จูบที่สิบสี่ “และตอนนี้ทุกคนก็มีเจี๊ยวเหมือนกัน เย้ยยยย หมายถึงเจี๊ยวทุกคนยาวเท่ากัน เย้ยยยยย ยิ่งพูดก็ยิ่งเหี้ย ไม่แก้ละ เอาเป็นว่าทุกคนพร้อมแล้วนะคะ!”
ไอ้โฟกัสเพื่อนสนิทผู้รับหน้าที่เป็นกรรมการของเกมนี้ประกาศเสียงเจื้อยแจ้วผ่านโทรโข่งเพื่อเช็คความพร้อมของผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบสองคน ทั้งหมดยืนเรียงหน้ากระดานคละชายหญิงอยู่หลังเส้นสีขาว มือของแต่ละคนถูกผูกผ้าไว้ด้านหลังเพื่อป้องกันการใช้มือช่วย ส่วนหว่างขามีมะเขือยาวขนาดเท่ากันห้อยโทงเทงอยู่ และตรงหน้ามีลูกปิงปองวางประจำจุดไว้ให้คนละหนึ่งลูก
“กติกาง่ายมาก ใช้เจี๊ยวของตัวเองเตะลูกปิงปองให้มาถึงขวดน้ำ” เพื่อนผมม้าเต่อเดินมาชี้ที่แนวขวดน้ำประจำตัวของคนแข่งซึ่งอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้นราวหนึ่งร้อยเมตร “อ้อมขวด แล้วตีกลับไป ใครถึงเส้นชัยก่อนชนะ!”
ผมรัวกลอง ได้ยินเสียงกู่ร้องด้วยความคึกจากผู้เข้าแข่งขันทุกคน โดยเฉพาะคนตัวเล็กที่คำรามไม่พอ ยังดีดซ้ายดีดขวาจนผมอยากถามว่าน้องไปโดนตัวไหนมาเหรอครับ ต่างจากดาราตัวสูงข้างๆ ที่ยืนเอามือกุมเจี๊ยว...หมายถึงมะเขือยาว...นิ่งๆ และเหล่ไปคนข้างๆ ด้วยสายตารำคาญ จากนั้นก็หันมามองผมแล้วเลิกคิ้ว แถมยังกระพริบตาให้ปริบๆ
อะไร...หน้าขอกำลังใจเหรอ
“ธีร์สู้สู้!!” เอิงเอยที่พาตัวเองมาแจมอยู่ในวงกองเชียร์ตะโกนเชียร์แฟนตัวเองอย่างแข็งขันอยู่ด้านหน้าผม เรียกความสนใจของเขาได้สำเร็จ ธีร์ส่งยิ้มให้เธอแล้วชูสองนิ้วกลับ ไม่บอกก็รู้ว่ากำลังใจเต็มเปี่ยม
หรือผมอาจจะคิดไปเอง เขาส่งสายตาให้แฟนเขานู่น ไม่ใช่ผมซะหน่อย
เซ็งแต่ทำอะไรไม่ได้วุ้ย
“เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มเกมหลังเสียงนกหวีดนะ” โฟกัสให้สัญญาณ “สาม! สอง! หนึ่ง!”
ปี้ดดดดดดดดดดดดดดดด!
ทันทีที่เสียงแหลมปรี๊ดสิ้นสุด ผมเริ่มบรรเลงจังหวะกลองไปพร้อมกับเสียงเชียร์ดังกระหึ่ม คนที่นำโด่งมาคนแรกคือรองที่ดูแล้ววงสวิงก็ไม่ได้เหวี่ยงหนักมาก แต่เนื่องจากขาสั้นเกินมาตรฐานชายไทย มะเขือยาวของเขาจึงใกล้พื้นที่สุด และนั่นทำให้เขาสะดวกในการเหวี่ยงมันไปหาลูกปิงปองได้ดีที่สุด แค่ไม่กี่วินาทีรองก็สามารถเลี้ยงลูกได้มาแล้วครึ่งสนาม...เชี่ย อะเมซิ่งร้อยหกสิบเซ็นต์มากๆ
คนที่ตามมาเป็นลำดับที่สองคือธีร์ เขาไม่ได้ซอยเอวถี่มากจนมะเขือยาวเสียการควบคุม แต่คนตัวสูงค่อยๆ กะองศาการตีลูก ย่อเข่าลง แล้วเหวี่ยงมะเขือช้าๆ ปรากฏว่าเขาสามารถตีลูกไปได้ไกลทีละเกือบสองเมตร ทั้งคู่ห่างกันแค่ช่วงตัวเดียวเท่านั้น
“สู้เขา แปะแปะแปะ เอาชัยชนะ แปะแปะแปะ อย่าลดอย่าละ แปะแปะแปะ มานะเข้าไว้ แปะแปะแปะ อดทน แปะแปะแปะ และมีวินัย แปะแปะแปะ เอาชิงเอาชัย แปะแปะแปะ มาให้น้องธีร์ แปะแปะแปะ”
โฟกัสร้องเพลงนำเชียร์ได้เป็นกลางมากๆ จนผมอยากเอาไม้กลองไปแปะที่หน้าผากมันสักป้าบ มึงไม่สงสารผู้เข้าแข่งขันคนอื่นเลยน่ออออ
“ธีร์!!!!” น้องเอิงเอยนางเอกดังก็ส่งเสียงเชียร์อย่างไม่น้อยหน้าเมื่อถึงคราวที่ธีร์ขึ้นนำบ้าง จู่ๆ เขาก็ใช้เจี๊ยวเตะลูกปิงปองจนลอยหวือมาที่จุดยูเทิร์นได้ในที่สุด รองที่กลายเป็นผู้ตามเห็นดังนั้นก็รีบอัพสกิลบั้นเด้าของตัวเองตาม เอาจริงๆ เหมือนตอนนี้แข่งกันอยู่สองคน เพราะผู้เข้าแข่งขันคนอื่นยังไม่ถึงครึ่งทางกันเลยอะ
“เอออย่างนั้น เอียงตัวอีกหน่อย เจี๊ยวน้องมันเบ้ขวาอะ เอียงอีกนี้ดดดด”
“ค่อยๆ ค่ะค่อยๆ เออ ตรงแล้ว น้องธีร์เด้งเลย เด้ง! กรี๊ด!”
“อ๊าาาาา จัดเต็มไปเลยค่ะลูกขาาาาาา”
เกลียดเสียงกองเชียร์จะได้ไหม ถ้าหลับตาฟังนี่นึกว่าพากย์หนังโป๊นะ ฮือ
“ธีร์สู้เขา!”
“อีกนิดๆ ได้แล้ว ไปเลยยยยย” ทุกคนต่างก็ตะโกนเชียร์พ่อพระเอกซีรีส์อย่างไม่เกรงอกเกรงใจแฟนเขาที่ยืนหัวโด่อยู่ตรงนั้นเลยสักนิด แต่กระนั้นมันกลับเป็นผลดีกับธีร์...คนผิวขาวสว่างยิ่งได้ยินเสียงเร่งก็เหมือนมีแรงฮึดให้เอาใหญ่ ใช้เจี๊ยวตีลูกให้ดีดไปไกลหลายครั้งติดกัน ต่างจากน้องรองที่ยังเงอะๆ งะๆ กับการยูเทิร์นลูกปิงปองอยู่สองนาน ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ระยะห่างของเขากับธีร์ก็ยิ่งลดลงเท่านั้น
ผมเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกเหมือนผีบางตัวเข้าสิง ผมจึงตัดสินใจหยุดตีกลองไปไม่กี่วินาทีแล้วตะโกนเชียร์น้องรองจนสุดเสียง
“รองสู้สู้ววววววววว!!!!!!!!!”
ขวับ!
ทันใดนั้นเพื่อนกองเชียร์ทุกคนหันมามองผม...แล้วแสยะยิ้มเหมือนรู้ทัน
“แง้ว” ผมร้องแล้วบรรเลงจังหวะกลองต่อ ทุกคนจึงหันกลับไปเชียร์กันได้ และวินาทีนั้นเองที่สองอันดับแรกในสนามสร้างความแปลกใจให้เราได้อีกครั้ง อาจเพราะเสียงตะโกนของผมที่ทำให้รองฮึด เขาจึงสามารถเอี้ยวตัวผ่านจุดยูเทิร์นได้ที่สุด และกำลังไต่ระดับไปหาคนเป็นดาราที่อยู่กึ่งกลางของสนาม ขณะที่ฝ่ายธีร์เหมือนมีปัญหากับการกะระยะการเหวี่ยงชั่วคราว จู่ๆ เขาก็กลายเป็นคนที่เหวี่ยงพลาดไปเสียเฉยๆ ซะอย่างนั้น
ธีร์หันมามองรองที่ไล่ประชิดเข้ามาเป็นระยะแล้วเด้งเอวรัวเหมือนเร่งตัวเองเต็มที่ แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่มะเขือยาวของเขาจะปะทะลูกปิงปอง
เหมือนจู่ๆ เขาก็สมาธิหลุดจากสิ่งที่ทำ
“และตอนนี้น้องรองก็ตีตื้นมาได้แล้วนะคะ น้องธีร์ฮึบเร็วลูกกกก” โฟกัสรบเร้า นั่นยิ่งทำให้ธีร์พยายามจะเอาชนะยิ่งขึ้นไปอีก เขาลนลานอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเห็นว่ารองเตะลูกปิงปองเลยเขาไปราวหนึ่งช่วงตัว
“น้องรองใกล้จะถึงเส้นชัยแล้วนะคะ น้องรองชนะแน่เลยอ่าาาาา”
ทันใดนั้นธีร์เตะลูกได้ในที่สุด ลูกปิงปองของเขากระดอนไปอยู่ในระดับเดียวกับของรองที่ห่างออกไปราวสองเมตร
“กรี๊ดดดดดดดด ธีร์มาแล้วววว สู้เขาลูก”
เสียงกองเชียร์เฮลั่น ธีร์ขยับตัวได้หลังจากติดอยู่กับที่มานานรีบวิ่งไปหาลูกปิงปองเพื่อจะได้เลี้ยงลูกในช็อตต่อไป แต่ตอนนั้นเขาอาจจะวิ่งเร็วเกินไปจนขัดขาตัวเองหรือยังไงผมก็ไม่รู้...
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก อาจเพราะการก้าวขาที่ผิดท่าทาง อยู่ๆ ธีร์ก็สะดุดล้ม มือทั้งสองไม่ได้ยันป้องกันตัวเองเพราะถูกมัดไว้ด้านหลัง ทำให้ทั้งตัวของเขาล้มคะมำลงกับพื้นหญ้าไปเต็มแรง
ไม้กลองของผมหลุดมือ เกิดเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจจากทุกทิศ กว่าจะรู้ตัวว่าทำอะไรขาของผมก็รีบก้าวออกจากหลังกลองเพราะอยากไปดูอาการของเขา แม้แต่รองและผู้เข้าแข่งขันคนอื่นก็หยุดเล่นแล้วทำท่าจะเข้าไปช่วยธีร์ เช่นเดียวกับกรรมการและฝ่ายพยาบาลหลายๆ คนที่รีบตรงดิ่งเข้าไปหา
“น้องธีร์!”
“ไม่ต้องครับ!”
หากเสียงประกาศกร้าวของธีร์ก็หยุดทุกคนไว้ก่อน เขาตะโกนก้องออกมาทั้งๆ ที่กำลังนอนอยู่แอ้งแม้งอยู่อย่างนั้น “ผมไม่เป็นไร!”
“น้องธีร์ ไม่ไหวแล้วมั้งคะ”
“ผมจะเล่นต่อ...จะเล่นต่อ” ธีร์บอกแล้วรีบยันตัวเองขึ้นอย่างทุลักทุเล ด้วยความที่มือทั้งสองยังถูกมัดไว้เขาจึงต้องพยุงตัวเองขึ้นด้วยกำลังขาล้วนๆ ท่ามกลางการเอาใจช่วยจากทุกคนที่หยุดยืนนิ่ง รวมถึงผมที่แม้อยากวิ่งเข้าไปช่วยแค่ไหน แต่ก็ต้องเคารพการตัดสินใจของเขา
ดาราหนุ่มพยุงตัวขึ้นได้ แล้วล้มลงไปอีกรอบ แต่แค่ไม่กี่วินาทีเขาก็พยายามลุกขึ้นใหม่จนยืนได้ในที่สุด เขาทรงตัวขึ้นมาพร้อมใบหน้าเปื้อนฝุ่นที่ยิ้มสู้ ทุกคนในสนามอ้าปากหวอ ก่อนจะพากันปรบมือชื่นชมในความพยายามนั้น
“เล่นต่อเลยครับ” ธีร์พูดออกมา แล้วเกมก็ดำเนินต่อไปโดยสองคนสุดท้ายอยู่ห่างจากเส้นชัยในระยะไม่ไกลกัน รองที่ดูจะเหวอมากกว่าใครหันกลับไปตีลูกอย่างผิดๆ ถูกๆ ขณะที่ธีร์ก้าวเข้าไปหาลูกปิงปองด้วยการก้าวแบบกะเผลก...ดูก็รู้ว่าขาแพลงแน่นอน
“น้องธีร์ไหวไหมลูก”
ไอ้บ้าเอ๊ย เกมปัญญาอ่อนแค่นี้ก็ยังจะไฝว้...ธีร์นี่มันธีร์จริงๆ เลยให้ตาย
“ไหว” เขาตะโกนก้อง กะองศาของการเหวี่ยงครั้งสุดท้าย ขณะที่รองก็เร่งบั้นเอวของตัวเองเต็มที่ ช่วงเวลานั้นเป็นเหมือนฉากสโลว์โมชั่นในภาพกีฬามันส์ๆ ที่ใครสักคนหนึ่งกำลังจะชนะ ท่ามกลางแรงกดดันจากกองเชียร์รอบข้าง และแรงดึงดันภายในใจของทั้งคู่
“เข้า! เข้า! เข้า! เข้า! เข้า!”
“กรี๊ดดดดดด!!”
“เข้าแล้ว!!!”
ปี้ด!!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงนกหวีดบอกผู้ชนะดังขึ้นในที่สุด
“ลูกปิงปองน้องธีร์เข้าเส้นชัยไปแล้วค่า!!”
วินาทีนั้นผมกระโดดดีใจจนตัวลอย ก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองไม่ควรจะรู้สึกดีใจขนาดนี้ด้วยซ้ำ โชคดีที่ทุกคนมัวแต่กรี๊ดและรีบวิ่งเข้าไปรุมผู้ชนะกันใหญ่ทำให้ไม่มีใครทันสังเกต ผมมองภาพนั้นแล้วยิ้มบางๆ ออกมา
และในขณะที่ทุกคนกำลังมะรุมมะตุ้มนั้นเอง ธีร์เหลือบสายตามาทางผม
เขามองผมแน่คราวนี้ เพราะเอิงเอยก็เป็นหนึ่งในหลายคนที่ไปรุมเขาอยู่ตรงนั้น ธีร์ยิ้มมุมปากและยักคิ้วเหมือนกำลังอวดว่า ‘ไงล่ะ’ ส่งมา ผมเลยแกล้งทำหน้านิ่งกลับไป...แม้ว่าจริงๆ จะอยากยิ้มให้ก็ตาม
การที่รู้สึกยังไงแต่แสดงออกไม่ได้นี่มันอึดอัดชะมัด
ธีร์ถูกยกเข้าไปเต็นท์พยาบาลหลังจากนั้น ผมฝากกลองไว้กับเพื่อนสันทนาการอีกคนแล้วกะจะตามไปดูอาการเขาต่อขณะที่กิจกรรมก็ดำเนินต่อไป เมื่อเข้าไปในเต็นท์ทรงสี่เหลี่ยมสีขาวก็เห็นเพื่อนฝ่ายพยาบาลหลายคนยืนดูอยู่ห่างๆ โดยแหวกตรงกลางไว้เป็นรูปครึ่งวงกลม
ผมเดาออกเลยว่าตรงกลางนั้นคือใคร
“คิดยังไงฝืนเล่นขนาดนี้น่ะ เห็นไหมขาแพลงเลยเนี่ย” ผมชะโงกหน้าขึ้นมองเหนือกลุ่มคน เห็นเอิงเอยบ่นเสียงเล็กขณะกำลังใช้น้ำแข็งประคบแผลตรงข้อเท้าของเขาอย่างแผ่วเบา ธีร์มองเธอกลับตาเยิ้ม ท่ามกลางเสียงซุบซิบของผู้คนรอบกายที่กำลังอินกับภาพตรงหน้าราวกับดูละคร ตอนนางเอกกำลังทำแผลให้พระเอกอะไรเทือกนั้น
ผมมองภาพนั้นแล้วนึกไปถึงตอนที่ธีร์โดนต่อยคิ้วแตก แผลจากตอนนั้นถูกสมานจนหายดีเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้น และตอนนี้เขามีคนทำแผลให้แทน...ซึ่งก็ดีแล้ว...แต่ความรู้สึกว่า ‘ผมเคยอยู่ตรงนั้น’ มันกลับทำให้ปวดแปลบที่ใจขึ้นมาเฉยๆ
ผมกะเดินออกจากตรงนั้น ทว่าแรงสะกิดที่สีข้างจากใครบางคนก็รั้งไว้ซะก่อน
“พี่จุ๊บ” รองโผล่มาพร้อมยกเข่าที่ถลอกปอกเปิกขึ้นมาให้ดู ผมตาโตด้วยความตกใจทันที “ตอนเข้าเส้นชัยผมสะดุดล้มเหมือนกัน แต่ไม่มีใครมาดูเลย พี่จุ๊บทำแผลให้ผมหน่อยได้ไหมครับ”
“ได้ๆ สบายมาก” ผมรีบพาเขาที่เดินกะเผลกๆ เข้าเต็นท์พยาบาลไป ส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเพื่อนฝ่ายพยาบาลให้เอายามาให้ กลายเป็นว่าตอนนี้มีคนอยู่สองคู่ที่กำลังทำแผลให้กัน และนั่นทำให้เสียงซุบซิบดังขึ้นเป็นทวีคูณ
ผมรู้สึกว่ากำลังถูกคนอีกคู่มองอยู่ แต่ตัวเองก็ง่วนกับแผลของรองจนไม่มีเวลาจะสนใจ รับแอลกอฮอล์มาจากฝ่ายพยาบาลแล้วราดลงบนเข่าโชกเลือดของรองจนเขาร้องซี้ดออกมาเบาๆ
“โทษที” ผมบอกเมื่อเห็นสีหน้าเหยเกของคนตรงหน้า
“ไม่เป็นไรครับ” รองกระซิบ เมื่อเห็นว่าเขาโอเคแล้วผมก็จัดการเช็ดสำลีลงไปช้าๆ “พี่จุ๊บมือเบาดีจัง น่าจะไปเรียนหมอนะ”
‘มือเบาขนาดนี้ทำไมไม่ไปเรียนหมอ’
คำพูดของธีร์ที่เคยกล่าวไว้แบบเดียวกันทำให้ผมเผลอเหลือบตาขึ้นไปมองเขาแวบหนึ่ง...และพบว่าอีกฝ่ายมองตอบมาเหมือนกันราวกับรู้ว่าคิดอะไร
“อือ...” ผมยิ้มตอบรอง แล้วถามต่อ “ไม่เจ็บใช่ไหม”
“ไม่ฮะ”
“โอเค...” ผมทำต่อไป รู้สึกถึงบรรยากาศมาคุที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในเต็นท์
“พี่จุ๊บ ผมแพ้อีกแล้วรอบนี้” รองบ่นด้วยน้ำเสียงเวทนาตัวเอง “ขนาดแข่งกีฬากากๆ ยังแพ้คิดดู ไอ้รองนี่มันเป็นรองคนอื่นตลอดจริงๆ น้อ”
“เก่งแล้ว” ผมปลอบ แล้วเหลือบสายตาไปมองธีร์อีกรอบ สังเกตว่าสีเขาหน้าไม่สบอารมณ์อย่างเห็นได้ชัดตอนผมชมคนหน้าสวย
“อดไปดูหนังกับพี่จุ๊บเลย”
“เหี้ย!” อยู่ๆ ธีร์ก็โพล่งออกมาเสียงดังจนคนในเต็นท์และคนที่ยืนมองอยู่ตกใจ แม้แต่ตัวเอิงเอยซึ่งกำลังแผลให้เขาอยู่ยังหยุดชะงักไป ไม่ต้องพูดถึงรองกับผมที่เหมือนโดนขัดจังหวะการสนทนา
ผมเงยหน้ามองเขาอย่างสนใจอย่างที่เขาอยากให้เป็น คนเป็นดาราตีหน้านิ่งและกระแอมออกมา “โทษที เจ็บแผล”
เหอะ แหงล่ะ
“เสียดาย เกือบชนะแล้วแท้ๆ” รองบ่นกะปริบกะปรอยต่อ ผมหันไปยิ้มบางๆ ให้เขา
“คราวหน้าเอาใหม่”
“คราวหน้าผมพนันด้วยการดูหนังอีกได้ไหม”
“เอิง” แล้วคนผิวสว่างก็ขัดคอของเราอีกครั้ง จู่ๆ เขาก็ชวนเอิงเอยคุยหลังจากปล่อยให้เธอเจื้อยแจ้วคนเดียวมานานสองนาน แถมยังเสียงดังฟังชัดจนดูรู้ว่าอยากให้ผมกับรองได้ยินแน่ๆ
“เอาจริงวันนี้เราจะยอมแพ้ก็ได้” ธีร์เปรยด้วยน้ำเสียงไม่ได้กระแทก แต่แดกดัน “แต่ที่เราอยากชนะ เพราะเธอเชียร์เราอยู่นะ”
“ขากกกกกกกกกกกกก” ไม่ทันทำอะไร เพื่อนผู้ชายฝ่ายพยาบาลคนหนึ่งก็ส่งเสียงเดียวกับเสียงในใจผมออกมาแล้ว แม้มันจะถูกกลบด้วยเสียงวีดวิ้วจากฝูงชนในไม่กี่วินาทีต่อมาก็เถอะ ผมแค่นหัวเราะ หันมองธีร์ที่จ้องผมอย่างท้าทาย เขาพูดกับแฟนอยู่แต่ไม่ได้สบตาเธอด้วยซ้ำ
ทันใดเสียงระฆังยกใหม่ในเกมดวลประสาทของเขาดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้มันแปรเปลี่ยนความร้าวรานของผมกลายเป็นความหงุดหงิดในทันใด ผมรู้ว่าตามมารยาทของการเล่นเกมแล้ว เมื่อผู้เล่นฝ่ายหนึ่งเดินหมาก ผู้เล่นอีกฝ่ายจะต้องพยายามทำทุกทางที่จะโค่นคู่แข่งขันลงให้ได้ และทำแบบนี้สลับกันไปจนกระทั่งได้ผู้ชนะ
“ไม่ต้องพนันอะไรแล้วรอง” ผมทิ้งสายตาไว้ที่คู่รักดาราสักพักก่อนจะเอ่ยประโยคต่อมาอย่างชัดเจน “ไม่ชนะไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปดูหนังกัน”
แต่สำหรับคนที่ยอมแพ้ตั้งแต่เริ่ม มันคือการนับเวลาถอยหลังรอให้เกมจบลง...ซึ่งระหว่างนั้นผมคงทนเห็นตัวเองถูกโค่นซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่ไหว...
ไม่อยากสู้ แต่ผมจำเป็นต้องป้องกันตัวเอง รู้ว่าทำแบบนี้มันไม่สนุก เกมนี้มันไม่สนุกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ถ้าธีร์ยังจงใจจะใจร้ายกับผมต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้ ผมก็คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกังวลว่าตัวเองจะทำอะไรใจร้ายกับเขาใช่ไหม...
อย่างที่คาด แววตาของดาราหนุ่มวาวโรจน์ขึ้นด้วยความไม่พอใจทันทีหลังจากประโยคนั้น ผมปั้นยิ้มออกมา ละสายตาจากเขาแล้วหันไปมองคนเพิ่งถูกชวนซึ่งกำลังแสดงความดีใจอย่างออกนอกหน้า
“จริงเหรอครับพี่จุ๊บ”
“จริง...” ผมยืนยัน “สไปเดอร์แมนภาคใหม่กำลังจะเข้าแล้ว พี่หาคนไปดูด้วยอยู่พอดี”
และเสียงระฆังครั้งใหม่ก็ดังขึ้น โดยมีผมเป็นผู้กระตุกเชือกนั้นเอง
(ต่อด้านล่าง)