[END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [END]►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EPILOGUE] 28/10/18  (อ่าน 66109 ครั้ง)

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
 3P ก็ไม่เป็นไรเรารับได้

ออฟไลน์ aumaim0621

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 19
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ทำไมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆว่าบทปอมันต้องมีอะไรอ่า ร้ายไปเลยหรือไม่ก็อาจคู่กับนาวี? กลัวมาทางที่ทำอะไรให้ภูผากับธงทัพผิดใจกัน แต่ที่ร้ายแรงกว่าคือกลัวธงทัพเป็นโรคร้าย! เหมือนชอบเลือดกำเดาไหลด้วยไหม... ขออย่าให้เป็นงั้นเลย ไม่งั้นน้องคงแบบต้องไปบวชแล้วหล่ะYY

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 20

 

แม้เคยชินจนไม่ร้องไห้
แต่ความเสียใจ
มันก็ยังเหมือนเดิม


 

 

ธงทัพใช้เวลาสามวันอยู่ในโรงพยาบาล หลังออกจากโรงพยาบาลก็ยังได้พักต่อเพราะตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์พอดี อาการป่วยทางร่างกายหายแล้ว แต่อาการอ้อนท่าทางจะเป็นเรื้อรัง หลังจากเก็บกดกินอะไรไม่ได้มาหลายวัน พอหายดีก็สั่งผมซื้อนั่นซื้อนี่เข้าไปให้กิน ผมเพิ่งเอาเฝือกแขนออกไปเมื่อวาน แต่ดูเหมือนวันนี้กระดูกแขนจะหักอีกสักสองท่อนเพราะหอบหิ้วของกินมาให้มันนี่แหละ

เมื่อกลับมาถึงห้องพร้อมอาหารที่สั่งทุกรายการ เจ้าของห้องก็จัดการแกะใส่จานแล้วตื่นเต้นกับการกินเหมือนชีวิตนี้ไม่เคยกินมันมาก่อน

"กูคิดว่าลิ้นจะรับรสชาติแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ถ้าเป็นแบบนั้นกูยอมตายดีกว่า"

"เวอร์"

"ไม่เวอร์" มันเถียงแล้วยัดกุ้งเผาที่แกะเปลือกแล้วยัดใส่ปากผม ผมเคี้ยวอาหารในปากพลางหันมองนอกหน้าต่างที่อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมา

"ฝนตกอีกแล้ว" อีกคนบ่น แล้วทำท่าจะลุกขึ้นไปปิดกระจก แต่ผมยกมือกดไหล่มันเอาไว้แล้วเป็นฝ่ายลุกไปเอง ยืนดูฝนที่ลงเม็ดมาเบาๆ แล้วหันไปหามัน

"อากาศแบบนี้น่ากินเบียร์เนอะ"

ธงทัพหันขวับขมวดคิ้วแน่นเข้าหากัน อย่างที่รู้กันว่ามันไม่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วก็มักจะห้ามผมไปด้วย เมื่อเห็นหน้าเข้มของมัน ผมก็เม้มริมฝีปากเข้าหากัน อมยิ้มนิดๆ  ยิ่งทำแบบนั้นแก้มยิ่งขยับพอง ทำตาให้โตขึ้นเล็กน้อยด้วยการเชิดหัวคิ้วขึ้นนิดๆ ผมดูมาจากละคร เขาว่าใบหน้าของคนออดอ้อนเป็นเช่นนั้นเลยลองใช้มันกับธงทัพดู

"ทำหน้าอะไรของมึง"

ไม่ได้ผลแฮะ...

"ดูไม่เหมือนหน้าคนอ้อนเหรอ"

"ดูเหมือนคนดื้อจนอยากจะลุกไปตีสักทีหนึ่ง"

"ขอกินเบียร์สักกระป๋องได้ไหม"

"มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือไง"

"ไม่มี"

"..."

"แต่บรรยากาศแบบนี้มันน่าดื่มไง"

"..."

"แค่กระป๋องเดียว" เมื่อใช้ใบหน้าอ้อนวอนเฉยๆ ไม่ได้ ก็ต้องใช้ร่างกายเข้าช่วย ผมเดินกลับไปหาธงทัพ คุกเข่าลงด้านหลัง สองมือคล้องเข้าที่คอแล้วยื่นหน้าที่มันว่าคล้ายเป็ดเข้าไปหา ปลายจมูกเขี่ยเบาๆ ที่ใบหูแล้วเปลี่ยนเป็นริมฝีปากที่กระซิบเอ่ยด้วยคำเดียวแบบสั้นๆ เลย

"นะ..."

"มึงลงไปซื้อมาเลยไป เอามาทั้งโหลเลยไป แล้วอย่าทำแบบนี้อีกนะโว้ย!"

ผมหัวเราะดังที่สุดเท่าที่จะทำได้ ชัยชนะที่ได้มาจากการใช้มุกออดอ้อนเล็กๆ น้อยๆ ย้ำเตือนให้รู้ว่าหัวใจธงทัพแม่งโคตรอ่อน ผมคว้ากระเป๋าเงินลงไปที่ร้านค้าใต้ตึก ก่อนกลับขึ้นมาพร้อมเบียร์สองกระป๋องและนมช็อกโกแลตอีกแพ็กหนึ่ง

ฝนยังคงตกหนักขึ้นเรื่อยๆ คืนนี้คงมีเสียงฝนเป็นเพลงประกอบไปทั้งคืน การอยู่ร่วมกันของผมกับธงทัพก็เข้าสู่ความสงบ เมื่อธงทัพขยับตัวเองไปนั่งประกอบโมเดลบ้านที่ยังทำค้างอยู่หลายเดือนแล้ว ผมเปิดกระป๋องเบียร์สำหรับตัวเอง และเจาะกล่องนมช็อกโกแลตให้ธงทัพ ก่อนเดินไปนั่งที่ริมหน้าต่าง

ผมใช้เวลาเทียบเท่าเบียร์หนึ่งกระป๋องที่ดื่มหมดในการนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย ผมไม่ค่อยคิดอะไรในหัว ชอบปล่อยให้ความว่างเปล่าอยู่ในนั้นมากกว่าที่จะมาคิดอะไรให้รกสมอง เมื่อใช้เวลากับความว่างเปล่ามากพอจึงเดินไปนั่งข้างๆ ธงทัพ มองดูคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับโมเดลบ้านตรงหน้า ชิ้นส่วนขนาดเล็กขัดแย้งกับมือใหญ่ๆ ของธงทัพจนอดขำไม่ได้ในตอนที่มือมันกำลังสั่นเมื่อตั้งใจประกอบชิ้นส่วนบางชิ้นที่เล็กจนสร้างความลำบาก   

"ใกล้จะเสร็จหรือยัง"

"ทำไม จะเอาอะไร"

"เปล่า ถามเฉยๆ เห็นมึงต่อมาหลายเดือนแล้ว"

"เกือบแล้ว" ปากตอบผม แต่มือก็เลือกวัสดุชิ้นถัดไปสำหรับพื้นที่ส่วนต่อไปของบ้าน ประกอบเข้าด้วยกันอย่างใจเย็นสมกับเป็นธงทัพ เนิ่นนานอยู่เหมือนกันที่ผมเผลอเพลินไปกับการนั่งมองเฉยๆ กระทั่งมันกลายเป็นรูปเป็นร่างที่เสร็จสมบูรณ์ ธงทัพลั่นเสียงที่ดูพอใจออกมาก่อนทิ้งตัวเองนอนลงบนพื้น

"กว่าจะเสร็จ สามเดือนได้มั้ง"

"กูว่ามากกว่านั้น" ผมบอก ขณะมองโมเดลบ้านนั่นแต่ไม่กล้าแตะต้อง กลัวว่าจะมีส่วนไหนที่กาวยังไม่แห้ง ถ้าเผลอไปจับเข้าคงเรื่องใหญ่

"ถ้าสร้างจริงๆ จะใช้เวลานานเท่าไรนะ"

"สร้างจริง?"

ธงทัพยันตัวเองขึ้นมาเพื่อตอบคำถามของผม

"กูจะสร้างมันจริงๆ แบบนี้เลย"

"..."

"บ้านของเรา"

ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง น้ำเสียงนั่นก็ดูจริงจังเกินกว่าจะล้อเล่น สายตาของธงทัพเลื่อนมองโมเดลบ้านแล้วยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม มือเรียวสัมผัสบ้านจำลองนั่นเบาๆ

"บ้านที่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปไง"

ผมหลุดยิ้ม ครั้งนี้ธงทัพทำเอาผมใบหน้าร้อนผ่าวจนไม่กล้ากลบเกลื่อนว่าเขินอย่างจริงจัง

"กูว่าจะรีบเก็บเงินสร้างบ้าน"

"เลิกซื้อฟิกเกอร์ก่อนไหม"

"เลิกได้ไง! มึงดูนี่" ธงทัพชี้นิ้วไปที่ห้องหนึ่งในโมเดล

"คือ?"

"ห้องเก็บฟิกเกอร์กับหนังสือของกู"

"โห! ชาตินี้คงไม่มีบ้านหรอกงั้นอะ!"

"เออน่า ถ่ายรูปไปอวดแม่ดีกว่า" มันว่าพลางหันซ้ายหันขวาหาโทรศัพท์ แต่ไม่เจอ ความที่ชอบวางอะไรไม่เป็นที่เป็นทางก็เป็นนิสัยที่ชอบทำให้หาอะไรไม่เจอนั่นแหละ

"ภูผา ยืมมือถือโทรเข้าเครื่องหน่อย"

ผมพยักหน้าไปที่มือถือซึ่งวางอยู่บนโซฟา มันก็หยิบมากดหาเบอร์ตัวเอง ในตอนนั้นผมพลันนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่างจึงลุกพรวดหวังจะคว้ามือถือคืน แต่สายไปเสียแล้ว

ธงทัพยกมือถือขึ้นหนีก่อนผมจะคว้าทัน แล้วเค้นเสียงผ่านไรฟันออกมาเบาๆ

"หมาบ้า..."

"..."

"มึงเมมฯ ชื่อกูแบบนี้เหรอ! หมาบ้า! หมาบ้าเนี่ยนะ!"

"กูกะจะเปลี่ยนอยู่แล้ว"

"มึงไม่ต้องมาแก้ตัวเลย! มาให้หมาบ้ากัดสักที!"

"เฮ้ย!" ผมกระโดดหนีตอนที่ธงทัพพุ่งเข้ามาหาคล้ายว่าจะกัดจริง วิ่งไล่กันเป็นเด็กก่อนผมจะโดนมันจับได้แล้วทุ่มลงบนเตียงนอน

"ธงทัพ!"

"กัดแม่ง!" มันเอาจริงด้วยการพุ่งมากัดเข้าที่ลำคอ ผมร้องลั่นพลางผลักมันออก ใช้แรงที่มีอยู่งัดมาสู้กับแรงมัน จนสามารถใช้แขนข้างหนึ่งล็อกคอมันแล้วกดลงกับเตียง คราวนี้เป็นมันที่ต้องรอขอชีวิต

"โอ๊ยๆๆ! ภูผา เจ็บ! ปล่อย!"

"ปล่อยแล้วจะกัดกูป่ะ!"

"ไม่กัดแล้วๆ ขอโทษๆ"

ผมยกมืออีกข้างเขกหัวมันไปทีหนึ่งแล้วยอมปล่อยมันออก มันรีบพลิกตัวนอนหงาย ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหอบ ผมเองก็ไม่ต่างกัน

"เปลี่ยนชื่อเลย"

"เออ เปลี่ยนก็ได้" ผมตอบรับแล้วเอื้อมมือหยิบมือถือที่หล่นอยู่บนเตียงตั้งแต่ตอนที่สู้กันขึ้นมา เมื่อผมยกมือถือขึ้นกำลังจะกด ธงทัพก็แทรกหัวเข้ามาเสนอหน้ามองด้วย

"หนุนแขนเลยไหม"

ผมแกล้งถาม คนถูกแกล้งเอาจริงด้วยการแทรกหัวตัวเองเข้ามานอนหนุนแขนผม ก็อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้ตัวเล็กไปกว่าธงทัพเท่าไร ไม่ใช่ว่าบอบบางจนร่างปวกเปียก ท่อนแขนผมก็มีแรงพอที่จะให้ธงทัพนอนหนุนได้ จึงยอมให้มันนอนอยู่อย่างนั้น อีกมือก็กดลบชื่อเดิมในมือถือที่เมมฯ เอาไว้

ผมนิ่งไปนิดหนึ่งตอนกำลังจะเมมฯ ชื่อใหม่ลงไป

"พี่ธงทัพ"

เจ้าของเบอร์บอกแบบนั้นด้วยเสียงเข้ม

"บังคับว่ะ"

"พี่ธงทัพ เร็ว พ.พาน..."

"เออ กูรู้!"

ผมพิมพ์คำว่า พี่ จบก็นิ่งไปอีกที ในจังหวะที่ธงทัพมันละสายตาไปทางอื่น ก็รีบพิมพ์ให้จบๆ ไป เมื่อมันเงยหน้าขึ้นมาอีกทีก็เรียบร้อยไปแล้ว

 

พี่หมา

 

ธงทัพเหลือบตาขึ้นมอง กำลังจะผงกหัวขึ้นมา แต่ผมรีบใช้แขนข้างที่มันใช้หนุนอยู่บีบหัวมันให้นอนอยู่กับที่ ใช้คำหวานหว่านล้อมจนตัวมันเองหยุดที่จะโมโห

"เป็นหมาน่ารักดีออก"

"..."

"เป็นหมาตัวใหญ่ๆ"

"..."

"ปกป้องกูได้"

"หมาที่ไหนจะปกป้องเป็ด มันเห็นก็จับแดกหมดแหละ"

"แล้วมึงจะแดกกูด้วยหรือไง"

ธงทัพไม่เถียงกลับ ได้แต่หัวเราะอยู่ในลำคอเบาๆ แล้วขยับร่างนอนหงายทั้งที่ยังหนุนแขนของผมอยู่

"เมื่อยไหม"

"ถ้าเมื่อยจะบอก"

"อืม...จะอยู่แบบนี้นะ"

ผมไม่ได้ตอบแต่ก็รู้ว่าอนุญาต ธงทัพหลับตาลงช้าๆ คงตั้งใจจะนอน ผมปล่อยให้ธงทัพนอนในท่านั้น ส่วนตัวเองก็ใช้มืออีกข้างกดเล่นมือถือไปเพลินๆ เมื่อถึงพักใหญ่ๆ ก็เริ่มเมื่อย ผมตั้งใจจะขยับแขนนิดหนึ่ง แต่พลาดทำมือถือตกใส่หน้าธงทัพ กระแทกดั้งจังๆ คนที่หลับอยู่ลืมตาโพล่งขึ้นจนผมสะดุ้ง

"เจ็บนะโว้ย!"

"โทษๆ"

"ดั้งกู"

"ขอโทษ ไหนดูหน่อย หักเปล่า"

"ไอ้...แม่ง..." ปากก็อยากจะด่าแต่ดั้งก็เจ็บ ผมเองก็ได้แต่พร่ำขอโทษเบาๆ แล้วยกมือลูบดั้งนั่นหวังว่าจะไม่เจ็บหนัก

"เจ็บไหม"

เจ้าของดั้งไม่ตอบกลับอะไร และอีกครั้งที่ใบหน้าเราใกล้เกินจะรู้ตัว แต่ในตอนนี้ผมรู้...เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ เมื่อใบหน้าเฉียดใกล้ มันก็ต้องเป็นไปตามจังหวะของมัน

ธงทัพจูบผมหนึ่งครั้ง

เราแยกริมฝีปากออกจากกัน

ผมจูบธงทัพกลับอีกหนึ่งที

และต่อจากนี้เราต่างคนต่างจูบจนไม่ได้สนใจว่าใครจะเริ่มก่อน ปล่อยรอยจูบให้เป็นไปอย่างนั้นอย่างที่มันควรจะเป็น ให้ทุกอย่างของเราได้แตะต้องกัน ริมฝีปาก ไรฟัน ลิ้นเปียกชื้น อย่างไร้สิ่งใดขัดขืนมันก็ยิ่งมากขึ้น ยิ่งลึกซึ้ง กระทั่งธงทัพถอนจูบนั่นออกไปแล้วเอ่ยออกมาเบาๆ

"ใครว่าเบียร์ขม"

"..."

"กูเพิ่งรู้วันนี้ว่ามันหวาน"

ผมไม่เถียง ทั้งเบียร์ในปากผม นมช็อกโกแลตในปากธงทัพ และความรู้สึกของเรา ผสมละลายไหลปะปนและหลอมรวมกัน ทุกอย่างจึงหวาน ไม่ใช่ด้วยรสชาติแต่เป็นความรู้สึก...หวานจนพาเราเคลิ้มลอยไปไกลในค่ำคืนฝนพรำเช่นนี้

 

...

 

 

ปฏิทินปรากฏตัวเลขสีแดงบ่งบอกวันหยุดยาวไปถึงอังคารหน้า ชีวิตวัยทำงานคงไม่มีอะไรดีไปกว่าวันหยุดยาวแบบนี้แล้ว ปกติแล้วผมจะใช้วันหยุดไปกับการอยู่ห้องเฉยๆ หรือออกไปหาอะไรอร่อยๆ กินบ้าง เดินห้าง บางครั้งก็ดูหนังสักเรื่อง ใช้เวลาให้หมดไปแบบนั้น แม้จะเป็นวิถีชีวิตที่ดูจืดจางแต่ผมก็ว่ามันดีกว่าที่จะออกไปเที่ยวหรือต้องเจอกับความวุ่นวายของผู้คนมากมายบนท้องถนนที่ต่างคนต่างออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง

แต่หยุดยาวคราวนี้ผมเลือกไม่ได้ จำเป็นต้องเดินทางกลับชลบุรีตามคำขอของป้าอร รถยนต์ที่ลุงวุธให้ธงทัพไว้ ถูกใช้งานไปไม่กี่ครั้ง นับครั้งนี้ด้วยก็น่าจะครั้งที่สี่หรือห้าได้ ธงทัพชวนผมออกจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้ามืด รถเต็มถนนทุกเลนส์ขาออกตามแบบฉบับของวันหยุดยาว เราหลีกเลี่ยงการจราจรที่น่าหงุดหงิดแบบนั้นไม่ได้จึงใช้เวลาเดินทางนานกว่าปกติ และมาถึงบ้านในตอนสายๆ

"น้ำตาล!"

อย่างแรกที่ธงทัพมันวิ่งไปทักทายตอนเปิดประตูลงจากรถไม่ใช่ป้าอรที่มาเปิดรั้วให้ แต่เป็นหมาปอมเมอร์เรเนียนสีน้ำตาลที่ถูกเรียกชื่อง่ายๆ ตามสีขน ผมรู้จักกับหมาตัวนี้ครั้งแรกตอนที่ธงทัพพามาบ้านป้าอรเมื่อราวๆ เจ็ดปีก่อน จนถึงตอนนี้หมานั่นก็ยังแข็งแรงดี วิ่งตรงด้วยความเร็วเข้ามาหาธงทัพอย่างคุ้นเคย

"ดูเขาเถอะ ทักหมาก่อนทักแม่อีก" ป้าอรพูดขำๆ ผมหันไปยกมือไหว้ทักทาย ไม่ทันได้เอามือลงก็ต้องยกขึ้นมาอีกเพราะหันไปเห็นลุงวุธที่เดินออกจากบ้านมาพอดี

"เดี๋ยวเราไปวัดกันเลยไหม นี่ก็สายแล้ว"

เหตุผลหลักที่ทำให้ผมต้องกลับบ้านในวันหยุดยาวนี้ก็เพราะว่ามันตรงกับวันครบรอบวันตายของแม่ผมพอดี ป้าอรเลยอยากให้กลับมาทำบุญให้แม่ และนั่นคือเหตุผลที่ลุงวุธอยู่ที่นี่ด้วยทั้งๆ ที่ปกติลุงวุธแทบจะไม่ได้มาที่บ้านป้าอรเลย เราทำเหมือนอย่างเดิมทุกปีไม่ใช่แค่ผม แต่รวมถึงลุงวุธ ป้าอรและธงทัพ เป็นครอบครัว...โดยชั่วคราว

ใช้เวลาไม่เกินสิบห้านาทีก็มาถึงวัด ป้าอรจัดการทุกอย่างให้เหมือนเดิมทุกปี พิธีการต่างๆ เป็นไปอย่างเรียบง่าย ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จสิ้น ผมใช้เวลาหลังจากนั้นเดินไปที่โกศเก็บกระดูกของแม่ ผ่านรูปสีขาวดำที่ติดอยู่หน้าช่องบรรจุอัฐิ แม่ยิ้มให้ผมทุกครั้งที่กลับมาหา

บทสนทนาสมมติระหว่างผมกับแม่เกิดขึ้นแม้รู้ดีว่าไม่มีคำตอบจากรูปภาพนั่น แต่ผมก็ไถ่ถามความเป็นไปของแม่อยู่ในใจ...แม่เป็นยังไงบ้าง แม่สบายดีไหม แม่กำลังทำอะไร และบอกเล่าความคิดถึงที่มีต่อแม่ในประโยคสุดท้าย

ผมบอกรักแม่บ่อยครั้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ตั้งแต่วันที่แม่จากไป มันเป็นเรื่องเดียวที่ผมยังคงทำให้แม่ได้ ผมจึงทำมันต่อทั้งๆ ที่รู้ทั้งรู้ว่ามันสายไปและไร้ประโยชน์ แม้การจากไปของแม่ จะทำให้ผมเคยชินจนไม่ร้องไห้ แต่ความรู้สึกเสียใจมันก็ยังเหมือนเดิม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่นานพอที่จะทำให้ผมลืมเรื่องทั้งหมดไปได้ ความทรงจำทำให้ผมย้อนคิดไปถึงวันนั้นอยู่บ่อยครั้ง 

 

หากว่าวันนั้น...

   

"ภูผา!"

เพราะเสียงนั่นทำให้ตกใจจนเผลอสะดุ้งเฮือก หัวคิ้วขมวดเข้าหากันหันมองธงทัพที่โผล่มาทำให้ตกใจ ใบหน้าบูดบึ้งของผมบ่งบอกหมดแล้วถึงความไม่พอใจ ธงทัพจึงรีบก้าวเท้าเข้ามาหาพร้อมเสียงแก้ตัวทะเล้นๆ

"ล้อเล่นนิดเดียว"

"เล่นกับผีสิ!"

"เล่นกับมึงนี่แหละ จะให้ไปเล่นกับผีที่ไหน พูดอะไร ยิ่งกลัวๆ อยู่"

ผมส่ายหน้าเบาๆ ในตอนนั้นธงทัพก็ละความสนใจจากผมแล้วหันมองรูปของแม่ จากใบหน้าทะเล้นปรับสู่ความเรียบเฉย ผมไม่ได้ยินเสียงในใจของธงทัพว่ากำลังพูดอะไรกับแม่อยู่ กระทั่งมือข้างหนึ่งของธงทัพยื่นมาจับมือผม ประโยคจากปากธงทัพเอ่ยขึ้นเบาๆ ทั้งที่ดวงตายังมองอยู่ที่รูปภาพของแม่

 

"ไม่ต้องห่วงภูผานะครับ"

 

ธงทัพพูดกับแม่ผมแบบนี้...เหมือนเดิมทุกปีเลย

 

...

 

"เย็นนี้ไปทะเลกันป่ะ" ธงทัพหันมาถามระหว่างทางที่กำลังเดินกลับไปหาลุงวุธกับป้าอร

"ไม่ไปทะเล"

ผมพูดซ้ำจนจำไม่ได้ว่าบอกไปกี่ครั้ง แปดปีที่ผ่านมาผมแทบไม่เฉียดใกล้ไปทะเลแม้ว่าจะถูกชวนกี่ครั้งกี่หนก็ตาม

"มึงก็รู้ กูเกลียดทะเล"

"มึงแค่เกลียดความทรงจำที่นั่นต่างหาก"

ผมหันมองธงทัพ ตอนที่มันเองก็หันมองมา เท้าของเราก้าวช้าลง กระทั่งหยุดเดินพร้อมกัน

"ไปสร้างความทรงจำใหม่ๆ กัน มึงจะได้เลิกเกลียดทะเล"

"..."

"ไปเถอะนะ"

"..."

ผมยังคงนิ่งเงียบ ธงทัพขยับเท้าเข้ามาหา กัดริมฝีปากล่างเบาๆ แล้วเป่าลมเข้าปากจมแก้มพอง ยกหัวคิ้วขึ้นเป็นเหตุให้ใบหน้าเหยเกแปลกๆ

"หน้ากูเหมือนคนกำลังอ้อนไหม"

"เหมือนโดนใครเหยียบตีนมากกว่า"

ผมเพิ่งเข้าใจธงทัพในวันที่ตัวเองพยายามอ้อนมันด้วยใบหน้าคล้ายๆ กัน ธงทัพปรับสีหน้าเป็นปกติพร้อมหันมาถอนหายใจใส่ทีหนึ่ง

"ไปเหอะ นะ กูอยากไป นะๆ"

กฎการอ้อนของผมกับธงทัพดูจะไม่ต่างกัน เมื่อใช้ใบหน้าไม่ได้ ก็ใช้ร่างกายเรียกร้องแทน ธงทัพขยับตัวมายืนชิด จับมือผมข้างหนึ่งแล้วเอาหัวซบมาที่ไหล่ ไถไปไถมาเหมือนหมาไม่มีผิด

"จะไปไม่ไป"

"กู...ไม่..."

"ไปไม่ไป!" เสียงดุขึ้นมานิดหนึ่ง แต่การกระทำสวนทางด้วยการขยับมาโอบเอวผมเอาไว้จากด้านหลัง เอาคางมาเกยไหล่แล้วก็ครางหงิงๆ อยู่ในลำคอ

ธงทัพค้นพบไม้ตายสุดท้ายของตัวเองแล้วงั้นเหรอ...ท่าทางแบบนี้มัน...

"ไปไหม..."

"ไปก็ไป"

ผมตอบรับอย่างคนแพ้ สวนทางกับคนชนะที่กำลังหัวเราะอย่างพอใจ กอดผมแน่นกว่าเดิมจนต้องรีบสะบัดตัวออกมา

"นี่ในวัด" ผมว่าเสียงเข้มแล้วเดินออกมาจากตรงนั้น

"ก็ไม่ได้มีป้ายห้ามกอดในวัดนี่" หันมาเถียงอย่างคนดื้อรั้น ซ้ำยังเบ้ปากใส่แต่ใช้มือข้างหนึ่งจับมือผมเอาไว้กระทั่งเดินไปถึงรถ ผมพยายามที่จะดึงมือตัวเองออกมาตอนที่ลุงวุธกับป้าอรหันมอง แต่ธงทัพยิ่งจับแน่นกว่าเดิม จับแน่น...อย่างจงใจ จึงไม่อาจพ้นสายตาของลุงวุธกับป้าอรไปได้ ผมไม่รู้ว่าพวกเขาแสดงสีหน้าแบบไหนออกมา เพราะว่าตัวเองต้องก้มหน้าหนี ราวกับทำอะไรผิด

 

ไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย...

 

ผมแย้งการกระทำของตัวเองอยู่ในใจ ก่อนรวบรวมความกล้าแล้วเงยหน้าขึ้นมองด้วยความมั่นใจ

"รถไอติม! ไปกินไอติมกัน!"

มือของธงทัพปล่อยออกจากผมเมื่อหันไปเห็นรถไอติมที่ขับเข้ามาในวัด ความสนใจทั้งหมดของมันก็ทุ่มไปที่นั่น วิ่งฉิวทิ้งผมเอาไว้ตรงนี้ ความมั่นใจที่ก่อมาเมื่อสักครู่ปลิวหายไปไหนไม่รู้ ลุงวุธก็ละความสนใจไปทางอื่นแล้ว เหลือแต่ป้าอรที่ได้แต่อมยิ้มนิดๆ   

"ภูผา! เอาแบบไหน!"

ผมหันไปมองคนที่กำลังตะโกนลั่นวัด นั่นไม่รู้ตัวหรือไงว่าอีกไม่กี่ปีก็จะสามสิบแล้ว ยังวิ่งหารถไอติมเป็นเด็กๆ ไปได้ ผมขมวดคิ้วเข้าหากันหน่อยๆ แล้วหันไปตอบด้วยใบหน้าเข้มขรึม   

"มีโคนช็อกโกแลตไหม"

อายุเหรอ...เป็นแค่ตัวเลขน่ะดีแล้ว

 

            ...

 

 เรากลับมาที่บ้านป้าอรในตอนเกือบเที่ยง จึงได้เวลาอาหารกลางวันพอดี การร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของธงทัพไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผม แต่ไม่เคยชินกับมันเลย จากที่เป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วก็ไร้บทไปเลยในวงสนทนาของครอบครัว มันก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดขนาดที่ว่าอยากพาตัวเองออกไปให้ไกล แต่คิดว่าถ้าผมไม่ได้อยู่ตรงนี้ มันก็น่าจะดีกว่า

            หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมจึงใช้โอกาสนั้นปล่อยให้พวกเขาได้ใช้เวลาคุยกัน เพราะก็ไม่บ่อยที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ ธงทัพเล่าให้ผมฟังว่าความสัมพันธ์ของลุงวุธกับป้าอรถูกตัดขาดตั้งแต่ตอนที่มันยังเป็นเด็ก แต่ในตอนที่อยู่ต่อหน้าธงทัพ ทั้งสองคนก็ยังคงรักษาหน้าที่ความเป็นพ่อแม่ของตัวเองได้ดีไม่ว่ามันจะโตขึ้นเท่าไรก็ตาม แม้เป็นครอบครัว โดยชั่วคราว ก็ยังคงเรียกว่าครอบครัว

นานเท่าไรไม่รู้ที่ผมออกมานั่งเล่นอยู่กับน้ำตาล ตอนอยู่กับธงทัพมันก็ยังคึกคักอยู่ดีๆ แต่พออยู่กับผมก็ซึมไปเลย มันไม่ได้ลุกหนีหรือเมินเฉยใส่ผม แต่ไม่ลุกวิ่งทำตัวสนุกเหมือนตอนอยู่กับธงทัพ ได้แต่นอนนิ่งๆ เหมือนเหนื่อยมาทั้งชีวิต ผมคิดอะไรอยู่ในใจก่อนหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ หมากับหมาน่าจะเล่นกันได้สนุกกว่าล่ะมั้ง 

 

"แปะ...แปะ..."

 

เสียงบางอย่างกระทบหลังคาจนต้องเงยหน้ามอง ก่อนพบว่าเป็นฝนที่อยู่ๆ ก็ลงเม็ดมาทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฟ้ายังสว่างอยู่ดีๆ ตอนนี้กลับกลายเป็นเมฆครึ้มไม่รู้ตัว

"เข้าบ้านกันเถอะ"

ผมว่าแล้วอุ้มน้ำตาลเข้าบ้านไปหลบฝน กะว่าจะเดินเข้าไปหาคนในบ้าน แต่เสียงพูดคุยนั้นกลับทำให้เท้าผมหยุดไว้ตรงนี้ก่อน เพราะในบทสนทนานั้น ดันมีชื่อของผมเข้าพอดี

"แล้วกับภูผามันคืออะไร ความสัมพันธ์แบบนั้น..."

"แบบไหน"

"แบบที่กอดกันในวัดได้"

"เห็นด้วย?"

"ก็ตั้งใจทำให้เห็นไม่ใช่หรือไง"

"ก็ใช่แหละ แล้วพ่อจะสงสัยอะไรอีก ก็ชัดเจนอยู่แล้วไง เรื่องมันก็เข้าใจไม่ยากไม่ใช่เหรอ"

"รู้ว่าสนิทกัน แต่แบบนี้มันเกินไปแล้วนะ"

"คิดว่าพ่อรู้เรื่องนี้มานานแล้วด้วยซ้ำ"

"จะเอาแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม ธงทัพ"

"ใช่"

"ถ้าแบบนี้พ่อก็ไม่โอเคกับภูผา!"

"ไม่โอเคแล้วพ่อจะทำอะไรได้!"

"พอทีได้ไหมทั้งสองคนเลย เดี๋ยวภูผามาได้ยินเข้าหรอก!"

ก็น่าจะเป็นเหตุผลนั้น ที่ทำให้ลุงวุธไม่เอ็นดูผมเหมือนแต่ก่อน ผมก็อยากจะเข้าใจลุงวุธนะ แต่ก็ไม่เข้าใจสักนิด หรือถ้าหากว่าธงทัพไม่ได้รักผม ถ้าเราไม่ได้รักกัน เรื่องราวจะเป็นแบบนี้ไหม ลุงวุธจะยังมองผมเปลี่ยนไปหรือเปล่า

ผมเป็นแค่หนึ่งในจำนวนคนเหล่านี้ เป็นคนในแบบที่ลุงวุธไม่ชอบ แต่ธงทัพเป็นลูกชายคนเดียวของลุงวุธ ความมั่นใจที่คัดค้านว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดมันเริ่มสั่นคลอนเอาในตอนนี้...

   

"พ่อขอโทษที่เอาเด็กคนนั้นเข้ามาในชีวิตแก"

"แต่มันเป็นเรื่องเดียวที่ผมรู้สึกขอบคุณพ่อเลยแหละ"

 

 

หรือว่าผมได้ทำอะไรผิดไปนะ...

 

 

To be continued.


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :pig4:

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
ภูผาหนูไม่ได้ทำอะไรผิด หนูต้องจับมือกับธงทัพแน่นๆนะ


ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ภูผา หนูไม่ผิดเลยลูก อย่าว่าตัวเองนะ  :ling3:

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เวลมีความสุขก็สุขไม่สุด เหมือนกับคลื่นลมเบาๆที่กำลังรอจังหวะกลายเป็นพายุ แล้วตอนนี้พายุลูกแรกก็มาถึงแล้ว ยังมีนาวีอีก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีอะไรตามมาอีกหรือเปล่า

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ภูหนักแน่นไว้

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
สามี  สามีต้องเข้มแข็งไว้นะคะเป็นที่พึ่งให้น้องนะอย่าปล่อยมือน้องนะคะ

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ช่วยกันสู้นะภูผา

หนูไม่ได้ทำอะไรผิดเลยลูก จับมือพี่ทัพแน่นๆนะ  :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.20] 6/10/18
« ตอบ #249 เมื่อ: 07-10-2018 08:48:55 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 21

 

มันมีตั้งหลายวิธี
ที่จะเดินหนีออกมาจากความเจ็บปวด


 

 

ธงทัพพาผมมาทะเลในตอนเย็นๆ แดดยังคงร้อนแม้ฝนเพิ่งจะหยุดตกไปได้สักพัก ผมกวาดตามองทะเลที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากที่เคยเห็นเท่าไร ถอดรองเท้าแล้วเดินลงไปที่ชายหาด  เลื่อนสายตามองทุกสิ่งรอบตัว ลมทะเล เสียงคลื่น กลิ่นน้ำทะเล ทุกอย่างเหมือนเดิมเลย เมื่อคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง สองขาผมก็เย็นฉ่ำ แต่คนข้างๆ ดันถอยหลังหนี ไม่ยอมเปียก

"ทำไมอะ?"

"เดี๋ยวกางเกงเปียก"

"แล้วใครใช้ให้ใส่กางเกงขายาวมาทะเลวะ"

"คนมันหล่อไง"

"..."

"วิถีคนขี้เก๊ก"

ว่าแล้วก็ยิ้มมุมปากข้างเดียวตามสไตล์ ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ เลื่อนสายตามองดูชุดมาทะเลของคนขี้เก๊ก เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสั้นตัวใหญ่กว่าปกตินิดหน่อยกับกางเกงยีนส์สีซีดมีรอยขาดอย่างที่ชอบใส่ บวกกับแว่นกันแดดที่นานๆ ครั้งจะหยิบมาใส่ เหมือนจะเป็นการแต่งกายที่ดูเรียบง่าย แต่พอเป็นธงทัพก็เหมือนว่าจะดูดีเกินความจำเป็นไปหน่อย

"ลงมาเดินด้วยกันดิ" ผมว่าแล้วย่อตัวลงนั่งเพื่อพับขากางเกงให้

"เฮ้ย ทำเองก็ได้"

"ไม่เป็นไร จะทำให้"

"เออ...ตามใจ"

ผมได้แต่เม้มริมฝีปากกลั้นรอยยิ้ม พับขากางเกงขึ้นให้ทั้งสองข้าง แล้วลุกขึ้นยืน ธงทัพดูจะเขินนิดหน่อยเพราะไม่พูดอะไรเลยนอกจากยิ้มมุมปากนิดๆ ผมจูงมือธงทัพให้เดินลงทะเล คนที่กำลังเขินเดินตามลงมาอย่างว่าง่าย ผมใช้จังหวะที่มันกำลังนิ่ง ยกสองมือขึ้นจับไหล่แล้วยิ้มกว้าง จากนั้นก็ดำเนินการตามแผนที่วางไว้ด้วยการผลักไหล่ให้คนขี้เก๊กหน้าคว่ำลงทะเลไปเลย 

 

"ตู้ม!"

 

"ภูผา!!"

ลุกขึ้นมาได้ก็โวยลั่น แต่ผมวิ่งออกมาก่อนแล้ว คิดว่าจะทันแต่หาดทรายทำให้ความสามารถในการวิ่งลดน้อยลง ธงทัพวิ่งตามผมทันแล้วลากผมกลับไปที่เดิม ผมหลับตาแน่นเตรียมตัวรับกรรมกับการกลั่นแกล้งในแบบเดียวกัน เอาคืนกันไปมาจนรู้ตัวอีกทีก็ตัวเปียกปอน นอนกลิ้งอยู่ที่ริมหาดอย่างหมดแรง ผมยกมือป้องดวงตาจากแสงแดดที่ส่องลงมาพอดี ในตอนนั้นธงทัพก็ถอดแว่นกันแดดของตัวเองใส่ให้ผม 

"ไม่เป็นไร" 

"เป็นบ้างเหอะ อยากดูแล"

ผมเงียบ จะเถียงก็คิดไม่ทัน จะหันมองหน้าก็ทำตัวไม่ถูกเลยได้แต่นอนนิ่งเป็นเป็ดตายเกยชายหาด ก่อนจะยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง

"ไปซื้อน้ำแป๊บนึงนะ"

"ทำไม เขินจนร้อนเลยเหรอ"

"เหนื่อยเว้ย!" ผมกระแทกเสียงใส่ก่อนลุกพรวดขึ้นแล้วตรงไปหาซื้อน้ำดื่ม แค่ระยะเวลาที่เดินไปและเดินกลับ เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มก็เริ่มแห้ง ผมเดินกลับไปหาธงทัพที่ยืนอยู่ริมหาด คุยโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่ เดินเข้าไปใกล้จึงได้ยินบทสนทนาที่พอจะเดาได้ว่าคนที่โทรมาน่าจะเป็นปอ ว่าด้วยเรื่องของงานที่ทำให้คนทางนี้เริ่มมีน้ำเสียงหงุดหงิด   

"กูไม่กลับไปหรอก วันหยุดกูนะเว้ย"

ธงทัพน่าจะไม่รู้ว่าผมกลับมาแล้ว เลยได้แต่ยืนเงียบๆ

"ปีหนึ่งได้หยุดอยู่ไม่กี่วัน มึงจะให้กูทิ้งบ้าน ทิ้งแม่ ทิ้งหมาแล้วกลับไปแก้งานให้มันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเนี่ยนะ ไอ้ควาย จิตใจทำด้วยอะไร!"

"..."

"วันนี้วันเกิดกูด้วยนะ จะใจร้ายกับกูแบบนี้จริงๆ เหรอ"

วันเกิดธงทัพ...

ผมจำได้แต่ถูกธงทัพห้ามไม่ให้พูดถึง เพราะวันเกิดมันดันไปตรงกับวันตายของแม่ผมพอดี ธงทัพมันเลยไม่ค่อยพูดถึงวันเกิดตัวเอง มันเคยให้เหตุผลว่าไม่อยากมีความสุขในวันที่ผมเสียใจ ทั้งที่ผมก็อยากให้ความสำคัญกับวันเกิดมัน อย่างที่ตัวมันให้ความสำคัญกับวันเกิดผม แต่พูดถึงทีไร โดนดุทุกที

"ลูกค้าไร เดี๋ยวต่อยปากแตกเลย เรื่องมาก ไม่มีมารยาท ไม่พูดแล้ว แค่นี้!" พูดรัวไม่เว้นหายใจก่อนกดวางสายแล้วหันมาเห็นผมเข้าพอดี หลบเลี่ยงอะไรตอนนี้ก็ไม่ทัน และด้วยสีหน้าหงุดหงิดที่ยังแสดงออกอยู่ ผมก็ไม่กล้าถามอะไร ได้แต่ยื่นแก้วน้ำให้ ก่อนมันจะเล่าเรื่องที่เพิ่งคุยจบให้ฟังออกมาเอง

"ลูกค้าแม่งจะให้กูกลับไปแก้งาน"

"ด่วนขนาดนั้นเลยเหรอ"

"ไม่ด่วนเหี้ยอะไรหรอก มันเรื่องมากไง! เร่งงานตั้งแต่ก่อนวันหยุดแล้ว บริษัทก็เมล์แจ้งวันหยุดไปแล้วแต่เสือกไม่เปิดดู มาบอกว่าไม่รู้ว่าหยุด มึงจะบ้าหรือเปล่า แล้วปัญหาก็เยอะแยะไปหมด ช่างห่าอะไรก็ทำงานไม่ตรงแบบสักอย่าง มันใช่ความผิดกูไหมเนี่ย!"

"ใจเย็นๆ" ผมได้แต่ตบบ่าเบาๆ ตัวมันเองก็ได้แต่ทิ้งตัวลงนั่งบนชายหาดแล้วถอนหายใจเบาๆ อ้าปากงับหลอดแล้วดูดน้ำมะพร้าวปั่นด้วยใบหน้าเซ็งๆ ก่อนดวงตาจะเบิกขึ้นกว้างแล้วหันมองผมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป   

"อร่อยว่ะ"

"ร้านนี้อร่อย กูเดินไปซื้อตรงนู้นมาเลย" ผมว่าพลางทำท่าประกอบว่าเดินออกไปไกลขนาดไหน

"ถึงว่า กูรอจนเสื้อผ้าแห้งเลย"

"อือ ไกลมากเลย"

ธงทัพพยักหน้ารับแล้วดูดน้ำอีกครั้ง แค่น้ำมะพร้าวปั่นก็ทำให้กลับมาอารมณ์ดีเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ผมเห็นมันยิ้มก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ไม่รู้ยิ้มอะไรเหมือนกัน แต่ยิ้มไว้ก่อนก็ยังดีกว่าสีหน้าหงุดหงิดแบบเมื่อครู่ เพราะผมไม่ชอบเวลาธงทัพโมโหเลย

ธงทัพวางแก้วน้ำแล้วหันหน้ามองออกไปยังเบื้องหน้า

"ท้องฟ้าตอนเย็นกับริมทะเลนี่โคตรเข้ากันเลย"

ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนสี เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวระหว่างแสงสว่างกับความมืด ฟ้าสีส้มอมชมพู ผสมปนเปกันไปอย่างลงตัว ผมไม่ค่อยเข้าใจศิลปะ แต่รู้ว่าอะไรคือความสวยงาม และท้องฟ้าเบื้องหน้าเป็นหนึ่งในนั้น 

"เลิกเกลียดทะเลหรือยัง"

"อือ เลิกแล้ว"

"ดีแล้ว"

"..."

"ทะเลไม่ได้ทำอะไรผิด"

ผมยิ้มรับ จริงทุกอย่างอย่างที่ธงทัพบอก ผมก็แค่เกลียดความทรงจำ เพราะกลัวว่ามันจะกลับมาทำร้ายตัวเอง ผมต่างหากที่จมอยู่กับมัน วันนี้ผมเรียนรู้หนึ่งวิธีที่จะเดินหนีมันออกมา แค่สร้างความทรงจำใหม่กลบทับเรื่องเดิมๆ ให้จมลึก แล้ววันหนึ่งผมก็คงจะลืมมันไปเอง...โดยไม่ต้องพยายาม

"มึงรักกูไหม"

ผมหันขวับมองหน้าธงทัพที่อยู่ๆ ก็ถามขึ้นมาแบบนั้น หัวคิ้วขมวดเข้าหากันก่อนมันจะถามซ้ำอีกที

"รักไหม"

"มึงอยากจะถาม ก็ถามเลย...แบบนี้เหรอ"

"รักหรือไม่รักล่ะ"

"มันมีแค่รักกับไม่รักเหรอ มันมีคำอื่นอธิบายไหม"

ธงทัพจงใจถอนหายใจเสียงดังเมื่อคำว่ารักมันออกจากปากผมได้อย่างยากเย็นนัก

"งั้นมึงลองนั่งนิ่งๆ แล้วทบทวนดู ว่ามีคำไหนอธิบายได้อีก แล้วพูดออกมา"

ผมทำตามคำสั่งด้วยการนั่งนิ่งๆ แล้วลองคิดดูอย่างจริงจังว่าเรื่องระหว่างผมกับธงทัพ จะอธิบายด้วยคำไหนให้มันสมบูรณ์แบบที่สุดดี ผมเคยคิดว่าการอยู่กับธงทัพมันก็แค่ความสบายใจ ธงทัพเข้ามาในวันที่ผมไม่เหลือใคร ความไว้ใจจึงเป็นสิ่งทำให้ผมกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าผมชีวิตผมมีแค่ธงทัพเท่านั้น แต่ถ้าผมต้องแยกความรักออกจากความสบายใจ...

 

ผมก็ยังรักธงทัพอยู่ดี

 

คำตอบของผมจึงไม่มีคำอื่นแล้วนอกจากคำนั้น

"รัก"

"..."

"ก็รักไง ทำไมมองหน้าแบบนั้น"

ที่ต้องถามเพราะธงทัพหันขวับมามองหลังจากผมพูดจบ แล้วก็ทำหน้านิ่งๆ กระพริบตาถี่ๆ สองสามครั้ง

"มึงพูดคำว่ารัก ทั้งๆ ที่หน้าตามึงเฉยชาแบบนี้ได้ด้วยเหรอวะ"

"ก็กูไม่รู้ว่าต้องทำหน้าแบบไหนนี่"

"หน้ามึงดื้อแบบนี้มาตั้งแต่เกิดสินะ"

"คำว่ารักมันไม่ได้ออกมาจากใบหน้าซะหน่อย จะทำหน้าแบบไหนมันก็หมายความแบบนั้นอยู่ดีรึเปล่าวะ"

"โห กูเถียงไม่ได้เลยเนี่ย"

"เออ! ให้กูชนะบ้าง"

ธงทัพหลุดหัวเราะ ผมเองก็ได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนฟ้าจะมืดไปทั้งผืน ธงทัพยื่นมือมาจับมือผมเอาไว้ นั่งมองพระอาทิตย์ค่อยๆ ลับหายไปจากขอบฟ้าด้วยกัน

ภายใต้ความเงียบ ผมหันมองหน้าธงทัพที่เหม่อออกไปเบื้องหน้าอย่างดูไม่มีจุดหมาย พลันคิดถึงเรื่องเมื่อเย็นที่เกิดขึ้นที่บ้าน บทสนทนาระหว่างธงทัพกับลุงวุธ จบลงในตอนที่ลุงวุธโมโหเดินออกจากบ้านไป ผมแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้จนถึงตอนนี้ และผมเดาว่าธงทัพก็ดูจะคิดมากอยู่กับมันไม่น้อยเลย ผมจึงตัดสินใจที่จะพูดมันออกมา

"ธงทัพ"

"อือ"

"กูได้ยินหมดเลย"

"..."

"ที่มึงคุยกับลุงวุธ"

สีหน้าดูไม่แปลกใจเท่าที่คิด ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

"กะอยู่แล้วว่ามึงคงได้ยิน"

"กูโกหกอะไรมึงไม่ได้เลยสินะ"

ธงทัพหัวเราะ คลายมือที่จับแน่นเป็นกุมเอาไว้หลวมๆ ผมรอฟังว่ามันจะพูดอะไรออกมา แต่ท้ายที่สุดคำพูดก็พลันหายกลายเป็นรอยยิ้มจางๆ ที่ดูฝืนอย่างเห็นได้ชัด

"ธงทัพ..."

"ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปสนใจหรอก"

"แต่ว่า..."

คำพูดของผมถูกเบรกด้วยโทรศัพท์ของธงทัพที่หน้าจอสว่างวาบขึ้นบ่งบอกว่ามีการโทรเข้า เจ้าของโทรศัพท์หยิบมือถือขึ้นปิดเสียง ปฏิเสธการรับสายแล้วหันมองผม

"มึงไม่ต้องคิดมากกับคำพูดพ่อหรอก ช่างเขา"

"แต่เขาไม่ชอบกู"

"..."

"พ่อมึงไม่ชอบกู"

คล้ายเรื่องราวซ้ำเรื่องเก่าที่เคยเกิดขึ้น ภาพอดีตทับซ้อนในความทรงจำผมซ้ำๆ อยู่เสมอ หากการเริ่มต้นใหม่ของผมต้องจบลงด้วยเหตุผลเดิมๆ เหมือนอย่างคราวนั้น...

 

"สมมติว่าเราต้องเลิกกันล่ะ"


 

ก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะใจร้ายกับผมเกินไปหน่อย

"กูอยู่นี่ กลัวอะไร"

"..."

"กูคือธงทัพ นี่คือกูไม่ใช่คนอื่น เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้กูไปจากมึงได้หรอก"

"..."

"แค่สู้ไปด้วยกัน ไปจนถึงวันที่พ่อเข้าใจเรา"

นี่คือธงทัพ...ไม่ใช่คนอื่น

บางครั้งผมก็อยากรู้อนาคต ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป แต่มันไม่รู้ เลยทำได้แค่ใช้ชีวิตไปพร้อมๆ กับมัน หากว่าเรายืนหยัดและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำว่ามันถูกต้องแล้ว และหากว่าเราได้ต่อสู้ไปด้วยกัน อาจจะมีวันที่ลุงวุธจะยอมรับในสิ่งที่เราเป็นก็ได้ อาจจะมี... 

แสงจากหน้าจอโทรศัพท์ของธงทัพสว่างขึ้นอีกครั้ง สายที่โทรเข้าก็เป็นชื่อเดิม ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นหัวหน้าของธงทัพ มันกำลังจะกดปิดแต่ผมแย้งเอาไว้ก่อน

"รับเถอะ คงเรื่องสำคัญ"

มีเสียงถอนหายใจก่อนกดรับสายอย่างดูหงุดหงิด เพราะนั่งคุยให้ได้ยินอยู่ตรงนี้ผมจึงรับรู้บทสนทนาเหล่านั้นไปด้วยและสรุปความได้ว่าธงทัพจะต้องกลับไป ด้วยเหตุเรื่องงานอย่างเลี่ยงไม่ได้

"กลับพร้อมกันไหม หรือว่าอยากอยู่ที่นี่ต่อ"

ผมเงียบเพื่อตัดสินใจอยู่ครู่เดียวก่อนตอบกลับไป

"ขออยู่ที่นี่ต่อ"

"งั้นกูกลับก่อน"

"อือ เดี๋ยวเจอกัน"

ธงทัพพยักหน้ารับก่อนก้าวเท้าเดินออกไป เพียงสามสี่ก้าวก็เดินกลับมา แล้วยัดกุญแจรถใส่มือให้

"ขับกลับเองได้ใช่ไหม อย่ากลับวันสุดท้ายรถมันเยอะ กลับก่อนสักวันหนึ่งก็ได้ แล้วคืนนี้กลับไปนอนที่บ้านแม่ล่ะ อย่าไปนอนที่อื่น ไปละ"

"เฮ้ย เดี๋ยว"

ผมดึงมือธงทัพเอาไว้หลังจากมันพูดยาวไม่เว้นช่องว่างแล้วกำลังจะหันหลังกลับไปอีกที

"แล้วมึงจะไปยังไง"

"เดี๋ยวให้แม่มารับ"

"ไม่เป็นไร เอารถไปเถอะ รถมึง"

"อือ รถกู คนตัดสินใจคือกู"

"บังคับกูอีกแล้ว"

"เออ!" กระแทกเสียงใส่พลางยกสองนิ้วขึ้นจิ้มหน้าผากผมแรงๆ จนหน้าหงาย ก่อนยกมุมปากข้างหนึ่งขึ้นยิ้ม ผมเองก็ไม่มีอะไรจะเถียง ไม่ยอมปล่อยมือที่กำลังจับอยู่ในตอนที่มันกำลังจะเดินออกไปอีกครั้ง

"ธงทัพ"

"..."

"ในลิ้นชักหัวเตียง มีหนังสือหน้าปกสีฟ้าๆ เล่มใหม่อยู่ในซีน"

"..."

"ของขวัญวันเกิดนะ"

ถึงจะถูกห้ามไม่ให้พูดถึง แต่ก็มีบางปีที่เสี่ยงโดนดุบ้างด้วยการซื้อของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ให้เพราะไม่อยากละเลยวันนี้ไปเฉยๆ ผมก้มหน้าหนีตอนที่อีกคนคิ้วขมวดเข้าหากันแล้วขยับเข้ามาใกล้ คิดว่าต้องโดนด่าหรือเสียงดังใส่อย่างหมาบ้า แต่ผิดคาด

ธงทัพเอ่ยบางคำขึ้นแทรกเสียงคลื่น แม้แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินแต่ความหมายชัดเจนดีในตอนที่ริมฝีปากของธงทัพกดเข้าเบาๆ ที่หน้าผากของผม 

 

"ขอบคุณนะภูผา"


 

ขอบคุณเช่นกัน...พี่ธงทัพ

 

...

 

            หลังจากธงทัพกลับไปแล้ว ผมก็ยังคงอยู่ที่ทะเล เดินเล่นเลียบชายหาด ปล่อยความคิดวุ่นวายอยู่ในความรู้สึกที่ยังคงสับสน มีเพียงเสียงคลื่นทะเลตอบโต้เสียงที่ร่ำร้องอยู่ภายในใจ

 

ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ...


 

ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองเดินมาไกลก็ตอนที่หันหลังกลับไปมอง จำไม่ได้แล้วว่าถอดรองเท้าเอาไว้ตรงไหน และตอนนี้ผมก็เหนื่อยเกินกว่าจะเดินกลับไป เลยตั้งใจจะหย่อนตัวเองนั่งลงตรงนี้ก่อน แค่คิดไม่ทันจะได้ทำก็ต้องชะงักเมื่อสายตาพลันไปสบตากับคนที่นั่งอยู่ริมหาดห่างออกไปสักสองเมตรได้

"ภูผา"

"นาวี"

เราต่างคนต่างเอ่ยชื่อกันออกมาด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าความบังเอิญจะเกิดขึ้นบ่อยครั้งอย่างไม่ตั้งตัวแบบนี้ หลังจบการเรียกชื่อก็พากันเงียบใส่ปล่อยให้ทะเลก่อเสียงคลื่นอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง มันยากที่จะหลบเลี่ยงหรือเดินหนีแล้วครั้งนี้ผมจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงข้างๆ

ขี้เกียจหนี วันนี้เหนื่อยแล้ว ผมให้เหตุผลอยู่ในใจ 

"มาคนเดียวเหรอ" จะตั้งใจถามหรือตามมารยาทผมก็ไม่รู้ เลยตอบไปโดยไม่คิดอะไร

"มากับธงทัพอะ แต่เจ้านายมันโทรตามให้กลับไปแล้ว"

"โทรตามวันหยุดเนี่ยนะ"

"อือ"

"บริษัทอะไรวะ โคตรโหดเลย"

"ก็บริษัทเดียวกับมึงไม่ใช่หรือไง"

นาวีหัวเราะออกมานิดๆ ผมเองก็ประหลาดใจที่เราสองคนจะมีบทสนทนาที่ทำให้หัวเราะออกมาได้ ผมเองไม่ได้พูดอะไรต่อ นอกจากยิ้มให้นาวี...โดยไม่ได้ฝืนใจ 

นาวีส่งเบียร์ให้ผมกระป๋องหนึ่ง และเมื่อผมดื่มหมดกระป๋อง ก็ถูกถามถึงกระป๋องต่อไป เมื่อผมพยักหน้าตอบรับ อีกคนจึงต้องเป็นฝ่ายลุกออกไปซื้อมาเพิ่ม จะพูดว่าแอลกอฮอล์ทำให้บรรยากาศตรงนี้ผ่อนคลายขึ้นก็ว่าได้

"มึงเป็นไงบ้าง...หมายถึงชีวิต" ตั้งแต่วนกลับมาพบกัน นั่นเป็นคำแรกที่ผมตั้งใจถาม เพราะอยากรู้ความเป็นไปของชีวิตอีกฝ่าย   

"เมาแล้วเหรอ"

"ยังเว้ย"

"แล้วคิดไงถึงถามแบบนั้น"

"ตามมารยาท"

"มารยาทไม่ดีเลย มาอยากรู้ชีวิตคนอื่นเขาทำไม"

"ว่ากูเสือกป่ะ"

นาวีพยักหน้ารับเลยเจอกำปั้นของผมทุบเข้าเบาๆ ที่ไหล่ แอลกอฮอล์ไม่เพียงแค่ทำให้ผ่อนคลาย แต่คล้ายว่าจะทำให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเองด้วยการพูดเยอะกว่าที่ควรจะเป็น

"กูถามก็ตอบๆ มาเถอะน่า"

"ก็สบายดี"

"..."

"ตอบแบบมีมารยาทนะ"

"ไร้มารยาทกับกูก็ได้"

"..."

"อยากให้ตอบแบบจริงใจ"

นาวีขยับสายตาที่มองหน้าผม หันมองไปเบื้องหน้าแทน แต่ก็ยอมตอบออกมาตรงๆ

"ไม่สบายเลย"

"..."

"ไม่มีวันไหนให้ใจได้พักผ่อนบ้างเลย"

เป็นคำพูดแผ่วเบาที่อบอวลไปด้วยมวลแห่งความเศร้า หากว่าผมไม่ได้คิดไปเอง มันก็เป็นเช่นนั้น...มันเศร้าจนรู้สึกได้ว่านาวีดูไม่สบายจริงๆ

"ถ้าไม่สบาย ต้องไปหาหมอนะ"

นาวีหันมองผม เขารู้ว่าผมรู้เรื่องโรคที่กำลังเป็น จึงไม่ได้ปิดบังและพูดมันออกมา

"หาอยู่ ไม่ต้องห่วง"

"แล้วหมอว่ายังไงบ้าง"

"ยังไม่หาย"

"..."

"แต่ยังไม่ตาย"

"..."

"ก็อยู่ด้วยกันอย่างสันติ"

ผมยิ้มตอบกลับรอยยิ้มนั่น แม้ดูรู้ว่ามันฝืนใจเต็มทนก็ตาม ผมไม่รู้ว่ามีอะไรที่เกิดขึ้นในชีวิตนาวีจนทำให้เขาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม อยากถามหาเหตุผลของรอยแผลเป็นที่ข้อมือนั่น แต่กลัวจะเผลอไปทำร้ายให้รอยแผลนั่นลึกลงไปกว่าเดิม 

"โลกนี้มันก็โหดร้ายอยู่ตลอด"

"..."

"ไม่รู้ได้ยินมาจากไหน แต่เคยได้ยินมาแบบนั้น"

"..."

"ความรู้สึกก็เปราะบาง ชีวิตก็แตกสลายได้ง่าย เรื่องเจ็บปวดก็เกิดขึ้นตลอดเวลา คือคำพูดมันประมาณนั้น..."

นาวีเริ่มอมยิ้มนิดๆ เมื่อเห็นว่าผมพยายามที่จะปลอบใจด้วยคำพูดเก้ๆ กังๆ แค่อยากให้คนฟังรู้สึกดีแต่การขุดถ้อยคำให้กำลังใจจากที่เคยได้ยินมาก็ล้มเหลวเอาง่ายๆ ผมจึงใช้วิธีที่จะพูดออกไปตรงๆ ดีกว่า

"กูแค่อยากบอกมึงว่า ให้โลกมันทำร้ายมึงก็พอ"

"..."

"อย่าทำร้ายตัวเองเลยนะ"

"..."

"มันก็มีตั้งหลายวิธี ที่จะเดินหนีออกมาจากความเศร้าไม่ใช่เหรอ"

"มันง่ายที่จะพูด"

"..."

"แต่มันยากที่จะทำให้ชีวิตเป็นแบบนั้น กูก็อยากให้ชีวิตมันดีขึ้น อยากทำให้มันดีกว่านี้ แต่ว่า..."

กลายเป็นผมที่ทำให้ให้จิตใจของนาวีช้ำกว่าเดิม คำพูดของนาวีกลืนหาย กลายเป็นน้ำตาที่ไหลออกมาเพื่อพูดแทนประโยคต่อไป   

 

ความรู้สึกก็เปราะบาง ชีวิตก็แตกสลายได้ง่าย...


 

ผมหมดความสามารถจะคาดเดาความรู้สึกของใคร ไม่เข้าใจความรู้สึกนาวี แต่รู้จักว่าอะไรคือความเศร้าจึงไม่ได้เพิกเฉยต่อน้ำตาของนาวีแล้วปลอบประโลมด้วยอ้อมกอดของตัวเอง

ชั่วครู่เดียว...

ครู่เดียวก่อนที่นาวีดูเหมือนจะตั้งสติได้ เราเคยกอดกันนับครั้งไม่ถ้วน แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความไม่คุ้นเคย อ้อมกอดที่ดูจะอึดอัดจึงต้องหลุดพ้นจากกันในที่สุด

ในหัวผมพยายามที่จะสรรหาอะไรมาเปลี่ยนเรื่องพูด แต่คิดอะไรไม่ออก เลยทำได้แค่ชี้ไปที่รอยสักบนขนข้างขวาที่เห็นชัดเจนว่าเป็นรูปอะไร แต่ก็ถามออกไปโง่ๆ เพราะอยากให้บรรยากาศมันดีขึ้น

"นี่...นี่รูปอะไรวะ"

"ดาวไง"

"อ๋อ...ดาว"

เป็นกลุ่มดาว...

ผมเคยคิด ไม่อยากให้ร่างกายของนาวีมีรอยอะไรเลย แต่เมื่อได้เห็นรอยสักรูปกลุ่มดาวสี่ห้าดวงถูกโยงเข้าหากันด้วยเส้นตรงกลายเป็นกลุ่มดาว ที่ดูเข้ากันกับแขนขาวๆ ของเขานั่นแล้ว ทำให้เผลอหลุดปากชมออกมาโดยไม่ตั้งใจ 

"สวยดี"

"อาจจะเป็นดาวดวงที่ตกวันนั้นก็ได้นะ"

"..."

"วันที่เรานอนดูด้วยกัน"

ความเจ็บปวดของอดีต ไม่ใช่การลืมมันไม่ได้ แต่เป็นการถูกพูดถึงซ้ำๆ เพื่อย้ำว่าเรากลับไปตอนนั้นไม่ได้...ไม่มีวันกลับไปได้

ผมส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องคุยอีกครั้ง

"แล้วพ่อกับแม่มึงเป็นยังไงบ้าง"

"..."

"คิดถึงกับข้าวของแม่มึงจัง"

"..."

"ขอกลับไปกินข้าวที่บ้านมึงได้ไหมเนี่ย"

ผมแค่อยากชวนคุยให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่แล้วผมก็เป็นคนทำให้บาดแผลของนาวีถูกกรีดลึกกว่าเดิม ผมเองเป็นคนย้ำ ทำให้นาวีรู้ว่าเวลามันย้อนคืนมาไม่ได้ เอาอดีตกลับมาไม่ได้ เอาคนตรงนั้นกลับมาไม่ได้ ในคืนนี้ผมหยิบยื่นความเจ็บปวดให้นาวี หลายต่อหลายครั้ง

 

"พ่อกับแม่กู ตายไปแล้ว..."

 

To be continued.

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
 นาวี...
ไม่รู้จะเม้นต์อะไรเลยค่ะ

*นั่งเหม่อ*

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :mew6:

ออฟไลน์ เนเน่

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
คุณรชาาาาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ Patsz

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 147
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
ฮือ สงสารนาวี ไม่รู้ว่าช่วงที่จากกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้น

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
แอบเดาในใจถูกจริงๆด้วย

แต่ห้ามนะ ห้ามทิ้งพี่ทัพ

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
ในวันที่ภูผาไม่มีแม่ แต่ก็ยังมีธงทัพและครอบครัว
ถึงมันจะแทนกันไม่ได้ แต่ภูผาเข้มแข็งและผ่านมันมาแล้ว
ส่วนนาวีนั้น เรายังไม่รู้ว่าเขาผ่านมันมายังไง แต่ที่แน่ ๆ นาวียังป่วยอยู่
อาจจะพยายามอย่างลำพัง ก็เลยแย่หน่อย

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
นาวี ยังคงทรมาน ... ไม่ต่างกับคนอ่าน  :ling3:

ออฟไลน์ imac

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
สู้ๆนะภูผา

ออฟไลน์ anythinginitt

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 184
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ทุกคนต่างมีอดีต ผ่านไปให้ได้นะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ►Episode 1 season 2◄ - ธงทัพxภูผาxนาวี [EP.21] 8/10/18
« ตอบ #259 เมื่อ: 09-10-2018 13:00:11 »





ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
กอดนาวี แน่นๆใครไม่รักหนู

ป้ายะรักหนูเอง

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อูยยยย...........  :z3: :z3: :z3:
โลกมันโหดร้ายจริงๆ
ใจมันสั่นคลอนและ
กลัวแทนธงทัพแล้ว :เฮ้อ: :serius2: o22
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ reverofjs

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ปลอบนาวีได้ แต่อย่าทิ้งธงทัพนะะ  :hao5:

ออฟไลน์ เต้าหู้ไข่

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +279/-5
    • twitter
Episode 22


หากว่ามันคือความแค้น
ผมคงกำลังถูกเอาคืนอย่างสาสม   


 

 

"ธงทัพ ถามจริงๆ ทำไมชอบทำเหมือนกูเป็นเด็ก"

"ไม่รู้ แต่ในสายตากู มึงดูเหมือนเด็ก"

"ตรงไหน"

"ชอบทำให้เป็นห่วงมั้ง"

"ความคิดมึงเหมือนคนแก่มากกว่า เลยมาหาว่ากูเป็นเด็ก"

"เดี๋ยวก็เตะไปนู่น"

"แล้วมึงว่า เมื่อไรที่คนเราจะเติบโตขึ้น"

"เมื่อมึงให้อภัยคนที่คิดว่าชาตินี้จะโกรธไปตลอดชีวิตได้ ประมาณนั้นมั้ง"

"ทำไมต้องให้อภัยด้วย"

"แล้วจะโกรธกันไปเพื่ออะไร"

"ไม่รู้...ช่างเถอะ"

"ถ้าให้อภัยไม่ได้ ก็มีอยู่สองอย่างระหว่างยังโกรธมาก กับ ยังรักมาก"

"มึงพูดถึงใครเนี่ย?"

"คนที่มึงคิดว่าจะโกรธไปตลอดชีวิตไง"

"กูไม่มีคนๆ นั้นอยู่ในความคิดซะหน่อย"

"กูว่ามีนะ"

"ไม่มี!"

"เออ มีหรือไม่มีก็ไม่รู้ แต่กูไม่อยากให้เป็นแบบหลัง"

"..."

"เลยอยากให้มึงให้อภัยมันซะ...ถ้าทำได้"

 

 

"ติ๊ง!"

 

เสียงจากมือถือปลุกผมให้ตื่น ลืมตาขึ้น แล้วก็หลับลงไปอีกเพราะเปลือกตาที่หนักอึ้ง ใช้เวลาตั้งสติครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกที สิ่งแรกที่มองเห็น คือผ้าม่านสีขาวที่ทำให้แสงจากด้านนอกส่องสว่างเข้ามาได้ง่าย   

ผมยังไม่อยากลุก จึงนอนจมอยู่ในผ้าห่มผืนหนาภายใต้อุณหภูมิแอร์ที่เย็นกำลังดี วางสายตาไว้ที่ผ้าม่านสีขาวอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร   

 

"ติ๊ง!"

 

เผลอสะดุ้งนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงจากมือถืออีกครั้ง ความเฉื่อยชาเป็นผลพวงจากการเมาค้าง ผมยกมือที่เหมือนไม่ค่อยมีแรงหยิบมือถือขึ้นมาดู ในตอนนั้นสติก็พลันพุ่งเข้าใส่เมื่อเห็นนาฬิกาที่หน้าจอบอกเวลาว่าเลยเที่ยงวันไปแล้ว 

ละความสนใจจากนาฬิกาไปดูการแจ้งเตือนจากไลน์ ที่เพิ่งได้รับข้อความจากธงทัพสามสี่ประโยค

"อยู่ไหน"
"แม่บอกมึงไม่ได้ไปนอนที่บ้าน"
"กลับบ้านเหรอ"


บ้านในประโยคสุดท้ายนั่นหมายถึงบ้านของผม ที่นานๆ ครั้งผมจะกลับไปที่นั่นบ้าง ผมยันตัวเองขึ้นลุกแล้วตอบกลับไปสั้นๆ

 

"อือ อยู่บ้าน"

 

ไม่รู้ว่าทำไมผมจึงเลือกโกหก

เพราะตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านนาวี แม้ผ่านค่ำคืนเมาหนักแต่อยู่ในระดับที่พอจำความได้ จึงรู้ตัวว่าตื่นมาที่ไหน แต่ไม่ได้บอกให้ธงทัพรู้ อาจเพราะในเวลานี้ สมองผมอื้ออึงไม่มีความคิดอื่น เลยคิดเอาเองว่ามันดีแล้วที่ไม่ได้พูดความจริง กลัวธงทัพจะไม่พอใจหากรู้ว่าผมมานอนที่นี่ จึงตัดปัญหาด้วยวิธีโง่ๆ ไป ก่อนอีกฝ่ายจะตอบกลับมา

 

"โอเค"
"ก่อนกลับอย่าลืมบอกแม่กูด้วยนะ เขาเป็นห่วง"
"ขับรถดีๆ"

 

ผมส่งสติกเกอร์ตอบกลับแทนคำพูด ก่อนลุกออกจากที่นอน ในจังหวะที่กำลังจะยกมือเปิดประตู คนจากข้างนอกก็เปิดขึ้นเสียก่อน นาวีที่เป็นคนเปิดประตูเข้ามาก็ดูตกใจนิดหนึ่งที่ผมยืนอยู่ตรงนี้พอดี ผมที่ยกมือค้างอยู่ก็อาการเดียวกัน ลดมือนั่นลงแล้วยิ้มฝืดๆ แก้เก้อ

"ตื่นแล้วเหรอ ออกไปซื้อแปรงสีฟันมาให้" 

"อ๋อ ขอบคุณ..." ผมรับแปรงสีฟันนั่นมา แล้วถอยหลังกลับเข้ามาในห้อง นาวีไม่ได้ตามมาด้วยแต่ยังยืนอยู่ที่หน้าประตู

"เสื้อผ้ามึง กูซักให้แล้วแต่ยังไม่แห้ง ใส่ของกูไปก่อนนะ"

"อือ"

"ในตู้นะ หยิบเอาได้เลย"

"อือ"

"กูรอข้างล่างนะ"

"อือ"

ผมทำได้แค่ตอบกลับสั้นๆ พร้อมพยักหน้ารับ ก้มมองเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็พบว่ามันเป็นของนาวี เมื่อคืนผมอาบน้ำแล้วก็เปลี่ยนมันด้วยตัวเอง

ผมจำความเรื่องเมื่อคืนได้ แต่ไม่ทั้งหมด เพราะกลายเป็นคนพูดเยอะในตอนที่แอลกอฮอล์ออกฤทธิ์ ผมจึงจำไม่ได้ว่ามีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ระยะห่างระหว่างผมกับนาวี เรื่องนั้นรู้ตัวดี ผมนอนบ้านนาวี แต่ไม่ได้นอนกับนาวี เราไม่ได้นอนด้วยกัน

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเดินออกจากห้องเพื่อไปหานาวี แต่ไม่เห็นว่าเขาอยู่ที่ไหน เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ บ้านที่อดีตคุ้นเคยดี บางอย่างเปลี่ยนไป บางอย่างก็อยู่ที่เดิมไม่ขยับเลย อย่างกีตาร์ตัวนั้นที่พ่อนาวีชอบเล่น หรือแม้แต่แก้วลายดอกไม้ใบโปรดของแม่นาวี

สายตาผมเลื่อนมองพลางนึกถึงบางเรื่องที่ผ่านมาแล้ว ก่อนสายตาไปหยุดอยู่ที่รูปถ่ายของพ่อกับแม่นาวี

ได้เจอกันครั้งสุดท้าย...เมื่อไรนะ


ผมวนเวียนคิดไปถึงครั้งสุดท้ายที่ได้พบหน้า ความรู้สึกโหยหาช่วงเวลาในอดีตก็เกิดขึ้นในตอนนั้น และที่ผสมปนเปกันก็คงเป็นความรู้สึกเสียใจ

ขอโทษที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้ว่าพวกเขาจากไปเมื่อไร ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น....     

"อุบัติเหตุ"

"..."

"เกือบสี่ปีได้แล้ว"

นาวีเดินเข้ามาโดยที่ผมไม่ทันรู้ตัว คำพูดที่เอ่ยขึ้นมาเอง ตอบคำถามในใจของผมจนกระจ่าง ผมหันมองตัวหนังสือที่ระบุอยู่บนรูปภาพ วันที่พ่อกับแม่นาวีจากไปเป็นวันเดียวกัน การสูญเสียเกิดขึ้นพร้อมกันซ้ำยังรวดเร็วไม่มีเวลาตั้งตัว ผมเผลอตั้งคำถามในใจ นาวีผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง หรือไม่บางที...ช่วงเวลาเหล่านั้นมันอาจจะยังไม่ได้ผ่านไป

"ไม่รู้ว่าจะอยู่ด้วยกันได้นานแค่นั้น"

"..."

"จะได้บอกรักให้มากกว่าที่ผ่านมาสักหน่อย"

"ขอแค่ย้อนเวลากลับไปได้..."

"ถ้าย้อนเวลากลับไปได้..."

เราหันมองหน้า ในตอนที่พูดออกมาพร้อมกันด้วยถ้อยคำที่คล้ายคลึงจนแทบเป็นประโยคเดียวกัน อาจเพราะต่างคนต่างเข้าใจความรู้สึกนั้นดี นาวีขยับมุมปากขึ้นยิ้มจางๆ

"กูคงจะกลับมาหาพ่อแม่บ่อยกว่านั้น"

"กูก็คงจะทำตัวกับแม่ให้ดีกว่านั้น"

"เข้าใจแล้วใช่ไหม ว่าทำไมวันนั้นกูถึงปล่อยมือ"

ผมเงียบ คิดไปถึงวันนั้นอีกครั้ง

เรื่องในอดีตกับปัจจุบันปนเปกันจนความคิดยุ่งเหยิง ผมเข้าใจนาวี เหมือนว่าตัวเองได้กลายไปยืนในจุดที่นาวีเคยยืน นาวีไม่ได้อยู่ด้วยในวันที่แม่ผมตายและผมไม่ได้รับรู้อะไรเลยในวันที่พ่อกับแม่นาวีจากไป รวมถึงเรื่องราวระหว่างผมกับธงทัพและการไม่ยอมรับของลุงวุธ ที่ผมกำลังเผชิญอยู่ ดูเหมือนว่านาวีจะผ่านมันมาทั้งหมด

 

และหากว่านี่คือความแค้น ผมคงกำลังถูกเอาคืนอย่างสาสม...

 

"แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ กูจะไม่ทำแบบนั้นนะ"

"หมายถึง?"

"ไม่ปล่อยมือ"

"ต่อให้ย้อนกลับไปได้ ก็จะเริ่มต้นใหม่แบบนั้นเหรอ"

นาวีพยักหน้ารับ

"แต่ตอนจบคงไม่ใช่แบบนั้น"

ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะเอาแต่ก้มหน้าคิด ผิดตรงที่มันไม่ใช่ความโกรธแค้น เป็นแค่เพียงความไม่เข้าใจที่ถูกปล่อยทิ้งเอาไว้จนเนิ่นนาน ที่ผ่านมาผมก็ห่วงแต่ตัวเองว่าจะเจ็บปวดแค่ไหน ไม่ได้สนใจว่านาวีจะบอบช้ำเหมือนกันหรือเปล่า จมปลักอย่างโง่เขลากับความทรงจำที่เว้าแหว่ง เสียเวลาโกรธเคืองกันยาวนานอย่างนั้นเพราะความไม่เดียงสาจากวัยเด็ก ถูกทั้งหมดอย่างที่ธงทัพเคยบอกผม...จะโกรธกันไปเพื่ออะไร

"ภูผา"

"..."

"เมื่อไรมึงจะหายโกรธกูเหรอ"

"..."

"เราอย่าวิ่งหนีกันอีกเลยนะ"

"..."

"กูขอโทษ"

ผมพยักหน้ารับ ความปรารถนาของตัวเองก็เป็นไปเช่นนั้น แม้รู้ดีว่าผมกับนาวีคงไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อย่างวันนั้น แต่อย่างน้อยเราก็จะได้ไม่ต้องวิ่งหนีทุกทีที่เจอกัน เราจะยิ้มให้กัน เรียกชื่อกันโดยไม่ต้องฝืนใจ ปล่อยวางเรื่องระหว่างเราและให้อภัยซึ่งกันและกัน

"ขอโทษเหมือนกัน"

อาการบอบช้ำจากความทรงจำเลวร้ายคล้ายกำลังถูกเยียวยาจนผมเองเริ่มไม่รู้สึกเจ็บปวดเมื่อต้องมองย้อนกลับไป และผมหวังว่าวันหนึ่งนาวีจะหายดีเช่นกัน

"งั้นกูกลับก่อนนะ"

นาวีพยักหน้ารับ ก่อนผมจะเดินออกมานอกบ้าน

"เออ กุญแจรถอยู่หน้าทีวี"

นาวีเดินกลับเข้าไปหยิบกุญแจให้ ระหว่างที่ผมก้มหารองเท้าของตัวเองแต่ไม่มี คนที่เดินตามออกมาเอ่ยปากพูดขำๆ

"เมื่อคืนมึงไม่ได้ใส่รองเท้ามานะ"

ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับ นอกจากยืนนิ่งแล้วรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ผมไม่รู้ตัวเองถอดรองเท้าไว้ที่ไหน เดินกลับไปหาจนทั่วชายหาดก็ไม่เจอ เลยต้องเท้าเปล่ากลับบ้าน และถ้าจำไม่ผิด...

"กูเดินเท้าเปล่าเข้าเซเว่นด้วยใช่ไหม"

"มึงเข้าไปซื้อนมช็อกโกแลต"

ผมถอนหายใจไว้อาลัยให้วีรกรรมจากความเมาของตัวเอง นาวีหลุดหัวเราะอย่างกับเป็นเรื่องตลกที่สุดในชีวิต

"เอาของกูใส่ไปก่อนสิ"

"ไว้เอามาคืนพร้อมเสื้อผ้านะ"

"เราเจอกันอีกได้ใช่ไหม"

ผมพยักหน้ารับ เอ่ยบางคำโต้ตอบกลับไป คำที่ไม่เคยคิดว่าจะได้พูดกับนาวีอีกครั้งหนึ่ง   

 

"ไว้เจอกันนะ"


 

เมื่อเปิดประตูรถเข้าไปนั่งก็หันไปเห็นนมช็อกโกแลตแพ็คหนึ่งวางอยู่ที่เบาะข้างคนขับ พลันเหตุการณ์เมื่อคืนก็พุ่งเข้ามาในหัว  ละอายใจแต่ทำได้แค่หัวเราะกับตัวเองอยู่ในลำคอเบาๆ

 

"กูจะซื้อนมช็อกโกแลตไปฝากธงทัพ ถ้ามันรู้ว่ากูเมานะ มันด่าตายเลย ต้องเอานมช็อกโกแลตไปปิดปากมัน"

 

ผมอยากรีบกลับไปหาธงทัพ แล้วถามมันสักครั้ง...ว่าตอนนี้ผมดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นบ้างหรือยังนะ 

 

...

 

ไม่มีอะไรผ่านไปเร็วเท่าวันหยุดยาว ผมใช้เวลาในวันหยุดไปอย่างคุ้มค่าที่สุดด้วยการพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ธงทัพไม่ได้หยุดเลย ตั้งแต่ถูกเรียกกลับมาทำงานในวันนั้น ซ้ำยังงานเยอะจนไม่มีเวลาพัก ตั้งแต่เปิดงานเราจึงยังไม่ได้เจอกันเลย ทำได้แค่โทรหากันเท่าที่ธงทัพพอจะมีเวลาว่าง   

(ย้ายมาอยู่ด้วยกันเถอะ)

เป็นครั้งที่สามในรอบสัปดาห์ที่ธงทัพชวนผมไปอยู่ด้วย และผมยังคงปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องการเดินทาง   

"มันไกลที่ทำงาน จะให้ทำยังไง"

(งั้นก็ย้ายที่ทำงาน)

"วันเสาร์ค่อยเจอกันก็ได้ เดี๋ยวกูไปหามึงเอง"

(วันเสาร์นี้มีงานว่ะ)

"อ้าวเหรอ"

(เย็นวันศุกร์ กูอาจจะไปหา ถ้างานเสร็จนะ)

"ถ้าเหนื่อยก็ไม่ต้องมาก็ได้"

(ไม่อยากเจอหน้ากูหรือไง)

"ไม่ใช่แบบนั้น"

(ไม่คิดถึงกูบ้างเลย)

"ใครบอกว่าไม่"

(ก็ไม่เคยบอกว่าคิด...)

"คิดถึง!"

ผมแทรกพูดคำนั้นก่อนธงทัพจะพูดจบประโยค อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนผมได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ

"คิดถึงนะพี่ทัพ"

(ชอบพูดเพราะเวลากูจะงอน กูก็โกรธไม่ลงเลยเนี่ย)

"ไม่งอนนะ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าค่อยเจอกัน"

(ก็ได้ แค่นี้นะ)

"เดี๋ยวดิ!"

(อะไร)

"มึงก็ไม่เคยพูดว่าคิดถึงกูเหมือนกัน"

(...)

"ไม่เคยพูดสักคำ"

(ไม่ใช่หน้าที่ของคนขี้เก๊ก)

"อ้าว! ธงทัพ! พี่ทัพ!"

ปลายสายกดวางไปก่อนโดยไม่สนเสียงเรียกของผม ปล่อยให้ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจอยู่คนเดียวก่อนหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อสถานะขยับ ความรู้สึกในใจก็อ่อนไหวง่ายกับคำพูดเล็กๆ น้อยๆ ผมดูเหมือนคนอ่อนหัดเรื่องความรักซ้ำยังหมดความสามารถในการกลั้นอาการเคอะเขินเหล่านั้น ทั้งที่เคยทำได้ดีกว่านี้ ผมจึงคิดว่าดีแล้วที่เราแยกกันอยู่ เพราะบางครั้งเมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ ผมอาจต้องขอพื้นที่ส่วนตัวเพื่อใช้ในการหลบไปเขินบ้าง...

 

...

 

สุดสัปดาห์กำลังผ่านมา ผมกลับบ้านดึกนิดหน่อยในคืนวันศุกร์เพราะใช้เวลาเคลียร์งานที่ค้างให้เสร็จ ก่อนจะกลับห้องในตอนที่ฟ้าเริ่มมืด การจราจรในคืนวันศุกร์ยังคงแน่นขนัดผสมโรงกับฝนที่กำลังตกหนัก เป็นเหตุให้ท้องถนนดูแออัดกว่าปกติ ผมเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนผู้คนมากมายที่ต้องการกลับบ้านจึงไม่มีทางเลือกมากนักนอกจากอดทนกับมันต่อไป

บนรถเมล์ที่ขยับไปได้ทีละนิด ผมได้ยินเสียงคนพูดกันว่าข้างหน้ามีอุบัติเหตุ รถจึงติดกว่าปกติ บางคนทำเสียงหงุดหงิดออกมาอย่างจงใจ บางคนเพิกเฉย บางคนก็ยังยิ้มได้อย่างอารมณ์ดีเพราะมีเพื่อนคุยด้วยข้างๆ เมื่อรถเมล์คันที่ผมนั่งเคลื่อนผ่านจุดเกิดอุบัติเหตุ ผมหันไปเห็นรถยนต์สภาพพังยับกับแสงไฟจากรถกู้ชีพ วินาทีเดียวที่หันมองก่อนหลีกเลี่ยงด้วยการหันไปทางอื่น คำว่าอุบัติเหตุส่งผลกระทบต่อจิตใจผมจนไม่กล้าที่จะหันมอง ผมได้แต่หวังว่าคนตรงนั้นจะปลอดภัยดี

 
ใช้เวลานานกว่าปกติ แต่ผมก็กลับมาถึงห้องแล้วตอนที่ฝนหยุดตกพอดี ผมจำได้ว่าธงทัพบอกจะมาหา หากว่าทางนั้นทำงานเสร็จ ผมรอจนถึงห้าทุ่ม ในตอนที่กำลังจะตัดสินใจเข้านอน อีกใจก็สั่งให้รอต่อไปอีก จนถึงเที่ยงคืน จนถึงตีหนึ่ง...

ผมนั่งมองหน้าจอมือถือที่ส่งไลน์ไปหาก่อนหน้านี้ ข้อความถูกอ่านแต่ไม่มีการตอบกลับ ผมหวังว่าธงทัพจะยุ่งมาก ไม่อยากให้มีเหตุผลอื่น เพราะผมกำลังเป็นห่วง มากกว่าที่เคยเป็น   

ถอนหายใจเบาๆ ก่อนตัดสินใจโทรหา แต่ไม่ทันจะกดโทรออกประตูห้องก็เปิดเข้ามาเป็นเหตุให้เผลอสะดุ้ง

"ยังไม่นอนอีกเหรอภูผา"

ริมฝีปากผมขยับเป็นรอยยิ้ม ไม่รู้ว่าดีใจอะไรนักหนาแต่ว่าหุบยิ้มไม่ลงจนถูกอีกคนทัก   

"ยิ้มอะไรขนาดนั้นวะ"

"กำลังเป็นห่วง..."

ผมพูดไม่ทันจบ ธงทัพก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา เอาหัวหนุนตักผม พร้อมเสียงบ่นยาวๆ

"โคตรเหนื่อยเลย ทำงานตั้งแต่เช้าไม่ได้พักกินข้าว แถมมีประชุมอีกงานด่วน เลิกประชุมห้าโมง ฝ่ารถติดกลับถึงออฟฟิศเกือบสองทุ่ม มานั่งทำอีกงานต่ออีก กูรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย เออ กูอ่านไลน์แล้วแต่ลืมตอบ โทษที"

"เหนื่อยขนาดนี้ก็ไม่น่ามานี่เลย"

"ไม่ดีใจที่กูมาเหรอ"

"..."

"เห็นทำหน้าเป็นเป็ดเจอเจ้าของเลยนะเมื่อกี้"

"เป็ดอะไรมึง"

"เมื่อกี้มึงยิ้มปากฉีกถึงนี่เลย" ว่าแล้วก็ยกสองมือขึ้นบีบแก้มผมแล้วดึงให้มุมปากขยับออก

"กูก็ดีใจแหละ แต่ไม่อยากให้มึงเหนื่อย"

ธงทัพถอนหายใจทีหนึ่งแล้วลุกขึ้นนั่งมองหน้าผม

"ย้ายไปอยู่ด้วยกันเถอะ"

เป็นครั้งที่สี่...

"มึงไม่อยากอยู่กับกูเหรอ"

"ไม่ใช่"

"มึงกลัวไปทำงานลำบากแค่นั้นเหรอ"

"ก็มันไกล"

"งั้นกูมาอยู่กับมึงเองก็ได้"

"กูก็ไม่อยากให้มึงเหนื่อย"

"แล้วมึงจะเอาไง"

"ก็อยู่แบบนี้ไปก่อน..."

"แต่กูอยากอยู่กับมึงไง!"

ผมเผลอสะดุ้งตอนที่ธงทัพเสียงดังใส่ อีกคนก็เหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเสียงดังเกินไป เกิดเป็นความเงียบอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ธงทัพจะเอ่ยคำขอโทษออกมาก่อน 

"ขอโทษ วันนี้กูแค่เหนื่อยมาก เลยอยากให้มึงอยู่ใกล้ๆ"

"..."

"กูคงคิดถึงมึงมากไป"

คำว่าคิดถึงหลุดออกมาจากปาก ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยให้เคอะเขิน กลับกลายเป็นความรู้สึกผิดแทนที่ปฏิเสธการชักชวนนั่นด้วยเหตุผลแค่นั้นมาตลอด ผมเพิ่งรู้ว่าตัวเองคิดผิด ทั้งที่ความจริงผมต่างหากที่เป็นฝ่ายโหยหาการอยู่กับธงทัพขนาดไหน

"กูไปอาบน้ำก่อนดีกว่า"

พูดจบก็ลุกออกไป ผมหันมองตามแต่ไม่ได้พูดอะไร ระหว่างที่ธงทัพอาบน้ำ ผมคิดอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน ผมจะย้ายไปอยู่กับธงทัพ หรือยอมให้ธงทัพย้ายมาอยู่กับผม หรือเราจะไปหาที่อยู่ใหม่ ที่ๆ เราทั้งคู่ไปทำงานสะดวก จะมีที่แบบนั้นสำหรับเราไหม หรือผมจะไปหางานใหม่ใกล้ๆ ธงทัพ ผมควรทำยังไง...เพื่อให้เราได้อยู่ด้วยกัน 

เมื่อธงทัพอาบน้ำเสร็จก็ทิ้งตัวนอนลงบนที่นอนก่อนที่จะเช็ดตัวให้แห้งด้วยซ้ำ เมื่อรู้ตัวว่าถูกผมมองอยู่จึงหันมามอง เลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม

"โกรธกูหรือเปล่า"

"..."

"กูขอโทษ"

"ไม่เป็นไร นอนเถอะ" ธงทัพยกมือขึ้นโน้มใบหน้าผมเข้าไปจูบเข้าที่หน้าผากเบาๆ ก่อนเราจะไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ใช้เวลาไม่นานอีกคนก็หลับไปก่อน ผมเลื่อนมือขึ้น ตั้งใจจะกอดธงทัพเอาไว้ แต่เปลี่ยนใจดึงมือตัวเองกลับมาก่อน

หลับตาลงช้าๆ แล้วตื่นขึ้นมาในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้ยินเสียงคนข้างๆ ลุกเตรียมตัวไปทำงานแล้วทั้งๆ ที่เพิ่งได้นอน มีความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นในเช้านี้ ธงทัพไม่ได้บอกอะไรผมก่อนที่จะออกไป อาจเพราะเร่งรีบจนลืม และผมหวังว่าจะเป็นเพราะเหตุผลนั้น

 

ธงทัพไม่ได้บอกว่าเราจะเจอกันอีกวันไหน ผ่านวันหยุดสุดสัปดาห์ไปแล้วสองครั้ง ผมก็ยังไม่ได้เจอกับธงทัพอีกเลย กระทั่งวันศุกร์วนกลับมาอีกครั้ง ผมหวังว่าเราจะได้เจอกัน

(มีอะไรภูผา)

ผมได้ยินเสียงธงทัพเป็นครั้งแรกในรอบอาทิตย์ จากการตัดสินใจโทรหาเพื่ออยากขอให้ออกมาเจอกัน

"เจอกันได้ไหม"

(กูยังทำงานอยู่เลย)

"กูไปหาก็ได้"

(ไม่ต้องมาหรอก)

ผมเงียบ ไม่รู้ว่าจะถูกปฏิเสธกลับมาในทันทีแบบนั้น

(มึงมากูก็ต้องทำงานอยู่ดี งานเร่งต้องเสร็จวันนี้ กูจะได้กลับบ้านหรือเปล่ายังไม่รู้เลย)

"อ๋อ...โอเค"

(ไว้คุยกันนะ)

ธงทัพกดวางสายไปแล้ว ก่อนที่ผมจะเผลอถอนหายใจออกมาเบาๆ

แม้มันไม่ใช่ความโกรธแค้น แต่ผมรู้สึกว่ากำลังถูกเอาคืนอีกแล้ว...

ตอนที่ธงทัพร่ำร้องอยากมาเจอ ผมบอกปัด บ้างก็ผลัดไปเป็นวันอื่น เพราะคิดว่าการไม่เจอหน้ากันสักอาทิตย์คงไม่เป็นไร แต่พอถึงวันที่ตัวเองเป็นฝ่ายอยากเจอบ้างแล้วธงทัพทำในแบบเดียวกัน กลับกลายเป็นผมที่ทนไม่ได้

 

ก็ไม่ได้คิดว่ามันจะนานขนาดนี้...

 

"น้องภู"

"ครับ?"

"คืนนี้พวกพี่จะไปเที่ยวกัน น้องภูไปด้วยกันไหม ไม่ได้ไปด้วยกันนานแล้ว"

"วันนี้ผม..."

"อยู่กับธงทัพเหรอ"

"ครับ?"

"โอเคๆ ไม่รบกวนเวลา แต่ถ้าเปลี่ยนใจโทรมานะ"

"ครับ"

ผมตอบรับไปอย่างนั้น แม้ว่าความจริงไม่ใช่เลยก็ตาม แต่จะเรียกว่าโกหกก็ไม่ถูกนัก เพราะผมตัดสินใจที่จะไปหาธงทัพ ผมเพิ่งเข้าใจคำว่าคิดถึงมากไปของธงทัพในวันนั้น เพราะมันคือสิ่งที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้

 

...

 

ฝ่ารถติดไปซื้อของที่ธงทัพชอบกินหลายอย่าง ก่อนตรงไปที่ออฟฟิศธงทัพในตอนที่ฟ้ามืด ผมได้รับอนุญาตให้เข้ามาในตึกจากรปภ.ที่จำหน้าผมได้ ผมตรงไปที่ห้องทำงานของธงทัพซึ่งเปิดประตูค้างเอาไว้อยู่ ได้ยินเสียงพูดคุยในนั้นจากคนสองคน 

"พี่ทัพ หิวอะ"

"ไปหาไรแดกสิ ใครล่ามมึงเอาไว้ล่ะ"

"ผมชวนพี่อยู่นี่ไง ไปเซเว่นกัน"

"ขี้เกียจลุก ไปคนเดียวได้ไหม"

"ก็ได้ พี่เอาอะไร กาแฟไหม"

"กินกาแฟตอนนี้เดี๋ยวก็นอนไม่หลับกันพอดี"

"โถ! คืนนี้จะได้นอนเหรอครับ กาแฟน่ะดีแล้ว"

"เอานมช็อกโกแลตมาให้กูด้วย"

"ขนมจีบกุ้งไหม ซื้อคู่กันลดเจ็ดบาทด้วย"

"เอามาสองอันเลย"

"ครับ"

ผมไม่ได้เข้าไปขัดบทสนทนานั่น กระทั่งคุยกันจบ ปอก็เดินออกมาจากห้อง ไม่รู้ทำไมผมจึงเลือกที่จะหลบ ก่อนที่ปอจะเห็น เมื่ออีกคนลงลิฟต์ไปแล้ว ผมจึงก้าวออกมาจากมุมเสาแล้วเข้าไปหาธงทัพ

"ลืมอะไร..."

คำพูดหยุดชะงักไปตอนที่หันมาเห็นว่าเป็นผม

"ภูผา"

"ซื้อของกินมาให้" ผมว่าแล้ววางสิ่งที่ซื้อมาในมือลงบนโต๊ะทำงาน

"กูเพิ่งฝากไอ้ปอซื้อไปเมื่อกี้"

"แค่นั้นไม่อิ่มหรอก"

ธงทัพพยักหน้ารับ...แค่นั้น

บรรยากาศไม่ปกติ ทุกอย่างไม่ปกติ ผมไม่ได้มาเพื่อให้เรามองหน้ากันไปมาแบบนี้เฉยๆ ท่ามกลางความเงียบนั้น ผมจึงถามบางคำออกไป 

"ธงทัพ"

"..."

"มึงโกรธอะไรกูหรือเปล่า"

"แล้วทำอะไรผิดไว้หรือเปล่า"

"กูไม่ได้ทำอะไร..." ผมเถียงได้ไม่เต็มปาก ก่อนเป็นฝ่ายเงียบไปเอง ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัด ธงทัพยังคงมองหน้าผมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ เรียบเฉยจนผมคาดเดาไม่ได้ ไม่รู้แม้แต่ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรต่อไป

"มึงโกรธที่กูไม่ยอมย้ายมาอยู่ด้วยเหรอ"

"เป็นมึงจะโกรธไหมล่ะ"

"..."

"เรื่องแค่นั้นกูเข้าใจนะ แต่เรื่องอื่นกูไม่เข้าใจจริงๆ"

คำว่าเรื่องอื่นในประโยคนั้น เป็นเหตุให้คิ้วขมวดเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว เรื่องอื่นที่ไหน...เรื่องอื่นอะไร

"กูขอโทษ"

"เรื่องอะไร"

"กูไม่รู้"

"ไม่รู้แล้วขอโทษทำไม"

"กูไม่อยากให้มึงโกรธ"

"ไม่อยากให้โกรธแล้วทำไปทำไม"

ไม่เข้าใจเลยสักนิด...ไม่รู้ว่าเรื่องอะไรเลยด้วยซ้ำ ความสับสนทำให้ผมเอาแต่เงียบอย่างไม่มีอะไรจะเถียง กระทั่งธงทัพก้มหยิบบางอย่างใต้โต๊ะแล้วส่งให้ ผมจึงเข้าใจ ความผิดที่เคยก่อเอาไว้ถูกจับได้อย่างไม่ทันตั้งตัว 

"นาวีมันฝากเสื้อผ้ามึงมาคืน"

"..."

ขอโทษ...

ผมอยากพูดว่าขอโทษ อยากอธิบาย แต่ติดตรงที่ไม่กล้าเอ่ยขัดธงทัพที่กำลังแสดงความโกรธการกำมือแน่นคล้ายกำลังสงบสติอารมณ์ของตัวเองอยู่เช่นกัน ก่อนที่ผมจะได้เอ่ยคำนั้น อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาก่อน

"กลับไปก่อนเถอะ"

"ธงทัพ..."

"..."

"กูไม่ได้นอนกับนาวี หมายถึง...กูไม่ได้นอนด้วยกัน กูแค่ไปนอนบ้านมัน แต่ไม่ได้..."

"แล้วมันต่างกันยังไง"

"..."

"กูถามว่ามันต่างกันยังไง"

"..."

"ทำไมมึงไม่บอกกู"

"..."

"ทำไมมึงไม่พูดกับกูตรงๆ"

ธงทัพพูดพลางก้าวเท้าเข้ามาหา เป็นเหตุให้ผมต้องก้าวเท้าถอยหลังหนี รู้ตัวอีกทีผมก็ออกมาอยู่นอกห้อง เกิดเป็นความอื้ออึงอยู่ในหัวจนคิดอะไรไม่ออก ผมไม่รู้จะโต้ตอบกลับไปยังไง ไม่ต้องการให้ทุกอย่างมันแย่ลง แต่ความเงียบก็ไม่ได้ทำให้มันดีขึ้นเช่นกัน ผมแค่สับสน กำลังสับสน

 

"มึงเลือกโกหกกูก่อนนะภูผา"

 

ประตูถูกปิด ผมหมดสิทธิ์เข้าไปในนั้นอีกครั้ง ผมยังคงสับสน และนี่คงเป็นครั้งแรก...

 

ที่ธงทัพทิ้งผมเอาไว้กับความไม่เข้าใจ

 

To be continued.

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-10-2018 13:55:37 โดย รชา »

ออฟไลน์ tasteurr

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 573
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-0
งื้ออออออออ  :mew6:
น้องภูอย่ายอมแพ้นะ ตั้งสติ เดินเข้าไปง้อธงทัพ สู้ๆ


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :katai1:

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
เป็นใครก็ไม่เข้าใจหรอก เห้อออ

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
พี่ทัพพพพพพ โกรธได้แต่อย่าให้น้องพังนะ  :ling3:

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
เฮือกกกกกก เราจะต้องถูกบีบหัวใจกับเรื่องนี้ไปทุกตอนเลยไหมนะ?

ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
โกรธได้แต่อย่านานนะจ๊ะพี่ธงทัพ เพราะทางนี้รอเชียร์นาวีอยู่

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด