Day 19 Frost
ตอนที่เขาลงไปยืนรอรับพ่อที่หน้าโรงพยาบาลสิ่งแรกที่เขาเห็คือเขาเห็นพ่อก้าวลงจากรถแท๊กซี่ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะเชื่องช้าทั้งที่มีเพียงแค่กระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ติดตัวมาใบเดียวภาพนั้นมันทำให้เขายืนนิ่งเป็นหุ่นแช่แข็งเหมือนโดนสาบเอาไว้ เขาเอาแต่เรียกร้องความช่วยเหลือจากพ่อโดยที่ผ่านมาเขาไม่เคยมองพ่อให้ดีไม่เคยเห็นเลยว่าพ่อของเขาแก่ลงมากแค่ไหน แล้วในวันนี้เขายังให้พ่อที่แก่ลงมากเดินทางมาหาเขาอย่างกระทันหันเพียงคนเดียวอีกความรู้สึกผิดที่ตีตื้นขึ้นมาทำให้เขาก้าวขาไปทางด้านหน้าไม่ออกไม่กล้าแม้จะสบตาไปตรงๆ ที่หน้าของพ่อ
“ผมขอโทษครับพ่อ พ่อต้องมาลำบากเพราะผม”
“พูดอะไรแบบนั้นแฟรงค์เองเขาก็ไม่มีใครที่ไหนแล้วเขาก็เหมือนเป็นลูกของพ่อคนนึงเหมือนกัน”
“ครับพ่อ”
เขาเล่าเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นให้พ่อได้ฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุของแฟรงค์หรือเรื่องสิ่งที่เหนือกว่าธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งสองคนในช่วงที่พวกเขากำลังเดินไปที่ห้องพัก ตอนแรกเขาก็กลัวว่าพ่อจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดและคิดว่าเขาเครียดถึงจินตนาการกับเรื่องเหล่านี้ แต่เปล่าเลยสิ่งที่พ่อทำกลับตรงกันข้ามพ่อนอกจากจะไม่ว่าเขาว่าเพ้อเจ้อแล้วยังตั้งใจฟังในทุกคำพูดของเขา
“แฟรงค์เป็นหนักขนาดนี้เลยรึเนี่ย?”
“ครับพ่อ ตั้งแต่เข้ามารับการรักษาตัวแฟรงค์จะเป็นแบบนี้ตลอดตื่นมาไม่นานแล้วก็หลับต่อ พยาบาลบอกว่าน่าจะเป็นผลมาจากอาการกระตุกที่ผมเล่าให้พ่อฟังนั่นแหละครับ”
“เรื่องของคนที่ชื่อเดฟที่ลูกพูดถึง…”
“ที่ผมเรียกพ่อมาด่วนเพราะผมต้องไปหาคำตอบแล้วผมก็คงทิ้งแฟรงค์ไปแบบนี้ไม่ได้ ผมคงต้องทิ้งพ่อไว้ที่นี่กับแฟรงค์”
“ไม่เป็นไรทอมไม่ต้องห่วงทางนี้นะ”
“ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไร เชื่อพ่อทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี”
นี่คือคำปลอบใจที่พ่อพูดซ้ำๆ ตั้งแต่ที่พ่อเห็นสภาพของแฟรงค์ในห้องพักจนเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าพ่อต้องการที่บอกใครกันแน่ระหว่างเขาหรือตัวพ่อเอง
“ลูกไปทำในสิ่งที่ลูกคิดว่าจำเป็นเถอะไม่ต้องห่วงทางนี้พ่อดูแฟรงค์ได้”
“ขอบคุณครับพ่อ”
ผ่านมาหนึ่งวันที่เขาไม่ได้ไปทำงานนั้นหมายความว่ามันคือหนึ่งวันที่เขาไม่ได้ไปที่ร้านกาแฟร้านนั้นแต่คุณจอห์นก็ไม่ได้ติดต่อเขามาซึ่งมันมีทางเป็นไปได้อยู่สองทาง หนึ่งคือคุณจอห์นยังไม่หายโกรธเรื่องที่คิดว่าเขาเป็นคนไปรื้อของส่วนตัว สองคุณจอห์นไม่สบายแล้วไม่ได้ไปทำงานเหมือนกับวันที่เกิดเรื่อง แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนเขาก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ แล้วนั่งรอการติดต่อจากคุณจอห์น
รู้ทั้งรู้ว่าช่วงเวลาสองทุ่มมันไม่เหมาะที่จะบุกไปหาคนที่เพิ่งจะสนิทกันแต่ในเมื่อเขาได้พยายามโทรศัพท์ไปหาคุณจอห์นเพื่อขอนัดอยู่หลายครั้งแต่ไม่ประสบความสำเร็จไม่มีการรับสายจนถึงขั้นปิดเครื่องมันจึงทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นมากนักยกเว้นมาถึงหน้าที่พักของคุณจอห์นโดยที่ไม่ได้นัดเอาไว้
เกาะๆๆๆๆๆ “คุณจอห์นผมรู้ว่าคุณอยู่ในห้อง เปิดประตูให้ผมทีผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณ”
หลังจากที่เขาเดินวนอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์ของคุณจอห์นเพราะไม่มีการ์ดที่จะเข้าไปทางด้านในของตึกได้อยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ถุงใส่ของของหญิงชราจู่ๆ ที่เดินผ่านหน้าเขาไปก็ขาดออกทำให้ของทุกอย่างที่อยู่ในนั้นล่วงลงที่พื้นตรงหน้าของเขา โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเขาวิ่งเข้าไปช่วยเธอเก็บก่อนที่ของทุกอย่างที่เธอซื้อมาจะล่วงลงถนนที่เต็มไปด้วยนถวิ่ง ตอนแรกที่เขาช่วยเขาไม่ได้คิดหวังผลมันเป็นไปตามสัญชาตญาณแต่เมื่อผู้หญิงคนนี้ออกตัวว่าพักอยู่ที่ตึกนี้เขาก็จะถือว่ามันคือการขอบคุณจากหญิงชราคนนี้แล้วกัน
“คุณอาศัยอยู่ตึกนี้ด้วยเหรอคะ? ดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
“ผมเพิ่งเข้ามาพักกับเพื่อนที่ห้อง 503 ได้ไม่นานครับ มาแบบ เอ่อ พักชั่วคราวถ้าคุณไม่เชื่อว่าผมอยู่ตึกนี้จริงเดี๋ยวผมแค่ส่งของเข้าไปให้ในตึกแล้วคุณปิดประตูเลยก็ได้ครับ หรือไม่คุณสามารถล่วงเอาคีย์การ์ดที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทางด้านขวาของผมออกมาแตะที่ประตูก็ได้ครับ”
เพราะเขาให้ความช่วยเหลือเขาจึงได้ความไว้ใจจากหญิงชราคนนี้เพิ่มขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์แต่เธอมันก็ยังมีส่วนที่ยังไม่เชื่อใจเหลืออยู่อาจเพราะเธอไม่คุ้นหน้าค่าตาของเขามาก่อน
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะดิฉันก็แค่ถามดูไม่คุ้นหน้าเฉยๆ”
ขอบคุณที่ทักษะในการแสดงละครของวิชาเลือกในมหาวิทยาลัยของเขายังดีอยู่เขาถึงสามารถผ่านการจับผิดและเข้ามาภายในตึกนี้ได้อย่างง่ายได้ ก่อนที่จะขึ้นมาเขาไม่มีความแน่ใจเลยซ้ำว่าคุณจอห์นจะอยู่ที่ห้องรึเปล่าเขาจึงคิดแผนยาวไปถึงว่าถ้าจะต้องยืนให้คุณจอห์นกลับมาเขาต้องไปรอที่ไหนเพื่อไม่ให้คนบนชั้นนี้สงสัยเขา
แต่พอได้มาถึงที่หน้าห้องจริงเขาก็เบาใจเมื่อแสงไฟที่สามารอดออกมาที่ใต้ประตูห้องพร้อมกับไอร้อนที่เป็นสัญญาณว่าคุณจอห์นได้เปิดเครื่องทำความร้อนเอาไว้เขาจึงยังยืนเคาะประตูอยู่แบบนี้ไม่ไปไหน แล้วในที่สุดความพยายามของการรอคอยของเขาก็เป็นผลเมื่อคุณจอห์นยอมเดินมาเปิดประตูให้เขา
“คุณมีอะไรรึครับคุณทอม?”
หน้าตาของคุณจอห์นซีดเซียวเหมือนคนไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวันแถมคุณจอห์นยังใส่เสื้อกันหนาวในห้องที่แค่เขาก้าวเท้าเข้ามาเขาก็อยากที่จะถอดแจ็คเก็ตตัวนี้ออกแล้ว แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือแววตาที่ไม่มีความสดใสเหลืออยู่ในนั้นเลย สภาพของคุณจอห์นทำให้เขาเกือบลืมว่าเขามาที่นี่ทำไม
ขาของเขาเกือบก้าวเข้าไปในห้องไม่ออกเมื่อแววตาของคุณจอห์นที่ใช้มองเขาในตอนนี้มันดูเย็นชาไร้ความรู้สึกจนเหมือนเขากำลังมองลงไปในธารน้ำแข็งมากกว่าดวงตาของคนที่มักจะมีแต่ความอบอุ่นและความสุขมอบให้กับเขา
“คุณดูไม่สบาย”
“นิดหน่อยครับ”
“งั้นผมขอรบกวนเวลาคุณเพียงไม่นานครับ ผมขอเข้าประเด็นเลยแล้วกัน ผมอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคนที่ชื่อเดฟครับ”
“ผมไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเขา”
“แต่..”
“ถ้าคุณจะมาเพราะเรื่องนี้ผมว่าคุณเดินทางมาเสียเวลาเปล่า และต่อไปนี้ผมไม่คิดว่าผมกับคุณมีเรื่องจำเป็นที่จะต้องเจอกันอีก”
“คุณจอห์นคุณฟังผมก่อนผมขอเวลาเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นถ้าห้านาทีนี้ผมยังไม่สามารถทำให้คุณฟังผมต่อได้ผมจะไม่รบกวนเวลาคุณอีกเลย”
“…”
คุณจอห์นไม่ได้ตอบรับกับคำขอของเขา ไม่ได้พยักหน้าไม่เอ่ยอณุญาตแต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พูดปฎิเสธออกมาดังนั้นเขาขอเข้าข้างตัวเองโดยการที่คิดว่าคุณจอห์นพร้อมที่จะฟังในสิ่งที่เขาพูดแล้วกัน
“ผมเคยได้ยินเสียงของเขามาก่อนครับ...เสียงของคนชื่อเดฟ”
“ก็แน่นอนวันนั้นคุณเป็นคนเล่นวีดีโอนั้นด้วยตัวเองคุณก็ต้องได้ยิน”
“ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ผมเดินไปเล่นวีดีโอนั้นคุณอาจจะฟังว่ามันบ้าหรือเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่เหมาะสมเอาซะเลยเพราะในห้องนั้นมันมีเพียงผมแค่คนเดียวแต่ผมขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้เป็นคนเดินไปเล่นวีโอนั้น”
“…”
“และรวมไปถึงว่าไม่ใช่ครับวันนั้นไม่ใช่วันแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขา ไม่รู้ว่าคุณจะพอจำได้ไหมที่ผมมักจะพูดเสมอว่าผมนอนไม่หลับจนผมเองยังคิดที่จะคอยไปหาหมอเพื่อรักษาอาหารนอนไม่หลับของผม”
“ครับ”
“ความจริงแล้วมันไม่ใช่ว่าผมนอนไม่หลับ ผมกลับครับแต่มีคนทำให้ผมตื่น”
“...”
“ช่วงหลังมานี้ผมมักจะฝันซึ่งพอตื่นผมก็จำไม่เคยได้เลยว่าผมฝันอะไร ภาพทุกอย่างในฝันมันเบลอไปหมด ผมเคยพยายามนึกแต่นึกเท่าไหร่ผมก็นึกไม่ออก”
“…”
“แต่สิ่งนึงที่ผมจะจำได้คือมันจะมีเสียงนึงในตอนท้ายของความฝันเป็นสียงที่ทำให้ผมตื่นเป็นเสียงที่คอยบอกให้ผมออกไป กลับไป”
“...”
“แล้วผมก็จำได้ดีว่ามันคือเสียงของคุณเดฟ”
“คุณโกหก”
“ผมจะโกหกคุณแล้วได้อะไรขึ้นมา? เสียงนั้นคือเสียงของคุณเดฟจริงๆ ผมได้ยินเสียงนั้นมาหลายคืนรวมเป็นอาทิตย์ๆ คุณว่าผมจะจำเสียงนั้นไม่ได้เลยรึไง?”
“คุณอาจจะสับสนเพราะนอนไม่พอ พอคุณได้ยินเสียงนั้นคุณก็ทึกทักเอาเองว่าเป็นเดฟ”
“ไม่ใช่ครับผมรู้ตัวดีว่าผมได้ยินอะไร คุณจอห์นกรุณาเถอะครับกรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมได้ฟังทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ชื่อเดฟเพราะตอนนี้คนที่ผมรักที่สุดเขาต้องทนอยู่กับความทรมาณ คนที่ชื่อเดฟกำลังทำร้ายคนที่ผมรัก”
ผลั่ก กำปั้นของคุณจอห์นแนบลงที่ใบหน้าของเขา เขาเซไปทางด้านหลังเล็กน้อยก่อนที่ทรงตัวให้กลับมานั่งดีๆ ได้ โดยที่ไม่มีคำเตือนล่วงหน้าคุณจอห์นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วก็ปล่อยหมัดตรงเข้ากับใบหน้าของเขา
“เดฟไม่มีวันทำร้ายใครไม่มีวัน!!”
“เขาไม่มีวันทำร้ายใคร หรือ คุณแค่ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทำ!!!”
“ออกไปซะ ออกไปจากห้องผม!!!”
“ก็เพราะคุณเป็นอย่างนี้ยังไงละจอห์นเราเลยไม่เคยพูดกันรู้เรื่องสักที”
คำพูดออกมาจากปากของผม เสียงเป็นของผม มือที่ยื่นไปลูบเบาๆ ที่แก้มของคุณจอห์นนั้นก็ของผมแต่มันไม่ใช่ผมที่กำลังควบคุมให้มันเป็นไปแบบนั้น ครั้งนี้มันเหมือนกับครั้งในฝันนั้นแตกต่างเพียงว่าครั้งนี้ที่เกิดขึ้นผมยังคงตื่นอยู่ ผมยังคงอยู่ในร่างกายยังคงมีความคิดแต่คนอีกคนที่เข้ามาใช้ร่างกายร่วมกับผมกลับมีอำนาจคอยบ่งการให้ร่างกายของผม
“คุณทอม!!!”
“ทำไมบี้ถึงเรียกชื่อคนอื่นมาแทนชื่อผมละ?”
“บี้ คุณไปเอาชื่อนี้มาจากไหนทอมจากไหน คุณไปรู้อะไรมา!!!”
“บี้ ทำไมบี้จำผมไม่ได้ละครับ?”
“บอกให้หยุดพูดไง บอกให้หยุดพูดไง มึงเป็นใคร มึงเป็นใคร!!!”
‘อึก’ เขากำลังดิ้นรนหาทางเอามือของคุณจอห์นออกไปจากลำคอของเขา เขาจะบอกกับคุณจอห์นอย่างไรดีว่าคนคนนั้นได้ออกไปจากตัวของเขาไปเรียบร้อยเราไม่ได้ใช้ร่างกายเดียวกันแล้ว
แต่แรงของคุณจอห์นมันก็มีมากเหลือเกินเกินกว่าที่แรงของเขาจะต่อสู้ได้ ก่อนที่ลมหายใจของเขาจะหมดลงในสมองของเขามีหลายเรื่องที่วนเวียนอยู่ในนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาไม่น่าเลยบุกมาที่นี่โดยที่ไม่คิดแผนให้ดีกว่านี้เพราะนอกจากจะไม่ได้อะไรกลับไปแล้วเขาอาจจะต้องทำให้พ่อเสียใจ ‘พ่อ’ ที่ยอมมาหาเขาแบบไม่มีเงื่อนไขและแฟรงค์ที่กำลังรอความช่วยเหลือจากเขาอีก ทั้งคู่ต้องรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนกันนะที่เหตุการณ์มันออกมาในรูปแบบนี้
“ขอโทษครับพ่อ”
แค่กๆ เขาสามารถสูดลกหายใจเข้าปอดได้อีกครั้งเมื่อมือที่เหมือนคีมเหล็กของจอห์นได้หลุดออกจากคอของเขา เขารีบถอยหนีออกมาจากคุณจอห์นจนมาใกล้กับประตูของห้องพักตอนที่คุณจอห์นกำลังนั่งแช่แข็งเหมือนกับคนที่ถูกสาป
“คุณเป็นบ้าอะไรผมไม่รู้แต่ตัวตนเมื่อกี้ไม่ใช่ผม ผมรู้ว่าพูดไปคุณก็ไม่เชื่อแต่ผมก็ขอย้ำว่านั้นไม่ใช่ผม ถ้าคุณจะหยุดคิดสักนิดผมที่เพิ่งรู้จักกับคุณจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครใช้ บี้ เป็นตัวแทนระหว่างคุณกับเขา”
“…”
“ความจริงผมมีอยู่ฝันนึงแต่ผมก็รู้ว่ามันคือฝันจากอะไรผมเลยไม่เคยพูดกับคุณ แต่ถ้ามันจะช่วยให้คุณฟังผมบ้างผมก็จะพูดออกมา...คนที่ชื่อเดฟเขาเสียชีวิตเพราะตกจากที่สูง ถ้าไม่ชั้นสองของบ้านก็บรรไดของบ้านใช่ไหมครับ?”
สายตาที่คุณจอห์นมองเขามันกำลังเบิกกว้างมากขึ้นและค้างแข็งอยู่แบบนั้น แล้วนี่ก็เป็นบทสนทนาแรกของวันที่เขาสามารถทำให้คุณจอห์นหันมาสนใจในคำพูดของเขาได้
“วันนั้นคุณทะเลาะกันเรื่องที่บ้าน เรื่องแม่ของคุณ ใช่ไหมครับ?”
“คุณรู้ได้ยังไง?”
“เพราะผมเห็นมันไงคุณจอห์นผมเห็นเหตุการ์ณในวันนั้น คราวนี้คุณเชื่อผมบ้างรึยัง?”
เราต่างคนต่างยืนในมุมของตัวเองโดยที่ใช้ความเงียบเป็นตัวทำให้เราทั้งสองคนสงบสติลงไม่ว่าเขาที่กำลังตื่นกลัวหรือคุณจอห์นที่กำลังนิ่งค้างเหมือนกำลังหลุดเขาไปในโลกของตัวเองที่ไม่ใช่ตรงนี้
“สายตาของคุณเปลี่ยนไป”
“ครับ?”
“สายตาของคุณที่เรียกผมบี้มันเปลี่ยนไปมันเหมือนเป็นสายตาของเดฟที่ใช้มองผมอยู่เสมอ แต่ผมก็ยังคงไม่เชื่อผมคิดว่าคุณกำลังล้อผมเล่น ตอนที่ผมเอ่อ บีบคอของคุณ มันมีช่วงจังหวะที่สายตาของคุณก็กลับมาเป็นคนเดิมพร้อมกับพูดขอโทษคุณพ่อ เดฟไม่มีพ่อ”
“คุณเลยปล่อยมือ?”
“ครับ”
“คราวนี้คุณเชื่อเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังรึยัง?”
“ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเดฟไม่มีวันทำร้ายใคร เขาไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ผมพร้อมที่จะรับฟังคุณ”
“แค่นั้นที่ผมต้องการ”
เมื่อในที่สุดคุณจอห์นก็ยอมนั่งลงแล้วฟังเรื่องราวที่ออกมาจากปากของเขาบรรยากาศที่ร้อนเพราะเครื่องทำความร้อนก็ดูเหมือนว่าจะเย็นขึ้น พร้อมกับกำแพงธารน้ำแข็งที่อยู่ในดวงตานั้นก็กำลังจะละลายลง
การที่คุณจอห์นยอมรับฟังในสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มเท่านั้น เพราะสิ่งที่เขายอมลงทุนบุกมาถึงนี้ก็เพราะเขาต้องทำให้คุณจอห์นยอมละลายกำแพงที่หัวใจและยอมลบภาพของคุณเดฟที่มีคุณสมบัติของคนอ่อนโยน ใจดีที่ถูกผนึกเป็นเหมือนน้ำแข็งอยู่ในนั้นออกให้ได้ คุณจอห์นจะได้ยอมช่วยเหลือเขากับแฟรงค์เสียที
TBC
ถึงคุณ
♥►MAGNOLIA◄♥ จริงค่ะ ชี้ตัวเลย แฟรงค์คือต้นเหตุค่ะ
fc_fic ขอบคุณนะคะ ^^