Jewelry Design
#อัญมณีที่รัก
ผมออกแบบแหวนแต่งงานให้คนอื่นมามากมาย
คงมีแค่คนเดียวที่ผมจะไม่ได้ออกแบบแหวนแต่งงานให้
คนๆ นั้นก็คือตัวผมเอง…
- นพจินดา วรโชติเมธี –
Epilogue – My Jewelry
“เป็นงานวันเกิดที่ยิ่งใหญ่มาก”
เบนจามินเงยหน้ามองบรรยากาศงานวันเกิดของคุณหญิงเฟื่องฟ้า เจริญกิจธารา ที่จัดขึ้นที่บ้าน แต่ก็เข้าใจครอบครัวที่มีหน้ามีตาในสังคม จะจัดงานทั้งทีก็ต้องให้อึกทึกครึกโครมไว้ก่อน ที่จริงแล้ว เบนจามิน ภาคิน และรามิลไม่ได้รู้จักเจริญกิจธาราเป็นการส่วนตัว แต่คุณเฟื่องฟ้าก็ฝากการ์ดเชิญมาทางพอร์ช ระบุชื่อจริงและนามสกุลพร้อมเสร็จสรรพ และนั่นแหละพวกเขาสามคนถึงได้มายืนอยู่กลางบ้านเจริญกิจธารากันแบบ งงๆ
“เหมือนเราเด็กสุดในงานเลยว่ะ”
“บรรดาเพื่อนคุณเฟื่องฟ้าไม่น่าจะอยู่ในวัยสามสิบเหมือนพวกเรานะ”
“กูบอกที่บ้านกูว่ากูมางานนี้ตื่นเต้นกันใหญ่ เฮียเบบอกให้กูเอารถกลับไปฝากมันหนึ่งคันพูดเหมือนกูไปเดินซื้อของพารากอน”
“เอาไอ้ทิมไปขู่ไอ้พอร์ชดิมึงได้ทั้งโชว์รูมแน่เบน”
“ไอ้ทิมนอนไหนวะ บ้านมันหรือบ้านพอร์ช”
“บ้านมันเมื่อคืนกูยังปีนไปเล่นกับรูบี้อยู่เลย”
“ไอ้หนูผีไม่เคยญาติดีกับกูแต่ไปญาติดีกับไอ้พอร์ช กูน้อยใจ”
“ก็กูบอกให้ลองเอาน้องอันนามาเล่นกับรูบี้”
“กูไม่ได้กลัวอันนาจะกัดรูบี้หรอกนะแต่กูกลัวไอ้รูบี้กระโดดงับน้องอันนากู หนูผีนิสัยเหมือนเจ้าของ”
“น้องอันนารักคีตามากกว่ารักมึงที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิดอีก”
“เออเนี่ยกูมีแต่เรื่องน่าน้อยใจเผลอๆ คีตารักน้องอันนามากกว่ารักกู”
“แล้วเมื่อไหร่ไอ้ทิมจะมาวะ เออพูดถึงก็มาพอดี”
คนในงานดูจะตื่นตาตื่นใจกับหลานชายคนเล็ก นพจินดา วรโชติเมธี ที่ร้อยวันพันปีไม่เคยจะออกงานที่ไหน ทับทิมยิ้มรับคนที่เข้ามาหาพร้อมกับบอกว่าไม่เห็นมาตั้งแต่เด็กไม่คิดว่าจะโตขนาดนี้แล้ว จะว่าไปก็นานเหมือนกันที่ไม่ได้มางานแบบนี้ ทุกทีมีแต่งานแต่งงานลูกค้าทั้งนั้นที่เขาต้องไป แก๊งลูกเพื่อนแม่โบกมือให้เดินเข้าไปหาก่อนที่ทั้งสี่คนจะเดินเข้าไปในตัวบ้านตรงที่จัดงาน
“กูรู้สึกแปลกๆ เหมือนไม่ใช่แค่งานวันเกิด”
“ไม่ใช่งานวันเกิดแล้วจะมีงานอะไรอีกวะ”
“ไม่รู้ว่ะ แต่มันแปลกจริงๆ นะเว้ย”
รู้สึกวีไอพีมากแก๊งลูกเพื่อนแม่ได้เข้ามานั่งรอในตัวบ้านพิเศษกว่าคนอื่นๆ พอนั่งตัวเกร็งคุณเฟื่องฟ้าก็บอกให้ทำตัวตามสบาย แล้วบอกให้ทิมขึ้นไปหาพอร์ชข้างบนได้เลย พอผู้ใหญ่พูดแบบนั้นทิมก็เลยต้องเดินขึ้นไปได้ยินเสียงหัวเราะจากบรรดาผู้ใหญ่ของเจริญกิจธาราเมื่อเห็นแก๊งลูกเพื่อนแม่สามคนมองตามทิมที่ขึ้นบันไดไปจนสุดตา
อาการหวงเพื่อนนี่ไม่ได้หายกันง่ายๆ
บ้านเจริญกิจธาราหลังใหญ่โตพอๆ กับบ้านของเบนเพราะเป็นครอบครัวใหญ่ ห้องเยอะแยะเหมือนอยู่โรงแรม ทิมหยุดอยู่หน้าห้องที่มีรูปรถแขวนอยู่ดูจากสภาพน่าจะติดมาตั้งแต่เด็ก ลองเคาะประตูสองสามทีคนที่อยู่ในห้องก็ตะโกนให้เข้ามาได้ ทันทีที่เปิดประตูคนที่ยืนอยู่หน้ากระจกก็หันมายิ้มให้
“ทิมมานานหรือยังครับ”
“เมื่อกี้เลยคุณย่าบอกให้ขึ้นมาได้”
“งานย่าผมก็เวอร์เหมือนกันนะเนี่ย”
“เหมือนมางานเปิดตัวเจ้าชายในการ์ตูน”
“ห้ามกลับก่อนเที่ยงคืนนะซินเดอเรลล่า”
“ไม่ทิ้งรองเท้าไว้หรอกนะซื้อมาแพง”
“ทับทิมช่วยผมติดกระดุมแขนเสื้อหน่อยครับ”
ทั้งๆ ที่เป็นประโยคธรรมดาๆ ทั่วๆ ไปแต่ไม่รู้ว่าทำไมทิมถึงรู้สึกเขินขึ้นมาซะดื้อๆ วันนี้พอร์ช พชร ดูหล่อกว่าทุกวันเพราะแต่งหน้าแต่งตัวเป็นทางการไม่ใช่สถาปนิกวัยรุ่นอย่างที่เคยเห็น ผมก็เซ็ตมาอย่างดีทิมไม่เคยเห็นพอร์ชในแบบนี้มาก่อน เสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนก็ดูเข้ากับกางเกงที่ใส่อยู่ รับรองว่าวันนี้ พชร ทายาทของเจริญกิจธาราต้องมีคนรุมถ่ายรูปไม่หยุดแน่ ทิมเดินเขาไปใกล้ๆ ก่อนจะตั้งใจติดกระดุมแขนเสื้อให้พอร์ชที่ยืนยิ้มอยู่
“อย่าจ้องแบบนี้ได้ไหม”
“วันนี้ทิมน่ารักต้องมีคนเข้ามาจีบชัวร์เลย”
“แก๊งลูกเพื่อนแม่ก็อยู่”
“มีแฟนแล้วให้แฟนออกโรงซิครับคุณ โดนใครจีบแล้วตะโกนเรียกผม”
“แล้วถ้ามีคนเข้ามาจีบพอร์ชบ้างล่ะ”
“เดี๋ยวผมวิ่งไปหาทิมเอง เอาป้ายมาห้อยดีไหมเขียนว่าผมเป็นของทับทิมแล้วครับ ห้ามจีบ”
กระดุมแขนเสื้อทั้งสองข้างทิมติดให้หมดแล้วแต่พอร์ชไม่ยอมปล่อยตัวทิมไปง่ายๆ เลยคว้าเอวเข้ามากอดไว้หลวมๆ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่าวันนี้พอร์ชดูแปลกๆ แววตาดูมีความสุขจนทิมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะงานวันเกิดของคุณย่าเฟื่องฟ้าหรือว่าเพราะอะไร ท่าทางเหมือนเด็กชายพอร์ชขี้อ้อนในตอนนี้ทำให้ทิมยกมือกอดเอวพอร์ชไว้เหมือนกัน
“ต้องลงไปข้างล่างแล้วพอร์ช”
“ผมตื่นเต้น”
“ไม่ใช่งานวันเกิดตัวเองซะหน่อย”
“ทับทิม”
“ทำไมวันนี้อ้อนแปลกๆ มีอะไรหรือเปล่า”
“เติมพลังให้ผมหน่อยอยากได้กำลังใจเยอะๆ”
“ต้องทำอะไรยิ่งใหญ่หรือไงงานวันนี้”
“ครับ ครั้งแรกและครั้งเดียวไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำอะไรแบบนี้ด้วย”
“หรือว่ามีโชว์พิเศษให้คุณย่า”
“ขอกำลังใจ กำลังใจ กำลังใจ”
เด็กชาย พชร งอแง จนทิมต้องหัวเราะก่อนจะเลื่อนมือขึ้นมาวางบนไหล่กว้างแล้วยกตัวหอมลงบนแก้มซ้ายขวาจนคนโดนหอมยิ้มออกมามีการจูบเบาๆ ปิดท้ายอีกที ทิมก็ไม่รู้หรอกว่าพอร์ชจะมีโชว์พิเศษอะไรให้คุณย่าเฟื่องฟ้าแต่ท่าทางจะตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน พอได้เติมพลังเด็กชาย พชร ก็ดูสดชื่นขึ้นมาทันตาเห็นก่อนที่ป้าพรจะมาเคาะประตูเพราะถึงเวลางานแล้ว
“ลงไปที่งานกัน”
“พอร์ชแล้วแหวน…ไม่ใส่เหรอ”พอร์ชยกมือขึ้นมามองนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง ก่อนจะส่ายหน้าไปมาแล้วจับมือให้ทิมเดินลงไปข้างล่างด้วยกัน ทิมมองมือพอร์ชแล้วนึกถึงที่พี่ต่ายบอกเขายังไม่เห็นแบบแหวนที่พอร์ชเลือกเลย และพี่ต่ายเองก็บอกเองว่าจะได้เห็นในงานวันนี้ แต่พอร์ชเองก็ไม่ได้ใส่แหวนของ Pure Jewelry เหมือนญาติคนอื่นๆ อาจจะเป็นเพราะว่าเกรงใจเขาหรือว่าเหตุผลอื่นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
Jewelry Design
“นอกจากงานเกิดแล้วที่จริงฉันเองตั้งใจจะเป็นงานเลี้ยงขอบคุณ Pure Jewelry ที่ออกแบบเครื่องประดับให้กับทุกคนในเจริญกิจธารา ฉันขอบคุณ Pure Jewelry ที่ทำให้ฉันมีสร้อยสวยๆ ใส่ในวันเกิด”
ทับทิมได้แต่ก้มศีรษะขอบคุณทุกคนในงานที่ปรบมือให้และแน่นอนว่า Pure Jewelry จะต้องได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นแน่ๆ คุณเฟื่องฟ้าเล่นประกาศออกไมค์แบบนี้ พ่อกับแม่เขาก็ยิ้มแก้มแทบปริ ทับทิมรู้สึกแปลกเหมือนกันทุกทีเขาไปงานแต่งก็จะเห็นแค่แหวนแต่งงานที่ตัวเองออกแบบ แต่งานนี้เขาได้เห็นทั้ง ตุ้มหู สร้อยคอ สร้อยข้อมือ หรือแม้แต่กำไลข้อเท้าหลานชายคนเล็กในวัยสองขวบของเจริญกิจธารา ในฐานะคนออกแบบทั้งหมด มันก็เป็นเรื่องที่น่าภูมิใจ
โชว์บนเวทีเสร็จสิ้นหมดแล้ว
เค้กก็ตัดเรียบร้อย
แขกก็ทยอยกันกลับ
แต่ทิมไม่เห็นว่าจะมีโชว์จากหลานชายเลยแล้วพอร์ชจะตื่นเต้นไปทำไมกัน?
“คุณทั้งสี่คนคะคุณย่าเฟื่องฟ้าให้มาตามค่ะ”
แก๊งลูกเพื่อนแม่มองหน้ากันอย่าง งงๆ เมื่อแม่บ้านมาตามให้กลับเข้าไปในบ้านทั้งๆ ที่พวกเขาก็ร่ำลาคุณเฟื่องฟ้าไปแล้วหลังงานเลี้ยงเลิก ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาตรงห้องนั่งเล่นในบ้าน แก๊งลูกเพื่อนแม่ก็หยุดเดินเมื่อเห็นว่าตรงห้องนั่งเล่นไม่ได้มีแค่คุณเฟื่องฟ้าและคุณย่ากาญจนาเท่านั้น แต่มีทั้งพ่อกับแม่ของพอร์ชและก็พ่อกับแม่ของทิม และที่สำคัญพอร์ช พชร ที่นั่งอยู่ตรงพื้นพรมด้านล่างโซฟา
“ทิม มานั้งตรงนี้ข้างหน้าย่าได้ไหมลูก”
พอผู้ใหญ่ขอแบบนั้นทิมเลยต้องเดินไปนั่งลงข้างๆ พอร์ช สถานการณ์ตอนนี้ทำให้ทิมทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งนิ่งๆ มองหน้าคนนู้นทีคนนี้ทีก่อนจะหันไปมองพอร์ชคล้ายจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พอร์ชก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเพียงแค่ยิ้มตอบกลับมาเท่านั้น
“เป็นครั้งแรกเลยนะที่พอร์ชเข้ามาคุยกับย่าด้วยตัวเอง”
“ครับ?”
“พอร์ชเดินมาหาย่าแล้วก็บอกกับย่าว่า พอร์ชจะไม่ใส่แหวนในงานนะครับย่า”
“แหวนของพอร์ช..”
ทิมมองตามกล่องกำมะหยี่สีแดงสองกล่องที่คุณย่ากาญจนาถือไว้ในมือ มือที่กำแน่นไว้บนตักถูกแทนที่ด้วยมือของพอร์ชที่สอดเข้ามาประสานนิ้วเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างพอร์ชเอื้อมไปรับกล่องแหวนมาถือไว้เอง ทิมมองตามกล่องแหวนไม่วางตาไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกใจเต้นขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เขารู้ตัวดีอยู่แล้วว่าแหวนในกล่องไม่ใช่แหวนที่เขาเป็นคนออกแบบ
พอร์ชเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะจับมือซ้ายของทิมมาวางไว้บนตัก แล้วค่อยๆ เปิดกล่องสีแดงออกทันทีที่เห็นสิ่งที่อยู่ในกล่อง ทับทิมได้แต่นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น
เป็นไปได้ยังไง..
“แหวนทับทิม วงหนึ่งมีตัวอักษร T และอีกวงหนึ่งตัวอักษร P ออกแบบโดยนพจินดา วรโชติเมธี Pure Jewelry”
“……………….”
“แหวนแต่งงานที่ผมอยากได้ แหวนแต่งงานที่คุณทิมออกแบบเอง”พอร์ชรู้ว่าคุณทิมเองก็คงคิดไม่ถึงว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ พอร์ชยอมรับเลยว่าตอนนี้เขาก็ตื่นเต้นไม่แพ้กันเขาคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังไม่ผ่านด่านของแก๊งลูกเพื่อนแม่เลยด้วยซ้ำ เขาอยากสวมแหวนทับทิมวงนี้ด้วยตัวเองและทันทีที่แบบแหวนเสร็จเรียบร้อยพอร์ชเข้าไปหาคุณย่าเฟื่องฟ้าแล้วบอกสิ่งที่ตั้งใจจะทำในวันนี้ให้ย่าได้ฟัง พอร์ชพูดทุกความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีต่อทับทิมให้ย่ารู้ ก่อนที่ย่าจะกอดเขาไว้แล้วบอกกับเขาว่า
หลานชายย่าโตขึ้นมากจริงๆ
พอร์ชยกมือไหว้ทั้งคุณย่ากาญจนาพ่อแม่และของคุณทิมก่อนที่พอร์ชจะหันมามองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตากลมโตมองเขาไม่วางตาก่อนที่เขาจะบอกในสิ่งที่เตรียมมาอย่างดี
“มันอาจจะยังไม่ใช่การแต่งงาน แต่ผมอยากให้ครอบครัวผมและครอบครัวของคุณทิมได้รู้ว่า ผมจริงจังกับทับทิมมากแค่ไหน และผมขออนุญาตดูแลทับทิมในฐานะคนรัก”
“………………………………………………………..”
“ในสายตาผู้ใหญ่ผมอาจจะดูเล่นไปบ้างอายุก็น้อยกว่าทิม แต่ผมสัญญาว่าผมจะปรับปรุงตัวในส่วนที่ไม่ดี และจะไม่ทำให้ทิมเสียใจไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม”
“………………………………………………………..”
“ขออนุญาตสวมแหวนให้ทับทิมนะครับ”
“………………………………………………………..”
พอร์ชยังคงพูดอีกหลายอย่างและทับทิมเองก็ได้ยินครบทุกประโยค ตอนนี้ทิมเองก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง มันตื้นตัน มันพูดไม่ออก ทิมทำได้แค่หันไปมองพอร์ชที่นั่งอยู่ข้างๆ แววตาของพอร์ชมีความเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่น ในแบบที่ทิมไม่เคยเห็นมาก่อน ภาพในอดีตมันย้อนกลับเข้ามาเหมือนในหนังที่เคยดู
เราเจอกันครั้งแรกไม่ใช่สิ่งที่น่าประทับใจเลย
สายตาที่มองกันมีแต่ความอยากเอาชนะ ไม่มีความรู้สึกดีๆ ให้กันเลยแม้แต่นิดเดียว
“แต่ผมไม่ยอมแพ้คุณง่ายๆ หรอกนะถ้าคุณพอร์ชต้องการจะกวนประสาทผมก็พร้อมจะรับมือ ถ้าคุณคิดจะแกล้งคุณก็จะเจอผมแกล้งคืนเหมือนกัน”
เกมที่เราสองคนสร้างขึ้นมาในวันนั้น ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าผลที่ตามมันจะเป็นแบบนี้ จากคำพูดที่แกล้งหยอดให้อีกฝ่ายตายใจ การกระทำแค่แกล้งทำให้ต่างคนต่างหวั่นไหว ทุกอย่างในวันนั้นมันไม่มีความจริงใจเลยสักนิด
“ยินดีด้วยที่ชนะ”
“…………………………………….”
“เกมความรู้สึก ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตกหลุมรักก่อนแพ้ก็แปลว่าผมแพ้มาตั้งนานแล้วพอร์ช”
“…………………………………….”กว่าเราจะมีวันนี้เราผ่านการเสียน้ำตามาหลายครั้ง เกมความรักในครั้งนั้นสอนให้เราได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง ต่างคนต่างบอบช้ำจนไม่คิดว่าเราสองคนจะกลับมารักกัน พอร์ช พชรที่หวังจะมีครอบครัวสมบูรณ์แบบในวันนั้นยอมทิ้งทุกอย่างและทำให้ผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้ดีอะไรมากมาย นิสัยแย่มากด้วยซ้ำ เป็นคนที่โชคดีมากๆ
“ทับทิม ไม่เอาแบบนี้ได้ไหม อย่ารักเขาเลยช่วยรอผมหน่อย ผมจะผ่านคุณเบนไปเจอคุณรามิลให้ได้ หรือจะให้ผมทำอะไรอีกผมยอมทุกอย่างแล้ว”ผู้ชายที่แพ้ไม่เป็น ไม่เคยยอมใครง่ายๆ แต่ยอมให้แก๊งลูกเพื่อนแม่ทั้งแกล้งทั้งทดสอบสารพัดกว่าจะผ่านมาได้แต่ละด่านมันไม่ง่ายเลย ถ้าเป็นคนอื่นทิมมั่นใจว่ายอมแพ้ตั้งแต่เจอภาคินแล้ว แต่พอร์ชทำทุกอย่างยอมทุกวิถีทางจนวันนี้มานั่งอยู่ตรงหน้าเขาในวันนี้
“ผมรักคุณทับทิม นพจินดา”คำบอกรักที่เคยอยากได้ยินมาตลอด วันนี้ทับทิมได้ยินมันนับครั้งไม่ถ้วน
มันไม่ใช่แค่คำพูดแต่การกระทำของพอร์ชทำให้ทับทิมเชื่อหมดทั้งใจ
เรื่องราวต่างๆ ที่นึกย้อนไปทำให้รู้ว่าเราสองคนผ่านมาอะไรมามากมายจริงๆ ทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ทิมก้มลงมองมือตัวเองที่พอร์ชจับไว้ก่อนจะมองแหวนทับทิมที่เขาออกแบบเองกับมือค่อยๆ ถูกสวมเข้ากับนิ้วนางข้างซ้าย ทันทีที่พอร์ชสวมแหวนจนสุดข้อนิ้วทุกอย่างรอบตัวเงียบสนิทก่อนที่คุณย่าเฟื่องฟ้าจะเอ่ยออกมาเป็นคนแรก
“ทำพี่ทิมร้องไห้แล้วพอร์ช”
ทิมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตาเขามันไหลออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พอร์ชยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะคว้าเอาทิมเข้ามากอดใบหน้าน่ารักซบลงตรงอกว้าง พอโดนกอดทิมก็ร้องไห้หนักมากว่าเดิมมือก็กุมแหวนทับทิมไว้แน่นเหมือนเด็กหวงของ และท่าทางจะไม่หยุดร้องง่ายๆ พอร์ชกอดปลอบก็แล้วลูบหลังก็แล้วแต่ทับทิมก็ยังคงร้องอยู่ดี บอกรักทีก็ร้องฮือที
ท่าทางน่ารักจนพอร์ชอยากจะฟัดให้แก้มช้ำ แต่ก็นะ..แก๊งลูกเพื่อนแม่ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ยังคงหวงเพื่อนไม่เลิก เห็นเขากอดคุณทิมนานไปหน่อยก็ทำเป็นกระแอมคนละทีสองที เลยแกล้งเอียงหน้ามาจูบขมับคุณทิมนี่ลุกขึ้นยืนพร้อมกันกันทั้งแก๊ง คุณย่าเฟื่องฟ้านี่หัวเราะปรบมือ
“ฉันชอบสามทหารเสือนี่จริงๆ”
Jewelry Design
“ทำไมไอ้ลูกศิษย์ที่กูเอาตะหลิวเคาะหัวมันกะมือถึงได้ข้ามหน้าข้ามตาลูกพี่อย่างกู อยากกลับคอนโดไปขอคีตาแต่งงานตอนนี้เลยยอมไม่ได้”
“เปิดตัวไอ้ทิมเวอร์กว่าไอ้เบนเปิดตัวคีตาอีก ไม่ใช่แค่พูดสวมแหวนแม่งเลยคิดได้ไง”
“ผู้ชายที่เคยเอาความรักมาเล่นเป็นเกมๆ หนึ่งนี่มันจริงจังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
ทั้งสามคนหันไปมองพอร์ชกับทิมที่ยืนอยู่ด้วยกัน กว่าทับทิมจะหยุดร้องไห้ก็หลายนาที มันเป็นภาพที่ทุกคนต้องอมยิ้มเมื่อทิมสวมแหวนให้พอร์ชแบบสะอื้นเพราะเพิ่งหยุดร้องไห้แก้มทั้งสองข้างแดงก่ำเหมือนสีของทับทิมที่อยู่บนหัวแหวน พอร์ชอมยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาให้ทิมมีการหยิกแก้มเบาๆ วันนี้ดูไอ้ทิมดูเด็กกว่าพอร์ชอีกเอะอะจะร้องไห้ท่าเดียว
ทับทิมผละจากพอร์ชแล้วเดินเข้ามาหาแก๊งลูกเพื่อนแม่ ทั้งสามคนเอาแต่ล้อที่ทิมร้องไห้ไม่หยุดมีทำเสียงโอ๋เอ๋เหมือนตอนสามขวบ แต่อยู่ดีๆ ก็เงียบพร้อมกันทั้งสี่คนทั้งที่ก่อนหน้านี้ยังคงส่งเสียงเฮฮากันอยู่เลย ทับทิมเลยเดินเข้ามาหาคินคนแรกก่อนจะกอดไว้แน่น
“ลูกกระจ๊อก”
“มึงก็ต้องโตเหมือนกันทับทิม อย่าให้พอร์ชต้องปรับตัวอยู่คนเดียว อยู่ด้วยกันมันต้องเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย มึงไปอยู่บ้านพอร์ชกูจะปีนไปกินข้าวบ้านมึงสามมื้อเลย กูต้องกลายเป็นหลานรักของคุณย่ากาญจนาแทนมึง”
“กูยังเป็นเพื่อนข้างบ้านมึงเหมือนเดิมนะคิน”
“ให้โอกาสจิกหัวใช้ลูกกระจ๊อกอย่างกูได้ตามสบายก่อนที่กูจะหนีไปมีแฟน”
“ขอให้มึงเจอแฟนแบบมีสีสันคัลเลอร์ฟูลทุกวันนี้มึงใช้ชีวิตแบบมินิมอลเหลือเกินภาคิน”
“เออเดี๋ยวกูได้เจอสีน้ำแปดสีสาดใส่กูแน่มึงเล่นอวยพรกูแบบนี้”
คินกอดทับทิมไว้แล้วหัวเราะ เจ้าเด็กผมจุกที่มาเกาะรั้วข้างบ้านมองเขาเล่นรถบังคับในวันนั้น คนที่เขาแบกกระเป๋าสะพายกระติกน้ำให้ตั้งแต่สามขวบ วันนี้มีคนมาดูแลทิมนอกจากเขาสามคนแล้ว และคินดีใจกับเพื่อนด้วยจริงๆ ที่ได้เจอความรักที่ดีๆ ถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้นมันไม่ได้สวยสวยงามแต่ทุกอย่างที่พอร์ชทำในวันนี้คินก็วางใจได้แล้ว
“ว่าไงทหาร”
“ไอ้พอร์ชทำอาหารไม่อร่อยบอกกูเลยนะ มันแกล้งมึงก็ต้องบอกกู ถ้ามันนอกใจกูตามไปถล่มถึงบ้านมันแน่กูบอกไว้ก่อน”
ทิมกอดเบนพร้อมกับตบหลังเบาๆ เบนจามินยังคงเป็นทหารที่สู้เพื่อเขาไม่เคยเปลี่ยน ทิมไม่ได้ตอบอะไรแค่พยักหน้ารับก่อนที่เบนจะยกมือขยี้ผมเบาๆ เหมือนเมื่อตอนเด็กๆ เบนคิดถึงไอ้เด็กใส่เอี๊ยมมัดจุกน้ำพุที่ม๊าเจียซินจูงมือมาหาแล้วบอกให้เขาแบ่งขนมให้เพื่อนด้วย
เบนจำได้ว่าเขานั่งเลือกอมยิ้มในกระป๋องเพราะอยากกินรสโคล่า แต่ไอ้ทิมที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็อยากกินรสโคล่าด้วยเลยแย่งอมยิ้มกันสองคนแต่ว่าสุดท้ายเขาก็ชนะแต่ไอ้เด็กเอี๊ยมมัดจุกนั่งจ้องเขาตาแป๋วตอนเขาแกะอมยิ้มรสโคล่าที่โปรดปราณ สุดท้ายเขาก็ต้องเสียสละอมยิ้มรสโคล่าให้กับไอ้ทิมเพราะมันเอาแต่นั่งจ้องอมยิ้มในมือไม่เลิก
“ถ้าโดนใครแกล้งกูวิ่งมาฟ้องมึงคนแรกเหมือนเดิมเบนจามิน”
เบนยิ้มจนตาตี่ๆ นั่นตี่ลงไปอีกก่อนจะกอดทิมแน่นๆ เบนยอมรับว่าเขาใจหายนิดๆ เมื่อคิดว่าต่อจากนี้จะมีคนมาดูแลทิมเหมือนที่พวกเขาทำมาตลอด แต่อีกใจก็คิดว่าดีแล้วทีเป็นพอร์ช และคิดว่าคงมีแค่พอร์ชเท่านั้นที่จะทำหน้าที่นี้ได้ดี
“องครักษ์หัวหน้าแก๊ง”
รามิลไม่ได้พูดอะไรแค่กางแขนออกก่อนที่ทิมจะโถมตัวเข้าใส่ สำหรับรามิลเขานึกถึงวันแรกที่เจอทิม คุณแม่ใบบัวพาทิมมาที่บ้าน ตอนนั้นรามิลได้แต่นั่งมองเจ้าเด็กตัวกระเปี๊ยกมัดจุกใส่ชุดสีเหลืองอ๋อยเพราะไม่รู้ว่าจะเล่นอะไรกับเจ้าตุ๊กตานี่ดี แต่ที่รู้คือทับทิมเดินตามเขาทุกฝีก้าวไม่ว่าเขาจะเดินไปไหนเจ้าลูกเจี๊ยบชุดเหลืองก็เดินตามเขาต้อยๆ เหมือนลูกไก่เดินตามแม่ไก่ คิดแล้วก็ตลก
“กูยังเป็นหัวหน้าแก๊งลูกเพื่อนแม่ที่อยู่กับมึงเสมอทิม”
“อยากร้องไห้อีกแล้ว”
“จะร้องอะไรนักหนาแฟนรักขนาดนี้เป็นกูเต้นระบำสามช่าใส่แล้ว”
เบนจามินก็ยังคงเป็นผู้ชายอารมณ์ดีไม่เคยเปลี่ยน สุดท้ายก็กอดกันกลมทั้งสี่คน นานๆ ทีถึงจะมีช่วงเวลาซึ้งแบบนี้ทุกทีตีกันตลอด ได้ยินเสียงคุณย่ากาญจนาเรียกให้ทิมเข้าไปหา ทิมเลยต้องผละออกไปหาพอร์ชที่ยืนรออยู่อีกด้าน ทั้งสามคนยืนมองพอร์ชที่จับผมทิมทัดไว้หลังหูก่อนที่ทิมจะก้มดูแหวนทับทิมที่ใส่อยู่ ท่าทางที่มีความสุขของทั้งคู่ทำให้ทั้งสามคนที่มองอยู่ยิ้มออกมา
“ในที่สุดเจ้าชายน้อยของพวกเราก็มีคนสวมแหวนทับทิมให้สักที”
พวกเขาทั้งสามคนรู้ดีว่ายังไงก็ต้องมีวันนี้ วันที่ทับทิมของพวกเขามีความรักและได้เจอคนที่จะดูแลในฐานะคนรัก แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน จะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาสามคนก็ยังอยู่ตรงนี้ไม่มีวันหายไปไหน เป็นแก๊งลูกเพื่อนแม่ที่มีกันสี่คนตลอดไป
“ตอนนี้กูเริ่มเข้าใจตอนจบของหนังแฟนฉัน ที่เจี๊ยบเห็นน้อยหน่าเป็นเด็กผู้หญิงถักเปียสองข้าง”
รามิลได้ยินเบนกับคินตอบรับว่าเข้าใจแล้วเหมือนกัน ภาพที่พวกเขาเห็นตอนนี้ทับทิมในวัยสามสิบใส่ชุดที่ดูเป็นทางการตั้งแต่หัวจรดเท้า แต่ทันทีที่ทิมหันมาเห็นว่าพวกเขาทั้งสามคนยังยืนอยู่ที่เดิมเลยหันมายิ้มให้ และในตอนนั้นที่เขาสามคนเห็นเป็นภาพทับทิมเด็กผู้ชายใส่เอี๊ยมมัดจุกน้ำพุในวัยสามขวบซ้อนทับขึ้นมาแทน
ถึงวันนี้จะมีคนมาทำหน้าที่นี้ให้เจ้าชายน้อยของเขาแล้ว แต่ ลูกกระจ๊อก ทหาร และองครักษ์สัญญาว่าจะดูแลเจ้าชายน้อยเหมือนที่เคยทำมาตลอดและจะทำแบบนี้ไปตลอดชีวิต
นี่แหละแก๊งลูกเพื่อนแม่ ภาคิน เบนจามิน รามิล และนพจินดา..................
...............................................