลาในการร้องไห้จนกระทั่งน้ำตาแห้งหายไปโดยไม่ได้พยายาม เมื่ออารมณ์กลับมาเป็นปกติ ลุงวุธยังคงอยู่ข้างๆ
"โอเคขึ้นไหม"
"ครับ"
"ไม่เป็นไรแล้วนะ"
ผมพยักหน้ารับอีกครั้ง อยากพูดเรื่องเดิมต่อ และคล้ายว่าลุงวุธจะอ่านใจผมออก จึงเป็นคนเปิดบทสนทนานั้นขึ้นมาเอง
"ลุงเข้าใจแล้ว เรื่องระหว่างธงทัพกับภูผา"
"ลุงเคยบอกว่าไม่เห็นด้วย"
"ลุงผิดเอง ลุงขอโทษ"
"..."
"ลุงแค่คิดถึงพิมมากเกินไป"
ผมหันมองลุงวุธที่พูดถึงแม่ขึ้นมา
"ลุงคิดแค่ว่า ถ้าหากพิมยังอยู่ ธงทัพกับภูผาก็น่าจะเป็นพี่น้องกันมากกว่า ภูผาก็เหมือนลูกอีกคนของลุง สถานะระหว่างธงทัพกับภูผา จึงไม่ควรเป็นแบบนี้ ลุงคิดว่าถ้าพิมยังอยู่ พิมก็จะเห็นด้วยกับลุง"
"..."
"แต่พิมไม่อยู่แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าพิมจะกำลังรู้สึกยังไง..."
ผมเคยสงสัยมาตลอดว่าลุงยังรักแม่อยู่ไหม ผมได้คำตอบ จากหยดน้ำตาของลุงวุธที่ไหลออกมา เพื่อบอกกับผมว่า ลุงวุธก็ยังคงคิดถึงแม่เช่นกัน
"แต่ผมว่า ถ้าแม่ยังอยู่แม่คงดีใจนะครับ"
"งั้นเหรอ"
"แม่อยากให้ผมกับธงทัพเข้ากันได้มาตลอดเลย ถ้าแม่รู้ว่าผมกับธงทัพรักกันขนาดนี้ แม่คงจะดีใจ"
"นั่นสินะ" ลุงวุธยิ้มให้ผม
"แต่ลุงไม่ได้ไม่ชอบผมใช่ไหมครับ"
"แค่โมโหน่ะ"
"..."
"ก็ภูผาดื้อกับลุงก่อนนี่"
"ผมขอโทษครับ"
ลุงวุธยิ้มอีกครั้ง แล้วยกมือขึ้นตบไหล่ผมเบาๆ
"ลุงเองก็ต้องขอโทษที่ไม่เข้าใจ"
"ผมยังคงเป็นลูกอีกคนของลุงวุธอยู่ใช่ไหมครับ"
"ใช่สิ"
"..."
"จะเรียกพ่อก็ได้นะ"
ทั้งผมและลุงวุธหัวเราะออกมาพร้อมกัน
"กลับไปหาธงทัพไหม เดี๋ยวลุงไปส่ง"
"ผมกลัว..."
"กลัวอะไร"
"ผมไม่รู้จะอยู่ยังไงถ้าธงทัพไม่ให้อภัยผม"
"ธงทัพมันเคยบอกลุงว่าจะไม่มีวันปล่อยมือภูผา มันสัญญาเอาไว้แบบนั้นไม่ใช่เหรอ"
"..."
"ตั้งแต่ลุงเป็นพ่อมันมา ยังไม่เคยเห็นมันผิดสัญญาสักครั้งเลย"
ริมฝีปากของผมขยับเป็นรอยยิ้ม เพราะคำพูดของลุงวุธที่ทำให้ผมอยากกลับไปหาธงทัพ ไม่ว่าจะเป็นยังไง แต่อย่างน้อยที่สุด ผมต้องพาคำขอโทษของผมไปมอบให้ธงทัพด้วยตัวผมเอง
"ไปเถอะ ไปหาธงทัพกัน เดี๋ยวลุงไปส่ง"
"ครับ"
"แต่อย่าเพิ่งบอกธงทัพล่ะว่าลุงยอมแล้ว"
"ทำไมล่ะครับ"
"อยากแกล้งมันน่ะ"
ลุงวุธหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนก่อนยื่นมือมาฉุดให้ผมลุกขึ้นด้วย ลุงวุธยิ้มให้ผมอีกครั้ง ด้วยความรู้สึก ผมคิดว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดูใจดีเหมือนอย่างวันแรกที่แม่พาลุงเข้ามาในชีวิต
อบอุ่นและพึ่งพาได้
คล้ายว่าลุงวุธกำลังทำให้ผมยอมที่จะยกตำแหน่งหนึ่งซึ่งว่างเว้นเอาไว้มาตลอดชีวิตให้ลุงแต่โดยดี แม้จะเคอะเขินกับการเรียกขานแบบนั้นเป็นครั้งแรก แต่ผมก็อยากลองพูดมันออกไป...เป็นครั้งแรกในชีวิต
"ขอบคุณนะครับ"
"..."
"พ่อ" ...
ผมเกือบทำให้คนที่สำคัญเท่าชีวิตอย่างธงทัพต้องสูญหายไปจากชีวิต หากแต่ความผิดของผมได้รับการให้อภัยจากคนที่ใจดีกับผมมาตลอด คล้ายกับว่าธงทัพ ได้ต่อลมหายใจ ให้วันพรุ่งนี้ของผมยังคงมีความหมาย
หลังจากที่ความเข้าใจเข้ามาแทนที่ บรรยากาศในห้องนี้จึงกลับมาเป็นเช่นเดิม แต่สักพักหนึ่งแล้วที่ผมรู้สึกว่าธงทัพเอาแต่จ้องผมอยู่อย่างนั้น ผมหันไปกี่ทีก็เจอสายตาของมันที่ไม่ละไปไหน จึงต้องเอ่ยถาม
"มองอะไร"
"จริงๆ กูอยากจะกัดมึงสักที"
"ฮะ?"
"ลงโทษที่มึงดื้อไง มาให้กัดสักทีเถอะ"
"เฮ้ย!"
ผมร้องลั่นตอนที่มันขยับมาจับไหล่ผมกดให้อยู่กับที่ แล้วอ้าปากกัดเข้ามาจริงๆ ด้วยแรงที่มากพอจะทิ้งรอยฟันเอาไว้ตามร่างกาย ตรงนั้นที ตรงนี้ที
"เจ็บนะ! ธงทัพ! พี่ธงทัพ!"
"กัดให้ตายไปเลย!"
"ธงทัพโว้ย!"
ธงทัพเหมือนหมาตัวใหญ่ที่กำลังขยำลูกเป็ดอย่างผมให้จมเขี้ยว สู้แรงของมันไม่ได้เลยแม้พยายามจะดิ้นหนี กระทั่งมันหยุดไปเองเพราะหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง
"ไอ้หมาบ้า!"
ธงทัพนอนกลิ้งชักดิ้นชักงอเพราะหยุดขำไม่ได้ ผมไล่สายตามองเนื้อตัวที่แดงช้ำกับน้ำลายหมาที่เลอะไปทั้งตัว ก่อนยกมือทุบมันคืน
"ธงทัพ! กูเกลียดมึง!"
หยุดขำกะทันหัน ลุกพรวดขึ้นมามองตาขวางแล้วถามเสียงแข็ง
"เกลียดกูเหรอ"
"กูล้อเล่น" ผมว่าพลางยกมือเกาะแขน แต่ถูกสะบัดทิ้งในทันที
"ไม่ต้องมาแตะ" ธงทัพกระแทกเสียงใส่แล้วนอนหันหลังให้อย่างไม่ใยดี
"โห่! อย่างอนดิ กูพูดเล่น"
"กูเพื่อนเล่นมึงเหรอ!"
"ขอโทษครับพี่"
"เขยิบไปเลย เกลียดกูก็อย่ามานอนใกล้กู"
"พี่ทัพ"
"ไม่ต้องมาอ้อน เขยิบไปไกลๆ เลย"
ธงทัพบอกให้ผมเขยิบออกไป แต่ผมทำกลับกันด้วยการยิ่งเขยิบเข้าไปใกล้ ยิ่งธงทัพบอกให้ไกลอีก ผมก็จะยิ่งใกล้อีก
"บอกให้เขยิบออกไป"
"ก็อยากอยู่ใกล้ๆ พี่"
"รำคาญ!" ปากบอกอย่างนั้นแต่ยอมยกแขนขึ้นกอดแล้วดึงผมไปนอนหนุนแขนนั่น เราจึงใกล้กันจนไม่มีระยะห่าง ผมกอดธงทัพเอาไว้ เคยมีบางคำที่ออกจากปากได้ยากเย็น แต่วันนี้พูดออกไปหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน แต่ก็ยังอยากพูดอีก...
"ภูรักพี่นะ"
...อีกพันครั้งก็ยังได้
"ชอบเวลามึงเรียกพี่จัง เหมือนได้เป็นพี่มึงจริงๆ"
"พี่หมา"
ธงทัพหันขวับมองตาขวาง ก่อนยกมือเขกหัวเบาๆ ทีหนึ่ง เราหัวเราะออกมาพร้อมกัน
"พี่ทัพ"
"ฮึ?"
"เบื่อคำว่าขอโทษหรือยัง"
"..."
"อยากขอโทษอีกสักครั้ง"
เมื่อพูดจบ ผมกดริมฝีปากลงบนหน้าผากของธงทัพ ขยับไปที่ข้างแก้ม ก่อนจบลงที่ริมฝีปากของอีกฝ่าย รอยจูบแทนทุกคำขอโทษและบอกรักไปพร้อมๆ กัน จบรอยจูบนั้น เราต่างคนต่างยิ้มให้กัน ก่อนธงทัพบอกกับผม...
"ขอโทษเหมือนกันนะ"
"เรื่องอะไร"
"คืนนี้กูคงทำให้มึงร้องไห้อีกแล้ว"
อ่านความปรารถนาผ่านแววตาคู่นั้น ผมก็เข้าใจดี ก่อนทุกอย่างจะเป็นไปด้วยความต้องการของกันและกัน
อุณหภูมิแอร์เย็นเฉียบเมื่อร่างกายเปลือยเปล่า แต่เราเอาชนะความหนาวด้วยโอบกอดที่อบอุ่นของกันและกัน ธงทัพแกล้งผมอีกครั้งด้วยการทำตัวเหมือนหมา แต่เปลี่ยนจากรอยเขี้ยวเป็นรอยจูบ ตรงนั้นที ตรงนี้ที...ทั่วเรือนร่าง
ฝังรอยแดงช้ำไว้อย่างชอบใจ เห็นทีว่าผมต้องเอาคืนบ้าง...ในแบบเดียวกัน
ริมฝีปากของผมแตะเข้าทุกส่วนของร่างกายธงทัพ ก่อนสุดท้าย ผมฝากรอยจูบเอาไว้บนรอยสักรูปสามเหลี่ยมที่อกข้างซ้ายของธงทัพ ตำแหน่งเดียวกันกับหัวใจ ธงทัพบอกผม ที่เห็นนั่นคือภูเขา
พูดให้ถูกคือ...ภูผา
"ภูรักพี่ทัพ"
ผมพูดอีก
จะครั้งที่ร้อยหรือครั้งที่ล้านมันก็ยังเป็นความรัก ผมสาบานได้ ไม่ใช่แค่คำพูดแต่ความรักเกิดขึ้นและมีอยู่จริง ธงทัพรู้จักผมดี และรู้ใจผมมากกว่าใครในโลก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยากย้ำให้เชื่อ...ว่าชีวิตที่เหลือผมจะยกให้ธงทัพคนเดียว
"ภูรักพี่จริงๆ นะ"
"รู้แล้ว"
ตอบกลับอย่างแผ่วเบา แล้วจูบผมอีกครั้ง ก่อนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มเคลื่อนไหว ทั้งร่างกายของธงทัพ การตอบสนองของผม ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก และความรัก ทุกอย่างหลอมรวมเราเข้าด้วยกัน
เราอบอุ่นด้วยผิวเนื้อของกันและกัน มอบรอยจูบที่ลึกซึ้ง สัมผัสที่คุ้นเคย เสียงบอกรักที่แหบพร่า พาเราดำดิ่งสู่ความปรารถนาด้วยความตั้งใจ ธงทัพทำให้ผมร้องไห้ แต่เป็นน้ำตาที่ไหลออกมา...
ด้วยความรักและยินดี ...
เที่ยงของวันเสาร์ เรามาอยู่ในร้านอาหารที่ลุงวุธนัดเรามาเพื่อกินข้าว ผมยังไม่ได้บอกธงทัพเรื่องที่ลุงวุธเข้าใจในความสัมพันธ์ของเราแล้ว คนข้างๆ จึงดูกังวลจนเห็นได้ชัด
"พ่อไม่มาสักที เราหนีไปกันเถอะ"
"บ้าดิ จะหนีไปไหน"
"ทำไมพ่อต้องอยากกินข้าวกับเราด้วยวะ จะมาหาเรื่องอะไรอีก"
ผมทำได้แค่ยิ้ม อีกคนก็บ่นไม่หยุดตามประสา
"แล้วทำไมช่วงนี้พ่อมากรุงเทพฯ บ่อยจังวะ ไม่ใช่ว่ามีเมียใหม่อยู่ที่นี่นะ"
"จะบ้าเหรอ!"
"ใครจะไปรู้ล่ะ ไม่มีงานมีการทำหรือไง ว่างเมื่อไรก็มาโผล่ที่นี่ตลอด น่าสงสัยจะตาย"
เพราะคำพูดเหล่านั้น ผมจึงนึกขึ้นมาได้ว่า มีคำถามหนึ่งที่เคยค้างคาในใจและไม่เคยได้ถาม จึงใช้โอกาสนี้พูดมันออกมา
"ถามจริงๆ ตอนที่ลุงวุธคบกับแม่กู มึงไม่โกรธแม่กูเหรอ"
"แม่มึงใจดีนะ ซื้อนมช็อกโกแลตให้กูกินด้วย"
"นมช็อกโกแลต?"
"อืม พอรู้ว่ากูชอบก็ซื้อมาให้กูตลอดเลย"
"รู้ไหมแม่ซื้อแต่นมรสจืดให้กู"
"จริงดิ น่าสงสาร"
"แม่ลำเอียงอะไรแบบนี้วะ"
ธงทัพหลุดหัวเราะ ก่อนหันบอกผม
"ถ้าให้พูดตรงๆ ตอนแรกกูโกรธแม่มึงเหมือนกันนะ กูคิดว่าถ้าไม่มีแม่มึง ครอบครัวกูคงไม่ต้องแยกกัน แต่พอเริ่มโตก็เข้าใจ ต่อให้ไม่มีแม่มึงมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป"
"..."
"กูก็เคยไม่เห็นด้วยกับพ่อ แต่ตอนนี้ก็เข้าใจ..." ธงทัพหยุดชะงักไปคล้ายกำลังใช้ความคิด นิ่งเงียบอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนผมเอ่ยถาม
"มีอะไรเปล่า"
"ไม่มีอะไร"
ผมพยักหน้ารับเบาๆ แม้จะแสดงละครไม่เก่งเท่าไรนัก แต่หน้าตาธรรมดาๆ ของผมคงเหมือนคนที่กำลังกังวลใจกับอะไรสักอย่างอยู่แล้วเลยไม่ยากนักถ้าจะแกล้งทำเป็นเครียดไปด้วย หวังว่าธงทัพจะไม่โกรธผม ถ้ารู้ว่าผมร่วมมือกับลุงวุธและป้าอรในการกลั่นแกล้งลูกชายในครั้งนี้ ไม่ทันได้พูดอะไรต่อ ลุงวุธกับป้าอรก็เดินเข้ามาในร้านพอดี
"แม่มาด้วยว่ะ ทำไมกูตื่นเต้นจัง" หันบอกกับผม ก่อนหันไปยิ้มให้แม่ตัวเอง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บทสนทนาทักทายเริ่มต้นขึ้น ก่อนความอึดอัดเข้าปกคลุมพื้นที่ ในตอนที่ธงทัพเริ่มเข้าเรื่องเลย
"พ่อมีเรื่องอะไรจะคุยเหรอ"
"กินข้าวก่อนไหม"
"พูดเลยก็ได้"
ธงทัพเลื่อนมือมาจับมือผม ขณะสายตายังคงมองอยู่ที่ลุงวุธ
"พ่ออยากให้..."
"ผมรักภูผาครับ"
ธงทัพพูดโพล่งคำพูดขึ้นมา พร้อมยกมือที่จับกันไว้ขึ้นวางบนโต๊ะ เราทั้งหมดเงียบ เว้นแต่ธงทัพที่พูดต่อด้วยประโยคยืดยาวกล่าวถึงความในใจของตัวเอง
"ต่อให้พ่อจะไม่เห็นด้วย ก็เปลี่ยนความจริงไม่ได้ว่าผมกับภูผารักกัน พ่อไม่ชอบก็เรื่องของพ่อนะ แต่ผมเปลี่ยนใจไปจากภูผาไม่ได้ ผมไม่รู้จะทำยังไงให้พ่อเข้าใจ แต่ยังไงผมก็รักภูผาอยู่ดี ผมกับภูผาก็จะอยู่ด้วยกันแบบนี้ แล้ววันหนึ่งพ่อจะเข้าใจเอง ผมเชื่อแบบนั้น"
"แต่พ่อ..."
"พ่อไม่ต้องพูดเลย! ยังไงพ่อห้ามอะไรผมไม่ได้อยู่แล้ว ไม่รู้จะทำให้เรื่องมันยุ่งตั้งแต่แรกทำไม ทีแม่ยังไม่ว่าอะไรสักคำเลย ใช่ไหมแม่"
"ก็...จ้ะ"
"พ่อไม่รู้หรอกว่าผมรักภูผาขนาดไหน"
"..."
"ผมรักภูผาครับพ่อ"
เป็นความรัก เป็นโลกทั้งใบ เป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กัน ธงทัพเป็นอย่างนั้นมาตลอดหลายปี และผมเชื่อว่าลุงวุธกับป้าอรก็จะรับรู้ได้ พอๆ กับที่ผมได้รับรู้ ผ่านคำพูดเหล่านั้น ผ่านมือที่จับกันไว้แน่น ผ่านน้ำตาของธงทัพที่เคลื่อนผ่านแก้มทั้งสองข้างก่อนรีบเช็ดมันออกไปแล้วยืนหยัดคำเดิมด้วยความหนักแน่นอีกที
"ผมรักภูผาจริงๆ ครับพ่อ"
รอยยิ้มของลุงวุธปรากฏชัด ก่อนป้าอรหลุดหัวเราะเป็นคนแรก หัวคิ้วของคนข้างๆ ขมวดเข้าหากัน มองหน้าพ่อกับแม่ตัวเองสลับกันไปมา
"ขำไรแม่"
"โทษทีลูก ทัพฟังพ่อก่อนไหม ว่าพ่อจะพูดอะไร"
"พูดมาดิพ่อ"
"เอาซะลืมเลยว่าจะพูดอะไร"
"ตลกป่ะพ่อ จะพูดอะไรก็พูดมา พูดเลย เอาเลย"
"พ่อแค่อยากให้ช่วยออกแบบสวนหน้าบ้านใหม่ให้หน่อย ทำไมต้องทำเหมือนพ่อเป็นคนใจร้ายขนาดนั้น"
ธงทัพนิ่งไปครู่หนึ่ง หลังจากเงียบเพื่อใช้ความคิดก็คงจะจับต้นชนปลายได้ พยักหน้าเบาๆ ด้วยความเข้าใจ ก่อนหันมองผม
"มึงรู้เรื่องกับเขาด้วยไหมเนี่ย"
"รู้"
สบถคำหยาบแล้วดึงมือออกไปด้วยแววตาขุ่นเคือง เมื่อรู้ตัวว่าถูกแกล้งก็โวยวายออกมาทันทีตามนิสัย
"ตลกกันมากไหมเนี่ย ฮะ?!"
"ไม่ร้องนะ"
"ร้องไปแล้วโว้ย! อะไรของพ่อกับแม่เนี่ย!"
"ออกแบบสวนให้พ่อหน่อย"
"มาจ้างดิ! ใครเขาจะทำให้ฟรีกัน! ภูผา มึงนี่มัน..." ธงทัพดูจะแค้นผมกว่าใคร จึงหันมองตาขวาง ก่อนยกมือขึ้นบีบแก้มผมแรงๆ ทีหนึ่ง
"เจ็บ!"
"สมควร!"
ผมส่งเสียงไม่พอใจ ก่อนทำคืนบ้าง เหมือนเรากำลังแข่งกันว่าใครจะยอมก่อน สุดท้ายผมเป็นฝ่ายแพ้ เพราะกลัวว่าแก้มจะแตกคามืออีกฝ่ายจึงยกธงขาว
"ยอมแล้ว ยอม"
ผมปล่อยมือออกจากแก้มธงทัพ อีกคนยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างพอใจ ก่อนที่จะปล่อยมือออกจากแก้มไป ผมกำลังจะขยับปากด่า แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อธงทัพยื่นปากมาชนปากผมทีหนึ่ง เป็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ แต่เพราะว่าอยู่ต่อหน้าคนอื่น ผมจึงเขินแทบมุดพื้นหนี
"เอาเป็นว่าไม่โกรธพ่อแล้วนะ พ่อขอโทษ"
"ครับพ่อ"
ผมกับธงทัพตอบรับด้วยคำพูดเดียวกัน พี่หมาหูกระดิกตอนที่ผมเรียกลุงวุธว่าพ่อ หันขวับมามองแบบงงๆ ผมได้แต่ยักไหล่นิดๆ ก่อนรอยยิ้มของเราทั้งหมดจะปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน ไม่อาจละทิ้งความจริงที่ว่า เราไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แม้บางครั้งเราอยู่ด้วยกันเพียงชั่วคราว แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังเป็นครอบครัว เป็นคนที่ยังเหลืออยู่ในชีวิตของผม นอกจากคำขอโทษ มีคำขอบคุณของผม ที่อยากส่งไปให้พวกเขา...มากมายเป็นพันๆ ครั้ง ก็ยังไม่เพียงพอ
...
ชีวิตผมกลับเข้าสู่ความเรียบง่ายอย่างที่เคยเป็นมา ตื่นแต่เช้าไปทำงาน บางวันธงทัพไปส่ง บางวันมันไม่แม้แต่จะรู้ตัวว่าผมออกมาทำงานแล้ว ยังคงมีบางอาทิตย์ที่ธงทัพทำงานหนัก อดหลับอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ แม้เป็นเรื่องปกติ แต่ก็มีบางครั้งที่ผมไม่พอใจบ้าง ผมไม่อยากให้ธงทัพทำงานหนักเกินไป เพราะปวดใจทุกทีตอนที่เห็นมันไม่สบาย แต่ช่วยอะไรไม่ค่อยได้ นอกเสียจากอยู่ข้างๆ กันเพื่อเป็นกำลังใจ
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ธงทัพจะกลับดึก เพราะบอกผมเอาไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วว่ามีงานเลี้ยงที่ออฟฟิศ ผมไม่ได้ถามไถ่รายละเอียดอะไรมากนัก ช่วงหลังมานี้ธงทัพก็ไม่กลับไปแตะต้องเหล้าอีกเลย เวลาไปเที่ยวกับเพื่อนที่ทำงานก็มั่นใจได้ว่าจะไม่เมากลับมาให้เป็นห่วงแน่นอน
ช่วงนี้มีกิจกรรมหนึ่งที่ผมมักจะทำก่อนนอน คือผมเริ่มอ่านหนังสือที่ธงทัพให้ อาจใช้เวลานานหน่อยกว่าจะจบเล่ม แต่ก็จบลงจนได้ ค่อยๆ อ่าน ซึมซับเนื้อหาพวกนั้น แล้วเรียนรู้ไปอย่างช้าๆ ผมเพิ่งเข้าใจว่า การอ่านหนังสือก็เป็นเรื่องที่สนุกอยู่เหมือนกัน
"ครืด...ครืด..."
ผมละสายตาจากหนังสือแล้วหันมองมือถือที่กำลังสั่น เห็นว่าเป็นธงทัพจึงกดรับ
(ภูผา มารับหน่อยดิ)
"เมาเหรอ"
(เปล่า เมื่อเช้ากูไม่ได้เอารถมา ดึกแล้วไม่มีรถกลับ)
ผมหันมองนาฬิกาที่หัวเตียงเห็นว่าดึกมากแล้ว ผมเองก็ลืมเวลาไปเลยเหมือนกัน
(มารับหน่อยได้ไหม)
"ก็ได้ รอก่อน"
ผมกดวางสาย แล้วเดินไปหยิบกุญแจรถ แล้วตรงไปรับธงทัพที่ออฟฟิศ ผมเดินเข้ามาในตึกที่ชั้นล่างถูกจัดให้เป็นงานเลี้ยงขนาดย่อม มีวงดนตรี และโต๊ะอาหาร เลื่อนสายตาผ่านแสงสีเสียงพวกนั้นเพื่อมองหาธงทัพ ก่อนต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง
"พี่ภูครับ"
"อ้าว ปอ"
"พี่ทัพอยู่นู่นครับ ไม่เมา เพราะไม่ได้แตะเหล้าสักหยดเลยครับ"
ผมพยักหน้ารับปอที่ช่วยยืนยัน
"ว่าแต่ มีงานอะไรกันเหรอ"
"เลี้ยงส่งพนักงานครับ ออฟฟิศสาขาใหญ่ที่ซิดนีย์เขาให้พนักงานไปประจำที่นู่นสามคน ทางนี้เลยจัดงานเลี้ยงส่ง หรือไล่ส่งก็ไม่รู้นะครับ"
"อ๋อ"
"ผมเป็นหนึ่งในสามด้วยนะ"
"ฮะ?"
ปอพยักหน้ายิ้มๆ
"เฮ้ย ดีใจด้วย เก่งว่ะ"
"ไม่เก่งหรอกเลยครับ แค่โชคช่วยต่างหาก" พูดด้วยความถ่อมตัว ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผม ปรับสีหน้าเป็นปกติ
"พี่ภูครับ"
"ฮึ?"
"ผมขอโทษนะครับ"
"ขอโทษ? เรื่องอะไร"
"แค่อยากขอโทษน่ะครับ ผมคิดว่า...น่าจะต้องขอโทษพี่สักครั้งหนึ่ง"
ผมพลันคิด เรื่องที่เคยบังเอิญได้ยิน เรื่องที่ปอเคยบอกว่าชอบธงทัพ คำขอโทษน่าจะมาจากเรื่องนั้น ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจ ความหึงหวงทำให้ความคิดผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ปอไม่ได้ทำอะไรผิด ผมจึงโต้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่จริงใจ ผ่านรอยยิ้มนั้นผมพูดซ้ำๆ...ว่าไม่เป็นไร
"เออ พี่ภูครับ พี่รู้ไหมว่าพี่นาวีไปกับผมด้วยนะ"
ผมหันมองหลังจากได้ยินชื่อนั้น ในตอนนั้นเจ้าของชื่อก็มาปรากฏอยู่ในสายตา ในระยะไกลนั่น ผมเห็นนาวีที่กำลังยืนคุยและหัวเราะอยู่กับคนอื่น ไม่ทันได้พูดอะไร คนไกลๆ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็หันมาเห็นผมเข้าพอดี
ผมยิ้มให้นาวี นาวียิ้มกลับมา ผมขยับปากบอกโดยไม่มีเสียง
"โชคดีนะ" นาวีตอบกลับในแบบเดียวกัน
"ขอบคุณ" เท่านั้นก็เพียงพอ...
"ภูผา"
ผมหันมองธงทัพที่เดินเข้ามาหาพอดี คนตรงหน้ารีบอธิบาย
"กูไม่ได้เมานะเว้ย แต่กูไม่รู้จะกลับยังไง ตอนแรกว่าจะให้พี่แต้มไปส่ง แต่แม่งเมาเละ กูไม่อยากเอาชีวิตไปเสี่ยง"
"เออ รู้แล้ว ไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย"
"แล้วเมื่อกี้มึงพูดอะไรกับใคร"
"นาวี"
"..."
"แต่ไม่ได้คุยอะไรเลยนะ แค่บอกว่า..."
ธงทัพยกปลายนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากผม
"ไม่ได้ว่าอะไรสักคำเลย"
"คิดว่าจะโกรธ"
"ไม่โกรธหรอก"
"..."
"ทะเลาะกันแล้วไม่มีความสุข"
ผมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นเพื่อรอให้อีกคนมาจับ ก่อนเดินออกไปจากตรงนี้
เราต่างคนต่างผ่านเรื่องราวที่หนักหนามาด้วยกัน ล้มลุกคลุกคลาน ทั้งร้องไห้และเจ็บปวด ถ้าวันนั้นเราจับมือกันไม่แน่นพอ วันนี้ชีวิตผมคงหลุดลอยไปไกล ธงทัพไม่เพียงแต่ประกอบเศษเล็กเศษน้อยของชีวิตที่เคยแตกสลาย แต่ยังประคับประคองมันให้ปลอดภัยดีจนถึงทุกวันนี้ ที่ชีวิตผมยังคงเป็นชีวิต ก็เพราะว่ามีธงทัพอยู่ด้วย เหมือนเดิมอย่างที่เคยพูดไปจนไม่ได้นับว่ากี่ครั้ง ผมยังยืนยันคำเดิม ว่าสำหรับผม
ธงทัพยังคงสำคัญเท่าชีวิต... To be continued.
ตอนหน้าเป็นบทส่งท้ายอีกตอนนะคะ ไว้เราไปบอกลากันตอนหน้านะคะ