คาบที่ 9 – ตาต่อตา
ห้องของฟากฟ้าอยู่บนห้องใต้หลังคา ทุกสิ่งดูแปลกตามากสำหรับขุนเขา เจ้าของห้องบอกว่าชอบที่จะอยู่ข้างบน เพราะเวลามองไปเบื้องล่างแล้วรู้สึกดี โดยเฉพาะเวลาที่ต้องใช้ความคิด การที่ได้เปิดหน้าตาชั้นบนสุดของบ้านมองท้องฟ้าทำให้หัวสมองปลอดโปร่ง สมกับชื่อตัว เพราะฟากฟ้าจะรู้สึกรักท้องฟ้ามากเลยทีเดียว
ขนาดห้องไม่กว้างมากแต่ก็ไม่ได้แคบ ขนาดพอดีสำหรับเด็กผู้ชายอยู่คนเดียว จากชั้นสองของบ้านเป็นบันไดเชื่อมต่อขึ้นไปถูกปิดด้วยผนังที่สร้างขึ้นใหม่เพื่อกั้นความเป็นส่วนตัว
ในห้องเต็มไปด้วยชั้นหนังสือร่วมสิบชั้น มีเตียงเดี่ยวที่ตั้งอยู่มุมห้องแออัดกับชั้นหนังสือขนาดเล็ก ปลายเตียงยื่นออกมาไว้สำหรับตั้งโน๊ตบุ๊กส์ มีตู้เย็นขนาดเล็กไว้สำรองอาหาร นอกนั้นแล้วก็แทบไม่มีความบันเทิงใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย
ไม่สิ มีอยู่อย่างหนึ่ง แต่คงเรียกว่าความบันเทิงไม่ได้
ตู้หนึ่งตู้ที่แตกต่างจากชั้นหนังสือ มันถูกจัดไว้ตรงหัวนอน เต็มไปด้วยกล่องทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก บนกล่องนั้นมีนาฬิกาสามเรือนตั้งอยู่ และกล่องว่างอีกหนึ่งกล่อง
เพียงแค่แวบเดียวขุนเขารู้เลยว่าเป็นของราคาแพง
“ชอบสะสมเหรอ” อดที่จะถามไม่ได้
ฟากฟ้าพยักหน้าหงึกหงักอย่างเขินอาย ทำนองว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องที่ควรเปิดเผย
ขุนเขาถือวิสาสะโยนกุญแจมอเตอร์ไซค์ไว้บนเตียงนอนแล้วขึ้นไปดูนาฬิกาเหล่านั้น
ยิ่งได้มองใกล้ยิ่งตาลุกวาว
“รสนิยมดีเหมือนกันนี่”
สวยงามมาก จากดีไซน์คงไม่ใช่เมดอินไทยแลนด์แน่นอน
“อ..อือ ขุนรู้เรื่องนาฬิกาด้วยเหรอ”
“ไม่รู้หรอก” เด็กหนุ่มตอบทันควัน “แต่ชอบดูน่ะ เพราะคงไม่มีปัญญาซื้อใช้แน่นอน” เขาพูดออกมาจากใจจริง
โดยไม่รู้ว่าสีหน้าของฟากฟ้าเจื่อนลงไปนิดหน่อย
ก่อนจะท้วงเบา ๆ ว่า
“ผมเก็บเงินซื้อเองทั้งหมดนะ ค่าขนมที่ได้มาทั้งหมด....”
ไม่อยากให้เข้าใจผิด เขาไม่ได้เอาเงินพ่อแม่มารูดของที่อยากได้ทั้งหมด ขึ้นชื่อว่าของสะสม ต้องใช้เงินเก็บของตัวเองเท่านั้นถึงจะมีความสุข แม้เงินเหล่านี้จะเป็นเงินที่ได้เปล่ามาก็ตาม
สิ้นเสียงขุนเขาเข้าใจเจตนา
“เฮ้ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” เขารีบแก้ “ฉันไม่มีความสนใจเรื่องพวกนี้ต่างหาก ถ้าจะซื้อไว้ใช้คงไม่ใช่ของแพง เหมือนอย่างนายถ้าจะซื้อมอเตอร์ไซค์ใช้คงไม่เอารุ่นแพงหรือรุ่นลิมิเต็ดอะไรแบบนั้นหรอกใช่ไหมล่ะ แค่ใช้ได้ก็พอ”
จากสีหน้าคงเป็นเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายยอมรับได้ เด็กชายพยักหน้าให้อย่างช้า ๆ
ไม่นานนักพี่เลี้ยงยกขนมขึ้นมาเสิร์ฟ เป็นวัฟเฟิลกลิ่นหอมกับน้ำส้มหนึ่งเหยือก
“นายหญิงบอกว่าจะมาหาด้วยน่ะค่ะ อยากเจอกับเพื่อนของคุณฟ้า”
คำพูดนั้นทำให้ทั้งขุนเขาถึงกับเลิกคิ้ว
ฟากฟ้าหันมาหาเขาเป็นเชิงขออนุญาติ
“แม่จะมา ได้หรือเปล่า”
มารบกวนบ้านเขาถึงขนาดนี้แล้วจะให้ปฏิเสธคงใช่ที่
ไม่ได้ทำอะไรไม่ดีอยู่แล้วนี่นะ ขุนเขาคิด จึงพยักหน้าให้อย่างช้า ๆ
“ตกลงครับ แล้วแม่จะมาเมื่อไหร่..”
“ท่านกำลังคุยเรื่องไปดูงานอยู่น่ะค่ะ คาดว่าอีกสักพัก”
“อ้อ งั้นผมจะรอครับ”
บทสนทนาสิ้นสุดลงแค่นั้นก่อนพี่เลี้ยงจะถอยหลังออกไป
พวกเขาอยู่ตามลำพังโดยสมบูรณ์
ฟากฟ้าถอดกระเป๋าเป้แขวนไว้ตรงมุมห้อง ถอดถุงเท้า ดึงชายเสื้อออกจากกางเกง ปลดเข็มขัด ปลดกระดุม
ขุนเขาที่เห็นถึงกับอ้าปากค้าง
“เฮ้ เดี๋ยว นายจะทำอะไรน่ะ !?”
กลายเป็นฟากฟ้าเสียเองที่สงสัย
“เปลี่ยนชุด ทำไมเหรอ”
ขุนเขาติดสตันท์เล็กน้อย เขายืนนิ่งเหมือนโดนแช่แข็งความคิด
ทว่าสายตากลับช่างซุกซนสำรวจร่างกายใต้ร่มผ้าของอีกฝ่ายซะงั้น
ผิวข้างนอกที่ขาวเนียนแล้ว หน้าอกข้างในกลับยิ่งขาวอมชมพูยิ่งกว่า เหมือนดอกบัวที่เริ่มเปลี่ยนสีก่อนผลิบาน รูปร่างค่อนไปทางผอมมากกว่าจะเรียกว่าสมส่วน บวกกับส่วนสูงที่มีไม่ถึงมาตรฐานแล้วทำให้เขาดูแคระแกร็นหนักกว่าเดิม
ขุนเขากลืนน้ำลายลงคอทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไปทำไม
ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้ชายแก้ผ้า กับพี่ชายคนโตนี่เห็นยันไส้ใน น้องชายคนสุดท้ายไม่ต่างกัน วิ่งแก้ผ้ารอบบ้านโทง ๆ เขายังไม่รู้สึก
ผู้ชายด้วยกันแท้ ๆ ทำไมเขากลับเมินเฉยไม่ลง
ไม่สักหน่อย ไม่ได้คิดอกุศลเลยสักนิด
“ฉันยังอยู่ในห้องทั้งคนนะ”
เหมือนเพิ่งรู้ตัว ฟากฟ้าเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย
“อ่ะ .. จริงด้วย”
สงสัยเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีที่กลับมาจากโรงเรียนจนเคยชิน
“แต่ถ้าไม่เปลี่ยนชุดนักเรียนจะเลอะเอานะ ลำบากคนซักอีก” ฟากฟ้าทำสีหน้าลำบากใจ ประหนึ่งว่าหากไม่เปลี่ยนตอนนี้คงทำไม่ได้
ขุนเขาไม่รู้จะพูดยังไง อันที่จริงก็ไม่ควรไปขัดกิจวัตรประจำวันเจ้าบ้านแบบนั้น
สุดท้ายจึงบอกว่า
“เปลี่ยนเถอะ แต่ใช้ผ้าขนหนูพันไว้ด้วยแล้วกัน”
“อื้ม”
ฟากฟ้าพยักหน้ารับหงึกหงักก่อนหยิบผ้าเช็ดตัวที่พับไว้มาพันร่างกาย
แต่นั่นคือผู้ชาย พันยังไงก็ยังเหลือท่อนบน
ขุนเขามองไปทางอื่นแทบไม่ทันจึงหาเรื่องจดจ้องหนังสือในชั้นของเด็กชายแทน หนังสือในชั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นนวนิยายคลาสสิก หรือหนังสืออ่านนอกเวลาส่วนใหญ่ แล้วขุนเขาจึงได้เข้าใจว่าทำไมฟากฟ้าถึงยกตัวอย่างการกระทำของชุนด้วยปีเตอร์แพนแบบนั้น ที่แท้มาจากสิ่งที่อ่านนี่เอง
ฟากฟ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองธรรมดา แทบไม่ต่างจากตอนไปเรียนพิเศษยกเว้นกางเกงขาสั้นผ้าร่มที่ใส่สบาย
“หยิบไปอ่านได้เลยนะ ผมอ่านหลายรอบแล้ว”
ขุนเขาพยักหน้าหงึกหงักตอบรับไปแบบนั้นโดยที่ในใจไม่คิดทำแม้แต่น้อย ให้เขาอ่านหนังสือเนี่ยนะ ? รอให้โลกแตกก่อนเถอะ
แต่ชั้นหนังสือของฟากฟ้ากลับมีความน่าสนใจไม่น้อย หนังสือทุกเล่มถูกห่อด้วยปกพลาสติกอย่างดี เก็บเป็นระเบียบเรียบร้อย เรียงตามประเภท ชื่อคนแต่ง คล้ายกับห้องสมุดทั่วไป ท่าทางเป็นคนรักหนังสือเอามาก ๆ ถึงได้ดูแลชนิดที่ว่าไม่เห็นแม้แต่ฝุ่นจับ
ไม่นานนักเสียงเคาะประตูห้องพลันดังขึ้น ฟากฟ้าหันมามองขุนเขาเป็นสัญญาณเตือน เด็กหนุ่มไม่รู้จะตอบอย่างไรจึงพยักหน้าส่งกลับไป เด็กชายจึงเดินไปทางประตูแล้วเปิดออก
เผยให้เห็นร่างของหญิงสาว ... ไม่ผิดหรอก หญิงสาวในชุดวันพีซสีขาว
เธอดูเหมือนหลุดมาจากเทพนิยายกรีกสมัยโบราณ หากมีช่อมะกอกคงเข้ากัน ผิวขาวเปล่งปลั่งราวกับไขมุก ดวงตากลมโตเหมือนลูกชายของเธอ และริมฝีปากที่อวบอิ่ม
เหมือนถูกมนตร์สะกด ขุนเขามองเธอและฟากฟ้าสลับกัน
“เหมือนกันมากขนาดนั้นเลยเหรอจ๊ะ” เธอทักเด็กหนุ่ม
น้ำเสียงก้องกังวานราวกับนกร้องเพลงในป่า ชวนน่าหลงใหล
เสน่ห์ของเธอมากเหลือจนฟากฟ้าเทียบไม่ติด
“ม..เหมือนครับ” ขุนเขาเผลอพูดสุภาพออกไปโดยไม่ตั้งใจ
กว่าจะรู้สึกตัวผ่านไปเกือบหลายวินาที เด็กหนุ่มจึงยกมือไหว้
เธอรับไหว้โดยการพนมมือระดับอก
“เพราะฟ้าไม่เคยพาเพื่อนมาเที่ยวที่บ้าน แม่เลยตื่นเต้นรีบโผล่หน้ามาขัดจังหวะเพราะอยากเห็นเพื่อนของฟ้าเขาน่ะ อย่าถือสาแม่เลยนะจ๊ะ”
ความเป็นกันเองทำให้ขุนเขาค่อยผ่อนคลาย รอยยิ้มที่ดูเหมือนเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนเพื่อนมากกว่าแม่ของเพื่อน
“ครับ รบกวนด้วยนะครับ”
“แม่ต่างหากที่รบกวน ชื่ออะไรนะลูก”
“ขุนครับ ขุนเขา”
“แม่ของฝากฟ้าด้วยนะจ๊ะ เด็กคนนี้อ่านหนังสือมากเกินไปจนทำให้แม่กังวลว่าจะหาเพื่อนไม่ได้”
ขุนเขาหันไปมองเจ้าของชื่อที่ยิ้มแห้งให้มารดา เรื่องที่โดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนคงไม่คิดแม้แต่จะบอกให้ครอบครัวฟังเลยงั้นสินะ
ขุนเขาโดนแม่ของฟากฟ้าชวนคุยอีกสักพักก่อนขอตัวกลับไป ยอมรับว่าเด็กหนุ่มไม่มักคุ้นการคุยกับผู้ใหญ่เท่าใดนัก แต่กับแม่ของฟากฟ้าเขาลดอาการเกร็งลงเยอะ เพราะรอยยิ้มที่ดูผ่อนคลาย และท่าทางที่ดูภาคภูมิใจของฟากฟ้าประหนึ่งอวดมารดาว่าตนมีเพื่อนได้แล้ว
หลังจากแม่ของฟากฟ้ากลับไป ขุนเขาหันมามองเจ้าของห้องด้วยแววตาเจ้าเล่ห์
ความปริ่มเปรมหายวับไปกับตา เมื่อเด็กหนุ่มเอ่ยว่า
“ไปเอาคอนแทคเลนส์มาสิ”
ฟากฟ้าตัวนิ่งค้างไปสักพักก่อนจะละล่ำละลักถามกลับ
“ตอนนี้เลยเหรอ”
“ตอนนี้สิ ฉันมาเพื่อสิ่งนั้น หรือว่านายลืมไปแล้ว”
ฟากฟ้าส่ายศีรษะหลุกหลิก
เมื่อทนกับสายตากดดันไม่ไหวเด็กชายจึงหนีออกจากห้องหายไปสักพักกลับมาพร้อมตลับใส่คอนแทคเลนส์และน้ำยาหนึ่งขวดตั้งไว้บนโต๊ะข้างโน๊ตบุ๊กส์
ฟากฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกเตรียมพร้อมรับมือกับความกลัว
ถ้าเป็นขุนเขาคงลดความกังวลได้เยอะ ... ละมั้ง ?
ขุนเขานั่งบนเตียงพลางตบพื้นข้าง ๆ ให้อีกฝ่ายนั่งลงด้วย
ฟากฟ้าทำตามอย่างว่าง่าย ตั้งแต่นาทีก่อนแล้วที่เด็กชายพยายามถ่างตาให้กว้างขึ้น ดูแล้วจะบอกว่าน่าขันก็น่าขัน จะน่าเอ็นดูก็น่าเอ็นดู
อากัปกริยาที่แสดงออกอย่างง่ายดายทำให้ขุนเขาแทบไม่ต้องเดาเลยว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
เด็กหนุ่มเปิดกล่องคอนแทคเลนส์ที่แช่น้ำยาไว้ คงลองตั้งแต่เมื่อวานแล้วไม่สำเร็จ
ฟากฟ้ามองบนเพดานและถ่างตากว้างค้างให้มากที่สุด จนขุนเขาอดเตือนไม่ได้
“ตาแห้งขึ้นมามันจะเจ็บนะ”
รีบหลับแทบไม่ทัน
พอเป็นแบบนี้เข้าขุนเขาจึงหลุดขำ
ฟากฟ้าแก้มป่องขึ้นทันที
“ขุนแกล้งเหรอ”
เมื่อโดนจับได้เด็กหนุ่มจึงรีบส่ายศีรษะเป็นเชิงปฏิเสธ
“คิดมากไปแล้ว”
“จริงเหรอ ?”
“จริงสิ”
ฟากฟ้าทำจมูกฟุดฟิดรอบ ๆ ตัวขุนเขา
“กลิ่นไม่ดีเลย”
“เฮ้ ฉันอาบน้ำทุกวันนะ”
“เจตนาต่างหาก” เด็กชายบอก
ไม่คิดว่ามีมุมกวนแบบนี้กับเขาด้วย ภาพลักษณ์ของฟากฟ้าที่ทุกคนรู้จักคือเด็กขี้แย ขี้ขลาด ไอ้เล่นเป็นนักสืบแล้วจ้องจับผิดแบบนี้แม้แต่ขุนเขายังเพิ่งเคยเห็น
หากเปรียบคนเหมือนกระจกที่มีหลายด้าน นี่คงเป็นอีกภาพที่เขายังไม่เคยสัมผัส
จะว่ายังไงดีล่ะ ..
ละสายตาไม่ได้เลย
สุดท้ายเป็นขุนเขาเสียเองที่ต้องยอมแพ้
“ก็ได้ ๆ เอาเป็นว่าเรามาลองใส่ดูเลยแล้วกัน นายนั่งนิ่ง ๆ ล่ะ ฉันจะทำให้”
“ขุนล้างมือ”
“เอ๋?”
“ล้างมือก่อน”
ฟากฟ้าชี้ไปยังมุมห้องที่มีแอลกอฮอล์สำหรับล้างมืออยู่
ความสะอาดมาก่อนอย่างนั้นสินะ อันที่จริงเขาควรล้างมือก่อนหยิบจับคอนแทคเลนส์นั่นแหละ ยิ่งเป็นสายตาของอีกฝ่ายแล้วเขาคงต้องทะนุถนอมเพราะหากเป็นอะไรขึ้นมาคงไม่มีปัญญาใช้คืนให้
เด็กหนุ่มทำตามอย่างว่าง่ายก่อนกลับมานั่งที่
“จะเริ่มได้หรือยัง” รู้สึกเสียเวลามามากแล้ว
เด็กชายพยักหน้าหงึกหงักพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก
คอนแทคเลนส์สายตาสีใสคู่ที่ซื้อไว้ใส่ไปโรงเรียนทุกวัน
“ลืมตาขึ้นสิ” ขุนเขาสั่ง
ฟากฟ้าลืมตาขึ้นจ้องมองเด็กหนุ่มเต็มตา
พวกเขาไม่ได้คำนึงเลยว่าใบหน้าใกล้กันแค่ไหน
ขุนเขาหยิบคอนแทคเลนส์ด้วยนิ้วชี้แล้วบอกว่า
“ห้ามจ้องนิ้วของฉัน ใช้มองไปจุดอื่น มองไกลได้ยิ่งดี แต่อย่ากลอกตาไปมาล่ะ”
เกิดความเงียบรอบตัว ขุนเขาชี้นิ้งข้างที่ว่างแยกเปลือกตาออกจากกันอย่างเบามือ ยิ่งเงียบนานใจเด็กชายยิ่งระทึก เขาบีบมือตัวเองแน่น ร่างเริ่มเกร็งขึ้นเรื่อย ๆ พยายามไม่มองไปทางขุนเขา
ส่วนทางขุนเขาเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน ดวงตาของฟากฟ้าเริ่มเอ่อขึ้นด้วยน้ำตา สงสัยไม่ต้องลำบากพึ่งน้ำตาเทียมละมั้ง
ร่างกายของฟากฟ้าเกร็งขึ้นเรื่อย ๆ
และวินาทีนั้นเองที่..
“เสร็จแล้ว”
ขุนเขาบอกเสียงเบา
เด็กชายหันไปมองต้นเสียงตาปริบ
“ทีนี้ก็อีกข้าง ทำเหมือนกัน”
ทว่าครั้งที่สองเร็วกว่าครั้งแรกมาก ความกลัวของเด็กชายค่อยหายไป เพราะมันไม่รู้สึกเจ็บ ไม่รู้สึกอะไร มีเพียงแค่ความแปลกใหม่อยู่ในดวงตาเท่านั้น
มองเห็นชัดขึ้นโดยไม่ต้องพึ่งแว่นตา
และแน่นอนว่าตอนนี้ใบหน้าของขุนเขาเข้ามาใกล้เหลือเกิน
เห็นชัดชนิดที่ว่าอีกฝ่ายกำลังจะมีสิวตรงหน้าผากหนึ่งเม็ดด้วย
"หลับตาค้างไว้สักห้าวินาที"
"อื้ม"
ฟากฟ้าหลับตาลงอย่างว่าง่าย ใบหน้าเชิดขึ้นริมฝีปากอยู่ในระดับพอดี
ขุนเขาเผลอจ้องมองมันด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
เด็กหนุ่มเบาโหวงในท้อง สภาพตอนนี้คือใบหน้าทั้งคู่ใกล้ชิดกัน อีกฝ่ายพริ้มตาหลับนิ่ง มุมปากอมยิ้มอยู่ในทีเหมือนกำลังมีความคิดสนุกซุกซน
ตรงข้ามกับขุนเขาที่รู้สึกว่าเลือดลมสูบฉีดเร็วขึ้นทุกขณะ
ท่าทางของฟากฟ้าเวลานี้ในสายตาเด็กหนุ่มแล้วมันช่าง ...
ดูเชิญชวนอย่างบอกไม่ถูก
จนอดไม่ได้ที่จะยื่นหน้าเข้าไปใกล้
ใกล้อีกนิด
อีกนิด ....
ลมหายใจของเด็กชายพ่นมาอย่างแผ่วเบากระทบกับจมูก ฉับพลันนั้นขุนเขาขนลุกซู่ไปทั่วร่างราวกับได้สติ เขาดีดเด้งตัวนั่งตรงกะทันหัน กะพริบตาถี่ ๆ เหมือนทบทวนทว่าตนกำลังทำอะไรอยู่
คล้ายต้องมนตร์สะกดบางอย่างจนเผลอคิดเรื่องแย่ ๆ ไปเสียแล้ว !
ฟากฟ้าค่อยเผยอเปลือกตาขึ้นทีละน้อย เมื่อเห็นกริยาขุนเขาแล้วพลันขมวดคิ้ว
"ขุน ?"
ทว่าอีกฝ่ายกลับเด้งตัวยืนเหนือศีรษะประหนึ่งคำพูดเขามีประจุไฟฟ้าซุกซ่อนอยู่ เด็กหนุ่มยืนหันหลังให้ไม่ยอมสบตา
แม้การใส่คอนแทคเลนส์จะเป็นเรื่องแปลกใหม่ แต่อาการของขุนเขากลับน่าสงสัยยิ่งกว่า
"เอ่อ .. ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ !" ว่าแบบนั้นแล้วชิ่งเดินออกจากห้องโดยไม่ถามทางสักคำ
ฟากฟ้าได้แต่นั่งงงว่ามันเกิดอะไรขึ้นภายในไม่กี่วินาทีที่เขาหลับตากันแน่ ?
"ของว่างไม่ถูกปากหรือเปล่านะ"
เด็กชายไม่สามารถทำความเข้าใจได้แม้แต่นิดเดียว
TO BE CONTINUED.......