[END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18  (อ่าน 66104 ครั้ง)

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สามีอย่าทำอย่างนี้น้องไม่ได้ตั้งใจมีเหตุผลหน่อยได้มั้ยคะอย่าโกรธน้องเลย

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ o13

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ฮืออออ เรื่องนี้จะดราม่าทุกตอนเลยใช่มั้ยคะ จะร้องงง ถึงเราจะไม่พอใจที่ภูผาโกหกก็เถอะแต่แอบตงิดใจประโยคที่พี่ภูบอกว่า "มึงเลือกจะโกหกกูก่อนนะภูผา" มันไม่ทีอะไรในประโยคนี้ใช่มั้ย นี่ก็กังวลเรื่องปอเหมือนคุ้นๆว่าปอชอบภูผา สองคนนี้ไม่ได้ซัมติงกันใช่มั้ย ขออย่าให้มีอะไรหนักหนาเลยยังไงก็อยากให้พี่ทัพเป็นพระเอก

ออฟไลน์ ppreaww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 โอ้ยยยย ธงทัพอย่าโกรธภูผานานนะ :monkeysad:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 23


บ้างเป็นเหตุผล
บ้างเป็นข้ออ้าง
เราต่างพูดเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดทั้งนั้น


 
 

ผมรู้ตัวเองทำผิด...แต่ไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อ

เมื่อถูกกีดกันด้วยความไม่เข้าใจ ความโกรธของอีกคนผลักผมออกมาจากตรงนั้น แค่เพียงบานประตูกั้นแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันไกลจนทำอะไรไม่ถูก อยากเข้าไปขอโทษ แต่ก็กลัวธงทัพจะโกรธจนไม่อยากคุยด้วย ไม่รู้ว่าควรรอให้ใจเย็นกว่านี้ก่อนดีไหม คล้ายชีวิตเต็มไปด้วยความเขลาขลาด ไม่มีปัญญาที่จะตัดสินใจทำอะไรสักอย่างด้วยตัวเองเลย

ได้แต่ยืนมองประตูบานนั้นด้วยความรู้สึกที่ว่างเปล่า

อีกครั้ง...

เป็นอีกครั้งที่ผมทำได้แค่ยืนมองประตูที่ปิดสนิท ไม่มีสิทธิ์ที่จะเปิดหรือเดินเข้าไป ไม่รู้ว่าคนที่อยู่หลังประตูนั้น กำลังทำอะไร และไม่รู้ว่าหากประตูบานนั้นเปิดออกอีกครั้ง ธงทัพจะยังต้องการผมอยู่ไหม ผมไม่ต้องการให้เรื่องจบไปอย่างนั้นโดยที่ยังไม่ได้พยายามทำอะไรเลย จึงเลือกที่จะเคาะประตูนั่น แต่แล้วก็มีเพียงความเงียบเท่านั้นที่โต้ตอบผมกลับมา

"ธงทัพ"

"..."

"หายโกรธแล้วมาคุยกันนะ"

ผมไม่รู้เสียงของผมจะดังพอให้คนข้างในได้ยินไหม แต่สิ่งเดียวที่คิดอยู่ในใจ ขออย่าให้ธงทัพโกรธผมนานเลย...ขอโทษจริงๆ   

"ภูผา"

เสียงจากด้านหลังเรียกผมให้หันไปมองโดยที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นนาวี ไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยทักนาวีก็พูดขึ้นมาก่อน

"กูได้ยินมึงกับธงทัพคุยกัน..."

"..."

"กูนึกว่ามันรู้อยู่แล้วว่าวันนั้นมึงไปนอนบ้านกู กูเลยไม่ได้คิดอะไร กูขอโทษ กูไม่ได้ตั้งใจ..."

"ไม่เป็นไรนาวี"

"กูขอโทษจริงๆ"

"ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดมึง กูต่างหากที่โกหกธงทัพ"

"แต่ถ้ากูไม่..."

"ไม่เป็นไร"

ผมพูดแทรกก่อนที่นาวีจะพูดจบ นาวียังคงขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับคำขอโทษอีกครั้ง

"ขอโทษ"

"ก็บอกว่าไม่เป็นไรไง โมโหแล้วนะ"

นาวีเงยหน้ามองผมที่แสร้งทำเป็นโกรธ ขยับหัวคิ้วชนกันให้ใบหน้าดูบูดบึ้งเพื่อแสดงออกว่ากำลังไม่พอใจ แต่นาวีก็รู้จักผมดีในระดับหนึ่ง จึงรู้ว่าความโกรธแบบจงใจนั้นเป็นเพียงบทบาทสมมติของคนที่ห่วยเรื่องการแสดงออกอย่างผม นาวีจึงยิ้มออกมาแทน

"หน้าตาของคนโกรธเป็นแบบนี้เหรอ"

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนที่นาวีจะย้ำคำขอโทษออกมาอีกที

"กูขอโทษจริงๆ นะ"

"ไม่เป็นไร บอกแล้วไงมึงไม่ผิด"

"..."

"มึงไม่ต้องคิดมากนะ เข้าใจเปล่า"

นาวีไม่แม้แต่จะพยักหน้ารับ นั่นจึงเป็นสิ่งที่ผมกังวลใจ กลัวว่าเขาจะเอาแต่โทษตัวเอง ผมยังคงไม่อาจคาดเดาความรู้สึกที่ซับซ้อนของใจคน โดยเฉพาะใจของนาวี จึงไม่รู้ว่าตอนนี้ เขากำลังคิดอะไรอยู่ ผ่านใบหน้าเรียบเฉยที่ดูเลื่อนลอย ผมสะกิดเรียก...

"นาวี"

"ฮะ?"

"มึงกำลังจะกลับบ้านหรือเปล่า"

"อือ"

"ไปเถอะ รีบกลับไปนอนไป"

"อือ เจอกัน..."

นาวีพูดไม่จบประโยค ก่อนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

"อย่าเจอกันบ่อยเลยเนอะ...เราสองคน"

"ทำไม"

"ไม่อยากให้มึงทะเลาะกับเขา"

นาวีทิ้งคำพูดเอาไว้แค่นั้น ฝืนยิ้มจางๆ แล้วเดินออกไปจากตรงนี้ แม้ไม่อยากให้นาวีต้องคิดมากแต่สิ่งที่เขาพูดมันก็ถูกแล้ว หากว่าเป็นไปได้...เราก็ไม่ควรเจอกันอีก

 

ผมหันมองประตูห้องทำงานของธงทัพอีกครั้ง หลังจากที่คิดว่า ผมคงต้องให้เวลาธงทัพโกรธให้พอกับความผิดที่ตัวเองทำลงไป จึงก้าวเท้าเดินออกมาจากตรงนั้น ผมออกมาที่หน้าตึก ระหว่างนั้นก็เห็นปอเดินข้ามถนนกลับมาพอดี ผมไม่ได้หลบเลี่ยงแต่ดูเหมือนว่าอีกคนจะไม่ทันได้สนใจสิ่งรอบข้างเท่าไรนัก จึงเดินผ่านผมไปโดยไม่ได้ทักทาย

ผมนั่งลงที่เก้าอี้หน้าตึก ความคิดกลับสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง ผมกำลังคิดอะไรไม่ออกเลยทำได้แค่นั่งอยู่เฉยๆ รู้ตัวว่าเวลาล่วงเลยไปนาน ก็ตอนที่หยิบนาฬิกาจากมือถือขึ้นมาดูแล้วเห็นว่าตอนนี้ตีสามแล้ว กำลังจะลุกออกจากตรงนี้ แต่เสียงคุยที่ดังขึ้นก่อนจากด้านหลัง ความเงียบทำให้ได้ยินบทสนทนานั้นชัดเจนดีจากน้ำเสียงที่คุ้นหู ผมจึงนั่งลงที่เดิม ในมุมที่คนตรงนั้นไม่ทันสังเกตเห็น

"จะกลับยังไงวะเนี่ย"

"ผมถึงได้บอกให้พี่นอนที่นี่ไง นอนพักก่อนเดี๋ยวเช้าค่อยกลับก็ได้ หน้าพี่โคตรง่วงเลยพี่รู้ตัวไหม"

"ไม่เอา กูจะกลับห้อง"

"ผมไม่รู้ว่าพี่โตมาเป็นคนที่ดื้อด้านขนาดนี้ได้ยังไง ตอนเด็กๆ พ่อแม่พี่คงตามใจน่าดูเลยสินะ"

"กูง่วง ไม่มีแรงจะเถียง ติดไว้ก่อน ไว้กูมาด่ามึงกลับ"

"แล้วนี่พี่จะกลับยังไง จะเดินไปเหรอ"

"อือ ห้องกูอยู่แค่นี้"

"ผมไม่ไปส่งนะ เดินไม่ไหวหรอก"

"เออ! กูไปเอง มึงขึ้นไปนอนได้แล้วไป"

"กลับดีๆ นะพี่ทัพ"

"อือ"

ผมเห็นปอกลับเข้าไปในตึก ส่วนธงทัพข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อเดินกลับห้อง ผมเองก็เดินตามไปด้วยแต่คนถูกเดินตามไม่ทันรู้ตัว อาจเพราะกำลังง่วงหรือเหนื่อยมากๆ จึงเดินช้ากว่าปกติ เดินมาสักระยะหนึ่ง คนข้างหน้าก็หยุดนั่งที่ป้ายรถเมล์ ของกินที่ผมซื้อให้ถูกหิ้วกลับมาด้วยและเอาวางไว้ข้างๆ ใบหน้าที่ดูเพลียๆ หลับตาลงช้าๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนลืมตาขึ้นแล้วลุกเดินต่อ

เท้าที่กำลังก้าวตามกลับหยุดชะงักเมื่อหันไปมองเห็นถุงที่ถูกวางทิ้งเอาไว้ ผมจำได้ว่าตัวเองซื้ออะไรมาให้บ้าง และของพวกนั้นไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย ขณะกำลังคิดว่าธงทัพตั้งใจทิ้งเอาไว้ตรงนี้หรือแค่ลืม คนที่เดินออกไปก็ทำให้หายสงสัยด้วยการย้อนกลับมาหยิบมันพลางบ่นเดียวเบาๆ

"เกือบลืมเลยแม่ง"

ผมขยับตัวออกมาจากการหลบหลังป้ายรถเมล์ หลุดยิ้มออกมานิดหนึ่ง ก่อนเดินตามไปอย่างช้าๆ ทิ้งระยะห่างอยู่ไกลๆ แล้วเดินตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงที่พัก

ธงทัพมาหยุดอยู่ที่หน้าห้อง ก่อนล้วงกระเป๋าหากุญแจแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มี การหายไปของกุญแจห้องทำให้ธงทัพถึงกับหงุดหงิด แสดงออกด้วยการยกมือขึ้นทุบประตูพร้อมเสียงสบถเบาๆ 

ผมปล่อยให้ธงทัพยืนหงุดหงิดอยู่อย่างนั้นไม่ได้ จึงเดินเข้าไปใช้กุญแจห้องที่มีอยู่ไขประตูนั้นให้ แต่ไม่กล้าหันมองใบหน้าที่กำลังจ้องผมอยู่ 

"ไปนอนเถอะ"

จากความเหนื่อยล้าที่ดูเกินจะฝืน ธงทัพทำตามที่ผมบอกโดยไม่ได้พูดอะไร ผมเองเดินตามเข้าไปด้วยจนถึงเตียง อีกคนก็ตัวลงนอนเลยทันที

"กูกลับก่อนนะ"

ผมกำลังจะก้าวเท้าออกมา แต่ถูกมือหนึ่งคว้าแขนเอาไว้ ในจังหวะนั้นผมถูกดึงให้ลงไปนอนบนเตียงด้วยกัน

"เช้าค่อยไป"

ผมตอบรับ ก่อนขยับตัวเข้าไปนอนข้างๆ มีเรื่องอยากพูดตั้งเยอะ แต่ธงทัพน่าจะเหนื่อยมากแล้วผมจึงพูดออกไปได้แค่สองสามคำในตอนที่ตัวเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกคนหลับไปแล้วหรือยัง

"ธงทัพ"

"..."

"กูขอโทษ"

ผมได้คำตอบว่าธงทัพยังไม่หลับ ในตอนที่มันยกแขนข้างหนึ่งที่ขึ้นกอดผม แม้ไม่มีเสียงใดตอบรับกลับมา แต่ผมเข้าใจว่า ครั้งนี้ผมได้รับการให้อภัยแล้ว...

...

           

            ผมกำลังจะย้ายไปอยู่กับธงทัพ กับที่อยู่ใหม่ที่ตัวเองเป็นคนเลือก ที่พักใกล้กับที่ทำงานของธงทัพมากกว่า แต่ว่าสะดวกต่อการเดินทางไปยังที่ทำงานผม เพราะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า งานของผมเลิกเป็นเวลา แต่งานของธงทัพไม่เหมือนกัน อาจมีบางวันที่เลิกดึกหรือไม่ก็เช้า ผมจึงอยากให้มันสะดวกต่อธงทัพมากกว่า

            ผมมีข้าวของที่ห้องไม่มาก ใช้เวลาแค่คืนเดียวก็เก็บของเสร็จ วันนี้เลยมาอยู่ที่ห้องธงทัพเพื่อช่วยมันเก็บของ สิ่งของจำเป็นอย่างพวกเสื้อผ้านั้นใช้เวลาไม่นาน จัดการด้วยการยัดทุกอย่างลงกระเป๋าเดินทางก็เสร็จสิ้น แต่ที่กำลังช้าและดูไม่มีความคืบหน้าเลย ก็เพราะข้าวของที่เป็นสมบัติส่วนตัวอย่างหนังสือ โมเดลการ์ตูนและของเล่นเป็นร้อยชิ้นนั่น การย้ายห้องของธงทัพจึงกลายเป็นการนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลาไปรำลึกถึงเรื่องราวต่างๆ ผ่านสิ่งของที่หยิบจับขึ้นมาแต่ละชิ้น

"ภูผา จำอันนี้ได้ป่ะ"

ผมพยักหน้ารับตอนที่หันไปมองโมเดลจากการ์ตูนเรื่องหนึ่งที่แถมมากับชุดแมคโดนัลด์ เพราะมีถึงสิบสองแบบให้สะสม ผมจำได้ว่าตอนนั้นต้องกินแมคโดนัลด์ชุดเดิมอยู่เป็นเดือนเพื่อช่วยให้ธงทัพได้ตัวละครบทั้งสิบสองชุด ได้มาโชว์อยู่พักเดียวก็เก็บใส่กล่องเพราะต้องเคลียร์พื้นที่ให้โมเดลชุดอื่น 

"อันนี้พังยังวะ" ละความสนใจไปที่ชิ้นใหม่ ผมหันมองตุ๊กตาใส่ถ่านรูปเต่าที่กดแล้วเต้นได้ เมื่อกดแล้วไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง คนเป็นเจ้าของก็เดินหาถ่านมาเปลี่ยนให้ใหม่ กระทั่งตุ๊กตาตัวนั้นกลับมาเต้นได้ ธงทัพยืนหัวเราะกับมันอยู่พักหนึ่งจึงกลับมาเก็บของต่อ แต่ไม่ถึงสิบนาทีก็ลงไปนั่งกับพื้น ใช้เวลากับจิ๊กซอว์ที่ยังต่อค้างอยู่

"ทัพ ขยับตู้ให้หน่อยดิ มีหนังสือหล่นอยู่ข้างหลัง"     

ธงทัพลุกมาขยับตู้ให้ตามคำสั่ง ก่อนผมก้มเก็บหนังสือที่ตกอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้  ผมสะบัดฝุ่นออกแล้วยื่นให้

"กูว่าแล้วหายไปไหน ยังอ่านไม่จบเลยนะเนี่ย" ความสนใจทั้งหมดถูกเทไปที่หนังสือเล่มนั้นแทนจิ๊กซอว์ และเมื่อธงทัพอยู่กับหนังสือคงไม่มีคำว่าแป๊บเดียว ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากแอบเขกหัวมันเบาๆ ตอนที่เดินผ่าน โทษฐานไม่ช่วยแล้วยังทำตัวไร้ประโยชน์   

ผมค่อยๆ จัดพวกโมเดลและของเล่นลงกล่องอย่างระมัดระวัง เกิดไปทำของมันพังหรือแตกหักมีหวังโดนโกรธไปเป็นเดือนแน่ๆ เสร็จจากตรงนั้นแล้วก็มาจัดเรียงหนังสือลงอีกกล่อง แต่จำนวนหนังสือมีเยอะจนกล่องพลาสติกที่ซื้อมาไม่พอ ผมจึงแยกกองหนังสือเอาไว้ก่อน เมื่อไม่มีอะไรให้ทำ จึงเดินไปนั่งข้างๆ ธงทัพที่ไม่ได้สนใจกันสักนิด เพิ่งรู้ตัวก็ตอนที่ผมเอ่ยเรียก

"ธงทัพ กล่องเต็มอะ หนังสือที่เหลือเอาไว้ก่อนนะ"

"อือ" ตอบรับเบาๆ ขณะเลื่อนสายตากลับไปที่หนังสือเล่มนั่น ขนาดผมนั่งจ้องอยู่อย่างนี้อย่างไม่ละสายตาก็ยังไม่คิดจะสนใจ ปกติเวลาอยู่กับหนังสือผมก็ไม่ได้ยุ่งหรอก แต่เห็นว่าตอนนี้มันเลยเวลาอาหารเย็นแล้วผมก็หิวมากแล้วด้วยเลยเรียกร้องความสนใจด้วยการยื่นหน้าตัวเองเข้าไปแทนหน้าหนังสือ   

"หิวข้าว"

"มีนมช็อกโกแลตในตู้เย็น"

"มันไม่ใช่ข้าวไหมวะ"

"ขออีกบทหนึ่งละกัน"

ผมรู้ตัวว่ามีหน้าตาบูดบึ้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแม้จะอยู่เฉยๆ และยิ่งเวลาที่ไม่พอใจใบหน้ายิ่งดูดื้อรั้นกว่าปกติไปมาก ตอนนี้หน้าผมคงยับย่นดูไม่ได้ เพราะผมอยากจะงอแงจริงๆ

"พี่ทัพ"

"..."

"หนังสือนั่นมันสำคัญกว่าภูเหรอ"

หยิบไม้ตายแรกออกไปใช้ แต่ดูเหมือนว่าธงทัพจะมีภูมิต้านทานต่อคำพูดแสนหวานของผมไปแล้ว จึงไม่สะเทือน ซ้ำยังหันมายักคิ้วให้อย่างกวนตีน

เมื่อคำพูดเฉยๆ ใช้ไม่ได้ก็ต้องเอาร่างกายเข้าช่วยด้วยไม้ตายที่สอง ผมทิ้งตัวเองนอนลงบนตักธงทัพ เจ้าของตักชะงักไปนิดหนึ่งก่อนปรับสีหน้าเป็นปกติ

"ระหว่างหนังสือกับภู จะเลือกอะไร"

"หนังสือดิ"

"หนังสือเหรอ"

"อือ หนังสือมันไม่เคยดื้อใส่"

"แล้วหนังสือมีปากให้จูบไหม"

"อะไรนะ..."

ผมยกมือขึ้นโน้มคอธงทัพให้เข้ามาใกล้ ก่อนใช้ริมฝีปากแตะเข้าไปเบาๆ ที่ปากของอีกฝ่าย ไม้ตายสุดท้ายทำให้ธงทัพยอมทิ้งหนังสือในมือแล้วตอบสนองจูบนั่นให้ลึกซึ้งกว่าเดิม กระทั่งเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปก่อน

"เรียกร้องความสนใจว่ะ"

"หิวข้าว"

ธงทัพยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม ก้มจูบปากผมอีกทีแล้วพูดประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

"มีนมช็อกโกแลตในตู้เย็น"

"..."

"ไปกินประทังชีวิตก่อนไป"

สัด...


ผมด่าแบบไม่มีเสียง ก่อนลุกออกจากตักในจังหวะที่มือถือของมันดังขึ้นพอดี ผมเลื่อนสายตาไปเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาคือลุงวุธ จึงลุกออกมาจากตรงนั้นแล้วเดินไปที่ตู้เย็น

"ว่าไงพ่อ อยู่กับภูผา เก็บของอยู่ จะย้ายไปอยู่ด้วยกัน..."

ผมรู้เรื่องระหว่างเรายังมีเรื่องยากที่ผ่านไปไม่ได้ ยังไม่รู้เลยว่าจะมีวันที่ลุงวุธยอมรับเราไหม อนาคตยังคงเป็นเหมือนหมอกหนาที่ปกคลุมยามค่ำคืน มันมืดมิด มองไม่เห็นทางไปต่อ ที่ผมทำได้ตอนนี้คือแกล้งทำเป็นหูหนวก ตาบอด มองข้ามความถูกต้อง ไม่สนความจริงแท้ ผมยังคงดันทุรังที่จะรักคนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้รัก เมื่อความรักมักควบคู่ไปกับคำว่าแตกสลาย สุดท้ายถ้าผมยอม ทุกอย่างก็จะจบลงที่น้ำตา

 

แต่เพราะธงทัพสำคัญเท่าชีวิต...

 

ผมจึงไม่อาจยอมให้เรื่องจบลงไปแบบนั้นแม้จะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

 

...

 

ผมกับธงทัพยังไม่ได้ย้ายที่อยู่เนื่องจากปัญหาเรื่องเวลางานของธงทัพ สองอาทิตย์แล้วที่เสาร์อาทิตย์หมดความหมายเพราะไม่ได้หยุด อาทิตย์นี้ก็ดูเหมือนว่าจะยังไม่ว่างเช่นกัน ส่วนผมย้ายออกจากที่เดิมเรียบร้อยแล้ว ช่วงนี้เลยต้องมานอนที่ห้องธงทัพก่อน เพราะไม่อยากไปอยู่ที่นั่นคนเดียว ในทุกๆ เช้า ผมจึงเป็นฝ่ายต้องตื่นก่อน แต่เช้านี้คนที่ยังไม่ได้นอนตั้งแต่เมื่อคืน ยืนรออยู่ที่ประตูเพื่อออกไปตรวจไซด์งานทางเดียวกับผมพอดี ธงทัพบอกจะขับรถไปเลยถือโอกาสติดรถไปด้วยเลย   

"มึงไหวไหมเนี่ย ต้องออกไปตรวจงานวันนี้ด้วยเหรอ"

"นัดเขาไว้แล้ว ไม่ไปได้ไง"

"เสร็จแล้วก็ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศต่อใช่ไหม"

"อือ"

"มึงทำงานหนักเกินไปหรือเปล่าวะ ทั้งบริษัทมีมึงคนเดียวหรือไง"

"ไม่มีใครเก่งเท่ากูแล้ว" ธงทัพพูดขำๆ แต่ผมกลับขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่พอใจ จนอีกฝ่ายต้องยกมือขึ้นมาจิ้มระหว่างคิ้วให้มันคลายออก

"รู้ว่าเก่ง แต่จะตายก่อนหรือเปล่าวะ ที่มึงเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ เพราะร่างกายมึงส่งสัญญาณมาเตือนไง ความตายเรียกหามึงอยู่รู้ตัวหรือเปล่า มึงต้องดูแลตัวเองนะทัพ ถ้ามึงไม่ดูแลตัวเอง แล้วมึงจะ..."

"เออ! จะบ่นอะไรนักหนาเล่า! เดี๋ยวตรวจงานเสร็จ กูกลับมานอน โอเคไหม?"

"ก่อนนอนวีดีโอคอลมาด้วย กูจะได้มั่นใจว่ามึงนอนจริงๆ"

"เออ เดี๋ยวกูรายงานสดจากที่นอนเลย"

ผมพยักหน้ารับ ขณะที่อีกคนเปลี่ยนเรื่องตอนที่เดินมาถึงลานจอดรถพอดี 

"เออ ไหนมึงบอกว่าเย็นนี้จะชวนกูไปดูหนังไง"

"ดูสภาพมึงดิ กลับไปนอนเหอะ"

"ไปดิ กูอยากไป มึงบอกเองว่าภาคนี้พลาดไม่ได้ไม่ใช่เหรอ"

"อยากไปเหรอ"

"อือ"

"ก็ได้"

"งั้นเลิกงานแล้วไปหากูที่ออฟฟิศนะ"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนธงทัพขับรถไปส่งผมที่ทำงาน ก่อนจะลงจากรถไม่ลืมที่จะกำชับให้โทรหาตอนที่จะกลับไปนอน ไม่ได้อยากขี้บ่น แต่ทั้งหมดก็เพราะความเป็นห่วงทั้งนั้น

 

...

 

ผมรอโทรศัพท์จนถึงบ่ายสอง กระทั่งธงทัพโทรเข้ามาผ่านวีดีโอคอล จึงลุกจากโต๊ะทำงานมาหลบมุมคุยในที่เงียบๆ

"เพิ่งกลับเหรอ"

(อือ จะนอนแล้ว นอนกับน้องด้วย) ว่าแล้วก็ชูหมอนรูปเป็ดสีเหลืองขึ้นมาอวด ก่อนธงทัพทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวเล็ก ที่ตั้งอยู่หลังโต๊ะทำงาน

"ถ้าบริษัทมึงจะใช้งานหนักข้ามวันข้ามคืนแบบนี้ ก็ควรจะมีที่นอนที่ดีกว่านี้ให้นะ ทำงานหนักเป็นวัวเป็นควาย เพื่อแลกกับคุณภาพชีวิตติดลบแบบนี้เหรอ"

(เออ ด่ามันเลย หัวหน้ากูยืนอยู่ตรงนี้พอดี)

"อ้าว..."

ธงทัพหัวเราะลั่นตอนที่หัวหน้ามันโผล่เข้ามาในหน้าจอพอดี ผมได้แต่ยกมือข้างที่เหลือขึ้นไหว้ แล้วฉีกยิ้มฝืนๆ ส่งไปให้แทนคำขอโทษ

(เออ ภูผา คืนนี้กูไปดูหนังกับมึงไม่ได้แล้วว่ะ)

"ทำไม"

(ต้องอยู่แก้งาน คงเสร็จไม่ทัน)

"นึกว่าจะได้ดูหนังวันนี้" 

(ขอโทษ เอาไว้วันหลังค่อยไปได้ไหม)

"กูขอไปก่อนละกัน กูอยากดูแล้ว"

(จะไปคนเดียวเหรอ)

"ไปคนเดียวสิ จะให้ไปกับใคร"

(โอเค ก็ได้ งั้นเจอกันที่ห้องนะ)

"อือ แล้วมึงจะได้นอนไหมเนี่ย ไม่ใช่ว่าวางสายจากกูแล้วก็ลุกไปทำงานต่อล่ะ อย่าให้กูรู้นะธงทัพ"

(มึงไม่ต้องมาทำเป็นรู้ดี)

"กูเป็นห่วงมึงนะ ถ้าเป็นอะไรขึ้นมากูจะทำยังไง"

ผมไม่เก่งเรื่องการแสดงออก เพราะฉะนั้นการพูดตรงๆ จึงเป็นทางเดียวที่ทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความรู้สึกของผม แม้ก่อนหน้านี้มันจะเป็นคำพูดที่คิดว่าจะออกมาจากปากได้ยากเย็น แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่ควรพูด ผมก็จะไม่ลังเลที่จะเอ่ยออกไป


"กูรักมึงมากนะธงทัพ"

...

 

ในตอนเย็นหลังเลิกงาน ผมตรงไปที่โรงหนังหลังจากจองตั๋วเอาไว้แล้วตั้งแต่กลางวัน แน่นอนว่าที่นั่งข้างๆ ต้องว่างเพราะธงทัพไม่มา แม้ว่าการดูหนังคนเดียวจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ก็อดคิดไม่ได้อยู่ดี หากว่ามีธงทัพมาด้วยน่าจะดีกว่า ระหว่างที่นั่งรอเวลา ผมเลื่อนสายตามองผ่านผู้คนมากมายที่หน้าโรงหนังไปหยุดอยู่ที่ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งรู้จักดี จังหวะเดียวกันกับที่อีกคนหันมาเห็นผมพอดี

"ภูผา" 

"นาวี"

เราเอ่ยชื่อของกันและกันด้วยความคุ้นชิน นาวียิ้มแล้วเดินเข้ามาหาผม

"มาดูหนังเหรอ"

"อยู่หน้าโรงหนัง คิดว่าจะมาทำอะไร"

ผมลองพูดจากวนประสาทดู ผลที่ได้คือรอยยิ้มของนาวี ก่อนตามมาด้วยคำด่าเบาๆ ขณะที่ยังคงยิ้มอยู่

"กวนตีน"

"มาดูเรื่องอะไร"

นาวีหันมองโปสเตอร์หนังที่อยู่ด้านหลังผม เรื่องเดียวกันที่ผมตั้งใจมาดู เมื่อมองหน้านาวี ผมพลันคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง

 

"โทษทีนะภูผา พรุ่งนี้อดไปดูหนังด้วยเลยอะ"

 

หนังเรื่องนี้ที่นาวีติดค้างผมเอาไว้ ก่อนเราจะไม่ได้ดูหนังด้วยกันอีกเลย จากภาคแรกในตอนนั้นถึงภาคสามในวันนี้ใช้เวลานานถึงแปดปี ผมคิดว่ามันนานมากพอที่จะทำให้เราต่างคนต่างลืม แต่ไม่ใช่...

"มึงได้ดูภาคแรกไหม"

...นาวีก็ยังไม่ลืม

"ดูแล้ว ถึงได้ต้องมาดูภาคต่อนี่ไง"

"แล้วนี่มาคนเดียวเหรอ"

"อือ แล้วมึงมากับใคร"

"มาคนเดียวเหมือนกัน งั้นเดี๋ยวไปซื้อตั๋วก่อน"

ผมพยักหน้ารับ ก่อนเปลี่ยนใจเรียกอีกคนเอาไว้

"นาวี"

"..."

"กูมีตั๋วสองใบ..."

"..."

"ดูด้วยกันไหม"

นาวีเลื่อนสายตามองตั๋วสองใบในมือผม ผ่านใบหน้าที่ดูสงสัย ผมคิดว่านาวีอาจจะกำลังตั้งคำถาม จึงบอกออกไปตรงๆ

"กูซื้อเผื่อธงทัพ แต่มันมาไม่ได้"

นาวีตอบตกลง ในตอนที่ได้ยินประกาศให้เข้าโรงหนังได้พอดี ก่อนเข้าโรงหนัง นาวีซื้อป็อบคอร์นกับน้ำให้ผมเพื่อแลกกับตั๋วหนัง ก่อนที่หนังจะฉาย ผมมีเวลามากพอที่จะคิดอะไรอยู่ในหัวหลายอย่าง  แม้รู้ดีว่าเราไม่ควรพบกันอีก แต่ความบังเอิญยังคงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งและผมไม่อาจเพิกเฉยต่อนาวี ผมก็แค่รู้สึกเห็นอกเห็นใจและไม่อยากให้เราต้องเกลียดกัน

ตอนที่หยิบมือถือขึ้นมาดูให้แน่ใจว่าปิดเสียงแล้ว ผมใช้โอกาสนั้นส่งข้อความบอกให้ธงทัพรู้ แม้ดูไม่ใช่เรื่องจำเป็นแต่ผมแค่ไม่อยากมีอะไรปิดบัง ผมต้องบอกให้ธงทัพเข้าใจว่าผมไม่ได้ล้ำเส้นในความสัมพันธ์อื่นใด...

     

"บังเอิญเจอนาวีที่โรงหนัง เลยนั่งดูด้วยกันนะ"

 

 

และหวังว่าครั้งนี้...ผมคงไม่ได้ทำอะไรผิดไป

 

To be continued.


ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ตอนคบกับนาวีเวลาสองคนก็คลาดเคลื่อนกันจนเกิดปัญหา จบลงที่เลิกรากันไป
มาตอนนี้ก็เกิดปัญหาเดียวกันอีก ภูผาไม่ใช่เด็กงี่เง่างอแงแล้ว แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น
ธงทัพจะแก้ปัญหานี้ยังไง นาวีกำลังกลับเข้ามาในวงโคจรอีกครั้ง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :pig4:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ตอนคบกับนาวีเวลาสองคนก็คลาดเคลื่อนกันจนเกิดปัญหา จบลงที่เลิกรากันไป
มาตอนนี้ก็เกิดปัญหาเดียวกันอีก ภูผาไม่ใช่เด็กงี่เง่างอแงแล้ว แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น
ธงทัพจะแก้ปัญหานี้ยังไง นาวีกำลังกลับเข้ามาในวงโคจรอีกครั้ง

 :z3: :z3: :z3:

ออฟไลน์ ppreaww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หวังว่าพี่ทัพจะเข้าใจ..

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ทำไมบังเอิญบ่อยจัง เห้ออออ

แต่ถ้าธงทัพโกรธเราจะตีธงทัพ นี่น้องบอกแล้วนะ

ส่วนปอ บทช่างน้อยนิดแต่ไม่ชอบเลย มันแบบแปลกๆ ต้องมีอะไรซักอย่าง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.23] 17/10/18
« ตอบ #279 เมื่อ: 17-10-2018 20:41:39 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
“เรื่องบังเอิญไม่มีจริง” เครดิตอาจารย์ชิฟู กังฟูแพนด้า

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ขออะไรก็ได้ที่น้องไม่ต้องแตกสลายไปอีกรอบค่ะ :hao5:

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
มีลางสังหรณ์ ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับธงทัพ อาจจะป่วยหรืออุบัติเหต ยังมีเรื่องพ่อของธงทัพที่สักวันมันคงถึงจุดแตกหัก ยังมีปออีก ต้องมีบทมากกว่านี้แน่ กินมาม่าต่อไปยาวๆ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 24

คุณยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเรา
แต่คุณหันหน้าให้เขา
แล้วหันหลังให้ผม


 

เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่ธงทัพได้หยุดงานอย่างคนปกติ ผมรู้วันหยุดมีค่าสำหรับมันมาก แต่ก็จำเป็นต้อง เบียดเบียนวันหยุดด้วยการลากมาช่วยย้ายของเข้าที่พักใหม่ตั้งแต่เช้า ผมขนของบางส่วนและเข้ามาจัดห้องหลายครั้งแล้ว แต่ธงทัพเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งที่สอง สายตาที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของห้อง พาให้หัวคิ้วขมวดเข้าหากันตอนที่มองไปรอบๆ 

"คราวที่แล้วมันมีอันนี้ด้วยเหรอวะ" ว่าแล้วก็เดินไปที่ชั้นวางของขนาดใหญ่ที่ตั้งชิดกับผนังห้องเอาไว้

"กูซื้อมาเอง ประกอบเองด้วย"

ผมพูดอย่างภาคภูมิใจ เพราะใช้เวลาประกอบชั้นวางนั่นด้วยตัวเองถึงสองวัน ตั้งใจใช้มันเป็นชั้นวางหนังสือและของสะสมของธงทัพ คนข้างๆ เลื่อนสายตากลับไปมองชั้นนั้นแล้วยกมุมปากขึ้นยิ้ม   

"ที่จริงรอให้กูมาช่วยก็ได้นี่"

"แล้วชอบป่ะ"

"ชอบ ขอบคุณนะ"

จบคำขอบคุณก็ยื่นริมฝีปากมาแตะกับปากผมเบาๆ หนึ่งที แล้วหันไปจัดของต่อ ธงทัพเริ่มจากโมเดลบ้านที่ประคับประคองออกมาจากกล่องอย่างดี แล้วหันไปทางนั้นที ทางนี้ที เพื่อหาพื้นที่สำหรับวางมันก่อนจบลงบนโต๊ะข้างเตียงนอน ได้ที่พอใจก็หันไปหยิบของชิ้นอื่นออกจากกล่อง เมื่อเห็นว่าเป็นหนังสือและหนึ่งในนั้นเป็นเล่มที่ผมซื้อให้ ซึ่งยังไม่ได้อ่าน จริงๆ มันยังไม่ได้แกะพลาสติกห่อออกเลยด้วยซ้ำ จึงอดท้วงไม่ได้   

"ที่กูซื้อให้ ไม่ชอบเหรอ"

"ยังไม่ได้อ่านจะรู้ได้ไง"

"แล้วทำไมไม่อ่านอะ"

"ไม่มีเวลา"

"โกรธแล้ว"

"โกรธอะไรเล่า! ทีกูซื้อให้มึงเป็นสิบเล่ม เคยอ่านบ้างป่ะ"

"แต่กูเก็บไว้อย่างดีเลยนะ"

"กูก็เก็บอย่างดี เดี๋ยวคืนนี้นอนกอดเลย" ธงทัพจับหนังสือเล่มนั้นแยกเอาไว้บนเตียง ก่อนหยิบของอีกชิ้นออกมาจากกล่อง เห็นว่าเป็นปืนผมจึงนิ่งไปนิดหนึ่ง ปืนกระบอกนั้นถูกวางทับลงบนหนังสือขณะที่สายตาของผมยังมองมันอยู่ กระทั่งธงทัพหันมาเห็น   

"มองอะไร"

"ปืนมีกระสุนหรือเปล่า"

"มีดิ"

"แล้วทำไมต้องมีปืนด้วย"

"พ่อให้ไว้ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน กูก็ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะต้องใช้หรอกนะ"

"เก็บเถอะ กูกลัว"

"กลัว?"

ผมพยักหน้ารับ ธงทัพจึงหยิบทั้งปืนทั้งหนังสือยัดใส่ลิ้นชักข้างเตียงให้พ้นจากสายตาผม ถึงอย่างนั้นผมก็ยังคงคิดว่ามันไม่ควรอยู่ตรงนี้อยู่ดี


ผ่านไปครึ่งวัน ข้าวของในห้องก็เริ่มอยู่เป็นที่เป็นทาง คืนนี้เราคงนอนที่นี่ได้ ขณะที่ธงทัพยังวุ่นกับการจัดของอยู่ ผมจึงเสนอตัวลงไปขนของที่เหลือในรถเอง แต่กลับขึ้นห้องไม่ได้เพราะลืมเอาคีย์การ์ดลงมาด้วย ผมนั่งรออยู่ที่หน้าประตูเผื่อมีใครเปิดออกมา แต่เป็นสิบนาทีที่เงียบงันกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เดาว่าเป็นธงทัพโทรมาตาม   

(ทำไมลงไปนานจังอะ มีอะไรเปล่า)

"ลืมคีย์การ์ด เข้าไม่ได้"

(เอ้า! แล้วไม่โทรมาวะ)

"ก็คิดว่าจะรอ..." สายถูกกดวางไปก่อนที่ผมจะพูดจบ ธงทัพน่าจะกำลังลงมาเปิดประตูให้ ผมจึงขยับไปยืนรอที่หน้าประตู แต่ระหว่างนั้นลูกหมาที่กำลังเดินมาทางนี้ก็ดึงความสนใจของผมไป ผมมองหมาตัวนั้นที่หน้าตาคล้ายๆ น้ำตาล หมาของธงทัพที่ชลบุรี แต่เจ้านี่ตัวเล็กกว่าหน่อย เมื่อผมนั่งลงและยื่นมือไปหา มันก็ยื่นจมูกมาดมก่อนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ท่าทางเชื่องๆ นั่นทำให้ผมหลุดยิ้มออกมา ถ้าธงทัพเห็นน่าจะชอบมัน

ครู่เดียวที่ผมนั่งรอธงทัพ ประตูก็ถูกเปิดออก ผมจึงรีบยืนขึ้น แต่คนที่เปิดประตูออกมากลับไม่ใช่ธงทัพ แต่เป็นคนที่ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วแน่นตอนเห็นหน้า

นาวี...

ผมไม่ทันได้เอ่ยชื่อคนตรงหน้า ธงทัพก็เปิดประตูออกมาอีกคน เกิดเป็นความสับสนและงุนงงในตอนที่เราสามคนมองหน้ากันไปมา ผมเลื่อนสายตามองนาวีที่เดินออกมาจากตึกนี้ ผมเดาเอาว่าเขาคงอยู่ที่นี่ และเพื่อให้คลายความสงสัยจึงเอ่ยถามออกไปตรงๆ

"มึงอยู่ที่นี่เหรอ"

"อือ แล้วมึง..."

"พวกกูเพิ่งย้ายมา" ธงทัพตอบแทน ในตอนที่ผมกำลังพูดอะไรไม่ออก เป็นความอึดอัดที่พุ่งเข้าใส่จนเราต่างคนต่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ นาวีจึงขอตัวออกไปก่อน ผมเดินตามธงทัพขึ้นห้องท่ามกลางความเงียบ

"ธงทัพ"

"ฮึ?"

"กูก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่านาวีมันอยู่ที่นี่"

"อืม"

"มีอะไรกูก็บอกมึงทุกอย่างอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้กูไม่รู้จริงๆ นะธงทัพ"

"กูก็ยังไม่ได้ว่าอะไร"

ธงทัพหันมาบอก แต่ผมก็ยังคงไม่สบายใจอยู่ดี ครั้งนี้ความบังเอิญทำเกินไปจนผมอยากจะร้องไห้ อาจเป็นผมเองที่ทำให้เรื่องมันวุ่นวาย ภายใต้อารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองผมก็ไม่รู้จะจัดการมันยังไง แต่ผมอยากให้ธงทัพเข้าใจ...

 

"แค่อยากให้มึงเข้าใจ"

 

...

 

"น้องภู กลับบ้านกัน"

"ครับ" ผมตอบรับพี่ที่เข้ามาเรียก ก่อนปิดคอมพ์แล้วหยิบกระเป๋าเดินตามพวกเขาออกไป บทสนทนาหลังเลิกงานของพนักงานออฟฟิศคือการแลกเปลี่ยนความคิดว่าเย็นนี้จะกินอะไรดี แม้ผมจะไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดมากนักในบทสนทนา แต่ก็คอยฟังความคิดเห็นที่นำเสนอเมนูใหม่ๆ อยู่ตลอด เพื่อเป็นแนวทางสำหรับมื้อเย็นของตัวเองเช่นกัน

"พี่ๆ นั่นไง อินทีเรียที่มารีโนเวทออฟฟิศเรา"

"ไหนๆ พี่ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ สักที"

"นั่นไง เสื้อดำ ค่อยๆ มอง เดี๋ยวเขารู้ตัว"

หัวข้อของบทสนทนาเปลี่ยนไปกะทันหัน ในตอนที่ทุกคนพร้อมใจกันหันมองคนที่กำลังยืนก้มหน้าก้มตาดูกระดาษอะไรสักอย่างอยู่ในมือ จนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่ ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมความหล่อเหลาของคนตรงนั้น แต่ผมต้องเลี่ยงสายตาไปทางอื่นแทนเพราะคนที่กำลังถูกมองนั่นคือนาวี

คนที่ผมรู้จักดีแต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้

ผมเคยคิด หลังจากที่เราได้ให้อภัยกันและกัน เราจะทักทาย ยิ้มให้และเรียกชื่อกันโดยไม่ต้องหลบเลี่ยง แต่เรื่องพวกนั้นกลายเป็นฝันที่ผมต้องลืมมันไป ตั้งแต่วันนั้น ผมก็แทบไม่มีโอกาสได้เจอนาวีอีกเลย หากบังเอิญเดินผ่านมาเจอกัน นาวีก็จะเดินจากไปโดยไร้ซึ่งบทสนทนาหรือว่าทักทาย ทำเหมือนเราไม่รู้จัก คล้ายว่ากำลังเอาชนะความบังเอิญด้วยการตั้งใจหลบหน้ากัน ด้วยการกระทำของนาวี เขากำลังย้ำชัดอย่างที่เคยบอก...ว่าเราสองคนไม่ควรพบกันอีก

"ผมกลับก่อนนะครับ" ผมบอกลาพวกเขาแล้วเดินออกมาก่อน กำลังหยิบมือถือโทรหาธงทัพเพื่อถามถึงอาหารเย็น   

"ภูผา"

ผมหันมองเสียงที่เรียกจากด้านหลัง พร้อมกับกดวางสายโทรศัพท์ที่ธงทัพยังไม่ทันกดรับ เมื่อหันไปเจอเจ้าของเสียง 

"ลุงวุธ..." ผมยกมือไหว้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่ทันคิดสงสัยว่าลุงวุธมาหาผมด้วยเรื่องอะไร อีกฝ่ายก็พูดออกมาก่อน

"ลุงขอคุยด้วยหน่อยสิ เรื่องเรากับธงทัพ"

"ครับ" ผมตอบรับไม่เต็มเสียง ก่อนลุงวุธจะเข้าเรื่องเลยทันที

"ลุงอยากให้เราคิดใหม่นะ เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างธงทัพ ลุงว่าเราสองคนเหมาะที่จะเป็นพี่น้องกันมากกว่า เป็นอย่างเดิมก็สบายใจดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ อย่าทำให้มันมากเกินไปกว่านี้เลยนะ ลุงไม่เห็นด้วย"

"ผมไม่ได้ทำอะไรผิด"

นั่นคือคำโต้แย้งคำเดียวที่ผมคิดได้ในตอนนี้

"ลุงรู้มันไม่ผิด แต่อยากให้คิดดีๆ ภูผาคิดว่าความสัมพันธ์แบบนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน ถ้าสมมติมันต้องหยุด ถ้าวันหนึ่งต้องเลิกกัน วันนั้นภูผาจะไม่เหลือใครเลย รู้ตัวใช่ไหม เป็นพี่น้องกันมันก็ดีอยู่แล้ว อย่าดื้อเลย ลุงกำลังเป็นห่วงนะ"

"ไม่ใช่..."

"..."

"ลุงแค่ไม่ชอบผม"

"ภูผา มันไม่ใช่แบบนั้น"

"ผมได้ยินลุงคุยกับธงทัพหมดแล้ว ผมรู้ ลุงไม่ชอบผม แต่ผมเปลี่ยนใจตอนนี้ไม่ได้แล้ว ผมรักธงทัพไปแล้วครับ"

"ลุงเตือนแล้วนะภูผา กลับตัวตอนที่ยังไปไม่ได้ไกล มันจะได้ไม่เจ็บปวด"

ลุงวุธพูดแค่นั้นแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่ผมหยุดเขาเอาไว้ก่อนด้วยการรีบก้าวเท้าไปขวางทาง ปกติผมไม่ค่อยกล้าโต้เถียงอะไร แต่วันนี้ผมยอมง่ายๆ แบบนั้นไม่ได้ รู้เพียงว่าต้องพูดให้ชัดถึงความในใจของตัวเอง 

"ผมรักธงทัพครับ"     

"..."

"ผมก็รักธงทัพอย่างที่ลุงเคยรักแม่ผม ลุงน่าจะเข้าใจ ต่อให้คนอื่นไม่เห็นด้วย ต่อให้ใครสั่งให้เราเลิกกัน ต่อให้มีคนอีกกี่ล้านคน ผมก็ยังจะรักธงทัพอยู่ดี"

"..."

"ผมขอโทษครับ"

ลุงวุธเดินออกไปหลังจากที่ผมพูดจบ แม้ผมจะได้พูดในสิ่งที่ต้องการพูดไปหมดแล้ว แต่ไม่ได้รู้สึกสบายใจขึ้นเลย ผมยอมรับ ความหนักแน่นของผมสั่นคลอนด้วยคำพูดของลุงวุธ และผมไม่อาจละทิ้งข้อเท็จจริงที่ว่า หากธงทัพปล่อยมือผม...ผมก็จะไม่เหลือใครเลย

ทุกอย่างกลายเป็นภาพนิ่งเมื่อความคิดของผมหยุดการเคลื่อนไหว เมื่อไม่รู้จะเดินต่อไปทางไหน จึงทิ้งตัวเองให้นั่งลงที่ขั้นบันไดหน้าตึก

"ภูผา"

ผมเงยหน้ามองเสียงเรียกนั่นก่อนพบว่าเป็นนาวี

"เป็นอะไรหรือเปล่า"

"..."

"ทำไมมานั่งตรงนี้"

ความว่างเปล่าในหัวถูกแทนที่ด้วยภาพจำจากอดีตที่ปรากฏชัด หลังจากมองหน้านาวี ผมพลันคิดถึงเรื่องราวในคราวนั้น แม่เคยไปหานาวีแล้วพูดแบบนี้เพื่อให้เราเลิกกันใช่ไหมนะ...แล้วนาวีตอบแม่ไปว่ายังไง...

"ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ภูผา"

ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ ก่อนนาวีจะนั่งลงข้างๆ เว้นระยะห่างให้พอมีช่องว่าง เราต่างคนต่างเงียบ ความคิดและอดีตเลือนหายไป เหลือแต่ปัจจุบันที่กำลังเผชิญ ผมหมดเรี่ยวแรงที่จะปิดบังความรู้สึก จึงบอกกับนาวี 

"กูเหนื่อย"

"..."

"แค่เหนื่อยน่ะ"

"ไม่เป็นไรนะ"

นาวีโต้ตอบด้วยคำปลอบโยนสั้นๆ และไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะลุกขึ้นยืน

"รอนี่นะ อย่าไปไหน"

ผมไม่ทันได้ถาม นาวีก็เดินออกไปจากตรงนี้แล้วตรงเข้าร้านกาแฟหน้าตึกไป ตอนที่เสียงมือถือผมดังขึ้นพอดี จึงละความสนใจจากนาวีแล้วหยิบมือถือขึ้นมาดูชื่อที่หน้าจอ

 

ธงทัพ

 

ผมดึงสติกลับเพื่อปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ก่อนจะกดรับสาย

"ว่าไง"

(มึงนั่นแหละว่าไง โทรมา กูรับไม่ทัน)

"อ๋อ เออใช่ กูโทรไปเอง"

(เป็นอะไรป่ะเนี่ย)

"เปล่า จะถามว่าเย็นนี้กินอะไร ให้ซื้อไปเลยไหม"

(เออ ลืมบอก วันนี้คงกลับดึกหน่อย)

"ทำงานเหรอ"

(วันนี้วันเกิดไอ้ปอ หัวหน้าจะพาไปเลี้ยงข้าวทั้งแผนกเลย กูเลยต้องไปด้วย มึงกินข้าวก่อนเลยไม่ต้องรอนะ)

"อ๋อ โอเค"

(แล้วนี่กลับห้องยัง)

"ยังเลย"

(กลับได้แล้ว)

"ธงทัพ เมื่อกี้กูเจอ..."

ผมลังเลที่จะบอกธงทัพเรื่องลุงวุธ คำพูดจึงหยุดชะงักกะทันหัน กระทั่งธงทัพถามซ้ำกลับมา

(เจออะไร)

"เจอ...นาวี"

(แล้วยังไง)

"แค่อยากบอก"

(เออ กลับห้องได้แล้ว เดี๋ยวเจอกัน)

ผมตัดสินใจไม่บอกธงทัพเรื่องลุงวุธ ขอต่อเวลาในความสำพันธ์ด้วยการแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นสักครั้งหนึ่ง ผมจะทนเอาไว้และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่รู้ธงทัพจะตัดสินใจยังไง จะยังยืนยันคำเดิมอยู่ไหม อย่างที่เคยบอกเอาไว้...ว่าจะไม่ปล่อยมือกัน 

 

เมื่อผมวางสายจากธงทัพ นาวีก็เดินกลับมาหาพอดี ยื่นเครื่องดื่มที่เข้าไปซื้อในร้านนั่นส่งให้ ผมยอมรับช็อกโกแลตเย็นแก้วนั้นมาดื่ม ก่อนนาวีชวนผมขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้หน้าตึก ดีกว่าเกะกะอยู่ตรงบันได 

"ช็อกโกแลตทำให้อารมณ์ดีขึ้นไหม"

"ไม่ได้กำลังอารมณ์เสียซะหน่อย"

"ไม่รู้ เห็นทำหน้าบูด"

"ปกติ"

"เหมือนเดิมเลยเนอะ"

ผมหันมองนาวี ไม่เข้าใจว่าอะไรที่เขาบอกว่ามันเหมือนเดิม ด้วยใบหน้าที่กำลังสงสัยของผม นาวีคงเดาได้ถึงคำถามเลยขยายความให้เข้าใจ 

"แก้มมึง"

วินาทีที่เราสบตากัน ผมไม่ได้หลบตา ซ้ำยังมองกลับอยู่อย่างนั้น และในวินาทีเดียวกัน นาวียกมือขึ้นแตะแก้มผมด้วยปลายนิ้ว สัมผัสแผ่วเบาจากมือเย็นเฉียบเรียกสติเรากลับมา ผมขยับใบหน้าหนี นาวีรีบดึงมือตัวเองกลับไป  เราต่างคนต่างนิ่ง ก่อนนาวีจะเอ่ยบางคำแทรกผ่านความเงียบ     

"ขอโทษ" 

คำขอโทษบอกให้รู้ว่านั่นคือความพลาดพลั้ง...ไม่ได้ตั้งใจ

"กูว่า กูกลับก่อนดีกว่า" ผมว่าแล้วลุกขึ้น กำลังจะก้าวเท้าออกมาแต่นาวีดึงมือผมเอาไว้ก่อน

"ภูผา"

"..."

"เรื่องที่กำลังเหนื่อยอยู่"

"..."

"อดทนไว้นะ"

ผมพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แกล้งพูดว่าไม่เป็นไร พูดซ้ำๆ ว่าไม่เป็นอะไรเพื่อย้ำให้สมองเชื่อว่าตัวผมจะไม่เป็นอะไร แต่สุดท้ายความเข้มแข็งก็ล้มเหลวเฉียบพลัน ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้ จึงปล่อยมันไหลออกมาต่อหน้านาวี   

"ไม่เป็นไรนะ"

ผมไม่รู้เลยว่าสิ่งที่นาวีต้องเจอ มันจะเจ็บปวดขนาดนี้ ตอนนี้อยากขอบคุณที่นาวีกำลังปลอบโยน...และขอโทษที่เคยไม่เข้าใจ

 

...

 

พรุ่งนี้ผมต้องตื่นแต่เช้า แต่คืนนี้กลับนอนไม่หลับ เรื่องที่กำลังกวนใจก็ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญกว่าคือธงทัพยังไม่กลับ เข็มนาฬิกาขยับผ่านเที่ยงคืนไปแล้ว ผมโทรหาสองครั้งแต่ไม่มีการตอบรับ ผมรู้ว่างานวันเกิดของปอคงไม่จบที่ร้านข้าว อาจจะพากันไปเมาต่อที่ไหนสักแห่ง แม้รู้ดีว่าธงทัพมันไม่กินเหล้า แต่ถ้ามันยังกลับไม่ถึงห้องก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดี ผมตัดสินใจโทรหาอีกครั้ง คราวนี้ปลายสายกดรับ แต่ไม่ใช่เสียงธงทัพ 

(ภูผา นี่พี่แต้มนะครับ)

ผมขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อหัวหน้าของธงทัพมารับโทรศัพท์แทน

"ธงทัพล่ะครับ"

(เมาเละเลย)

"ธงทัพเนี่ยนะครับ"

(เออ ไม่รู้มันเป็นอะไรของมัน  เมาไม่ยอมกลับบ้านเลย ภูมารับมันกลับไปทีได้ไหม)

"ครับ ได้ครับ"

หัวหน้าธงทัพบอกสถานที่ที่ผมต้องไป เมื่อคว้ากุญแจรถได้ก็รีบตรงไปที่นั่นเลย ร้านเหล้ายังเปิดให้บริการแม้จะดึกมากแล้ว ผมกวาดสายตามองหา ก่อนเห็นปอที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าร้าน ใกล้ๆ กันคือธงทัพ และคนในออฟฟิศ เพราะเสียงเพลงจากในร้านไม่ได้ดังมาก ผมจึงได้ยินบทสนทนาของพวกเขาตอนที่เดินเข้าไปใกล้ แต่ยังไม่มีใครหันมาเห็น

"กูไปห้องน้ำแป๊บ"

"ผมไปเป็นเพื่อนไหมพี่ทัพ"

"ไม่ต้อง กูเยี่ยวคนเดียวได้" 

"เดินยังไม่ไหวเลย กลัวว่าพี่จะล้มหัวแตกอะดิ"

"กูไหว ไม่ต้องห่วง รอนี่"

ธงทัพเดินไปอีกทางก่อนที่ผมจะเดินถึง ผมควรเดินเข้าไปหา แต่สองขาผมกลับหยุดนิ่งเพราะบทสนทนาต่อจากนั้น   

"เป็นห่วงกันจังเลยนะมึงสองคนเนี่ย"

"ก็ผมไม่เคยเห็นพี่ทัพเมาเลย"

"ตามไปดูมันสิ"

"ไม่เอาอะ เดี๋ยวโดนด่า"

"ฉันไม่เห็นมันจะเคยด่าอะไรแก ทั้งๆ ที่ปากมันหมาขนาดนั้น"

"โดนบ่อยจะตาย พี่ไม่ได้ยินเองต่างหาก"

"แต่นี่พูดตรงๆ นะ ฉันเคยนึกว่าพวกแกสองคนเป็นแฟนกันซะอีก"

"ไม่ใช่นะครับ"

"ก็รู้ว่าไม่ใช่ แต่เคยคิดไง เวลาทำงานก็โต๊ะติดกัน เวลากินข้าวก็ตัวติดกัน เวลาแกโดนพี่แต้มด่าทีไรก็ร้องไห้วิ่งหาไอ้ทัพก่อนเลย ถ้าไม่รู้ว่าไอ้ทัพมันมีภูผาอยู่แล้ว ฉันคงคิดไปไกลกว่านี้"

"พูดมาเลยไอ้เป็ด จริงๆ มึงชอบไอ้ทัพใช่ไหมล่ะ"

"พูดอะไรของพี่"

"ไม่ปฏิเสธซะด้วย"

"พี่แต้มครับ ไม่เล่นแบบนี้สิ"

"มึงพูดไปเหอะ มันไม่ได้ยินหรอก"

"พี่ทัพเขาก็ใจดีกับทุกคนแหละ ไม่ใช่กับผมคนเดียวซะหน่อย"

"มันใจดีกับทุกคน แต่มึงเป็นคนเดียวที่หวั่นไหวใช่ไหมล่ะ"

"พี่แต้มครับ!"

"มึงคิดว่าคนอื่นเขาจะดูไม่ออกหรือไงว่ามึงชอบมัน"

"พี่ทัพเขามีแฟนอยู่แล้วนะ" 

"มึงถึงได้อกหักไง"

"ก็ใช่ไง! พอใจหรือยัง!"

"เฮ้ย ใจเย็น"

"พวกพี่อย่าบอกพี่ทัพนะ ผมจะอกหักให้เงียบที่สุดเลย"

"ตัดใจซะ ไอ้เป็ดเอ๊ย"

ตอนนี้ความคิดในหัวกำลังโต้เถียงกันว่าผมควรรู้สึกยังไงดีที่ได้ยินบทสนทนาเหล่านั้น เหมือนจะโกรธ แต่ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่พอใจ ก็ไม่ถึงขนาดนั้น

หึงมั้ง...

ผมรอให้หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปก่อน แล้วจึงเดินเข้าไปหา ในตอนนั้นธงทัพก็เดินกลับมาพอดี

"ภูผา"

ธงทัพเรียกชื่อผมเสียงดังก่อนเดินเข้ามาหา แต่ดูเหมือนว่าความมึนเมาจะทำให้สองขาจะพากันทรยศไม่รู้ทิศทาง ก้าวมาไม่ทันถึงก็เซจนเกือบล้ม แต่ปอที่อยู่ข้างๆ รับร่างเอาไว้ได้ทัน ธงทัพใช้ทั้งสองมือโอบกอดปอเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม 

"ไหวไหมครับ"

"ไม่ไหวว่ะ ภูผา มากอดหน่อย" ธงทัพผละตัวออกมาจากปอแล้วกอดผมเอาไว้แทน ผมเผลอมองหน้าปอ ตอนที่ปอมองมาพอดีเช่นกัน ปอไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ผมรู้สึกอึดอัดแปลกๆ

"พี่ภู พาพี่ทัพกลับเถอะครับ"

ผมพยักหน้ารับแล้วพาธงทัพออกมาจากตรงนั้น เมื่อพ้นจากสายตาคนอื่น ผมจึงเอ่ยถาม

"ทำไมเมาอะ"

"กินเหล้าไง" ตอบแบบขอไปที แล้วเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งรอ ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วเข้าไปนั่งฝั่งคนขับ ก่อนขับออกมาจากร้าน

"นอนไปเลยก็ได้นะ ถึงแล้วจะเรียก"

"ไม่ได้ง่วง" ธงทัพเถียงเสียงแข็ง ทั้งที่ใบหน้าดูอ่อนล้าพร้อมจะหลับขนาดนั้น 

"ทำไมถึงกินเหล้า ปกติไม่เคย"

"วันเกิดไอ้ปอไง"

"เกี่ยวกันยังไง"

"ก็วันเกิดมันแต่มันไม่อยากกิน กูก็เลยกินแทน อีกอย่าง กูก็แค่อยากลองเมาดู"

"แล้วมันดีไหมล่ะ"

"เมาๆ ให้ลืมอะไรไปบ้างก็ดี"

"มึงหมายถึงอะไร"

"ไม่รู้เว้ย! เอาเป็นว่า กูกินเพราะเป็นวันเกิดไอ้ปอ แค่กินกับน้องมันสนุกๆ ไง มึงจะถามเอาอะไรวะเนี่ย!"

"ทำไมต้องโมโหด้วย"

"ทีมึงยังอารมณ์เสียเลย"

"กูไม่ชอบที่มึงพูดถึงแต่ปอ"

"กูก็ไม่พอใจเวลามึงอยู่กับไอ้นาวีเหมือนกันแหละ"

การถกเถียงเล็กๆ น้อยๆ จากเรื่องไม่เป็นเรื่อง เริ่มบานปลายเมื่อเราคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่ได้ทั้งคู่ ผมพยายามที่ตั้งสติเพื่อหยุดการทะเลาะกัน แต่ธงทัพไม่จบ

"เมื่อเย็นมึงก็อยู่กับมันนี่"

"มึงก็รู้ว่ามันไม่มีอะไร"

"แล้วมึงรู้ได้ไงว่าไอ้นาวีมันไม่มี มึงกล้าพูดไหมว่ามันไม่ได้ล้ำเส้น"

"มีอะไรกูก็บอกมึงหมดทุกอย่าง กูไม่ได้โกหกมึงเลย"

"มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะโกหกหรือพูดความจริง กูแค่อยากรู้ว่าทำไมมึงยังเจอกับมันอยู่อีก"

"ก็กูบอกแล้วว่าไม่มีอะไร"

"เป็นมึงจะคิดไหมว่ามันไม่มีอะไร มึงเป็นแฟนเก่ามันนะเว้ย! มีใครที่ไหนเขากลับไปเป็นเพื่อนกับแฟนเก่าได้บ้างถามจริงๆ เหอะ มึงยังรักมันอยู่หรือไง!"

"มึงจะบ้าเหรอธงทัพ!"

"กูก็ไม่ได้อยากคิดมาก แต่มึงต่างหากที่ทำให้กูไม่ไว้ใจ!"

"กูคิดว่ามึงจะเข้าใจ"

"กูเข้าใจ! แต่กูไม่ชอบ!"

ผมเบรกกะทันหันเพื่อจอดรถที่ริมทาง เพราะคิดว่าขับไปทั้งๆ ที่ใจร้อนเป็นไฟแบบนี้ไม่ไหว ผมรู้ธงทัพไม่มีสติ เพราะอาการมึนเมาทำให้มันพูดทุกอย่างออกมาโดยไม่คิด หากแต่ว่าคำพูดพวกนั้นมันคือความจริงที่ไม่เคยเอ่ยปากบอก ธงทัพสะสมมันแล้วระเบิดออกมา ทุกอย่างจึงรุนแรงไปหมด 

"มึงก็ควรจะเข้าใจกูบ้างนะภูผา"

"กูรักมึงนะธงทัพ"

"แต่กูเริ่มไม่แน่ใจแล้ว ว่ามึงรักกูจริงๆ..."

"..."

"หรือมึงแค่ย้ำให้ตัวเองเชื่อแบบนั้น"



มีต่อด้านล่างนะคะ

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter

ผมอยู่กับธงทัพมานาน ที่ผ่านมามีเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเอามาเถียงกันอยู่บ่อยครั้ง เราทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ใช้เวลาไม่นานเพื่อกลับมาดีกัน เราง้อกันง่ายๆ ด้วยนมช็อกโกแลต เค้กไอติม หรือกอดกันสักครั้งหนึ่งก็เพียงพอ 

แต่คราวนี้สาหัส

หลายวันมานี้ ไม่มีวันไหนที่ผมรู้สึกสบายใจเลย เราไม่ได้เงียบตึงใส่กัน ก็ยังพูดคุยกันแต่มันไม่ปกติ บทสนทนาเวียนซ้ำอยู่สองสามประโยค

 

วันนี้กลับดึกนะ

กินข้าวก่อนเลยไม่ต้องรอ

นอนก่อนเลยนะ


 

คล้ายว่าความสัมพันธ์กำลังมีปัญหาในตอนที่เราต่างคนต่างเปราะบางและอ่อนแอ ผมทบทวนคำพูดของลุงวุธ ครั้งแล้วครั้งเล่า เรื่องสถานะความสัมพันธ์ของเราที่ดูไม่เหมาะสม บางทีลุงวุธอาจพูดถูก เราอาจเป็นพี่น้องที่นี่ แต่เป็นคนรักที่ไม่ได้เรื่องเลย

ผมยอมรับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นและต้องเผชิญ ผมไม่อาจผ่านมันไปได้ด้วยตัวเอง ถ้าธงทัพไม่ช่วยผม เราจะจมอยู่แบบนี้ สุดท้ายคงหนีไม่พ้นจุดจบที่กำลังวิ่งไล่เราอยู่ บ่อยครั้งที่ผมนั่งคิดว่าชีวิตผม...จะทนความเจ็บปวดได้อีกกี่ครั้งกันนะ   

"ภูผา"

"ครับ?"

"เห็นนั่งเหม่ออยู่นานแล้ว เป็นอะไรหรือเปล่า"

"เปล่าครับ"

"ภูจะกลับยัง?"

"ครับ กำลังจะกลับแล้วครับ"

"ไปพร้อมกันสิ"

หมดเวลางานแล้ว แต่ผมไม่รู้ว่าจะไปไหนดี การที่ต้องกลับไปอยู่ห้องคนเดียว ทำอะไรคนเดียว ก่อให้เกิดความเหงาอย่างน่าประหลาด ทั้งที่เมื่อก่อนผมก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้ อาจเป็นเพราะว่าการมีอยู่ของธงทัพ ทำให้ผมเคยตัวขึ้นทุกวัน

"น้องภู ไปกินข้าวด้วยกันไหม"

"ไปด้วยกันนะ"

"จริงด้วยภู เราไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานแล้วนะ"

"ก็ได้ครับ"

"งั้นเดี๋ยวพี่แวะไปหาหัวหน้าแป๊บหนึ่ง พวกเราไปรอหน้าตึกก็ได้"

"ก็ไปด้วยกันนี่แหละพี่ หัวหน้าอยู่ชั้นสามใช่ไหม จะได้แอบไปดูหน่อยว่าออฟฟิศใหม่ใกล้เสร็จหรือยัง"

"จะไปดูออฟฟิศหรือจะไปดูคุณนาวี"

"แล้ววันนี้เขามาไหมอะ"

จะแปดปีก่อนหรือว่าตอนนี้ นาวีก็ยังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หญิงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ...

 ผมเดินตามพวกพี่มาที่ชั้นสาม ห้องทำงานเก่าดูแปลกตาไปเหมือนไม่ใช่ที่เดิม เปลี่ยนไปแม้กระทั่งผนังตึก นั่นคงเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงใช้เวลานานในการรีโนเวท ตอนนี้ช่างก็ยังทำงานอยู่ คงกำลังเร่งมือให้เสร็จตามกำหนด

ผมถอยออกมายืนให้ห่างจากการทำงานของช่างเพราะกลัวจะไปเกะกะ ระหว่างที่รอ ผมเลื่อนสายตามองผนังห้องฝั่งหนึ่งที่กำลังจะถูกเปลี่ยนให้เป็นกระจกใสคล้ายกับชั้นบน ผมเผลอคิด จะมีที่สำหรับตะบองเพชรต้นนั้นของผมไหมนะ...

"ภูผา!"

ผมหันขวับด้วยความตกใจเมื่อชื่อของผมถูกเรียกพร้อมกันจากใครหลายๆ คน หนึ่งในนั้นคือนาวีที่พุ่งตัวเข้ามาหา สถานการณ์รวดเร็วจนผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น รู้ตัวอีกทีผมก็มองเห็นกระจกบานที่กำลังจะถูกยกไป ล้มลงมาหาผมพอดี 

"เพล้ง!"

กระจกแตกพร้อมกับผมที่ล้มลงไปกับพื้น นาวีดึงผมให้หลบทัน แต่ไม่พ้นเศษกระจกที่แตกกระจายใส่หน้าในวินาทีเดียวกัน

เสียงเรียกของคนรอบข้างดังอื้ออึงอยู่ในหู สติที่หายไปทำให้ผมแทบไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นเลย   

"ภูผา"

"..."

"ภูผา เป็นอะไรไหม"

"..."

"ภูผา!"

เสียงดังของนาวีเรียกสติผมกลับมา ผมส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่เป็นอะไร นาวีจึงคลายกอดจากผมพร้อมเสียงถอนหายใจที่ดูโล่งอก

"ภูผา เจ็บตรงไหนไหม เป็นอะไรหรือเปล่า"

"ไม่เป็นไรครับ"

"ลุกไหวไหม"

ผมพยักหน้ารับ แล้วลุกขึ้นจากการช่วยพยุงของพวกพี่เขา ผมยกมือเช็ดแก้มตัวเอง เลือดที่ติดมากับปลายนิ้วบอกให้รู้ว่าตรงนั้นถูกบาดจนเป็นแผล แต่ไม่ได้ลึกอะไรจึงไม่รู้สึกเจ็บ ผมหันมองนาวีที่กำลังยันตัวเองลุกขึ้นมา ก่อนเห็นว่าเขาได้แผลที่มือ น่าจะตอนที่ล้มลงไปกับพื้น ซึ่งแผลนั่นลึกพอที่จะทำให้เลือดไหลออกมาในทันที จนผมต้องจับมือเขาขึ้นมาดู

"เจ็บหรือเปล่า"

"ไม่เป็นไร"

นาวีดึงมือตัวเองกลับไป แล้วตัดบทสนทนาด้วยการหันไปคุยกับเจ้านายผมและช่างเกี่ยวกับอุบัติเหตุเมื่อครู่ ผมไม่ได้พูดอะไรกับเขาต่อ กระทั่งจบเรื่องวุ่นวาย จึงเดินออกมาจากตรงนั้นพร้อมกันทั้งหมด 

"ภูผา กระจกบาดหน้าด้วย เจ็บไหมเนี่ย"

"ไม่เจ็บครับ" ผมตอบ แผลของผมเล็กนิดเดียว เลือดซึมออกมาไม่ถึงหยดก็แห้งหายไป ไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิดจึงปล่อยมันเอาไว้อย่างนั้น บาดแผลที่ผมเป็นห่วงไม่ใช่แผลของตัวเอง แต่เป็นแผลของนาวีต่างหาก 

"คุณนาวีไม่เป็นไรแน่นะคะ"

"ไม่เป็นไรครับ"

"แผลน่าจะลึกนะคะ"

"เลือดหยุดไหลแล้ว ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ งั้นผมกลับก่อนนะ" นาวีบอกลาแล้วเดินออกไปก่อนที่ผมจะได้พูดอะไรด้วยซ้ำ ผมมองตามนาวีไปจนถึงรถ ขึ้นรถไปแล้ว แต่ยังไม่ยอมขับออกไป

"คนอะไรไม่รู้ หล่อแล้วยังเท่มากอีกด้วย"

"เออ ว่าแต่ภูรู้จักกับเขาด้วยเหรอ พี่เห็นเขาเรียกชื่อภู"

"ครับ"

ผมตอบรับ แต่ไม่ได้ขยายความต่อ พวกเขาเองก็ไม่ได้ถาม ก่อนหัวข้อสนทนาจะเปลี่ยนไปเป็นเมนูของมื้อเย็นแทน ผมเดินตามพวกเขาออกมาที่ป้ายรถเมล์ หันกลับไปมองรถนาวี ก็ยังเห็นอยู่ที่เดิม ความกังวลใจทำให้ไม่อาจอยู่เฉย ผมจึงตั้งใจจะย้อนกลับไปหานาวี   

"พี่ครับ เอาไว้ผมไปกินข้าวด้วยวันหลังนะครับ"

"อ้าว..."

"วันหลังนะครับ"

ผมบอกแค่นั้นแล้วเดินกลับไปหานาวีที่รถ เคาะกระจกเบาๆ ก่อนเจ้าของรถจะเลื่อนลง เลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย

"มีอะไรเปล่าภูผา"

"ทำไมไม่ขับรถออกไป เป็นอะไรหรือเปล่า"

"คุยโทรศัพท์อยู่"

ผมนิ่ง มองมืออีกข้างของนาวีที่ถือโทรศัพท์อยู่ นาวีคุยต่ออีกสองสามประโยคก่อนกดวาง แล้วมองหน้าผม

"คิดว่ากูเป็นอะไร"

"คิดว่ามึงเจ็บ"

"ก็บอกแล้วไงว่าไม่เป็นอะไร"

"แต่มือมึงเจ็บ กลัวว่าจะขับรถไม่ได้"

"ก็ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น"

"ลงมาดิ กูขับให้"

"..."

"ยังไงก็ต้องกลับทางเดียวกับมึงอยู่แล้ว ลงมาเถอะ เดี๋ยวกูขับไปให้

"..."

"นาวี อย่าทำให้กูเป็นห่วง"

นาวียอมลงจากรถ ก่อนผมจะเป็นคนขับไปเอง ตลอดทางก็เอาแต่ย้ำคำเดิมว่าไม่เป็นอะไร ผมอยากเชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน แต่บาดแผลมันฟ้องผมหมดแล้ว เขาไม่ยอมไปโรงพยาบาล ผมเลยเสนอตัวทำแผลให้ นาวีลังเลที่จะเข้ามาในห้องของผม

"ธงทัพอยู่ข้างในหรือเปล่า"

"มันยังไม่กลับ"

"แล้วถ้ามันกลับมาล่ะ"

"ก็ถึงได้บอกให้รีบเข้าไปไง จะได้รีบๆ ทำ รีบๆ ไป"

"โอเคๆ ทำไมเดี๋ยวนี้ดุจังเลยเนี่ย"

ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วเดินนำนาวีเข้าห้อง ทำแผลที่มือให้ ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จ นาวีก็เตรียมตัวจะลุกออกไป หากแต่คำพูดของผม ทำให้เขาต้องนั่งลงที่เดิม

"เพราะมึงช่วยกู มึงเลยต้องเจ็บตัว"

"แล้วจะให้ยืนอยู่เฉยๆ ได้ไง"

"แต่คนเจ็บก็ไม่ควรเป็นมึงไง"

"ตอนนั้นกูก็คิดอะไรไม่ทันหรอก รู้แค่ว่าต้องทำแบบนั้นเพราะไม่อยากให้มึงเจ็บ"

"..."

"กูรู้มันไม่ใช่หน้าที่ของกูแล้วที่จะต้องปกป้องมึง"

"..."

"แต่กูแค่อยากให้มึงปลอดภัย"

"ขอบคุณนะ"

"ไม่ต้องคิดมาก ดูดิ แก้มพองหมดแล้วเนี่ย"

นาวีว่าพลางยกมือบีบแก้มผมเบาๆ อย่างที่เคยทำเมื่อนานมาแล้ว

"ปล่อยเลย"

"ไม่ปล่อย"

"ปล่อย!"

"ไม่อยากปล่อยเลย"

นาวีคลายมือที่บีบออก แล้วเปลี่ยนเป็นสัมผัสเข้าเบาๆ ที่แผลข้างแก้ม

"ไม่น่าปล่อยเลย"

"..."

"ถ้าวันนั้นกูไม่ปล่อยมือมึง วันนี้เราก็คงจับมือกันได้"

"..."

"ถ้าวันนั้นไม่ปล่อยให้มึงหายไปจากชีวิต วันนี้เราก็ยังจะรักกันอยู่ใช่ไหม"

ผมจับมือนาวีออกจากแก้ม แล้วกุมมือเขาเอาไว้อย่างนั้นครู่หนึ่งโดยไม่มีบทสนทนา ไม่อาจคาดเดาผ่านแววตาของนาวีว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กระทั่งเขาพูดมันออกมา 

"ภูผา" 

"..."

"มึงยังรักกู"

"..."

"เหมือนที่กูยังรักมึงอยู่หรือเปล่า"

ใบหน้าของนาวีใกล้เข้ามาในตอนที่ทุกอย่างเงียบสนิท ผมไม่ได้ขยับหนี ความคิดพลันจมหายไปในความว่างเปล่า ก่อนใบหน้าของนาวีจะวางลงบนบ่า นาวีแค่กอดผมเอาไว้

น้ำตาผมไหล...ไม่รู้ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ 

 

"แกรก..."


 

เสียงประตูที่กำลังเปิด ดึงความสนใจของผมกับนาวีให้หันขวับไปมอง นิ่งไปทั้งคู่เมื่อเห็นว่าเป็นธงทัพ  ผมผละตัวออกจากกอดนาวี แล้วลุกขึ้นยืน ในตอนที่ธงทัพก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าเรียบเฉย

"ธงทัพ"

"มึงทำอะไร"

"กู..."

"ถามว่าทำอะไร!"

"ไม่มีอะไร"

คำว่าไม่มีอะไรของผม ไม่ทำให้ธงทัพเชื่อได้อีกแล้ว มองเห็นความโกรธของอีกคนผ่านมือที่กำแน่น นาวีลุกขึ้นยืนยังไม่ทันได้พูดอะไร หมัดของธงทัพก็ตรงเข้าที่หน้าของนาวีอย่างห้ามไม่ทัน

 

"พลั่ก!"

 

"ธงทัพ!"

ผมคว้าแขนของธงทัพเอาไว้ก่อนที่ชกหน้านาวีซ้ำ เรี่ยวแรงทั้งหมดของผมที่พยายามจะห้าม หมดความหมายในตอนนี้ธงทัพผลักผมออกมา 

"โครม!"

ร่างผมล้มกระแทกชั้นวางข้างเตียงเป็นเหตุให้ข้าวของบนนั้นหล่นกระจาย ของชิ้นนั้นคือโมเดลบ้านที่ธงทัพประกอบมันขึ้นมา แต่ว่ามันกำลังแตกสลาย...

 

ผมทำให้ความไว้ใจของธงทัพพังยับ ผมทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรามีปัญหา ผมทำให้ธงทัพโกรธมากกว่าทุกครั้ง... 

 

"มึงฟังภูผาก่อนได้ไหม ไอ้ธงทัพ!"

"มึงก็พูดมาดิ!"

"..."

"พูดมาว่ามึงยังรักมันอยู่หรือเปล่า!"

"กูรักมึงธงทัพ" 

"ถ้ามึงรักกูจริง มึงจะไม่ทำแบบนี้"

"ธงทัพ!"

สองมือของธงทัพคว้าร่างนาวีจับกระแทกเข้ากับผนังห้อง แต่นาวีไม่โต้ตอบอะไรเลย

"ธงทัพ ปล่อยนาวีเถอะ!"

"ทำแบบนี้กับกูได้ไงวะภูผา"

"ปล่อยนาวี กูขอร้อง อย่าทำอะไร ธงทัพ! อย่า!"

ด้วยความโกรธเกินยับยั้ง ธงทัพกำลังบีบคอนาวีแน่น โดยที่อีกคนไม่คิดสู้ ผมหมดปัญญาจะขอร้องต่อให้ก้มลงกราบ ธงทัพไม่ยอมปล่อยนาวีออก ผมพยายามที่จะแก้ปัญหาแต่ว่าคิดอะไรไม่ออก ในตอนนั้นจึงเปิดลิ้นชักหยิบปืนขึ้นมา ปืนที่ธงทัพเคยบอกว่า ชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้ใช้

"ปล่อยนาวี!"

ธงทัพนิ่งไปชั่วขณะ คลายมือออกจากคอนาวีแต่ยังไม่ยอมปล่อย 

"ต้องปกป้องมันขนาดนี้เลยเหรอ"

"กูไม่อยากให้มึงทำร้ายใคร"

"งั้นก็ยิงกูเลย"

ธงทัพปล่อยนาวีออกก่อนเขาล้มลงไปกับพื้น ก่อนเดินเข้ามาใกล้ผม จับปลายกระบอกปืนให้ตรงกับอกข้างซ้ายของตัวเอง ถ้าผมทำได้ หัวใจของธงทัพคงแหลกคากระสุนปืน แต่ผมไม่ได้รู้จักปืนดีพอ ไม่รู้วิธีที่จะยิงมันด้วยซ้ำ

 

ผมทำให้มือที่จับกันไว้หลุดออกไปด้วยตัวผมเอง ผมทำให้ทุกอย่างเดินทางถึงจุดจบเร็วกว่าที่คิด...


 

"ถ้ามึงเลือกมัน"

"..."

"มึงก็ไปเลย"

"..."

"ไปเลยภูผา"

"..."

"กูยอมแล้ว"

ผมยืนอยู่ตรงกลางระหว่างนาวีกับธงทัพ ทุกอย่างเงียบงันอยู่นาน กระทั่งผมตัดสินใจเข้าไปหานาวี ดึงให้เขาลุกแล้วถอยหลังไปที่ประตู ขณะที่ยังถือปืนกระบอกนั้นในมืออยู่

"ธงทัพ กูขอโทษ"

แม้ไม่ได้ลั่นไกออกไป แต่คล้ายว่าหัวใจของธงทัพถูกยิงทะลุ ด้วยการที่ผมก้าวออกมาจากตรงนั้น หันมองธงทัพอีกครั้ง เพราะผมทำให้ธงทัพเสียใจ นี่จึงเป็นครั้งแรก...

 

...ที่ได้เห็นน้ำตาของธงทัพ

 

To be continued.


ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
คนเขียนใจร้ายมาก
ธงทัพที่ใจดีคนนั้นหายไปไหน มีแต่คนโมโหเกรี้ยวกราด แบบนี้มันจะแก้ปัญหาได้ยังไง

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
อะไรเนี่ยยยย มาถึงจุดนี้ได้ยังไง :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
รู้สึกเคว้งคว้าง ในหัวว่างเปล่าไปหมด
ความสัมพันธ์ธงทัพภูผามาถึงจุดนี้ได้ยังไง
ก่อนหน้านี้ถ้ามีคนมาบอกว่าภูผาถือปืนจ่อธงทัพ
แน่นอน เราไม่มีทางเชื่อ
อยากร้องไห้แต่มันร้องไม่ออก
:กอดธงทัพ:

 :pig4:



ออฟไลน์ ppreaww

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 30
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เจ็บปวดไปพร้อมกับธงทัพ.. :katai1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :เฮ้อ:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.24] 21/10/18
« ตอบ #289 เมื่อ: 21-10-2018 22:04:10 »





ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ฮือ คนเขียนใจร้ายทำเราร้องไห้เลย ตอนต่อๆไป ขออย่าให้เรื่องมันเลวร้ายไปกว่านี้เลย กลัวจะจบแบบต้องมีคนตายจากไป

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เกิดอะไร........กับธงทัพ   :katai1: :serius2: :really2:
ความบังเอิญบ่อยครั้ง ที่ภูผา นาวีเจอกัน
ทำให้ความเชื่อมั่นสั่นคลอน
ทำให้หวาดกลัว กลัวการสูญเสีย
ทำให้ไม่มั่นคงทางอารมณ์
ทำให้ไม่ไว้วางใจภูผา......... :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
ถ้าจับเข่าคุยกันดีๆ ระหว่างภูผา ธงทัพ
แต่ไม่คุยกัน ธงทัพฟังภูผาพูดแต่ว่า มันไม่มีอะไรๆ แต่ใจมันสั่นไหวไปแล้ว
ความสัมพันธ์ทางกายระหว่างกัน ก็น้อยมากจริงๆ   :serius2:
หน่วงไปอีก แล้วจะยังไงล่ะทีนี้
บางทีการที่ภูผาไม่พูดเรื่องเจอพ่อธงธัพก็มีส่วนนะ
เพราะไปพูดชื่อนาวีแทน จะคิดอะไรมากก็ไม่รู้นะภูผา เจอก็เจอสิ  :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ todiefor

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 204
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
มีความเรื่องวนๆ แกนหลักของเรื่องคือภูผา สลับคนไปมาจนน่าเวียนหัว ภูผาเน้นคิดเอง รู้เอง บอกว่ารักแต่แทบไม่แสดงออก ยิ่งตอนล่าสุดยิ่งหนัก อ่านแล้วรู้สึกว่าโคตรอึดอัด...แบบนี้ก็ได้เหรอออ

แต่อย่างว่า มันนิยายอะเนอะ อย่าจบโหดเกินไปละกันนะจ๊ะ ช่วงนี้ใจบาง กลัวรับไม่ไหว

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เอาจริงๆนะ ตลอดเวลาทีีเราอ่านในมุมมองของภูผาสิ่งที่ภูผาได้บอกกับสามีเราว่ารักธงทัพเสมอเรารู้สึกว่าเหมือนเค้าำลังย้ำกับตัวเองสะกดจิตตัวเองว่ารักธงทัพเราแค่รู้สึกนะถ้าเป็นจริงนี่เราร้องไห้เลยนะ

ออฟไลน์ graciej

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 148
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ทำไมเมื่อก่อนธงทัพอดทนทุกอย่าง รอได้ทุกอย่าง แต่พอเป็นแฟนกับแล้วเหมือนเป็นคนละคน :katai1:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เห็นแฟนเก่ากอดกันในห้องที่มันเป็นห้องของเรา
ก่อนหน้านั่นก็คือระแวงอ่ะ

ถ้าเราเป็นธงทัพเราก็คงอาละวาดเหมือนธงทัพ

คนที่ทนได้มาตลอด พอมาถึงจุดที่มันระเบิดกลายเป็นว่าต้องเป็นคนไม่อดทนซะงั้น มันไม่มีใครทนได้ตลอดไปหรอก

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
นาวีถอยออกมาลูก

หนูอย่าไปยุ่งกับเขา

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 25

 

ไม่มีสิ่งใดให้ไขว่คว้า
ในความสัมพันธ์ที่ลอยละล่องและยุ่งเหยิง 


 


นาวี :


บ้านเป็นที่แรกที่ผมนึกถึง เมื่อต้องเลือกว่าจะไปที่ไหนสักแห่ง และในค่ำคืนที่ความว่างเปล่าเกาะกุมความคิดเอาไว้จนไม่รู้จะไปทางไหนดี ผมจึงกลับมาที่นี่พร้อมกับภูผา ระหว่างทางจนถึงบ้านผม ภูผาไม่ยอมพูดอะไรเลย ไม่ยิ้ม ไม่ร้องไห้ ดูไร้ความรู้สึก ไม่รู้จริงๆ ว่าภูผากำลังคิดอะไร แต่เรื่องหนึ่งที่ผมรู้คือเหตุผลที่เขาเลือกเดินออกมา...เพราะภูผาแค่สงสารผม

"นาวี มึงไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม ที่ธงทัพทำ"

"ไม่เป็นไร" ผมพูดความจริงว่าไม่เป็นไร เพราะที่ธงทัพทำ มันแทบไม่ได้ออกแรงให้ผมเจ็บเลยด้วยซ้ำไป   

"แล้วนี่มึง เอายามาหรือเปล่า...ยาที่ต้องกินทุกวัน"

"เอามา"

"ต้องกินนะ"

"รู้แล้ว เดี๋ยวกิน ไม่ต้องห่วง มึงไปอาบน้ำได้แล้วไป"

ภูผาพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ผมหยิบถุงยาในกระเป๋าแล้วกินยาให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้ภูผาต้องมากังวล ระหว่างรอภูผาอาบน้ำ ผมเดินออกมาที่ห้องนอนของพ่อกับแม่ เพราะคืนนี้ผมจะนอนที่นี่ 

พอเข้ามาในห้องของพ่อกับแม่ ความคิดถึงก็ปรากฏชัดจนผมเกือบจะร้องไห้ บางครั้งผมรู้สึกโกรธพ่อกับแม่ ที่ทิ้งผมเอาไว้คนเดียวแบบนี้ คนจากไปไม่มีวันรับรู้ คนที่ยังอยู่ต่างหากที่ทรมาน เมื่อผมทนอยู่กับความคิดถึงนั้นไม่ไหว จึงยับยั้งมันเอาไว้ด้วยการเดินออกมาจากห้องนั้นแล้วก้าวเท้าไปยังดาดฟ้าของบ้าน ลมพัดเบาๆ กำลังสบาย ผมจึงกระโดดขึ้นไปนั่งที่ขอบดาดฟ้าเอาหน้าปะทะลม ผ่อนคลายความโศกเศร้า แล้วเอาความคิดอื่นเข้ามาแทนที่ดีกว่าปล่อยให้น้ำตาไหล...เพราะผมเหนื่อยแล้วกับการร้องไห้

"นาวี!"

ผมหันมองเสียงเรียกของภูผาที่ดังกว่าปกติ ไม่ทันได้โต้ตอบอะไร ภูผาก็ถามเสียงดังอีก

"จะทำอะไร!"

"..."

"ลงมา!"

ผมคิดว่าภูผากำลังเข้าใจผิดจึงรีบเอาตัวเองลงมาจากขอบดาดฟ้านั่น แล้วอธิบายให้ฟัง

"กูไม่ได้ทำอะไร แค่นั่ง..."

"มึงกินยาเข้าไปกี่เม็ด"

"อะไรนะ"

"ถามว่ากินยาไปกี่เม็ด!"

"สอง"

"แน่ใจนะว่าแค่นั้น"

"แน่ใจ"

"นาวี!"

"แค่นั้นจริงๆ"

ภูผาถอนหายใจ แล้วยกแผงยาเปล่าๆ ให้ผมดู

"กูเห็นนี่ ก็เลยตกใจ คิดว่ามึงกินเข้าไปทั้งหมด"

"มันหมดแผงพอดี กูไม่ได้..."

พูดไม่ทันจบประโยคก็ต้องหยุดชะงัก เพราะภูผาตรงเข้ามากอดผมเอาไว้

"มึงจะไม่ทำอย่างที่กูคิดใช่ไหม"

"..."

"อย่าทำนะ นาวี"

"อืม ไม่ทำหรอก"

ภูผาคลายกอดออกจากผมไป จึงได้เห็นใบหน้าของภูผาที่กำลังเป็นกังวล ใบหน้าบูดบึ้งพาให้แก้มพองหนักกว่าเดิม อดไม่ได้ที่จะยกมือบีบอย่างถือวิสาสะ คราวนี้ภูผาไม่ห้าม ยอมให้จับอยู่อย่างนั้น ได้โอกาสจึงทั้งบีบทั้งยืด เป็นไปได้ก็อยากขยำให้แตกคามือเลย

"นาวี"

"ฮึ?"

"พอแล้วกูเจ็บ"

"อ้าว เจ็บเหรอ โทษที" ผมดึงมือตัวเองออกมาจากแก้มภูผา แล้วชวนกันนั่งลงกับพื้นดาดฟ้า ภูผาแหงนหน้ามองหาดาว ก่อนจะบ่นออกมาเพราะหาไม่เจอ

"ไม่มีดาวสักดวงเลย"

ผมเห็นว่าภูผาดูผิดหวัง จึงยื่นแขนข้างที่มีรอยสักรูปกลุ่มดาวให้ดู   

"อยู่นี่"

ภูผายิ้มออก แล้วส่ายหน้าเบาๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบแขนผมเบาๆ เลื่อนผ่านรอยสัก ไปที่รอยแผลอีกข้าง

"พี่นาวี"

"อย่าเรียกแบบนี้"

"เมื่อก่อนชอบให้เรียกแบบนี้ไม่ใช่เหรอ"

"ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวใจสั่น มึงจะรับผิดชอบยังไง"

"งั้นก็นาวีเฉยๆ"

"อืม"

"กูขอถามอะไรหน่อยได้ไหม"

"อะไร"

"เรื่องโรคนั่น..."

"มันเกิดขึ้นได้ยังไง...ใช่ไหม?"

ภูผาพยักหน้ารับเมื่อผมเดาได้ว่าจะถามอะไร ผมรู้คำถาม...แต่ไม่รู้คำตอบ

"ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร"

ผมพยายามที่จะไม่เป็นอะไร คิดว่าตัวเองควบคุมมันได้ แต่ไม่ใช่แบบนั้นเลย อาจเป็นเพราะผมอ่อนเอ เสพความเศร้าจนบ้าคลั่ง เมื่อหันหลังกลับไปก็ไม่เหลือใคร ผมจึงโดดเดี่ยว

ผมขังตัวเองเอาไว้ภายใต้ความมืดมน โง่เง่าและขี้ขลาด มีความทรงจำเป็นภาพนิ่ง คล้ายว่าทุกสิ่งไม่เคลื่อนไหวไปข้างหน้า ตัวผมก็อยู่ที่เดิม จมอยู่ใต้ทะเลลึก แหวกว่ายหาทางออกไม่เจอ เพราะหนทางพร่ามัวไปด้วยน้ำตา ผมเคยสงสัย ร่างกายก็ไม่ได้มีแผล แต่ทำไมมันเจ็บจังเลย

ผมจึงจำเป็นต้องสร้างบาดแผลสมมติขึ้นมา จะได้ยืนยันว่ามันคือความเจ็บปวด เมื่อผมเริ่มเบื่อหน่ายกับการร้องไห้ ผมจะทำให้เลือดจากแขนไหลออกมาแทน ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ทำร้ายตัวเองจนกว่าไม่รู้สึก กระทั่งผมเริ่มไม่ร้องไห้...แต่แขนไม่มีที่ว่างให้แผลต่อไปอีกเลย

บาดแผล ตัวผม อารมณ์ และความรู้สึก ทุกอย่างเปราะบางไม่ต่างกัน ความบอบช้ำก็ทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างนั้น บางวันก็เหนื่อยจนต้องยอมแพ้และไม่มีสิ่งใดฉุดผมให้ลุกขึ้นสู้เลย ความเศร้ากดผมให้จมลงจนถึงจุดที่ลึกที่สุด แล้วเอาทุกสิ่งทุกอย่างจากผมไป กัดกร่อนและกลืนกิน กระทั่งไม่เหลือผมคนเดิม...ไม่ใช่นาวีคนเดิม     

"เป็นเพราะกูหรือเปล่านาวี กูเป็นสาเหตุนั้นของมึงหรือเปล่า"

"ไม่ใช่" 

"..."

"ไม่ใช่เพราะมึง" 


แต่ก็มีส่วน...


เป็นเพราะยังรักและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน ภูผาเป็นความรักเดียวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นและยังคงยาวนานมาจนถึงตอนนี้  ผมไม่เคยเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นเลย ในตอนที่เราสูญหายไปจากกัน ความทรงจำมันทำร้ายผม ความคิดถึงเป็นอาวุธแหลมคมที่ทิ่มแทง ความเจ็บปวดทำให้ผมเอาแต่โทษตัวเอง ถ้าผมไม่ปล่อยมือ ถ้าผมอดทนอีกสักครั้ง ทุกอย่างคงไม่พังทลายไปง่ายๆ แบบนั้น

"กูยังรู้สึกผิดกับเรื่องวันนั้นอยู่ วันที่กูเลือกที่จะทิ้งมึงไป"

"นาวี มึงรู้ใช่ไหมว่าเรื่องของเรามันผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว"

"..."

"มันนานมากแล้ว"

"..."

"และมันก็จบไปแล้ว"

"..."

"ไม่ต้องรู้สึกผิด เลิกจมอยู่กับมัน"

"..."

"กูอยากให้มึงหาย ลืมเรื่องนั้นแล้วใช้ชีวิตต่อไป มึงจะได้ไม่เจ็บปวดอีก"

เป็นถ้อยคำให้กำลังใจและแฝงคำบอกลาอยู่ด้วยอย่างรู้สึกได้ ที่ผมเคยถามก็ได้รับคำตอบแล้วจากประโยคนี้ ภูผาไม่ได้รักผมแล้ว ไม่หลงเหลือความรู้สึกใดนอกจากความสงสาร ผมเข้าใจเรื่องนั้นดี แต่ยังไม่อยากยอมรับ จึงใช้ความสงสารของภูผายื้อเวลาด้วยคำขอร้องโง่ๆ 

"ขออีกสักวัน"

"..."

"อยู่ด้วยกันก่อนนะ"

 

...

 

แค่หนึ่งวันคงไม่ยาวนานพอที่จะทำอะไรอย่างที่อยากทำได้ทั้งหมด แต่ผมกับภูผาก็กำลังพยายามสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ ทนแทนบางอย่างที่ขาดหายไป 

ผมเพิ่งมีโอกาสได้ไปหาแม่ภูผา เพื่อขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง ภูผาบอกผมว่าเสียใจที่แม่จากไปทั้งที่ยังไม่เข้าใจกัน ผมเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้ เป็นคนที่ทำให้ภูผากับแม่ต้องทะเลาะกัน แม้ภูผาบอกให้ละทิ้งความรู้สึกนั้นไปแต่ผมยังคงรู้สึกผิด 

"มันไม่ใช่ความผิดของมึงหรอก กูต่างหากที่ดื้อกับแม่ทุกเรื่อง ต่อให้ไม่มีเรื่องของมึง กูก็ทะเลาะกับเขาอยู่ดี"

"มึงคิดว่าเขาจะให้อภัยเราไหม"

"แม่หายโกรธแล้ว"

"รู้ได้ยังไง"

ภูผายกมือขึ้นชี้รูปถ่ายของแม่ที่ติดอยู่หน้าช่องบรรจุอัฐิ แล้วหันมาตอบผม

"เพราะแม่ยิ้มให้กู"

"..."

"และยิ้มให้มึงด้วย"

ผมหันมองรูปของแม่ภูผา คำว่าขอโทษถูกเอ่ยซ้ำอยู่ในใจอีกครั้ง แม้ยังรู้สึกผิดแต่ชีวิตผมก็ต้องไปต่อ ผมจึงขอเข้าข้างตัวเอง ว่าความผิดของผมได้รับการให้อภัยแล้ว...ผ่านรอยยิ้มอ่อนโยนจากรูปถ่ายนั้น

 

เพราะวัดอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนเก่า ขากลับเราจึงแวะไปที่โรงเรียน มีหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปแล้ว แต่ความทรงจำของเรายังอยู่กับสิ่งเดิม จึงผลัดกันพูดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาไม่หยุด

"จำได้ไหมเคยต่อยกับพี่ไนท์จนมันคางแตก ตรงนี้เลย"

"จำได้ โดนเรียกผู้ปกครองเลย"

"เมื่อก่อนเป็นคนเกรี้ยวกราดเนอะ"

"เกรี้ยวกราดอะไร อ่อนแอจะตาย ตอนนั้นกูเป็นคนที่ใช้ห้องพยาบาลคุ้มที่สุดในโรงเรียนแล้ว"

"มึงแค่ขี้เกียจเหอะ"

"ไม่จริง กูป่วย"

"แล้วเดี๋ยวนี้ยังเป็นอยู่ไหม ปวดท้องเวลาไม่กินข้าวเนี่ย"

"ก็บางครั้ง ไม่มีใครคอยมาสั่งให้กินข้าวทุกวันเหมือนตอนเรียน"

ภูผาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนหยุดเดินเมื่อหันไปเห็นบางอย่างที่บอร์ดประชาสัมพันธ์ เดินตรงเข้าไปอ่านแล้วเรียกให้ผมดูด้วย ผมเลื่อนสายตาอ่านข้อความเหล่านั้นจากประกาศของชมรมดาราศาสตร์ จับใจความได้ว่าคืนนี้มีดาวตก ภูผาหันมาบอกผม 

"คืนนี้คงต้องขึ้นไปนอนที่ดาดฟ้าแล้ว"

หลังจากเดินรำลึกความหลังไปทั่วโรงเรียน ผมกับภูผาก็ชวนกันกลับ ระหว่างนั้นก็หันมองหน้ากัน ต่างคนต่างมีคำถาม ก่อนเราจะพูดมันออกมาพร้อมกันในประโยคที่คล้ายกัน 

"ไปไหนดี"

"ไปไหนต่อดี"

ภูผาหลุดหัวเราะ ก่อนที่ผมจะเป็นคนเสนอสิ่งที่อยากทำออกไป

"ดูหนังกันไหม"

"มีเรื่องอะไรน่าดู"

"เรื่องที่เราพลาดไปแล้วไม่ได้ดูด้วยกัน"

"หมายถึงกลับไปดูที่บ้านเหรอ"

"อืม แวะซื้อเค้กไอติมไปกินด้วยดีไหม"

"เอารสช็อกโกแลต..." 

"หน้าสตอว์เบอร์รี่"

"ใช่"

"ไม่เคยลืมหรอกน่า"

ภูผาหันมองผม แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรต่อ สายตาที่มองหน้าผมก็หันขวับไปหาเสียงเรียกที่ร้องดังขึ้น   

"พี่ครับ! ระวัง!"

 

"ตุ้บ!"

 

ลูกบาสฯ ที่ลอยมาจากสนามถูกภูผารับเอาไว้ได้พอดีก่อนที่จะกระแทกหน้าผม เด็กในสนามสามัคคีกันตะโกนขอโทษเสียงดัง   

"ขอโทษครับพี่!"

ภูผายื่นลูกบาสฯ ให้ เพื่อที่จะให้ผมเป็นคนโยนคืนกลับไปในสนาม ผมขยับเท้าไปที่ขอบสนาม มองดูระยะห่างจากตรงนี้ไปจนถึงแป้นบาสฯ แล้วออกแรงโยนมันออกไป

 

"ขวับ!"


 

ลูกบาสฯ ในมือผมลงห่วงไปท่ามกลางเสียงร้องของเด็กในสนาม แม้แต่คนข้างๆ ด้วย

"โคตรเจ๋งเลยพี่!"

"เก่งเหมือนเดิมเลยว่ะ ไม่เสียชื่ออดีตนักกีฬาโรงเรียน"

"มึงก็ทำได้"

"ฟลุคทุกครั้งต่างหาก"

ผมยิ้มรับ ก่อนหันมองกลับไปที่สนามบาสอีกครั้ง ที่เจอภูผาครั้งแรก...ก็ตรงนี้สินะ

           

...

           

เรากลับมาที่บ้านพร้อมเค้กไอติม ใช้เวลาหลังจากนั้นดูหนังเรื่องเดิมจากแผ่นดีวีดีและพูดคุยกันไปด้วย ถึงมื้อเย็นก็ออกไปกินข้าว และยังคงผลัดกันเล่าเรื่องราวตลอดหลายปีที่ต่างคนต่างเจอมา เป็นหนึ่งวันที่ยาวนานและคุ้มค่า...เป็นหนึ่งวันที่ผมมีความสุขมากที่สุดเลย   

ตอนนี้เราขึ้นมาอยู่ที่ดาดฟ้า เพื่อรอเวลาดูดาวตก แต่ท้องฟ้ายังคงมีแสงของพระจันทร์ส่องสว่าง ผมจึงมองไม่เห็นดาวสักดวงเลย

"ง่วงยัง"

ผมพยักหน้ารับ หลังจากถูกภูผาบังคับให้กินยาผมก็ง่วงทันทีเลย

"ถ้านอนตรงนี้ ยุงจะไม่กัดตายใช่ไหม"

"พรุ่งนี้พาไปหาหมอด้วย เป็นไข้เลือดออก"

ภูผาหลุดหัวเราะ แล้วดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้

"นอนไปก่อนก็ได้"

ผมไม่ได้ตอบอะไร นอกจากยังคงมองหน้าภูผาที่นอนอยู่ข้างๆ ใกล้กันจนผมไม่คิดว่านี่คือความจริง ผมหลับตาลงช้าๆ แล้วจมดิ่งอยู่ในความทรงจำที่จบไปแล้วอยู่เนิ่นนาน ให้ผมลืมคงไม่ได้ จึงเลือกจดจำไว้แค่เรื่องที่ยังคงสวยงาม

"นาวี"

ผมลืมตาขึ้นมองเสียงเรียกที่แผ่วเบา มือเย็นเฉียบของภูผาสัมผัสเข้ามาที่ข้างแก้ม เพื่อเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

"เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอ"

ผมส่ายหน้าปฏิเสธ

เป็นฝันดีต่างหาก

แต่พอรู้ตัวว่ามันเป็นแค่ฝัน ก็เลยเศร้าจนต้องร้องไห้...

"ภูผา"

"ฮึ?"

"พรุ่งนี้มึงจะกลับไปหาธงทัพใช่ไหม"

"ไม่รู้สิ ยังไม่รู้เลย"

"มึงต้องกลับไปคุยกับมันให้รู้เรื่องนะ"

"กูทำให้ธงทัพเสียใจ"

"แล้วมึงเดินออกมาทำไม"

"กูโง่เกินกว่าจะคิดว่าควรทำยังไง กูแค่ไม่อยากให้ธงทัพทำอะไรมึงไปมากกว่านั้น กูแค่หนีปัญหาด้วยการหนีออกมา กูผิดเอง"

"คนผิดคือกูต่างหาก กูไม่ควรกลับเข้ามาวุ่นวายในความสัมพันธ์ของมึงสองคน"

"อย่าโทษตัวเองสิ"

"ไม่โทษไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะกู แล้วใครจะรับผิดชอบเรื่องที่มันเกิดขึ้นล่ะ ให้กูรับไว้เถอะ"

"มันไม่ควรมีใครต้องเสียใจ"

"กลับไปหาธงทัพเถอะ"

"มึงว่า ธงทัพจะให้อภัยกูไหม"

ผมไม่ตอบ เพราะไม่อาจคาดเดา แต่รู้ว่าธงทัพกำลังเข้าใจผิด คิดว่าภูผาเลือกผมซึ่งความจริงไม่ใช่ ภูผาแค่สงสารผม และเมื่อความรักถูกแยกออกจากความสงสาร ภูผาก็ไม่เหลือเหตุผลที่จะอยู่เคียงข้างผมอีกต่อไป จึงไม่มีสิ่งใดให้ไขว่คว้าในความสัมพันธ์ที่ลอยละล่องและยุ่งเหยิง พรุ่งนี้เราก็ต้องไปจากที่นี่...หมายถึง ไปจากกันและกัน

ธงทัพ ภูผา และผม เราเปรียบเหมือนหนังสือเล่มเดียวกัน เป็นหนังสือที่พูดถึงความสัมพันธ์อันซับซ้อนและสับสน เมื่อดำเนินมาจนถึงจุดหนึ่ง ทุกตอนของผมก็ต้องจบลงไปก่อน ส่วนตอนของพวกเขายังคงเดินทางต่อ โดยไร้ผมเป็นหนึ่งในตัวละคร 

"นาวี ดูนั่น!"

ผมหันมองแสงสว่างบนท้องฟ้าที่ผ่านสายตาไปพอดี ดาวดวงแรกตกลงมาแล้ว จึงพลันอธิษฐานขอพรตามความเชื่อ ภูผาก็เช่นกัน 

"นาวี"

"..."

"กูขอให้มึงหายดี"

"..."

"อย่าเจ็บปวดอีกเลยนะ"

ผมพยักหน้ารับและจะตั้งใจทำให้คำขอของเขาเป็นจริง ผมอยากให้ภูผาคลายกังวล ต่อให้เราต้องสูญหายไปจากกันอีกกี่ครั้ง ก็ขอให้ภูผาสบายใจ ว่าผมจะสบายดีอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้โดยไม่ต้องเป็นห่วงกัน

"ขอบคุณนะภูผา"

"แล้วมึงขออะไร"

ผมเลื่อนสายตามองท้องฟ้าอีกครั้ง แปดปีก่อนผมเคยขอให้เรารักกันตลอดไป แต่วันนี้ผมต้องยอมรับ ตลอดไปของเรา ยาวนานได้แค่นี้...หมดเวลาของผมแล้ว

 

"ขอให้ธงทัพให้อภัยมึง"


 

To be continued.

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
กอดนาวีถึงหนูจะไม่เหลือใครหนูก็มีป้าเป็นทีมหนูนะ

นาวีคนดีอย่าเศร้าลูกอย่าเศร้า

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ขอให้นาวี ภูผา ธงทัพไม่เจ็บปวดอีก
ขอให้ธงทัพให้อภัยภูผา กลับมาคบกันเถอะ
ห้องของทั้งสองคนยังไม่ได้เข้าไปอยู่ด้วยกันเลย

เป็นห่วงธงทัพ หนึ่งวันของธงทัพจะเป็นยังไงบ้าง
หัวใจของเราอยู่ในมือคนแต่งแล้ว เมตตาเราเถอะ  :z4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด