ใจยักษ์ 30.1
“อาการคนไข้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วนะครับ พรุ่งนี้ก็สามารถกลับบ้านได้ครับ” คุณหมอบอกอย่างใจดี ผมอยู่โรงพยาบาลมาสี่วันแล้วครับ ถ้านับวันพรุ่งนี้ก็จะครบห้าวัน เหมือนขาดเรียนไปทั้งอาทิตย์ ใกล้สอบไฟนอลแล้วด้วยสิ
“ครับ” ผมพยักหน้ารับทราบที่คุณหมอบอก
“พรุ่งก็จะได้กลับห้องแล้ว ดีใจหน่อยสิวะ” พี่สมิธพูดขึ้นหลังจากที่คุณหมออกจากห้องไปแล้ว วันนี้พี่สมิธมาเยี่ยมผมตั้งแต่เที่ยงจนตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้ว เขามาทุกวันจนผมนึกแปลกใจว่าทำไมถึงว่างมาหาได้บ่อยขนาดนี้ มาก็ชวนคุยนั่นคุยนี่ กวนประสาทไปเรื่อย แต่ถึงอย่างนั้นผมก็รู้สึกขอบคุณเขา อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมลืมเรื่องเศร้าๆไปได้บ้าง
“ครับ เดี๋ยวผมให้เมฆมารับกลับหอ พรุ่งนี้พี่ไม่ต้องมาก็ได้” ผมยิ้มบอกพี่สมิธ ความจริงเมฆก็มาหาผมทุกวัน แต่จะมาช่วงเย็นเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องนอนเฝ้านั้นผมไม่ต้องการให้ใครมานอนเฝ้าทั้งนั้น ทุกคนก็รับทราบ แต่ก็มักจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมายึดโซฟาตอนดึกๆทุกวันล่ะนะ
“เฮ้ย!ไม่ได้” พี่สมิธว่าเสียงดัง ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ผมพึ่งบอก
“ทำไมหรอครับ” ผมถามหน้างง ไม่เข้าใจปฎิกิริยาจากพี่สมิธ
“มึงกลับไปนอนหอตัวเองไม่ได้” พี่สมิธขยายความ
“ทำไมจะไม่ได้ ผมจ่ายค่าเช่าทุกเดือน”
“มันไม่ใช่แบบนั้น แต่ตอนนี้มึงยังกลับไม่ได้”พี่สมิธตีหน้ายุ่งอย่างไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี
“แล้วจะให้ผมไปนอนที่ไหน?”
“ก็...ห้อง-”
“ผมไม่ไป!” พี่สมิธพูดยังไม่ทันได้จบประโยคดี ผมก็พูดสวนขึ้นทันควัน ผมรู้หรอกว่าเขาจะบอกว่าที่ไหน
“รันต์” พี่สมิธครางอย่างอ่อนใจ เขามีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าเป็นพี่ พี่อยากจะกลับไปอยู่ในสถานที่ที่เราถูกทำร้ายไหม พี่ทำใจได้รึเปล่า?” ผมย้อนคำถามคืนให้พี่สมิธ เขาถอนหายหายใจแล้วตอบออกมาสั้นๆ
“ไม่” เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง “แต่ในกรณีเรามันไม่เหมือนกัน มึงกำลังตกอยู่ในอันตราย รู้สถานการณ์ตัวเองตอนนี้บ้างสิวะ” พี่สมิธพูดแบบนี้แสดงว่าเขารู้เรื่องนายหริรักษ์และเงื่อนไขระหว่างผมกับทศกัณฐ์แล้วแน่
“ปล่อยให้ผมตายไปเถอะ ชีวิตผมมันไม่มีค่าอะไรแล้ว” ผมพูดเรียบๆ สีหน้าเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าจริงๆแล้วความเย็นชานี่แหละคือตัวตนที่แท้จริงของผม ตอนเด็กๆผมอาจจะร่าเริงและยิ้มจริงๆ แต่พอชีวิตผ่านอะไรมาหลายอย่าง ความโดดเดี่ยวมันกัดกินหัวใจผมจนด้านชา การยิ้มของผมมันก็คือละครฉากหน้า หลอกแม้กระทั่งตัวเองว่ามีความสุข ทั้งๆที่ในใจก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด จะว่าผมเป็นเด็กเก็บกดก็คงไม่ผิดนัก ตอนนี้ผมชักจะยิ้มไม่ออกแล้วสิ
“รันต์!...ฟังกูนะ” พี่สมิธจับไหล่ผอมๆของผมให้หันไปทางเขาตรงๆ ผมจำต้องสบตาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
“มึงผ่านอะไรในชีวิตมาตั้งเท่าไหร่ ลงทุนลงแรงกับเรื่องนี้ไปมากแค่ไหน มึงจะมายอมแพ้แค่นี้ไม่ได้นะเว้ย กูรู้ว่ามึงเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ไอ้คนทำมันก็เสียใจมากไม่แพ้มึงหรอก” พี่สมิธเว้นช่วง เมื่อหันว่าผมไม่พูดอะไรเขาจึงพูดต่อ
“กูจะพูดสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตกูให้ฟัง…กูเคยโดนข่มขืน” น้ำเสียงพี่สมิธขมขื่นไม่แพ้สีหน้าเขา
“ผมรู้” ผมบอกออกไป คิดว่าตัวเองพอเดาได้กับสิ่งที่เขาหลุดพูดหลายๆครั้ง อาการสะดุ้งเป็นบางครั้งเมื่อผู้ชายแปลกหน้าแตะโดนตัว
“ตั้งแต่สิบสอง” ผมตาเบิกโพลงอย่างคาดไม่ถึง ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายขนาดนี้ “ไม่อยากจะเชื่อเลยใช่ไหมล่ะ” พี่สมิธเหยียดยิ้มนิดๆยามเมื่อพูดถึง
“กูโดนหนักกว่ามึงตั้งไม่รู้กี่เท่า ปีแรกแทบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันด้วยซ้ำ เวลาผ่านไปกี่วันกี่คืนยังไม่รู้เลย กูรู้ว่าความรู้สึกของคนเรามันเทียบกันไม่ได้ แต่ว่ากูก็เจ็บปวดทุกข์ทรมานไม่แพ้มึงหรอก อยากตายยังตายไม่ได้เลย...มึงอาจจะดีกว่าหน่อย ที่พวกมึงสองคนมีความรู้สึกดีๆให้กัน...มึงไม่ต้องปฏิเสธเลยว่ามึงไม่รู้สึกอะไร” พี่สมิธชี้หน้าเมื่อเห็นผมอ้าปากจะพูด คือผมไม่ได้จะปฏิเสธ แต่หมายถึงอีกคนต่างหากเล่า
“แล้วพี่ผ่านมันมาได้ยังไง” ผมถามพี่สมิธ นับถือในความเข้มแข็งของเขามาก ดูไม่ออกเลยว่าเขาเคยเจอเรื่องร้ายๆแบบนั้นมาก่อน
“ทศกัณฐ์ช่วยกูไว้” ผมขมวดคิ้วงงๆ เกี่ยวอะไรกับทศกัณฐ์
“มันเป็นคนพากูออกมาจากที่นั่น เอาชีวิตตัวเองเป็นหลักประกันให้กู ทั้งๆที่ไม่รู้จักกัน”
“พี่ไม่ได้เป็นเพื่อนกับเขามาตั้งแต่แรกหรอ?” ผมเผลอถามออกไปด้วยความสงสัย
“เปล่า กูยัดเยียดความเป็นเพื่อนให้มันเองหลังจากนั้นต่างหาก” พี่สมิธยักไหล่นิดๆก่อนจะพูด “ที่กูจะสื่อให้มึงฟังก็คือ...อย่ายอมแพ้อะไรง่ายๆ ทุกอย่างมันผ่านไปได้ มึงรู้ไหมว่าตอนนี้มึงไม่ได้อยู่คนเดียวแล้วนะ มึงลองเปิดใจดูแล้วมึงก็จะมองเห็นว่าใครอยู่ข้างๆมึงบ้าง” ผมรู้สึกว่าน้ำเสียงพี่สมิธอ่อนโยนกว่าที่เคย เขาลูบหัวผมเบาๆด้วยความเอ็นดู กระบอกตาผมร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ทำไมผมจะไม่รู้ว่าตั้งแต่พวกเขาก้าวเข้ามาในชีวิตผม มีบางอย่างกำลังเปลี่ยน ผมอยากหลอกตัวเองตัวเองต่อว่าพวกเขาผ่านมาแล้วเดี๋ยวก็ผ่านไป อย่าไปรู้สึกดี อย่าไปมีความสุขร่วม ควรถอยออกมาให้ห่างๆ เพราะผมกลัวว่าถ้าไม่มีพวกเขาแล้วผมจะเสียใจ ผมไม่อยากเสียใจอีกแล้ว
“ไม่มีใครทิ้งมึงหรอก พวกกูรักมึงจะตาย ขนาดไอ้ดียังพูดถึงมึงตลอดเลย” น้ำตาหยดแรกร่วงลงสู่ตัก หยดต่อมาไหลรินไม่ขาดสาย ผมร้องไห้อีกแล้ว แต่ความรู้สึกตอนนี้มันทั้งซาบซึ้งและดีใจมากๆเลย ผมอยากมีความสุข อยากอยู่เล่นกับทุกคน ไม่อยากเหงาอีกแล้ว
“ฮึก...พี่จะไม่ ฮึก...ทิ้งผมใช่ไหม” ผมมองสบตาที่สมิธอย่างคาดหวัง กัดริมฝีปากเพื่อกั้นสะอื้น
“ใครจะทิ้งลง น่ารักขนาดนี้ มาเป็นเมียกูมา” พี่สมิธทำท่าจะโน้มหน้ามาหอมแก้มผม แต่ผมเบี่ยงหน้าหนีแล้วเอามือดันอกเขาไว้
“พอเลย ฮึก” ผมยิ้มบางๆ แม้จะยังติดสะอื้นอยู่ ไม่นานทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ผมดูทีวี ส่วนพี่สมิธนั่งกดโทรศัพท์แชทกับสาว
“เรื่องไอ้ทศ” อยู่พี่สมิธก็เกริ่นขึ้นหลังจากเราอยู่ในโลกส่วนตัวกันสักพัก ผมเงียบไม่ได้พูดอะไรแต่ก็หันไปมองหน้าเขานิ่งๆแทน
“ไอ้ทศมันไม่ใช่คนพูดมาก มันเป็นลูกผู้ชายอะไรที่มันผิดมันก็ยอมรับผิดแต่โดยดี เพียงแต่เรื่องที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งมาจากอาการป่วยของมัน” พี่สมิธลอบมองปฏิกิริยาผม เมื่อเห็นผมไม่พูดอะไร เขาจึงเอ่ยปากต่อ
“ถ้ามึงคิดว่ากูแก้ตัวแทนแทนเพื่อนล่ะก็...ใช่! มึงคิดถูก”
“อ้าว” อะไรของเขาวะ
“แต่กูอยากให้มึงฟังคำแก้ตัวนี้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ” พูดสมิธพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแต่สีหน้าเขาก็ค่อนข้างลังเลที่จะพูด ผมไม่ใช่คนไร้เหตุผลนะ แต่เรื่องที่ทศกัณฐ์ทำผมนึกเหตุผลที่จะมาหักล้างกับสิ่งที่เขาทำไม่ออกจริงๆ
“ถ้ามันพูดยาก ก็ไม่ต้องพูดก็ได้นะครับ” ผมพูดออกไปเบาๆ คิดว่าเรื่องที่พี่สมิธกำลังจะบอกผมอาจเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่บอกใครไม่ได้ก็ได้
“มึงรับปากกูได้ไหมว่าถ้ามึงรู้เรื่องนี้ มึงจะไม่เกลียดมันยิ่งก็เดิม” พี่สมิธพูดแกมขอร้อง ผมหลุบตาต่ำอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ผมไม่รู้”
“...ทศกัณฐ์เป็นทายาทคนเล็กของตระกูลฮาล์น ตระกูลนี้มีวิธีการเลี้ยงลูกไม่เหมือนคนอื่น เติบโตมากับบ่อน ทุกอย่างคือการแย่งชิง ผลประโยชน์ต้องมาก่อนเสมอและที่สำคัญ พ่อแม่ไม่มีสิทธิ์ในการปกป้องเลี้ยงดูลูก คุณต้องเติบโตเอง ยืนหยัดให้ได้ด้วยตัวเอง เมื่อคุณมีคุณสมบัติที่พร้อมจึงจะได้สืบทอดกิจการของตระกูลต่อไป”
“บ้าไปแล้ว” ผมครางออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“แต่ว่าทศกัณฐ์เลวร้ายกว่านั้น...ลูเซียส ฮาล์น ผู้เป็นปู่มองเห็นอะไรบางอย่างในตัวหลานชายคนเล็ก เขาจับทศกัณฐ์ฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกชนิดบนโลกใบนี้ตั้งแต่ทศกัณฐ์ยังไม่ทันสามขวบดี...ทักษะและไวพริบต่างๆถูกยัดเยียดใส่ไว้ในเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่ง เก้าขวบฆ่าคนเป็นครั้งแรก ทศกัณฐ์ทำได้อย่างที่เด็กคนไหนไม่สามารถทำได้มาก่อน เขาทำทุกอย่าง...เพียงเพราะปู่บอกว่าจะให้เจอแม่...จนเมื่ออายุสิบสี่ปีเขาได้เป็นหนึ่งในสมาชิกองค์กร JKG ในรัสเซีย ไม่เคยทำงานพลาด เก็บได้ทุกใบสั่ง จนถูกยกว่าเป็นเงาสีเลือด เพราะเขาไม่เคยเปิดเผยใบหน้า ไม่มีข้อมูลที่บอกว่าทศกัณฐ์คือใคร มีเพียงคนเดียวที่รู้ คือ ลูเซียส ฮาล์น หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงขององค์กร” พี่สมิธหยุดพักหายใจนิดๆก่อนจะเอ่ยปากเล่าต่อ
“จนเมื่อทศกัณฐ์อายุได้สิบเจ็ดปีเขาก็เริ่มได้สติ รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ต่อให้ทำไปจนตายก็ไม่มีวันได้เจอหน้าแม่ของตัวเอง เขามีความคิดที่จะออกจากองค์กร ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะทำให้ออกจากองค์กรได้ คือความตายเท่านั้น แต่ทศกรณ์ก็คือทศกัณฐ์ เขาไร้ซึ่งความกลัว จนสุดท้ายก็โดนลอบฆ่าด้วยกระสุนยาพิษ PS702 ยาพิษตัวนี้มีผลให้สมองทุกส่วนหยุดทำงานในสองนาที ไม่ทิ้งร่องรอย...ไม่มียารักษา...มึงคิดว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป”
“ตาย” ผมเอ่ยออกมาเบาๆ สมองมีผลต่อร่างกายทุกส่วน ไม่เว้นแม้แต่หัวใจที่ว่าสำคัญ ถ้าสมองส่วนเมดัลลา ออบลองกาตา และพอนส์ ที่ควบคุมการหายใจถูกทำลายทุกอย่างก็จบแล้ว นี่ไม่รวมส่วนอื่นๆอีก
“ใช่...แต่ว่าอาจจะเป็นโชคดีในล้านคนของทศกัณฐ์ที่ยาพิษไม่สามารถทำให้มันตายได้ทันที แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีผลอะไร ยาพิษนี่มีผลในระยะยาวมันแทรกซึมเข้าไปในสมอง ตรวจหาไม่เจอ และยังไม่มียารักษา มีแค่บรรเทาอาการคลุ้มคลั่งที่เกิดในบางช่วงเพราะสมองส่วนฟรอนทัล โลบ ถูกทำลายสาหัสที่สุด มันจะควบคุมพฤติกรรม อารมณ์ จิตสำนึก ความจำและการเคลื่อนไหวไม่ได้” พอพูดแบบนี้ผมนึกถึงทศกัณฐ์ที่อาระวาดจนเกือบฆ่าผมขึ้นมาเลย
“หมายความว่าที่เขาทำไปทั้งหมด คือไม่รู้ตัวหรอ” ผมพูดเสียงแผ่ว ลำคอแห้งผากขึ้นมาเมื่อรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น
“มันรู้ แต่ควบคุมไม่ได้ จิตสำนึกมันคือมึง ต้องการแค่มึง เรียกร้องมึง กลัวว่ามึงจะมีคนอื่น จิตสำนึกด้านมืดมันจึงทำทุกอย่างแค่ให้มึงอยู่กับมัน” พี่สมิธพูดเหมือนทศกัณฐ์คลั่งผมมากยังไงไม่รู้
“เขาจะมาต้องการอะไรผมมากขนาดนั้น”
“มึงไม่รู้หรอ?...กูว่ามึงรู้นะ แค่มึงไม่ยอมรับมันเอง” ผมเบี่ยงหน้าหนีรอยยิ้มและสายตาแพรวระยับจากพี่สมิธ ไม่รู้อะไรทั้งนั้นแหละโว้ยยยย
“แล้วJKG รู้รึเปล่าว่าทศกัณฐ์ยังมีชีวิตอยู่” ผมถามพี่สมิธเปลี่ยนเรื่อง
“รู้สิ ก็รู้กันทั้งองค์กรนั่นแหละ” พี่สมิธพูดเสียงเรียบ
“อ้าว แล้วอย่างนี้เขาไม่ตามล่าทศกัณฐ์หรอครับ”
“จะตามฆ่าได้ยังไง ก็พวกมันตายหมดแล้ว” พี่สมิธไหวอย่างไม่ยี่ระ ส่วนผมตาโตเท่าไข่ห่าน
“ก็ทำมันก่อน ทศกัณฐ์น่ะถือคติว่า ถ้าไม่ฆ่ามันให้ตาย มันจะตามไปเอาคืนไม่ให้เหลือแม้แต่ธุลี แม้แต่ที่ตั้งองค์กรมันก็ยังระเบิดทิ้งเหลือแต่ซากปรักหักเลย”
“แล้วปู่เขาล่ะครับ” ผมจำได้ว่าเขาคือผู้บริหารระดับสูงขององค์กร
“...ทุกคนต้องชดใช้ให้กับทศกัณฐ์ แม้แต่ลูเซียสก็ยังยอมจำนนแต่โดยดี เขารู้ตัวว่าเขาพรากทุกความสุขไปจากทศกัณฐ์ สร้างทศกัณฐ์ให้เป็นแบบนี้...เขาจึงต้องชดใช้...ทศกัณฐ์จึงให้สัญญากับลูเซียสว่าเขาจะฆ่าลูเซียสล้างมือเป็นคนสุดท้าย...จบทุกอย่างลงด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว”
ทั้งๆที่ทศกัณฐ์ดูโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ โหดร้ายจนไม่น่าเข้าใกล้ แต่ใจของผมกลับมองว่าเขาช่างน่าสงสารและโหยหาความรักเหลือเกิน
+++++++++++++++++
แฮ่ ยุ่งจริงๆช่วงนี้ ทั้งที่ร้านทั้งย้ายหอ ขอโทษนักอ่านทุกคนจริงๆที่ให้รอนานและมาได้แค่ครึ่งเดียว พรุ่งนี้ถ้าไม่ติดอะไรจะมาต่อครึ่งหลัง(แต่อาจจะดึกนะ) สามสัปดาห์สุดท้ายก่อนเปิดเรียนจะพยายามมาให้บ่อยที่สุด ขอบคุณทุกๆกำลังใจมากค่ะ