Passion Uncensored เปลือยรักหมดหัวใจ (ลงใหม่ตอนที่1-30 อ่านจากหน้า2ยาวไป) 8/7/61
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Passion Uncensored เปลือยรักหมดหัวใจ (ลงใหม่ตอนที่1-30 อ่านจากหน้า2ยาวไป) 8/7/61  (อ่าน 10281 ครั้ง)

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 18 - อยากจนกว่าจะพอ

ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างของผมกำลังถูกปั่นป่วน แข้งขาของอ่อนแรงจนต้องทิ้งน้ำหนักไปที่คนตัวโตที่โอบรั้งไว้อย่างรู้งาน รู้สึกถึงเพียงสัมผัสเน้นย้ำตรงริมฝีปากก่อนจะถอนออกไปอย่างนิ่มนวล

อย่าทีี่ผมนึกเสียดาย...

โคตรใจง่ายจริงๆ

สายตาที่จ้องมองมาอย่างเปิดเผยทำให้ใบหน้าของผมร้อนไปทั่ว และสูญเสียการควบคุมเมื่อสบกับดวงตาคู่คมที่อยู่ใกล้ชิดตรงหน้า

ความคิดในสมองของผมปั่นป่วน ลังเลกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แปลกที่หัวใจผมกลับเต้นรัวอย่างไม่อาจจะควบคุม และเรียกร้องที่จะทำในสิ่งที่ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำ...

“พี่กำลังทำให้ผมเป็นบ้า...”

เสียงของผมกระซิบแหบพร่าราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเอง แต่อีกฝ่ายกลับยกยิ้ม

“พอร์ทต่างหากที่ทำให้พี่บ้ามานานแล้ว...”

จมูกโด่งเข้ามาคลอเคลียกับปลายจมูกของผมจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อน และดวงตาวาววับที่สะกดให้ผมไม่เป็นตัวของตัวเอง คำพูดที่ทำให้ผมแทบลืมหายใจ

“พี่บ้าเพราะหลงเรา”

“อย่ามามั่ว เราเพิ่งเจอกันพี่จะมาหลงผมได้ยังไง”

ผมว่าต้องเป็นเพราะแอลกอฮอล์แน่ๆที่ทำให้ผมกล้าพูดประโยคบ้าๆออกไป บอกเลยว่ามันโคตรไม่เหมือนผมในยามปกติเลย แต่...

ผมชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ว่ะ

“พี่รู้จักพอร์ทมานานกว่าที่คิด”

"จะนานแค่ไหนกัน”

“นานพอที่จะทำให้พี่หลงพอร์ทจนโงหัวไม่ขึ้นไง”

สิ้นคำ ใบหน้าของพี่ขุนก็ขยับเข้ามาอีกครั้งก่อนประทับริมฝีปากบางเข้ามาแนบชิด และแนบแน่นกว่าครั้งแรกจนผมเผลอยึดไหล่กว้างไว้แน่นเพื่อพยุงกายทำให้ร่างของเราแนบชิดจนรู้สึกถึงอุณหภูมิของอีกฝ่าย

หัวใจผมเต้นแทบจะระเบิดเมื่อรู้สึกถึงสัมผัสที่ราวกับบอกเล่าทุกความรู้สึกของเขาที่ผมเคยสงสัยให้ได้รับรู้ และเรียกร้องเว้าวอนให้ผมเปิดเผยตัวเองจนผมไม่อาจต้านทานความรู้สึกนั้นได้อีกต่อไป

นิ้วของผมจิกที่บ่ากว้างแน่นเมื่อยอมโอนอ่อนเผยอริมฝีปากรับความอบอุ่นลึกซึ้งที่แทรกซึมเข้ามา ผมโยนความถูกต้องเหมาะสมทิ้งไปและตอบรับมันอย่างเป็นธรรมชาติ ตามที่ร่างกายและหัวใจเรียกร้อง ขยับริมฝีปากบดเบียด และไล่ตามความอุ่นชื้นที่สะกิดเว้าวอน
 
พระเจ้า...นี่ผมกำลังทไอะไรวะ

ผมกำลังจูบดูดดื่มอยู่กับผู้ชายอยู่ริมหาด!!

แต่...

ช่างหัวพระเจ้าก่อนเถอะ

เพราะตอนนี้...

ผมไม่อยากหยุดจริงๆ
 
***

     ลมทะเลพัดปะทะใบหน้าหอบเอากลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์เข้ามาเต็มปอด ผมมองไปยังผืนน้ำสีดำสนิทที่ไร้ขอบเขต ปล่อยสมองให้ปราศจากความคิดใดใด เหลือแต่เพียงความรู้สึกถึงฝ่ามืออบอุ่นที่กอบกุมมือของผมแน่น ขณะที่ท่อนแขนแนบสนิทเมื่อนั่งเคียงกันโดยไร้คำพูด

          ผมนึกไม่ออกว่ามานั่งอยู่บนผืนทรายแบบนี้ได้ยังไง หรือโดนกอบกุมมือตอนไหน รู้เพียงแต่ว่ามันอบอุ่น และ...ผมโคตรชอบความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกจั๊กจี้ตรงหัวใจแบบไม่มีเหตุผล ไม่สิ ผมว่าผมพอจะรู้เหตุผลนะ

          มันต้องเกี่ยวกับคนข้างๆตัวผมอยู่แล้ว
จริงสิ....

ก่อนที่เขาจะจูบผม...เอ่อ...โอเค ก่อนที่เราจะจูบกัน ผมคิดว่าได้ยินเรื่องอะไรแปลกๆที่ควรจะได้ข้อกระจ่าง แต่ไม่ทันจะได้เอ่ยถาม คนข้างตัวผมขยับท่าทางตวัดมือที่เกาะกุมกันมาไว้ด้านหน้าผมและขยับกายไปนั่งโอบกอดจากด้านหลังแทน

“ทำอะไร”

“ก็ลมมันเย็น”

“แล้ว?"

“แบบนี้มันอุ่นกว่า”

เสียงทุ้มคลอเคลียอยู่ข้างใบหูอย่าน่าหมั่นไส้ ทำให้ผมถองหน้าท้องแข็งๆไปซักที

“อย่ามาเนียน เรายังคุยกันไม่รู้เรื่อง”

“พี่ว่ารู้แล้วนะ”

พี่ขุนยิ้มกริ่มตาหยีคล้ายคนสุขใจจนเรียกให้ใบหน้าคมดูละมุนน่ามองจนผมเผลอหยุดจ้องพร้อมกับแรงกระตุกในหัวใจ

ฟัค...โคตรหล่อ

“ยะ...ยังไม่รู้ซักหน่อย”

“อยากรู้อะไรละ?”

“สะ...สามปีที่พูดคืออะไร พี่รู้จักผมมาก่อนเหรอ”

“...”

คนตัวโตที่แปลงร่างเป็นแมวตัวเขื่องหยุดคลอเคลียทันที พี่ขุนดูราวกับภาพเคลื่อนไหวที่หยุดชะงัก ดวงตาคู่คมเหม่อมองไปยังท้องน้ำหลายวินาทีจนผมชักระแวงว่ามันเป็นคำถามที่ไม่สมควรถามรึเปล่า แต่ไม่นานเขาก็หันกลับมา เรียกให้ผมต้องเงยหน้ามองตอบก่อนหัวใจจะกระตุกแรงอีกครั้งเมื่อความรู้สึกบางอย่างมันเอ่อล้นออกมาจากดวงตาคู่นั้นจนหมด

“มันอาจจะดูงี่เง่านะ”

“....”

“แต่พอร์ทจะเชื่อมั้ย...”

“....”

“พี่หลงรักผู้ชายคนหนึ่งมานานสามปีเพราะรูปถ่ายใบเดียว”

“...”

“รูปถ่ายเล็กๆในงานแสดงภาพของเชน สหลักษณ์รูปถ่ายของลูกชายของเขาที่ทำให้พี่มายืนอยู่ตรงจุดนี้ เพื่อรอวันที่จะได้เป็นคนที่ถ่ายภาพเขาด้วยตัวเอง...”

พระเจ้า...

ผมกลั้นหายใจ รู้สึกปั่นป่วนในอกกับทั้งน้ำเสียง สายตา และเนื้อหาที่ได้ยิน

“รูปถ่ายใบนั้นอยู่ในใจของพี่ตลอดสามปี”

“และตอนนี้...เขาก็อยู่ตรงหน้าพี่”

พระเจ้า...

ผมว่า...

ผมกำลังเมาอีกรอบแล้ว

“พี่รู้ว่าผมคือ P' ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ตั้งแต่ครั้งแรก ทุกครั้ง ทุกรูป จนถึงตอนนี้”

 ผมแทบลืมหายใจ คำพูดทุกคำแทรกซึมเข้าไป พี่ขุนกำลังหมายถึงรูปใบแรกที่พ่อถ่ายผม และเขาก็รู้ด้วยว่านั่นคือภาพของผม ไม่ใช่พาตี้อย่างที่คนทั้งประเทศเข้าใจ

พี่ขุนเคยพูดว่าเขา ‘หลงใหล P’ และเขาก็รู้มาตลอดว่า P’ คือผม

เขา...กำลังจะบอกว่า ตกหลุมรักผมมาสามปี?

โอ้ย.....
 
“ทำอะไรนะ?”

ผมไม่สนใจเสียงทุ้มแกมขบขันเหมือนรู้ทันและได้แต่ยกมือปิดหน้าตัวเองที่ร้อนฉ่าราวกับถูกไฟผิง

ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยนึกไม่เคยฝันว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชีวิต

 มันบ้า บ้ามากๆ!! และมันบ้าสุดๆก็เพราะว่าผมไม่รู้สึกรังเกียจ แต่กลับดีใจนี่แหละ!!

“พี่พูดไปหมดแล้ว แล้วเราละ”

นั่นไง กะแล้วว่าต้องโดนถาม

“อะไรละ”

ผมบอกปัดทำไม่รู้ไม่ชี้ทั้งๆที่รู้ว่าเขากำลังหมายถึงอะไร แต่ผมไม่พร้อมที่จะพูดอะไรนี่นา

“พี่บอกความรู้สึกของพี่แล้ว แล้วพอร์ทละ”

ผมนิ่งไปและเม้มปากแน่นขณะสบดวงตาคมจริงจังและเว้าวอนที่ต้องการบอกว่าเขากำลังเฝ้ารอและลุ้นให้คำบางคำออกจากปากผม แม้ผมจะเคลิบเคลิ้มยินยอมกับรสจูบแนบแน่น และยอมรับว่าดีใจที่รู้ว่าเขา เอ่อ...ชอบผม...ผมที่เป็นผมมาสามปี ทั้งๆที่ไม่มีใครรู้เลยว่าภาพ P’ นั้นไม่ใช่พาตี้ แต่เป็นผม ลูกชายที่ไม่มีตัวตนของเชน สหลักษณ์ แต่มันก็ยังมีอะไรอีกหลายๆอย่างที่ซับซ้อนมากกว่าที่จะลงเอยง่ายๆแค่ความดีใจ

“ผมเป็นผู้ชาย”

คำพูดลอยๆของผมแต่ทำให้รู้สึกถึงแรงเกร็งจากอ้อมแขนที่โอบกอดผมไว้ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่พูดออกไปไม่ได้ทำให้ผมและเขารู้สึกดี แต่มันก็คือความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้

ถึงที่ฝรั่งเศสจะเปิดกว้าง...แต่ไม่ใช่ที่นี่

“ผมไม่ได้หมายความว่าผู้ชายจะ...รักกันไม่ได้”

 “....”
           
“ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ถึงรูปร่างหน้าตาผมอาจจะไม่ได้บึกบึนเหมือนผู้ชายคนอื่นก็เถอะ”

เกิดความเงียบที่หนักอึ้งระหว่างเรา ใบหน้าของพี่ขุนดูราวกับซีดเซียวลงอย่างเห็นได้ชัดแม้ในความมืด แต่ผมไม่ได้เสียใจที่พูดออกไป แม้ว่าแขนแกร่งจะเริ่มดูผ่อนแรงกอดลงคล้ายอ่อนแรง เพราะว่านั่นคือความจริง

ความจริงส่วนหนึ่งของทั้งหมด...

ดวงตาคู่คมที่จ้องผมอย่างเว้าวอนดูอ่อนล้าลง วงแขนกำลังคลายออกจากการมอบความอบอุ่นให้กับผม

“แต่มันก็แปลก”

 “....”
           
“เมื่อตอนเช้า พี่บอกให้ผมนึกถึงคนที่ทำให้หัวใจผมเต้น...บอกตรงๆว่าผมนึกไม่ออกหรอก เพราะผมไม่เคยหลงใหลใคร”

“....”

“แต่ผมก็ทำให้พี่กดชัตเตอร์ได้”

หัวใจของผมเต้นรัวขึ้นเพราะความขัดเขินแต่ผมก็ยังคงจ้องไปที่ดวงตาคู่นั้นอย่างแน่วแน่ แม้จะเห็นว่ามันเริ่มสั่นระริกให้รู้ว่าหัวใจคนตรงหน้ากำลังสั่นไหวไม่ต่างกัน

“พี่ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผมเป็นใคร?”
           
“....”
           
“ใครที่ทำให้หัวใจผมเต้นผิดปกติ?”
           
ผมค่อยๆเอื้อมมือไปตรงหน้า และสัมผัสแผ่วเบาที่หางตาที่กำลังสั่นระริกคู่นั้น
           
“ผมเป็นผู้ชาย”
           
มือเล็กของผมค่อยสัมผัสแนบลงใบบนผิวแก้มสากที่เย็นเฉียบอย่างไม่สนว่าอีกฝ่ายกำลังคิดยังไง เพราะผมสนแค่สิ่งที่ตัวเองจะพูดเท่านั้น
           
“มันโคตรแปลกและโคตรจะไม่มีเหตุผล...”
           
ใบหน้าคมเข้มราวกับใกล้เข้ามา...

เปล่าครับ เขาไม่ได้เข้ามาหาผม แต่เป็นผมต่างหากที่กำลังเอี้ยวตัวและยื่นใบหน้าเขาไปหาพี่ขุนที่กำลังนั่งนิ่งอย่างตื่นตะลึง
           
“คอนเซ็ปคือความหลงใหลของนางแบบ...แต่ตอนนั้นผมเห็นแต่หน้าพี่ว่ะ”
           
“...”
         
 “มันหมายความว่ายังไงเหรอ”
           
ปราศจากคำตอบจากพี่ขุนไม่ใช่ว่าเขาไม่ตอบ แต่ปากของเขาไม่ว่างตอบต่างหาก

จะว่างได้ยังไงละครับ?

ในเมื่อผมกำลังประกบปิดกั้นมันทุกช่องทาง...

ประกบ บดเบียด และแทรกซึมเข้าไปหาความอุ่น ส่งผ่านความรู้สึกของผมให้เขาได้รับรู้บ้าง

แม้มันโคตรจะไม่มีเหตุผล แต่...ช่างหัวเหตุผลก่อนเถอะ

เพราะผมโคตรอยากจูบเขาเลย

จูบ...จนกว่าผมจะหายอยากนั่นละ

-------------

 

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 19 - ขอโทษ


"ปล่อยได้แล้วมั้ง"
 
"ไม่ปล่อย"
 
"แต่..."
 
"รอมาตั้งสามปี ใครจะยอมปล่อยง่ายๆ"
 
"แต่มันดึกแล้ว"

ผมพูดอย่างหน่ายใจ ถึงจะรู้สึกดีแต่มันก็คือความจริงที่ตอนนี้ดึกมากแล้ว เราน่าจะควรกลับไปพักผ่อนเพราะยังมีงานที่ต้องนับผิดชอบต่อ แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มกริ่มไม่น่าไว้วางใจ
 
"ถ้าดึกแล้ว...ก็อยู่ด้วยกันจนเช้าเลยดิ"
 
นั่นไง เดาผิดมั้ยละ!!
 
ผมมองดวงตาวาววับนั่นอย่างหมั่นไส้ อยู่กันยันเช้า ใครเชื่อก็บ้าแล้ว ขืนเป็นอย่างนั้น ผมได้ถูกปู้ยี้ปู้ยำกันพอดี
 
"พอเลย รู้นะว่าคิดอะไร"
 
"แล้วพี่คิดอะไรอยู่ ไหนบอกมาสิ"
 
"ใครจะไปพูด!!"
 
"หึหึหึ"
 
โคตรเกลียดเสียงหัวเราะแบบนี้เลย!
 
ผมเมินหน้าไปอีกทางอย่างหมั่นไส้  แต่ก็แค่เท่านั้น เพราะไปไหนไม่ได้ในเมื่อมือของผมยังถูกกอบกุมเอาไว้

และ...ผมก็ชอบที่มันเป็นแบบนั้น
 
“พอร์ท....”
 
ผมหันกลับมามองคนข้างตัวตามเสียงเรียกที่ฟังดูอ่อนโยนพอๆกับดวงตาที่ทอดมองมาที่ผมที่ทำให้ใบหน้าเห่อร้อนได้ทุกครั้ง
 
“เราไม่ใช่แค่คนรู้จักอีกแล้วใช่มั้ย”
 
นี่พี่มันยังเขาติดใจเรื่องนี้ไม่เลิกอีก ตัวก็โต แต่ขี้ใจน้อยเป็นบ้า

แต่ใครจะยอมพูดง่ายๆละ เดี๋ยวจะมีคนได้ใจ หึ
 
“ถ้าไม่รู้จักกัน จะมาอยู่กันตรงนี้เหรอ”
 
“พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น...”
 
“พี่คือคนที่ทำให้ผมปั่นป่วน แค่นี้ยังไม่พอเหรอ”

ช่างภาพตัวโตนิ่งไป ดวงตาคมกลอกไปมาอย่างครุ่นคิดจนน่าขัน

น่า...
 
“แต่พี่...”
 
คำพูดของเขาหายไปเมื่อผมขยับไปจูบปากเรียวบางนั้นเบาๆก่อนถอนออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ใบหน้าคมเหรอหราอย่างน่าขันเพราะไม่คาดคิดมาก่อน
 
“รู้แค่ว่าตอนนี้...”

"..."

"ผมจูบแค่พี่คนเดียวก็พอ"

ผมกระซิบเบาๆและยกยิ้มน้อยๆตรงมุมปาก อย่างที่รู้ตัวว่ามันดูดีสุด เพลิดเพลินกับการทำให้คนขี้แกล้งที่ตอนนี้หน้าแดงไปยันหู คนหล่อจอมกวนที่เขินจนไปไม่ถูกเพราะแพ้ทางผม

โคตรน่าเอ็นดู
 
“งั้น....ขออีกได้ป่ะ”
 
“อะไระ?”
 
“เมื่อกี้พี่ยังไม่ได้เปิดปากเลย”
 
“.....!!!!”
 
“ขอใช้ลิ้--”
 
“ไอ้พี่ขุน!!!”
 
ไหนไอ้คนน่าเอ็นดูเมื่อกี้ ให้ตายเถอะ! ไอ้พี่ขุนมันก็ยังเป็นไอ้พี่ขุน! ไอ้บ้าโรคจิตไม่มีใครเกิน!!
 
ผมสะบัดมือหนีและเดินดุ่มๆให้ห่างจากไอ้ตากล้องโรคจิตที่ยิ้มกริ่มล้อเลียน ปราศจากท่าทางเศร้าซึมเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง ก่อนจะรู้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามืออีกครั้งมือคนตัวสูงก้าวตามมาคว้ามันเอาไว้
 
เราก็เดินไปตามชายหาดกันอย่างช้าๆ ราวกับอยากให้เส้นทางนี้ทอดยาวไปอีกไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งๆที่รู้ว่ามันไม่อาจเป็นไปได้ เราจึงทำได้แค่ก้าวเดินกันอย่างไม่รีบร้อน กุมมือกันแน่น และปล่อยให้ความเงียบโอบกอดเราเอาไว้ด้วยกัน
 
และก็เป็นเช่นที่คิด เวลาไม่อาจหยุด และเส้นทางไม่อาจไม่มีที่สิ้นสุด เสียงร้องเพลงเฮฮาของทีมงานดังแว่วเขามาเมื่อเราเดินกลับมาถึงชายหาดบริเวณที่พัก แรงกระตุกที่มือเบาๆทำให้ผมต้องหยุดฝีเท้าตามคนข้างตัว
 
“ถึงแล้ว....”
 
“อื้อ....”
 
“พี่ต้องปล่อยมือเราแล้วสิ”
 
“อื้อ...”
 
“ถ้าพรุ่งนี้พี่ตื่นขึ้นมา มันจะไม่ใช่ฝันใช่มั้ย?”

ผมไม่อาจตอบคำถามนี้ไม่ได้ ทำได้เพียงยืนเงียบและรอฟังเขาเท่านั้น
 
“พี่ฝันถึงเรามานาน ดีใจจนเกือบนึกว่านี่อาจไม่ใช่เรื่องจริง”
 
“แต่ผมไม่ใช่ความฝัน”

ผมหันไปประจันหน้ากับเขาก่อนจะยกมือที่ถูกกอบกุมขึ้น ให้เขาเห็นว่าสัมผัสนี้เป็นของจริง ก่อนจะหน้าแดงเรื่อขึ้นอีกเมื่อร่างสูงดึงมือนั้นของผมเข้าไปใกล้ก่อนจะประทับจุมพิตมันเบาๆ ขณะดวงตาคมจ้องตรงมาที่ผมราวกับยืนยันว่าเขารู้ว่านี่ไม่ใช่เพียงความฝัน
 
“แต่ถึงไม่ใช่ความฝัน แต่พอถึงพรุ่งนี้ผมก็จะต้องกลายเป็นพาตี้”
 
“ไม่เป็นไร”

มือใหญ่อีกข้างเอื้อมมาสัมผัสที่แก้มผมอย่างอ่อนโยน
 
“ไม่ว่าตอนไหน พี่ก็จะเห็นพอร์ทเป็นพอร์ทเสมอ ไม่มีวันเป็นคนอื่น”
 
“....”
 
“เพราะพี่หลงแค่เรา รักแค่เราเท่านั้น”

 
ตุบ!
 
ผมโถมตัวลงที่เตียงอย่างอ่อนล้า ร่างกายคล้ายกับหมดเรี่ยวแรง

ใช่สิ ผมคงต้องโดนสูบพลังชีวิตไปเพราะคำพูดพวกนั้นแน่ๆ
 
คำพูดหวานเลี่ยนที่ทำให้ใจผมสั่นไม่หยุด

แต่โคตรรู้สึกดี...
 
ผมขยับตัวนอนเหม่อมองเพดาน ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปไกลถึงเรื่องพิลึกพิลั่นที่เกิดขึ้น เรื่องที่ผมไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น และไม่คิดว่าตัวเองจะยอมรับและรู้สึกดีไปกับมันอย่างง่ายดาย
 
แม้จะรู้ว่ารูปร่างหน้าตาของตัวเองจะชวนให้เข้าใจผิด แต่ผมยังยืนยันว่าไม่ได้พิศวาสผู้ชาย ออกจะกลัวด้วยซ้ำ
 
แต่ที่แปลกคือ....เขา คนที่ผมมอง คนที่ผมสนใจตอนนี้มีแค่เขา

แค่พี่ขุน...

 
ลองมาคิดดูดีๆ ตลอดเวลาตั้งแต่ที่ผมมาเมืองไทย ผมก็มีแต่เรื่องของเขาเข้ามาให้คิดได้ไม่เว้นแต่ละวัน มีแต่เรื่องของเขาเต็มหัวไปหมด ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ แต่ตอนนี้สายตาผมก็มองแค่เขาไปแล้ว

‘เพราะพี่หลงแค่เรา รักแค่เราเท่านั้น’

โอ้ย......

ผมฟุบหน้าซุกลงกับหมอนหลังถอดคราบพาตี้ออกคิดถึงประโยคหวานที่อีกฝ่ายพูดอย่างจริงใจพร้อมกับดวงตาคมเข้มที่บอกเล่าเปิดเผยทุกความรู้สึก จนแค่นึกถึงก็ทำให้ใบหน้าผมเห่อร้อนไปหมด
 
สามปี....เขาชอบผมมาสามปี เพราะรูปใบนั้นใบเดียว รูปที่ผมจำใจถ่าย รูปที่เป็นเพียงความบังเอิญ รูปที่ดูไม่มีค่าในสายตาใคร
 
แต่เขากลับบอกว่าตกหลุมรักผมเพราะรูปใบนั้น!!
 
ให้ตาย...
 
ผมแพ้แล้ว เพราะตอนนี้ผมก็ชอบเขาเหมือนกัน...

แถมยังเป็นฝ่ายจู่โจมจูบเขาไปไม่รุ้ตั้งกี่รอบ

หลายครั้งด้วย บ้าเอ๊ย!!

แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้...ผมก็จะจูบเขาซ้ำๆเหมือนเดิมนั่นแหละ ทำไงได้ ก็ผมอยากจูบนี่
 
อะไรนะ ผมใจง่าย?
 
ก็...
 
ก็...
 
ไม่รู้เว้ย! ก็คนมันอยากจูบนี่!!! จูบแล้วรู้สึกดี จูบแล้วมีความสุข ทำแล้วมีความสุขก็อยากจะทำ ทำแล้วชอบ ไม่ได้เหรอ?
 
ก็คนมัน....ชอบอ่ะ
 
อา....
 
แม่ครับ....

ผมขอโทษ ผมทำตามที่แม่ห้ามไว้ไม่ได้

เพราะดูเหมือนว่าผม...
 
จะชอบช่างภาพไปแล้วครับ

Rrrrr

ผมเรียกสติกลับมา มองมือถือที่สั่นอยู่บนเตียง แอบตกใจที่ดูเหมือนปลายสายจะพยายามโทรเข้ามาหลายครั้งตลอดทั้งวันโดยที่ผมลืมไปเลยว่าเขาคงรอสายจากผมอยู่ แล้วครั้งนี้ถึงกับต้องวีดีโอคอลมา เป็นอันว่าคงหงุดหงิดน่าดู

"อังเดร!"

((เลิกงานดึกขนาดนี้เลยเหรอ ทำไมถึงเพิ่งรับ))

เสียงร้อนรนห่วงใยและสีหน้ากังวลของเขาเล่นเอาผมรู้สึกผิด

((หรือมัวแต่อยู่กับใคร))

สายตาสีอ่อนที่สอดส่ายไปมาของเขาทำให้ผมรู้สึกผิดทั้งจากความห่วงใยหวังดีของเขา รู้สึกผิดที่ผิดสัญญา และ รู้สึกผิดที่จะต้องโกหกเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเองพร้อมกับรอยยิ้ม

"ขอโทษนะ ฉันต้องอยู่ปาร์ตี้กับทีมงานเลยดึกไปหน่อย"

((...))

"ขอโทษนะอังเดร..."

ขอโทษที่โกหกนาย

เพราะฉันกลัวว่านายจะไม่เห็นด้วย...

กลัวว่านายจะห้ามฉัน ทั้งๆ ที่ฉัน...

ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้

((นายมันก็อย่างงี้ทุกที))

"..."

((แล้วใครจะไปโกรธลง))

ผมอมยิ้มให้อีกฝ่ายที่ยิ้มตอบอย่างใจดี กับเรื่องเดิมๆที่มักจะเกิดขึ้น เรื่องที่เพื่อนอย่างอังเดรเป็นเหมือนคนที่พระเจ้าประทานมาให้อยู่เป็นเพื่อนที่ดีเคียงข้างคนนิสัยเสียอย่างผม

((นายจะกลับเมื่อไหร่))

"ก็น่าจะอีกวันสองวัน ขอโทษนะที่ต้องปล่อยให้นายอยู่คนเดียว"

((ไม่เป็นไรหรอก ฉันรอได้ขอให้นายทำตามสัญญาก็พอ))

"สัญญา?"

((ใช่...))

"..."

((อย่าเข้าใกล้ไอ้ขุนพลนอกจากงาน))

"อ่าหะ..."

ผมไม่ตอบรับ แล้วก็ไม่ปฏิเสธ นอกจากยิ้มให้เขาอย่างไม่รู้จะทำยังไง เพราะนอกจากผิดสัญญากับเขาแล้ว...

ผมยังไปไกลกว่านั่นเยอะ

โอ้ยยยย ถ้าเขารู้ ระเบิดต้องลงอีก แล้วเราก็ต้องทะเลาะกันอีกแน่ๆ ทางที่ดีพาเขาเปลี่ยนเรื่องจะดีกว่า

"นี่นายอยู่ไหน ทำไมดูไม่เหมือนคอนโด"

อังเดรมีสีหน้าหงุดหงิดปนลำบากใจ และคำตอบก็ไม่ได้มาจากไหน เพราะผู้ชายต่างชาติตัวสูงใหญ่สวมแว่นที่ผมเพิ่งสังเกตว่ากำลังยืนเงียบๆอยู่ข้างหลัง

"ลูอิส!!"

ลูอิสเลขาของอังเดรโค้งตัวทักทายผมด้วยใบหน้าเรียบนิ่งใต้กรอบแว่นเข้มหน้า ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดใดนอกจากความเรียบเฉยที่เขามีให้เสมอตั้งแต่รู้จักกัน และก็รู้สึกมานานแล้วว่าเขาดู เอ่อ...ไม่ชอบผม

"ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้ละ เกิดอะไรขึ้นเหรอ"

อังเดรดูหงุดหงิดขึ้นอีกพลางตวัดสายตาไปหาเลขาตัวเองที่บินตามมาถึงที่นี่ แล้วเหมือนจะโยนให้อีกฝ่ายเป็นคนตอบ

((พอดีมีเรื่องด่วน ผมจำเป็นต้องตามมาส่งงานที่นี่เพราะไม่สามารถรอกำหนดกลับจากคุณอังเดรได้ครับ))

((ยุ่งไม่เข้าเรื่อง! แล้วทำไมต้องให้ย้ายมานอนโรงแรม หะ!))

((อยู่คอนโดคนอื่นนานๆ มันเสียมารยาทครับ))

((ก็บอกว่าเดี๋ยวกลับไง!))

((คำว่าเดี๋ยวไม่ใช่กำหนดการณ์ที่เชื่อถือได้ครับ))

((ลูอิส!!!))

ผมได้แต่เงียบแล้วมองคนนั่นที คนนี้ที พูดได้เลยว่าถึงอังเดรจะน่ากลัวขนาดไหน แต่เขาสู้ลูอิสไม่ได้หรอก เพราะรายนั้น...

ดุกว่าเยอะ

ผมไม่เคยกล้าที่จะต่อปากต่อคำกับเขาสักครั้ง แล้วเขาก็ไม่ได้อยากคุยกับผม หรือกับใครด้วย นอกจากเจ้านายของตัวเอง

อืม...

หรือผมควรจะสังเกตอะไรให้ดีกว่านี่เปล่าวะ

ผมคุยกับเขาไปเรื่อยๆ สายตาของลูอิสที่ยังคงยืนนิ่งๆ ไม่พูดไม่จาอะไร แต่พอเขาเรียกอังเดรขึ้นมา บรรยากาศก็กลับไปอึดอัดอีกครั้ง

สายตาอังเดรมองมาทางผมเหมือนมีเรื่องอะไร มันดูจริงจัง...และเศร้า

((ฉันอยากขออะไรได้รึเปล่า))

"ได้ดิ"

((ดูแลให้ดี))

"ฉันมาทำงาน ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้อง--"

((พอร์ท...))

เอาอีกแล้ว สายตาเป็นห่วงแบบนี้อีกแล้ว

สายตาที่ผมไม่เคยเข้าใจว่าอังเดรกำลังห่วงอะไร ผมไม่ใช่เด็ก และไม่ใช่คนป่วยใกล้ตาย แต่ทุกครั้งที่เขาบอกให้ผมดูแลตัวเองเวลาที่เขาไม่ได้อยู่ใกล้ มันทำให้ผมเหมือนเป็น...

คนป่วย...

ไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

ผมเลยทำอย่างที่ทำเสมอ คือยิ้มสดใสให้เขาสบายใจ และบอกลาไปนอน โดยอ้างเวลาที่ดึกมาก ถึงจะเห็นด้วย แต่สายตาของเขาก็ยังไม่ละความกังวล

ที่เริ่มจะส่งผ่านมาที่ผมพร้อมคำพูดสุดท้าย...

((อย่าอยู่ใกล้ผู้ชายคนไหน...อย่าไว้ใจใคร))

ขอโทษนะอังเดร

ขอโทษจริงๆ

แต่ฉันอยากอยู่ใกล้พี่ขุน

-----


ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 20 - ความรับผิดชอบ

“ทำไมคุณไม่บอกคุณพอร์ทเทรตไปตามตรง”

"บอกอะไร"

"บอกว่านายฌอร์นกำลัง--"

"ลูอิส!!"

ผมคำรามเสียงเข้มอย่างที่มักจะต้องใช้มันทุกครั้งกับเลขาส่วนตัว คนที่ไม่เคยจะได้พูดกันดีๆซักครั้งนอกจากเวลางาน

ส่วนเวลาอื่นๆ เขาจะพูดก็ต่อเมื่อต้องการเหน็บแนมผมกับเรื่องเดิมๆ

เรื่องของพอร์ทเทรต...

"คุณพอร์ทไม่ใช่เด็กนะครับ"

"..."

"เขาควรจะได้รับรู้--"

"ฉันไม่ได้ยอมให้นายมายืนตรงนี้เพื่อพูดเรื่องนี้!"

เสียงที่ผมใช้ดุดันขึ้นอีกระดับทำให้เขายอมเงียบ แต่ก็ไม่นานนักหรอก ในเมื่อผมบอกแล้วว่าเขานะมันไม่เคยฟังใคร แม้แต้ผมที่เป็นเจ้านายก็ตาม

“คุณไม่คิดว่าคุณพอร์ทเทรตจะอึดอัดกับความห่วงใยที่มากเกินไปของคุณเหรอครับ?”

“มากไปแล้วนะ ลูอิส!!”

ความอดทนของผมหมดสิ้นจนทำกริยาที่เจ้านายไม่ควรจะทำ เข้าไปกระชากคอเสื้อของให้เลขาหน้านิ่ง หวังให้ไอ้ใบหน้าเรียบๆ ภายใต้กรอบแว่นนั่นเปลี่ยนแปลงบ้าง เหมือนผมที่กำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่ให้หวั่นไหวไปกับสิ่งที่เขาพูด

เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้งระหว่างบทสนทนาระหว่างผมกับเลขาส่วนตัวที่ฝีปากกล้าเกินตำแหน่งอย่างที่มักจะเป็นทุกครั้งเวลาที่เขาต้องการขะยี้เรื่องพอร์ทเทรตให้ผมยอมรับ

 แต่ที่ผมโมโหไม่ใช่เพราะความอาจเอื้อมของเขา

แต่ที่ผมเกลียดเพราะผมรู้ว่าที่เขาพูดมันเป็นความจริงทุกคำ...

“ขอโทษครับ”

และก็เกลียดคำขอโทษหลังจากพูดจาทำร้ายผมที่เขามักจะเอ่ยมันออกมาง่ายๆ ทุกครั้งหลังจากทิ่มแทงผมด้วยวาจาพวกนั้นเสร็จ ทำให้ผมจะโมโหก็ทำได้ไม่สุด

นอกจากเจ็บช้ำวนไปวนมากับความจริงที่ลูอิสเพียรย้ำ

ความห่วงใยที่มากเกินไปเหรอ?

หึ

ถ้าผมไม่ห่วง แล้วเจ้าเพื่อนตัวเล็กนั่นจะมีใครดูแล?

จะมีใครปกป้อง?

จะมีใครมาคุ้มครองไม่ให้เรื่องระยำๆแบบตอนนั้นเกิดขึ้นอีก

ใครจะมารับประกันว่าจะมีไอ้ฌอร์นคนที่สองสามโผล่มาในชีวิตเขา

ใครจะมารับผิดชอบความผิดพลาดของผม...

ความผิดพลาดที่ตามมาหลอกหลอนผมทุกวันนับตั้งแต่วันนั้น...

***

คาบเรียนตลอดวันผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย แต่แน่นอนว่ามันไม่มีผลกับผมมากนักเมื่อผมหลับสบายตลอดคาบ จึงได้แต่ลุกขึ้นบิดขี้เกียจและจะชวนเพื่อนตัวเล็กกลับบ้านด้วยกัน กะว่าวันนี้จะขอฝากท้องกับร้านหมอนั่นซะหน่อย

“หาใครเหรออังเดร” สาวน้อยที่กำลังเก็บกระเป๋ามองมาที่ผม

“เธอเห็นพอร์ทหรือเปล่า”

“ไปห้องน้ำตั้งแต่ยังไม่หมดคาบ สงสัยป่านนี้เนียนแอบกลับบ้านไปแล้วมั้ง”

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีกลับบ้านไปก่อนเวลาเรียน เพราะเขาเป็นพวกหนอนหนังสือของแท้ ไม่มีทางที่จะแวบหายไปไหน แล้วเขาก็ต้องกลับบ้านกับผมด้วย ไม่มีทางไปใหญ่ที่เขาจะไปไหนโดยไม่บอกผม

ผมคว้าเป้ทั้งของตัวเองและเจ้านั่นก่อนจะไปดูที่ห้องน้ำตามที่หัวหน้าห้องบอก แต่กลับไม่พบเขาอยู่ที่ห้องน้ำไหนๆเลย โทรศัพท์ก็ไม่มีคนรับ นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ!

“หาใครวะอังเดร” เพื่อนร่วมชั้นอีกคนเอ่ยถามเมื่อเห็นผมยืนหงุดหงิดอยู่หน้าห้องน้ำชาย

“เห็นพอร์ทรึเปล่า!”

“เห็นสิ สักพักแล้ว”

“อยู่ไหน!!”

“เห็นนั่งรถออกไปกับพวกกลุ่มฌอร์นนะ”

ไอ้ฌอร์น!!

ผมรีบวิ่งออกไปที่ลานจอดรถทันที ขณะที่มือก็กดโทรออกหาฌอร์นไปด้วย ตอนนี้หัวใจผมเต้นแรงอย่างหวาดกลัวเมื่อนึกถึงใบหน้าซีดๆเมื่อตอนบ่ายของพอร์ทเทรต

ผมน่าจะถามเขาว่าไอ้ฌอร์นพูดอะไรกับเขา!!

โธ่โว้ย! ทำไมมันไม่รับโทรศัพท์วะ!!

ผมเก็บมือถือลงกระเป๋าเพราะคาดว่าโทรไปก็คงไม่มีผล และรีบตวัดขาคร่อมมอเตอร์ไซค์คันโตและบิดมันออกไปโดยไม่คิดชีวิต มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่แหล่งกบดานของแก๊งพวกมัน นั่นคือบ้านของสมาชิกคนหนึ่งในกลุ่มที่ผมเคยไปเยือนเมื่อนานมาแล้วตั้งแค่สมัยม.ต้นเมื่อครั้งรู้จักกันใหม่ๆ

ขอให้อย่ามีอะไรเกิดขึ้นด้วยเถอะ!!

แต่คำขอของผมเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อผมจอดรถลงที่บ้านหลังนั้น พบว่ามีรถหลายคันของพวกเขาจอดอยู่ที่นี่ ตรงหน้าโรงเรือนที่แยกออกมาจากตัวบ้าน และถูกเนรมิตให้เป็นที่มั่วสุมของแก๊งพวกมันมานาน

“ปล่อย!!!!” เสียงร้องลั่นดังออกมาจากนั้นจนทำให้เลือดในตัวผมเย็นเฉียบ

ปัง!!

ภาพตรงหน้าแทบจะทำให้ผมช็อค เลือดที่เย็นเฉียบเมื่อครู่ร้อนระอุขึ้นมาอย่างประหลาด เมื่อเห็นร่างเล็กๆของเพื่อนถูกกดอยู่บนฟูกนอน โดยมีไอ้ฌอร์นทาบทับอยู่เหนือร่างพร้อมเสียหัวเราะและใบหน้าเยาะเย้ย ในขณะที่เพื่อนของมันกำลังช่วยกันยึดแขนขาเล็กๆนั่น และอีกหนึ่งคนที่กำลังตั้งกล้องวิดีโอ....

พวกมันกำลังทำเกินไป...

“ไอ้ฌอร์น!!!”

พวกมันส่วนหนึ่งพุ่งเข้ามาจับตัวผม ในขณะที่ไอ้ระยำนั่นก้มหน้าลงไปปฏิบัติเรื่องตำช้าต่ออย่างไม่สนใจเสียงร้องของพอร์ทเทรตที่แผดลั่น

“ไปให้พ้น!!!”

ราวกับสติของผมหายไปเมื่อได้ยินเสียงร้องเป็นภาษาบ้านเกิดของเขา ดวงตาเบิกโพลงอย่างหวาดกลัวทำให้ไม่ลังเลที่จะลากไอ้พวกเลวออกจากเขามากระทืบให้หมด

ผมเดินข้ามร่างของไอ้ฌอร์นที่นอนแน่นิ่งกับพื้นไปหาพอร์ทเทรตที่นอนร้องไห้อย่างหมดเรี่ยวแรงบนเตียง

“พอร์ท...”

ผมเรียกเจ้าเพื่อนร่างเล็กๆที่นอนตัวสั่น ทันทีที่แตะตัวเขาก็สะดุ้งแรงดวงตากลมโตเต็มไปด้วยสายน้ำตา พร้อมกับมือเท้าที่สะบัดไปมาทุกทิศทางเหมือนกลัวผมจะทำอะไรเขา

“พอร์ท! นี่ฉันเอง อังเดร!”

”อัง...เดร” เขาชื่อผมอย่างอ่อนแรง ก่อนจิกยึดแขนผมแน่น เมื่อดูว่าเขาไหวผมก็พาเขากลับ แน่นอนว่าต้องเป็นบ้านของผม เพราะไม่อยากทำให้แม่ของเขาและคนที่ร้านขนมตกใจ

ผมมองอีกฝ่ายกำลังหลับตาพริ้มบนเตียงในห้องนอนของผมอย่างเหนื่อยอ่อน เปลือกตาเป็นสีแดงบวมช้ำเพราะการร้องไห้อย่างหนักเพราะความตกใจ และทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยแดงจากความคึกคะนองของคู่กรณีที่คราวนี้เล่นจนเกินขอบเขตไปไกล...

ไกลมากจนสมควรตาย

อาการกระสับกระส่ายของเขาเรียกผมให้กลับมามีสติอีกครั้ง คิ้วเรียวขมวดแน่นราวกับคนหลับกำลังฝันร้าย ผมได้แต่มองเพราะความรู้สึกผิด ทั้งที่รู้ว่าพวกนั้นไม่ยอมจบ แต่ก็ไม่จัดการให้เด็ดขาด พร้อมๆกับความรู้สึกที่ก่อตัวชัดเจน

เพราะผมห่างจากเขา พอร์ทเลยต้องเจอเรื่องแบบนี้...

เพราะผมคนเดียว

มันเป็นความรับผิดชอบของผมคนเดียว

ความรับผิดชอบที่ต้องจดจำเรื่องพวกนี้เอาไว้ ชดเชยให้กับความทรงจำที่หายไปของพอร์เทรต

ความทรงจำที่ผมเพิ่งถูกคุณนายมาร์แตงโทรมาตำหนิข้ามประเทศ แต่ก็ให้คำตอบผมไปในคราวเดียวกันว่าทำไมพอร์ทถึงไม่รู้จักฌอร์น ซึ่งมันเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่มันกลับตอกย้ำให้ผมรู้ว่าความสะเพร่าของผมมันช่างโหดร้ายต่อคนที่ผมสาบานว่าจะดูแลเขา แต่ก็ปล่อยให้เรื่องระยำนั้นเกิดขึ้น จนแผ่นฟิล์มของเขาต้องสะดุดเว้าแหว่ง...

ถ้าผมไปช้ากว่านั้นอีกนิด...

"ผมขอถามได้มั้ยครับ"

ผมเหม่อมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนของกรุงเทพฯที่เต็มไปด้วยแสงไฟสว่างไปทั่ว แต่ผมกลับเห็นแค่ความมืดมิด พึมพำในคอเบาๆ เป็นสัญญาณให้ลูอิสถามได้อย่างที่ขอ คำถามที่ทำให้ผมต้องเหลียวกับไปมองเจ้าของเสียง

"คุณรักคุณพอร์ทเทรตจริงๆเหรอครับ"

"..."

"ฉัน..."

ผมเก็บปากตัวเองอย่างไม่แน่ใจ พอๆกับไม่แน่ใจในสายตาหลังกรอบแว่นที่มักเฉยชา แต่พอมามองในระยะใกล้ชิด พอๆกับร่างกายที่ขยับเข้ามาใกล้ ก็ยิ่งทำให้ผมไม่แน่ใจ

"คุณรักเขาหรือ..."

"..."

"เป็นแค่ความรับผิดชอบ"

อีกครั้งที่เป็นแบบนี้

เสียงเรียบนิ่ง กับประโยคกระแทกใจของเจ้าเลขาที่ชอบทำเกินหน้าที่ รับอาสาย้ำเตือน ตอกย้ำ กรีดแผลผมซ้ำๆ ด้วยเสียง และสีหน้าเรียบนิ่ง ติดอยู่แค่แววตาที่สื่อสารบางอย่างมาให้ผม

ผมไม่รู้ ไม่แน่ใจความรู้สึกตัวเองนัก ยิ่งโดนมาถามตรงๆแบบนี้ ผมยิ่งไม่รู้ตัวเอง

ไม่รู้อะไรเลย

รู้แต่ว่าผมเพิ่งสังเกตว่าเบื้องหลังความเรียบนิ่งของลูอิส และวาจาร้ายกาจที่ชอบเหน็บแนมเรื่องพอร์ทกับผม มันคงมีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

วาจาที่กรีดแทงทุกครั้งคงแฝงมาด้วยความอบอุ่น

พอๆกับมือของเขาที่กำลังบีบมือผมเบาๆ...

"พอเถอะครับ..."

"..."

"เลิกรู้สึกผิดเถอะครับ"

ได้เหรอ?

ผมทำได้เหรอ?

แล้วใครจะดูแลพอร์ทแทนผมละ...

ใครจะชดใช้และรับผิดชอบเขาแทนผม?

ผมได้แต่ตั้งคำถามและบีบมือลูอิสคล้ายกับอยากให้เขาช่วยตอบ

แต่เขาก็คงไม่รู้เช่นเดียวกันกับผม เราเลยทำได้แต่บีบมือกันไว้ ปล่อยให้ห้องเงียบ และมองไปที่ความมืดด้านนอกห้อง....
 
-------------
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-07-2018 15:27:54 โดย benjyAstro »

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
งื้ออ ชอบบบบบ รอตอนต่อปาย
ในส่วนของคำผิดนั้นหนาา ทำเอาขำเลย555

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 21 - ห่วง

"น้องพาตี้อยู่นิ่งๆอย่าเพิ่งไปหยิบจับอะไรนะคะ ถ้าน้องหิวคงต้องรบกวนพี่เจสซี่ป้อนไปก่อน”
 
ผมพยักหน้าตอบตกลง มองเล็บตัวเองที่บัดนี้กลายเป็นสีแดงสด

ใช่ครับ ผมถูกปลุกแต่เช้ามาเพื่อนั่งทาเล็บ เห็นบอกว่าจะได้เข้ากับสีลิปสติกอะไรทำนองนั้น ซึ่งผมก็หลับตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา และคงจะหลับต่ออีกแน่ๆถ้าต้องนั่งรอให้สีมันแห้งไปอีกเป็นชั่วโมง
 
“อาหารเช้ามาแล้วค้า”

พี่เจสซี่วางอาหารเช้าพวกขนมปังปิ้ง ไข่ดาว แฮม อะไรเทือกนั้นลงตรงหน้า แต่แค่ได้กลิ่นผมก็ไม่อยากมองแล้ววะ
 
“นี่ค่ะ ทานหน่อยนะคะ”
 
ผมส่ายหน้าเนือยๆ ความอยากอาหารเป็นศูนย์
 
“เป็นอะไรไปคะ เดี๋ยวไม่มีแรงทำงานนะคะ”

ผมถอนหายใจเพราะเห็นด้วย เลยได้แต่ยอมอ้าปากเตรียมรับขนมปังปิ้งหั่นชิ้นเล็กๆ คู่กับแฮมอย่างช่วยไม่ได้

แต่ก็อ้าค้างเก้อเพราะว่าคนป้อนดันนิ่งค้างทั้งๆที่อาหารยังอยู่ห่างจากผมไปหลายคืบ
 
ผมมองตามสายตาพี่เจสซี่และเห็นหนุ่มยุโรปร่างใหญ่ที่ชะเง้อมองราวกับกำลังมองหาใครอยู่ตรงหน้าประตู ก่อนจะยิ้มโชว์ฟันขาวมาทางพวกผมพร้อมกับใบหน้าเบิกบานเป็นจานดาวเทียมของคนข้างตัว
 
“ตามสบายครับพี่” ผมกระซิบ
 
“ได้เหรอคะ?”
 
“อื้อ”
 
“งั้นเดี๋ยวพี่เจสซี่มานะคะ ขอไปหาหนุ่มแป๊บ”

ยินดีครับ เพราะผมก็ไม่ได้อยากจะกินไอ้ของตรงหน้าเท่าไหร่
 
ทันทีที่พี่เจสซี่วิ่งออกไปผมก็ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ถือโอกาสงีบทันที บอกได้เลยว่าตอนนี้ผมพร้อมจะหลับทุกที่ทุกวินาทีที่หยุดนิ่ง รู้สึกง่วงจนสมองเบลอและเริ่มจะปวดขมับตุบๆ แต่ยังไม่ทันจะเคลิ้มก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเพราะเสียงทุ้มที่ดังขึ้นเหนือหัว
 
“อ้ามมม....”

แหม...ช่างกล้านะ
 
“อะไร”

ผมกระซิบแผ่วและมองไปรอบๆอย่างระมัดระวังก่อนจะกลับมามองคนตัวโตด้านหน้าที่กำลังถือช้อนอาหารที่พี่เจสวางทิ้งไว้
 
“ตอนนี้ทีมงานออกไปเซ็ตกองข้างนอก ไม่มีใครอยู่หรอก จะพูดก็ได้”
 
“ทีมงานไปเซ็ตกอง แล้วช่างภาพมาทำอะไรตรงนี้”
 
“มาดูแฟน”

หะ!
 
ผมแทบสำลักอากาศจนลืมอาการมึนหัวไปสนิทเพราะประโยคเรียบนิ่งราวกับพูดเรื่องลมฟ้าอากาศโดยไม่ได้เกรงใจความหมายที่อยู่ในคำนั้น

มาดูแฟนเนี่ยนะ!
 
“หึหึหึ”
 
“หยุดหัวเราะเลย  ใครแฟนใคร”
 
“ก็ใครไม่รู้ที่เอาแต่จูบคนอื่น จูบเอาจูบเอาจนคนเขาเสียความบริสุทธิ์ไปแล้ว”
 
“บ้า! ใครจะเสียบริสุทธิ์เพราะจูบ อย่างกะตัวเองบริสุทธิ์ตายละ เชี่ยวชาญละสิไม่ว่า”
 
“เชี่ยวไม่เชียวมันก็ต้องพิสูจน์ ลองป่ะละ?”

ผมผลักใบหน้ากรุ้มกริ่มนั่นออกไปอย่างหมั่นไส้ แอบรู้สึกจักจี้ในหัวใจกับความเป็นธรรมชาติและเปิดเผยของไอ้พี่ขุน ดีนะที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ ไม่อย่างนั้นต้องเป็นขี้ปากคนทั้งกองแน่
 
“เอ้า กินหน่อย เดี๋ยวไม่มีแรงทำงานนะ”
 
“พูดเหมือนพี่เจสเลย”
 
“งั้นก็กินสิ เดี๋ยวพี่ป้อนให้”
 
“ไม่เอา ไม่อยากกิน”

ผมหันหน้าหนีอาหารที่ยื่นมาถึงปาก ไม่ใช่ว่าลีลาท่ามากอะไรหรอกนะ แต่แค่รู้สึกไม่อยากกิน ติดจะผะอืดผอมด้วยซ้ำ ประกอบกับความง่วงและอาการมึนหัวยิ่งทำให้กระเพาะผมตื้อจนไม่อยากกินอะไร

โคตรแย่เลย...
 
“เป็นอะไร พี่คิดไปเองรึเปล่าว่าหน้าพอร์ทดูซีดๆ ไม่สบายเหรอ”

มือใหญ่ว่างช้อนลงและรีบมาลูบใบหน้าผมเพื่อวัดไข้ด้วยความเป็นห่วงจนสัมผัสได้

และเพราะความไม่โอเคผมเลยเผลอถูแก้มบนมือใหญ่อย่างออดอ้อนไปนิดหน่อย พอให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น
 
“เปล่าครับ ผมแค่ง่วง”
 
“นอนดึกเหรอครับ พี่ขอโทษนะที่เมื่อคืนรั้งพอร์ทไว้ พี่...”
 
ผมรีบคว้ามือใหญ่มากุมเอาไว้เพื่อเป็นการยืนยันว่ามันไม่ใช่เพราะเรื่องเมื่อคืน และไม่ใช่เป็นเพราะเขา เมื่อพี่ขุนแสดงอาการเป็นห่วงและกังวลจนผมรู้ได้ชัดเจนทั้งสีหน้า ท่าทาง สัมผัส และดวงตาของเขาจนผมรู้สึกอบอุ่นในใจ แม้ว่าจะเริ่มปวดหัวก็ตาม

"ไม่ใช่หรอกครับ พอร์ทแค่นอนไม่หลับ"
 
“นอนไม่หลับ?”
 
“อื้อ”
 
"พี่ทำให้พอร์ทกังวลอะไรรึเปล่าครับ หืม”

พี่ขุนขยับเก้าอี้เข้ามาใกล้อีก จับใบหน้า ลำคอสำรวจผมไปมา ทุกอาการแสดงออกว่าห่วงใยและเป็นกังวล ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธเพื่อยืนยันว่าไม่ได้เป็นเพราะเขา
 
“พอร์ทแค่นอนไม่ค่อยหลับเฉยๆครับ”

ผมยิ้มบางให้พี่ขุนมั่นใจ แต่พี่เขากลับทำหน้ากระตุกแปลกก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วฟุบหน้าลงพลางคำรามฮือในลำคอ

"ปะ..เป็นไรพี่"

"พอร์ท..."

นี่เขากังวลเป็นห่วงผมขนาดนี้เลยเหรอ..รู้สึกดีจัง--

"อยากจูบอ่ะ"

"ไอ้พี่ขุน!!"

ปัดโถ่! เอาความดีใจของผมกลับมา เพราะไอ้คนตรงหน้าแปลงร่างเป็นคนหื่นอีกแล้ว บ้าบอ!

"ก็พอร์ทอ่า...น่ารัก"

"จู่ๆมาน่ารักอะไรเล่า!"

แล้วนี่ผมจะเขินตามทำไมเนี่ย

"ก็เวลาแทนตัวเองว่าพอร์ทแล้วมันน่ารัก...น่าฟัง...น่าเอ็นดูอ่ะ"

อ่า นี่ผมเผลอเรียกตัวเองว่าแบบนั้นเหรอ ตอนไหนวะ สงสัยเบลอแน่ๆ

"น่าจูบด้วย"

"..."

"ขอทีนะครับ"

"ไอ้พี่บ้า! ใช่เวลามั้ยเล่า!"

ผมฟาดไปที่อกแแน่นๆ นั่นเต็มแรงจนไอ้พี่ขุนร้องโอดโอยอย่างสำออยและคว้าข้อมือผมที่หน้าแดงจัดดึงเข้าไปใกล้ ก่อนสายตาคู่คมจะฉายแววพอใจ

"อารมณ์ดีขึ้นแล้วสิ"

หึ ก็เป็นซะอย่างเนี้ย

ไม่ให้ตกหลุมได้ไงวะ
 
“ตอนนี้รู้สึกเป็นยังไง”
 
“ปวดหัวนิดหน่อย”
 
“ให้พี่สั่งเลิกกองมั้ย”
 
“ไม่ต้องเลย”

ผมรีบร้องห้ามและดึงแขนใหญ่เอาไว้เมื่อคนตัวโตทำท่าจะลุกออกไปสั่งเลิกกองจริงๆ และผมรู้ว่าคนอย่างเขาทำแน่ๆ ถ้าเขาคิดจะทำ อะไรก็หยุดเขาไม่ได้

แล้วขืนทำอย่างงั้นทั้งที่เพิ่งสร้างเรื่องตอนชุุดบิกินี่มา คงได้ชื่อดังอีกแน่
 
“ผมไม่เป็นไรจริงๆ เดี๋ยวก็หาย”
 
“งั้นพอร์ทนังพักอยู่ตรงนี้นะครับ พี่ไปเอายามาให้"
 
เสียงทุ้มบอกรัวเร็วพร้อมๆ กับมือคู่ใหญ่ที่กอบกุมแก้มผมอย่างอ่อนโยนและใบหน้าคมเข้มที่โน้มมาจุมพิตบางเบาบนหน้าผากผมเร็วๆก่อนผละไป ทำให้ผมใจเต้นรัวเพราะความห่วงใยและความอ่อนโยนที่เขามอบให้ ถ้าไม่ติดว่าผมกำลังปวดหัว ผมคงจะเขินเขาจนแทบจะมุดหน้าลงไปกับจานอาหารแน่ๆ
 
ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกปวดหัวมากขึ้นเหมือนมีใครเอามือมาบีบหัว เมื่อคืนหลังจากวางสายอังเดรผมก็เข้านอน ซึ่งมันก็ไม่ได้ดึกมากจนทำให้ผมอ่อนเพลีย

แต่เป็นเพราะผมรู้สึกว่าตัวเองหลับไม่สนิทเหมือนว่าฝันมากเกินไป มันมั่วไปหมดเหมือนกับภาพยนตร์ที่วิ่งผ่านไปรัวเร็วจนทำให้ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกคลื่นไส้
 
ผมจำไม่ได้ว่าฝันเกี่ยวกับอะไร แต่ก็พอรู้ว่ามันไม่ได้ดีนักเพราะยังพอจำได้ถึงเสียงกรีดร้องของใครซักคนที่ดังลั่นจนเสียดแก้วหู

 ผมเดาว่าคงจะเป็นอะไรที่คนไทยเขาชอบถือกันเวลาไปค้างที่อื่น พวกอะไรนะ... โดนอำ อะไรทำนองนั้นมั้ง แต่บอกตามตรงว่ามันทำให้ผมรู้สึกไม่โอเคเท่าไหร่
 
โดยเฉพาะเสียงที่ได้ยินมันเหมือนเจ้าของเสียงกำลังหวาดกลัวมากๆ
 
กลัวจนเหมือนว่าจำลังจะขาดใจ...
 
แต่เอาเถอะ มันคงไม่ใช่เรื่องที่ต้องเก็บมาคิด นอกจากว่า ตอนนี้ผมโคตรปวดหัวเลย

                                 ***
 
“พร้อมนะครับ”

ผมส่งเสียงเป็นสัญญาณกับทีมงานทุกคน และที่สำคัญคือเป็นสัญญาณถึงนางแบบในสายตาคนอื่นที่ยืนสแตนบายอยู่ตรงหน้าผมในสวนของรีสอร์ท คนที่สามารถแต่งหญิงออกมาน่ามองเสียงยิ่งกว่าผู้หญิงแท้ๆ
 
พอร์ทส่งยิ้มมาทางผมราวกับบอกว่าตัวเองพร้อมที่จะเริ่มงาน แต่ผมกลับรู้สึกอย่างจะเลิกกองเดี๋ยวนี้ เพราะแม้ว่าเจ้ากระต่ายน้อยจะดูปกติในสายตาคนอื่น แต่ผมบอกเลยว่าไม่ใช่ แต่ก็ไม่อาจทำตามที่ใจตัวเองต้องการได้ เพราะเจ้าตัวเองก็คงไม่ยอม ผมรู้ว่าเขาอยากทำงานให้ดีที่สุด และผมก็ทำได้เพียงดำเนินงานของตัวเองต่อไปเท่านั้น
 
“มองกล้องนะครับ ยกแอปเปิลขึ้นอีกนิด หน้าตรงครับ ให้เห็นสีเล็บชัดขึ้นครับ...ดีครับ...”
 
เสียงการแนะท่าทางตลอดการถ่ายทำวันนี้อาจดูธรรมดาสำหรับงานถ่ายแบบ แต่ไม่ใช่สำหรับผมกับพอร์ท เพราะเจ้าตัวเล็กไม่เคยให้ผมต้องเอ่ยปากแนะนำมุมกล้องเลยแม้แต่น้อยตลอดการทำงานร่วมกันมา เหมือนเขารู้อยู่แล้วว่าผมต้องการภาพแบบไหน และมุมกล้องแบบไหนที่จะทำให้ตัวเขาเองดูดีที่สุด

แต่ไม่ใช่วันนี้
 
ผมกดชัตเตอร์ไม่ยั้ง ยิ่งมองเจ้าตัวผ่านเลนส์ ผมก็ยิ่งอยากให้งานวันนี้จบลงเร็วๆ เพราะยิ่งโคลสอัพ ผมก็ยิ่งเห็นชัดถึงผิวหน้าของเขาที่เปลี่ยนสี และคิ้วเรียวที่ขมวดเป็นระยะ

ให้ตาย ยาแก้ปวดหัวไม่ได้ช่วยให้น้องดีขึ้นแน่ๆ
 
ทันทีที่ถ่ายเสร็จผมก็วานให้ผู้ช่วยช่างภาพเก็บอุปกรณ์ให้ทันที ทั้งที่ไม่เคยให้ใครแตะอุปกรณ์คู่ชีพของผม แต่ตอนนี้ผมอยากรีบไปดูพอร์ทให้เร็วที่สุด
 
“สวยเหมือนเดิมนะคะน้องพาตี้ เดี๋ยวพักกองตอนเที่ยงแล้วภาคบ่ายค่อย... ว๊าย!”
 
เสียงกรีดร้องของสาวๆ เมคอัพที่รุมล้อมนางแบบทำให้หัวใจผมกระตุกอย่างแรง ก่อนจะพุ่งตัวไปกลางวงล้อมและช้อนตัวร่างเล็กไว้ได้ทันก่อนจะร่วงลงพื้น

เวรเอ๊ย!!
 
“พอร์ท!”

ผมเขย่าตัวพอร์ทอย่างร้อนใจเมื่อเขานอนแน่นิ่งไม่ไหวติง และเรียกเขาย้ำๆ โดยไม่สนใจว่าใครจะได้ยินหรือสงสัยชื่อที่ออกจากปากผม
 
“ว๊าย! น้องพอร์ท...น้องพาตี้เป็นอะไรไปคะคุณขุนพล!!”
 
“ไม่รู้ครับ”
 
“ทำยังไงดีๆๆๆ”

ผมช้อนตัวพอร์ทขึ้นอุ้มโดยไม่สนใจท่าทางร้อนใจของพี่เจสและเสียงซุบซิบของทีมงาน
 
“คุณเจสตามไปเปิดประตูห้องให้ผมหน่อย”
 
“เอ่อ....”
 
“เร็วดิวะ!!"
 
“ค่ะๆๆๆ”
 
“ที่เหลือหลบไป..."

"..."

"บอกให้หลบ!!!”

วงล้อมกระจายตัวออกทันทีด้วยความตกใจ แต่ผมไม่สนเพราะความกังวลที่มีต่อคนในอ้อมแขน มือของเขาที่ผมสัมผัสโดนมันรู้สึกได้ถึงความเย็น ซึ่งมันไม่ใช่สัญญาณที่ดี
 
“ทางนี้เลยค่ะ”

ผมตามคุณเจสซี่เข้าไปในห้องนอนนอนและวางน้องลงกับเตียงอย่างแผ่วเบา กลัวว่าแรงสะเทือนจะทำให้เขาไม่สบายยิ่งขึ้น
 
“ตามหมอที”
 
“คะ?”
 
“ผมบอกให้ตามหมอ!”
 
“ค่ะๆ พี่เจสจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ค่ะ”

บ้าเอ๊ย! ทำไมอะไรมันก็ดูช้าไม่ทันใจผมไปหมด ไม่เห็นเหรอว่าพอร์ทกำลังแย่!
 
ผมทิ้งตัวนั่งลงเคียงข้างอีกฝ่ายที่นอนนิ่ง รวมมือเล็กมีบีบไว้ สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบที่ชัดเจนตรงปลายนิ้ว ผมจึงบีบนวดมันเบาๆ หวังจะให้มันอุ่นขึ้น
 
“พอร์ท...ได้ยินเสียงพี่มั้ย?”
 
ผมเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าเนียนแผ่วเบา แม้แต่ผิวแก้มของเขาก็ยังเย็น
 
ผมบีบนวดมือร่างเล็กด้วยความรู้สึกอัดอั้นในอกที่ไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้นอกจากการรอให้หมอมาถึงเท่านั้น จนกว่าจะถึงเวลานั้นก็ผ่านไปหลายนาที แต่สำหรับผมราวกับผ่านไปหลายชั่วโมงที่ต้องทนมองเขานอนนิ่งไม่ไหวติง

แล้วก็เพิ่งรู้สึกชัดเจนเป็นครั้งแรกในชีวิต

ผมโคตรห่วงน้องจนแทบบ้า

 
“เป็นไงบ้างครับหมอ”
 
“ทุกอย่างปกติดีครับ นอกจากหลับไปเท่านั้น”
 
“ไม่เป็นอะไรแล้วทำไมถึงเป็นลม!”
 
“ใจเย็นๆนะคะคุณขุนพล พี่เจสว่าฟังหมอก่อนนะคะ”

พี่เจสซี่รีบเข้ามาขวางราวกับกลัวว่าผมจะกระโจนใส่หมอ แน่นอนว่าผมทำแน่ถ้าเขาไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับผมว่าพอร์ทเป็นอะไร
 
“จากที่ตรวจดูเบื้องต้น นอกจากอัตราชีพจรที่สูงกว่าปกติเล็กน้อยก็ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆครับ ไม่ทราบว่าคนไข้พักผ่อนน้อยหรือมีภาวะความเครียดรึเปล่า”
 
“เขาบอกว่านอนไม่หลับและปวดหัวตั้งแต่เช้า เกี่ยวกันมั้ยครับ?”

ผมบอกไปตามความจริงจากที่คุยกับน้อง แต่ไม่รู้ว่าผมตาฝาดรึเปล่าที่เห็นสีหน้าหมอเคร่งไปชั่วครู่
 
“หมอแนะนำให้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลให้ละเอียดดีกว่านะครับ แต่ความเห็นของหมอ ถ้าไม่พบอาการผิดปกติทางร่างกาย ลักษณะแบบนี้ก็เป็นได้อีกอย่าง”
 
“อะไรครับ?”

ผมรีบถามรัวเร็ว รู้สึกได้ถึงลำคออันแห้งผากของตัวเองและหัวใจที่เต้นแรงกับคำตอบที่ได้ยิน
 
“เรื่องของจิตใจครับ”

-----------

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 22 - พรหมลิขิต

เรื่องของจิตใจ..

คำพูดของหมอยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของผมไม่ยอมหายไปไหน

เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโชคดีที่เกิดมาในครอบครัวแพทย์ เพราะแค่ประโยคนั้นผมก็พอเข้าใจว่าหมอต้องการสื่ออะไร

แต่มันช่างฟังแล้วเสียดแทงเหลือเกิน...

เรื่องของจิตใจ...แสดงว่าน้องมีเรื่องไม่สบายใจ

และถ้าไม่เกิดเรื่องวันนี้ขึ้น ผมก็คงไม่มีสติเอะใจ ว่าภายใต้รอยยิ้ม และสิ่งที่แสดงออกของน้อง มันอาจมีอะไรซ่อนอยู่

ผมถึงได้เพิ่งเริ่มรู้ตัวว่า จูบของน้อง ไม่ได้ทำให้เรารู้จักกันเลย

ผมมัวแต่หลงระเริงกับสัมผัสที่น้องยินยอมมอบให้ ทั้งๆที่ผมยังไม่ได้รู้จักเรื่องของน้องเลยแม้แต่น้อย เอาแต่พูดว่าหลงน้องมาสามปี...

สามปีที่ผมไม่ได้รู้อะไรเลยว่าน้องอาจเคยเจอเรื่องราวอะไรในชีวิตบ้าง

ไอ้ขุน แกมันไอ้คนอวดดี

ปากบอกว่ารัก...แต่แกก็ได้แต่นั่งอยู่ตรงนี้

ได้แต่นั่งเฝ้ามองพอร์ทที่นอนนิ่ง เจ้าตัวเล็กราวกับกำลังหลับไปเท่านั้น โดยที่ผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าเบื้องหลังเปลือกตานั้นกำลังมองเห็นอะไร..

"อื้อ..."

ร่างบางขยับตัว คิ้วเรียวเริ่มขมวดเข้าหากันแต่ไม่ได้ลืมตาขึ้นทำให้ผมรู้ว่าน้องเพียงแค่ละเมอเท่านั้น แต่ท่าทางน้องดูอึดอัดเหลือเกินจนผมทนไม่ไหว

ผมรวบร่างเล็กที่ขยับตัวไปมาเข้ามาในอ้อมแขน โอบกอดเขาแน่นเพื่อต้องการส่งความรู้สึกให้เขารับรู้ ไม่ว่าน้องจะกำลังฝันเห็นอะไรให้เขารู้ว่าผมยังอยู่ตรงนี้

"พอร์ทครับ...พี่อยู่นี่...พี่ขุนอยู่ตรงนี้นะครับ..."

ผมโน้มใบหน้าลงไปประทับริมฝีปากที่หว่างคิ้วเข้ม จูบเน้นย้ำ...ย้ำ...เพื่อคลายความเครียดขึง ก่อนจะเลื่อนไปประทับที่เปลือกตาปิดสนิท ลากผ่านปลายจมูก และเลื่อนลงมายังริมฝีปากแดงที่กำลังเม้มเน้นด้วยความอึดอัด...

หวังจะช่วยลบมันออกไป

"ว๊าย!!"

ทุกอย่างหยุดชะงักลงเมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามาในห้อง ผมหันไปมองคุณเจสซี่เงียบๆ โดยไม่แยแสท่าทางตกใจปานจะเป็นลมของเขาและแววตาพรั่นพรึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า

ผมยังคงโอบกอดคนในอ้อมแขนไว้เช่นเดิมและจ้องอีกใ่ายอย่างท้าทาย จนเขาสงบลงเมื่อผ่านไปหลายนาที ผมจึงค่อยๆวางน้องนอนลงอย่างแผ่วเบา และลูบผมสลวยที่ปกใบหน้าหวานออกช้าๆโดยไม่สนสายตาของคุณเจสซี่

"นะ...นี่มัน...หมายความว่ายังไงคะ"

"ทำไมต้องตอบ"

"แต่เราต้องการคำตอบ!!"

"ภัทร..."

ชิบ...

ลืมไปว่ามียัยแม่ลูกอ่อนเรื่องเยอะนี่อีกคน

ผู้จัดการฝ่ายโฆษณาที่เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิทก้าวออกมาจากเบื้องหลังคุณเจสซี่ที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออก สีหน้าของภัทรจริงจังจนผมต้องถอนหายใจยอมแพ้

"ไปคุยกันข้างนอก"

"แกทำอะไร!!!"

"...."

"แก...กับนางแบบ ให้ตายเถอะ!! นี่มันเรื่องบ้าอะไรหะขุน บอกเรามาสิ การห่วงใยช่วยเหลือดูแลเราพอเข้าใจ แต่สิ่งที่แกทำเมื่อกี้เราไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลย !!!


".....อย่ามาเงียบใส่เรานะ!!"

"แล้วจะให้พูดอะไร"

"พูดอะไร? ให้ตายเถอะ แกกอดนางแบบ แก...แกจูบน้องเขานะขุน! แกควรจะมีคำอธิบายเรื่องนี้"

"ก็เห็นแล้วจะถามทำไมวะ"

ผั๊วะ!!

โอ้ยยย ยัยบ้านี่มันตบหัวผม!

"อย่ามากวนนะ ตกลงแกกับน้องเขาเป็นอะไรกัน!"

"ก็..."

"อย่ามาสตอ! เรากะแกรู้จักกันมานานเกินกว่านั้นนะ เพราะงั้น คายออกมาให้หมด!!!"

ผมนิ่งเงียบและหันหน้าหนียัยเพื่อนจอมบงการ และพยายามเรียบเรียงคำตอบในหัว แต่ความจริงผมไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ เพราะทุกอย่างมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ผมหันกลับไปหาภัทรและสบตาเธอตามตรง

ตอบคำถามง่ายด้วยคำที่คนสนิทอย่างมันจะเข้าใจ

"เขาคือแรงบันดาลใจของเรา"

ไงละ ทำตาโตเป็นไข่ห่านขนาดนี้...อึ้งอ่ะดิ เราดูหล่อมากเลยอ่ะดิ

ผั๊ว!!!

"โอ้ย!! ยัยบ้า ตบหัวกูอีกแล้วนะ ไม่อยากมีชีวิตรอดกลับไปหาผัวใช่มั้ยวะ!!"

ผั๊ว!!

ยัง!! ยัยบ้ามันตบผมเป็นครั้งที่สามแล้วนะว้อย!!

"ปากอย่างนี้วอนตายแล้วสินะ แล้วผัวกูใช่คนที่มึงจะเอามาพูดพร่ำเพรื่อมั้ย"

โห พอพูดแตะต้องผัวหน่อย ขึ้นกู ขึ้นมึงนะอีภัทร อีคนหวงผัว!

"ผัวมึงก็ผัวกู เอ๊ย ก็เพื่อนกูป่ะวะ เฮ้ยๆๆ พอๆๆ ตบอยู่ได้ เดี๋ยวสมองไหลกันพอดี"

"มีสมองกะเขาด้วยเหรอ นึกว่ามันกลวงถึงได้ทำอะไรไม่คิด!!"

โอ้ยยย ยัยภัทรมันเป็นอะไรกะหัวผมมากป่าววะ ไม่ตบก็ผลักหัวผมเนี่ย แล้วจุลินทรีย์เนี่ยนะ?  ปกติเขาด่ากันแบบนี้เหรอ ตกลงมันโมโหผมเพราะพูดถึงผัวมันเนี่ยนะ?

เดี๋ยวจับผัวแม่งทำเมียซะหรอก! (ล้อเล่นนะล้อเล่น ไม่เอา ไม่ฟ้องน้องนะ)

"พอ เลิกไร้สาระ"

มึงดิ พากูไร้สาระ พูดถึงผัวหน่อยไม่ได้ แม่ง มือถึงตลอด...

ถึงหัวผมเนี่ย!!

"เอาตรงๆ ให้เคลียร์กันไปเลยนะ"

"...."

"แกรักน้องเขา?"

บรรยากาศของเราทั้งคู่กลับมาจริงจังอีกครั้ง สายตาของภัทรชี้ชัดว่ามันไม่ได้ต้องการล้อเล่น นอกจากอยากได้ความจริงใจและตรงไปตรงมาจากปากผมแบบลูกผู้ชาย ซึ่งคำตอบมันง่ายนิดเดียว

"สามปี..."

ผมจ้องมองเพื่อนสนิทตรงหน้าเพื่อยืนยันสิ่งที่ตัวเองกำลังจะพูด ว่ามันคือสิ่งที่ตรงออกมาจากใจของผม

"กูรักน้องเขามาสามปี"

***

"น้องเขาคือแรงบันดาลใจของแกคนนั้นนะเหรอ?!!!!!!! "

ผั๊ว!!

"จะตะโกนเพื่อ?"

ผมเอื้อมมือไปตบหัวยัยนั่นโทษฐานแหกปากเสียงดังไม่เกรงใจชาวบ้าน ยัยคุณแม่ลูกหนึ่งนี่มันขี้โวยวายจริงๆ แต่เธอก็ไม่สนใจและถามผมต่อด้วยใบหน้าตื่นเต้น

"แกกำลังจะบอกเราว่า น้องคนนี้คือแรงบันดาลใจที่ทำให้ไอ้บ้าติสแตกที่กำลังทำตัวเป็นเด็กมีปัญหากับชีวิตตอนนั้นยอมทำงานเป็นหลักแหล่งและเลิกทำตัวเบื่อโลกงั้นเหรอ!?"

"ใช่...แต่...มึงกำลังหลอกด่ากูป่ะ?"

"เปล่า กูด่ามึงตรงๆ"

ผมยกมือกางองศาเตรียมฟาดหัวยัยภัทรอีกรอบ แค่ยัยนั่นดันรู้ทันและชี้หน้าร้องห้ามผมซะก่อน

"เราไม่อยากจะเชื่อเลย รู้มั้ย ว่าเราอยากเจอคนคนนั้นที่ทำให้แกมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้มาตลอด อยากขอบคุณเขาที่ทำให้เพื่อนเรามีแรงบันดาลใจ ไม่ใช่ใช้ชีวิตไปวันๆ"

"..."

"ในที่สุดแกก็เจอน้องเขา...อย่างกะพรหมลิขิตอ่ะ ละครสุดๆ"

"พูดเว่อไปละ"

ผมส่ายหน้าให้กับความเวิ่นเว้อของยัยเพื่อนตรงหน้า แต่สายตาจริงจังที่มองมาราวกับเป็นห่วงผมทำให้ผมเงียบปากลง

"แกไม่รู้หรอกว่าเมื่อก่อนตัวเองเป็นยังไง"


"..."

"แกทำอะไรก็เก่งไปหมด รูปก็หล่อ พ่อก็รวย ฝีมือการถ่ายภาพไม่มีใครในรุ่นเราที่จะเทียบแกได้ แต่แกกลับดูเหมือนหุ่นเชิดที่ว่างเปล่า ที่แค่ทำทุกอย่างไปเพราะต้องทำ ไม่ใช่เพราะอยากทำ เราดีใจมากที่รู้ว่าแกหาแรงบันดาลใจของตัวเองเจอและเริ่มใช้ชีวิตของตัวเองจริงๆ"

สายตาภัทรแสดงออกถึงความรู้สึกที่ผมนึกอยากขอบคุณในความเป็นเพื่อนของเรา และความมีน้ำใจของทั้งมันเอง และก็ไอ้นัทผัวมันที่คอยห่วงและอยู่เคียงข้างผมผมตลอดชีวิตที่เอาแต่ใจสมัยมหาลัย

“ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง และขอบคุณสำหรับทุกเรื่อง”

ผมเอ่ยเบาๆ แต่รู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายอย่างสุดซึ้ง อย่างที่ภัทรบอก เมื่อก่อนผมเป็นแค่กล้องกลวงๆที่มีคุณภาพนิดหน่อยเท่านั้น แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อผมเจอน้อง คนที่ทำให้ผมรู้ตัวอีกครั้งว่าตัวเองต้องการอะไร
 
“แล้วน้องเขาตกลงคบกับแกแล้วเหรอ จะแต่งเลยป่ะ ฮิ้วๆๆๆ”
 
“แต่งบ้าอะไรละ!!” ผมปัดมือยัยภัทรที่ชี้ผมอย่างล้อเลียนออก แล้วผมจะเขินทำไมวะ!
 
“ทำไมละ ไม่รีบจองก่อน ระวังจะโดนคาบไปก่อนนะ ยิ่งสวยๆอยู่ด้วย”
 
ผมว่า ผมอาจจะลืมบอกเรื่องสำคัญไป
 
ผมทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อภัทรพูดคำว่าแต่งงานขึ้นมา เพราะก่อนที่จะไปคิดถึงเรื่องนั้น ผมคงต้องผ่านด่านพ่อแม่น้องไปก่อน พี่เชนนะไม่เท่าไหร่ อาจจะเคลียร์กันได้...มั้ง แต่แม่พอร์ทนี่สิ...

งานช้าง...

ขนาดพี่เชนที่ว่าแน่ยังได้ข่าวว่าหงอเป็นลูกแมว บินตามไปง้อเป็นสิบปียังไม่รอด แล้วผมที่ไปฉกลูกชายเขามาจะเหลือซากรึเปล่าก็ไม่รู้

***
 
ใบหน้าเนียนยังคงนอนหลับพริ้มอยู่เหมือนเดิมเมื่อผมแยกกับภัทรและกลับมาดูน้องที่ห้องโดยมีพี่เจสซี่เป็นผู้เปิดประตูให้ ผมจับมือเล็กมากุมไว้บนตักอย่างอ่อนโยนและลูบใบหน้าเนียนแผ่วเบาโดยไม่สนสายตาข้องใจที่สาดมาใส่ไม่หยุด
 
“คุณขุนพลทราบใช่มั้ยคะว่าตัวเองกำลังทำอะไร”

ผมหยุดมือที่ไล้แก้มเนียนและหันไปหาคุณเจสซี่ที่ยืนเครียดอยู่ด้านหลัง
 
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าน้องเป็นใคร”
 
“ผมรู้ว่าพอร์ทเป็นใคร”

ผมเอ่ยน่ิงๆ แต่คุณเจสซี่ถึงกับอ้าปากค้างพะงาบๆเหมือนจะขาดอากาศ ดูตกใจและสับสน
 
“แล้วคุณยัง...หมายความว่าคุณขุนพลกับน้องพอร์ท....”
 
“ผมไม่จำเป็นต้องอธิบาย"

"..."

"สิ่งที่คุณควรรู้เพียงอย่างเดียวคือ สิ่งที่ผมทำ ผมรู้ตัว และผมชัดเจน คุณเจสซี่ไม่ต้องเป็นห่วง”
 
ผมกับคุณเจสซี่จ้องตากันนิ่งอย่างต่างฝ่ายต่างไม่ยอม ไม่ว่าคุณเจสซี่จะว่าจะคิดยังไง แต่ผมก็มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก และผมก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังเพราะคุณเจสซี่รู้เรื่องของพอร์ทดี ผมก็ต้องเปิดเผยเรื่องนี้ต่อเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
 
“ถ้าเป็นอย่างนั้นพี่เจสก็ไม่ได้จะขวางนะคะ แต่พี่เจสอยากข้อร้อง พี่เจสไม่อยากให้น้องเจอเรื่องวุ่นวาย ความสัมพันธ์แบบนี้มีน้อยคนมากที่จะเข้าใจ คุณขุนพลจะดูแลน้องได้ใช่มั้ยคะ”
 
ใบหน้าที่เคร่งเครียดของคนตรงหน้าทำให้ผมสีชมพูแปร๊นนั้นดูหมองลงทันที แต่ผมกลับไม่กังวล เพราะผมคิดว่าผมชัดเจนพอ และมันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงด้วย ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดคำตอบแม่แต่น้อย
 
“ผมจะดูแลน้องด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมมีครับ”
 
คุณเจสซี่ออกไปแล้ว เหลือไว้เพียงความเงียบระหว่างผม กับคนที่หลับสนิท ผมทำได้เพียงกุมมือนุ่ม และนวดหว่างคิ้วของน้องเบาๆ เป็นบางครั้งเมื่อเห็นเขาขมวดมันอย่างไม่รู้ตัว เพื่อหวังว่าจะให้เขาหลับสบายขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ฟื้นก็ตาม
 
“พอร์ทครับ เช็ดหน้าหน่อยนะ”
 
ผมประคองน้องในอ้อมแขนและใช้สำลีชุบน้ำยาล้างเครื่องสำอางเช็ดเบาๆที่หน้าเนียน กระซิบกับเขาเบาๆโดยไม่สนว่าเขาจะยังหลับอยู่ ผมแค่อยากพูด อยากบอก แม้ว่าเขาจะไม่รับรู้
 
สมุดเล่มหน้าบนหัวเตียงหล่นกระแทกพื้นเมื่อผมเอี้ยวตัวไปหยิบขวดน้ำยาล้างเครื่องสำอาง ทำให้มันเปิดคว่ำจนกระดาษที่สอดไว้ในนั้นกระเด็นออกมา ผมไม่สนใจมันและหันมาเช็ดหน้าให้พอร์ทต่อจนเสร็จแล้ววางเขาลงอย่างเบามือที่สุดก่อนจะลุกไปเก็บมัน
 
สมุดโน้ต?....ภาษาฝรั่งเศส?
 
สมุดเล่มหน้านี่ดูเหมือนจะเป็นสมุดบันทึกของน้อง เคยแอบเห็นเขาหยิบมาเขียนยุกยิกบ่อยเหมือกัน...

โอ้โห เขียนอะไรเต็มไปหมดก็ไม่รู้ บางครั้งก็สวย บางครั้งก็ดูเหมือนเร่งรีบคล้ายกับเขียนไม่ทันความคิด หึหึ พึ่งจะรู้ว่าน้องยังใช้สมุดบันทึกอยู่ทั้งๆที่เป็นยุคไฮเทคแล้วๆแท้ๆ น่ารักจริงๆ เออ ลืมไป มีกระดาษที่กระเด็นออกมาด้วย

ผมมุดไปเก็บกระดาษที่กระเด็นออกจากสมุดไปต้โต๊ะ แต่พอหยิบออกมากลับทำให้หัวใจผมแทบสะดุด
 
นี่มัน....
 
ผมจ้องกระดาษใบที่กระเด็นออกมาจากสมุดโน้ตนิ่ง คล้ายกับเวลาหยุดเครื่องไหว ลมหายใจสะดุดพร้อมๆกับหัวใจที่เต้นแรง
 
ให้ตาย....
 
คุณว่าพรหมลิขิตมันมีจริงเหรอ?
 
ตอนนี้...
 
ผมโคตรจะเชื่อมันเลย

ผมก้มลงไปหาคนที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงสลับกับมองกระดาษในมือ จูบหน้าผากคนนอนหลับพริ้มย้ำๆด้วยความรู้สึกที่มันเ่อ่อในใจ
 
"พอร์ทครับ...รีบตื่นสิ..."

"..."

"ตื่นมาฟังคำบอกรักของพี่เร็วๆนะครับ"
 
___________________

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 23 - อาฟเตอร์เทสต์

'เดี๋ยว! อย่า! หยุดนะ ปล่อยนะเว้ย!’

‘ฌอร์น!!!!!’

‘ออกไป ปล่อยยยยยย!’

ใครก็ได้ช่วยที...

ช่วยด้วย...


เฮือกกก!!

“พอร์ท!!”

เสียงกรีดร้องที่เสียดแทง ความรู้สึกเย็นยะเยือกทั่วร่างและความอึดอัดในอกราวกับกำลังจะขาดอากาศหายใจถูกแทนที่ด้วยอ้อมแขนอบอุ่นที่โอบกอดแน่น ผมไม่ลังเลที่จะคว้ามันไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวและกอดรั้งมันให้แน่นที่สุดราวกับกลัวว่ามันจะหลุดลอยหายไป

“ชู่ว...ไม่เป็นไรนะครับ พี่อยู่ตรงนี้แล้ว”

“พะ...พี่ขุน”

ราวกับลำขอผมแห้งผากจนไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ถนัดนัก และคนข้างตัวก็เหมือนจะรู้อยู่แล้ว แก้วน้ำพร้อมหลอดจึงยื่นมาที่ริมฝีปากผมทันที

“พี่ขุน...เกิดอะไรขึ้น? ผมเป็นอะไรไป? แล้วการถ่ายแบบละครับ?”

“ใจเย็นๆนะ ทุกอย่างเรียบร้อยดี พอร์ทแค่เป็นลมไปเท่านั้น”

“เป็นลม?”

ผมเนี่ยนะจะเป็นลม ถึงแม่ว่าผมจะ เอ่อ เอวบางร่างน้อยไปหน่อย แต่ผมสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ทุกอย่างนะ จู่ๆจะเป็นลมไปเลยเหรอ

“หมอบอกว่าแค่พักผ่อนน้อยเท่านั้น”

“พี่ให้หมอมาตรวจผมเหรอ?!!"

ชิบหายละ!! อย่างนี้ความลับก็...

“ไม่ต้องห่วง พี่กับคุณเจสซี่คุยกับหมอเรียบร้อย ทุกอย่างยังเป็นความลับเหมือนเดิม”

แล้วไป...

ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก เกือบหัวใจวายตายแล้วมั้ยละ! แล้วอย่างนี้ ตอนที่หมอมาตรวจก็ต้องเห็นนมปลอมของผมดิวะ!!

หมด หมดกัน ศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย!

“พอร์ท”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่แฝงกระแสเป็นห่วงทำให้ผมยิ้มออกมา ฝ่ามือข้างหนึ่งของผมชื้นเหงื่อ เดาว่าเป็นเพราะคนข้างตัวที่กอบกุมอยู่ไม่ห่าง จริงสิ เครื่องสำอางกับนมปลอมที่หายไปนี่ก็...

“ขอบคุณนะครับ” ผมเอ่ยเบาๆละมองเขาอย่างจริงใจ

ไม่บอกผมก็รู้ว่าต้องเป็นเขาที่พาผมมาที่นี่ คอยนั่งอยู่ข้างๆ เช็ดเครื่องสำอาง ถอดหน้าอกปลอม และกุมมือผมไว้ตลอดเวลาเพื่อให้ผมหลับสบาย

ความอบอุ่นจากมือและเสียงของเขาที่คอยฉุดรั้งผมไว้ ไม่ให้ผมจมดิ่งลงไปกับความฝัน

จมดิ่งไปกับเสียงกรีดร้องที่เสียดแทง

เสียงกรีดร้องที่ผมเพิ่งจะรู้ตัว ทั้งๆที่มันช่างคุ้นเคยมาตั้งแต่ต้น...

เสียงของผมเอง...

“พอร์ท....”

“ครับ?”

ผมดึงสติกลับมาที่คนตรงหน้าที่ตอนนี้นั่งอยู่ใกล้จนรู้สึกถึงความอบอุ่นของร่างกาย แต่สมุดบันทึกเล่มใหญ่ที่อยู่ในมือของพี่ขุนทำให้ผมสะดุ้งและพุ่งตัวออกไปคว้าไว้ แต่คนตัวสูงกว่ากลับชูมันขึ้น

“พี่ขุน! คืนพอร์ทมานะ!!”

“ไม่คืน!”

“พี่ขุน!!”

ไอ้พี่ขุนจอมเกรียนยิ้มร้ายล้อเลียนผมและชูสมุดบันทึกไว้เกินกว่าที่ผมจะเอื้อมถึงอย่างจงใจพร้อมทำหน้าตายียวนวอนหาเรื่อง

“เอาของพอร์ทคืนมา!!”

“หวงเหรอ?”

“คืนมาผมมาเหอะ นะๆๆ มันเป็นงานของผมนะ”

“หวงงาน?”

“เออ ใช่!” ผมรีบตอบรัวเร็ว และรีบคว้ามันกลับมาทันทีที่เขายอมลดมือลง

ฟู่....เกือบไป

ถ้าพี่มันรู้ว่าผมเก็บรูปน่าสงสัยสอดไว้กับสมุดงาน มันต้องเกิดคำถามยุ่งยากแน่ว่าทำไมผมต้องพกมันไว้ และผมก็ไม่รู้จะตอบยังไง และไม่รู้ว่าพี่ขุนจะว่ายังไงถ้ารู้ว่าผมต้องใช้โปสการ์ดจากนิตยสารเป็นกำลังใจเวลาทำงาน เพราะมันเป็นนิสัยที่โคตรจะเด็ก พี่มันต้องล้อผมแน่ๆ ดีนะที่มันยังอยู่ดีในสมุด...

ยังอยู่ดี...

เดี๋ยวนะ

เฮ้ย!! มันหายไปไหน!!

“หานี่อยู่เหรอ?”

ชิบ...

ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆไม่ต่างจากปลาทองหิวอากาศ มองโปสการ์ดที่อยู่ในมือคนตรงหน้าที่โบกไปมาพร้อมร้อยยิ้มที่ไม่น่าไว้วางใจ

“ขอผมเหอะ”

“อ้ะ”

เฮ้ย! ง่ายงี้เลย? ทั้งๆที่ตอนแรกดูเหมือนจะแกล้งยึดเอาไว้นี่นะ? แต่เอาวะ ยอมให้ก็ต้องรีบรับละ ก่อนจะอด แต่...

พี่มันไม่ปล่อยครับ!

“ปล่อยดิ”

“เดี๋ยวดิ”

"อย่าแกล้งกันดิ เดี๋ยวมันขาด!"

ผมโวยวาย แต่ไอ้พี่ขุนกลับยิ่งทำหน้าเบิกบาน คือถ้าบานกว่านี้ก็จานดาวเทียมแล้วอ่ะ ตกลงว่าไปคึกอะไรมาวะเนี่ย

"เรียกพอร์ทก่อน"

"อะไร"

"เรียกแทนตัวเองว่าพอร์ทก่อน"

หะ! ให้เรียกตัวเองแบบนั้น จะบ้าเหรอ ใครจะไปทำ น่าอายจะตาย ผมทำแค่กับพ่อและแม่เท่านั้นละ คนอื่นอย่าหวัง...

"ไม่งั้นไม่ให้--"

"คืนให้พอร์ทเถอะนะครับ!!"

ฮรื่อออ!! ก็อยากจะห้าว แต่กลัวไม่ได้ของคืน โว้ยยยยยย

แล้วไอ้พี่บ้านี่ก็ทำหน้าสมใจซะไม่มีละ ฮึ่ย! อย่าให้มีโอกาสเอาคืนนะพี่มึง ตายแน่!

“ตอบคำถามมาก่อน”

อะไรอีกละโว้ย! ถ้าไม่ใช้เพราะรักเพราะหวงไอ้การ์ดนี่ละก็...ฮึ่ม! โดนแน่ไอ้พี่ขุน!

“สมุดบันทึกนั่นเป็นของส่วนตัวของพอร์ท?”

“อะ...อื้อ”

ดูสายตาพี่มันเหอะเหอะ ทำไมจู่ๆต้องจ้องกันขนาดนี้ด้วย พาเอาผมสั่นตามไปเลย กะอีแค่สมุกบันทึกกับโปสการ์ด มันมีอะไรน่าสงสัยกันเล่า ทำไมต้องมองอย่างกับจะแทงทะลุผ่านตัวผมด้วย แล้วไอ้รอยยิ้มมุมปากร้ายกาจนั่นมันอะไร!

“พกติดตัวตลอด?”

“ก็ใช้จดงาน”

“โปสการ์ดนี่ด้วย?”

“เอ่อ...ก็ใช่ แล้วถามทำไมเนี่ย!”

ผมโวยวายและพยายามดึงโปสการ์ดกลับ แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมปล่อย ไม่กล้าดึงแรงด้วย กลัวว่ามันจะบุบสลาย โอ้ย อะไรวะเนี่ย คืนของผมมานะ!

“ตอบมาก่อนแล้วจะคืนให้ ทำไมต้องพกภาพถ่ายธรรมดาๆไว้ด้วย”

“มันไม่ใช่ธรรมดานะ!!”

“แสดงว่าพิเศษ?”

อุ้ย....ปากหนอปาก

“บอกปุ๊บจะคืนปั๊บเลย”

“จริงดิ?”

“อื้อ”

ผมมองไอ้พี่ขุนจอมเจ้าเล่ห์อย่างไม่ไว้ใจ แต่เขากลับยิ้มให้ผมและยักคิ้วให้อย่างล้อเลียน แต่ก็รู้ว่าเขาพูดจริงๆ ดูได้จากสายตาคมที่มองมาอย่างจริงใจแม้ว่าใบหน้าหล่อจะค่อนไปทางวอนหาเรื่องมากกว่า

“อย่าขำนะ”

“สาบานเลย”

ผมสูดหายใจลึกๆและเรียงลำดับเรื่องในหัวที่ออกจะ...ปัญญาอ่อนไปซักนิด แต่หวังว่าเขาจะคงไม่ขำเรื่องงี่เง่าของผมที่เก็บรูปใบนี้ไว้เพื่อเป็นกำลังใจให้กับตัวเอง จะมีใครบ้างที่จะฝากความคิดและความรู้สึกไว้ที่โปสการ์ดใบเดียว มันโคตรตลกใช่มั้ย?

“คือว่า...”

ทั่วทั้งห้องมีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศ และเสียงของผมที่เล่าเรื่องราวที่มาของโปสการ์ดในมือเราสองคน โดยพี่ขุนเพียงแค่ฟังเงียบๆโดยไม่เอ่ยอะไร ส่วนผมก็ก้มหน้าหลบสายตาตลอดเพราะรู้สึกเขินกับเรื่องราวเด็กๆของตัวเอง แต่รู้ตัวอีกทีก็เล่าออกไปหมดเปลือก

แถมยังเรียกแทนตัวเองอย่างลื่นไหล...

“ทันทีที่เห็นรูปนี้ พอร์ทรู้สึกทันทีว่าพอร์ทอาจจะเจอสิ่งที่ตัวเองต้องการซักวัน ก็เลยพกมันเอาไว้เป็นแรงบันดาลใจเวลาทำงาน”

“แรงบันดาลใจ?”

ผมก้มหน้างุดด้วยความอายเมื่อต้องพูดถึงแรงบันดาลใจที่มีที่มาแสนจะไม่มีเหตุผล

“มันอาจดูตลกนะ แต่พอร์ทประทับใจเขามาก ทั้งรูปที่เขาสื่อ และคำสัมภาษณ์ของเขา มันแปลกซะจนละสายตาไปจากมันไม่ได้ รู้ตัวอีกทีก็...ต้องมีรูปนี้ไว้ติดตัวตลอด แล้วก็...”

“อะไร?” เสียงทุ้มแลติดจะสั่นน้อยๆ แต่ผมก็ไม่สนใจเพราะมัวแต่อมยิ้มเขินกับเรื่องของตัวเอง

“พอร์ทเอาคำสัมภาษณ์ของเขาไปตั้งเป็นนามปากกาตัวเอง”

โอ้ย...อายชะมัดที่จะต้องมาพูดอะไรแบบนี้ ผมดูเป็นเด็กเพ้อฝันไปเลย คำสัมภาษณ์ของเขาไปตั้งเป็นนามปากกาเนี่ยนะ!!

แต่พอพูดแล้วก็รู้สึกโล่งอกไปอีกแบบ แต่ก็ยังไม่กล้าเงยหน้าสู้พี่ขุนอยู่ดี เขาต้องขำเรื่องของผมแน่ๆ เออ จริงสิ!

“ได้ยินว่าเขาเป็นคนไทยด้วยนะ ใช้นามแฝงว่า Warlord  จริงสิ พี่อาจจะรู้จักเขาก็ได้!!”

ผมนึกขึ้นได้เลยรีบเงยหน้ามองคนตรงหน้า พี่ขุนอาจจะรู้จัก Warlord ก็คนในวงการเดียวกัน อายุก็อาจจะไล่เลี่ยกัน แต่พี่ขุนกลับทำหน้าประหลาดๆ พร้อมกับสีแดงระเรื่อบนใบหน้า

“พี่จะหน้าแดงทำไม พอร์ทไม่ได้พูดถึงพี่นะ”

“พอร์ท”

“อะ...อะไร?”

ผมมองพี่ขุนอย่างงุนงงเมื่อเขาเรียกชื่อผมด้วยเสียงที่แหบพร่าอย่างชัดเจน ใบหน้าคมแดงจนมองเห็นได้ชัด และดวงตาคมนั่นก็จ้องมาทางผมด้วยประกายวิววับแปลกๆ

“พี่ทนไม่ไหวแล้ว”

เดี๋ยว ทนอะไรไม่ไหว!!

“พี่เป็นอะ...”

ยังไม่ทันจะถามจบแต่ผมกลับได้คำตอบทันทีเมื่อร่างสูงโน้มใบหน้าเข้าหาอย่างรวดเร็วพร้อมกับริมฝีปากอุ่นที่เข้าทาบทับบดเบียดจนไม่เหลือช่องว่างระหว่างเรา

รสจูบนุ่มนวลแต่แนบแน่นที่เข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัวจนผมงุนงง แต่ก็ไม่อาจผลักไสเมื่อหัวใจผมเต้นหนักเพราะความรู้สึกดี รสสัมผัสนุ่มนวลไล้เล็มอย่างอ่อนหวานและอัดแน่นด้วยแรงอารมณ์บางอย่างก่อนจะสอดความอุ่นร้อนเข้ามาภายในจนผมสั่นสะท้านกับความล้ำลึก

รสจูบทวีความร้อนแรง สัมผัสของพี่ขุนที่สอดแทรกมาเกี่ยวพันทำให้หัวของผมขาวโพลนและตอบรับเขาอย่างไม่อาจห้ามตัวเองได้ แม้ว่าจะสัมผัสได้ถึงแผ่นหลังของตัวเองที่แนบลงกับเตียงพร้อมกับร่างใหญ่ที่ทาบทับแนบชิด

เดี๋ยวๆๆๆ ใจเย็นๆนะครับคุณพี่!

แบบนี้มันอันตรายนะครับ!

ใครไปจุดชนวนคุณพี่กันครับเนี่ย!

ความรู้สึกวาบหวามแล่นลามขึ้นมาที่ท้องน้อยจนผมปั่นป่วนไปหมด เส้นประสาททั่วทั้งร่างกายตื่นตัวพร้อมสำหรับสัมผัสใดใดก็ตามที่มอบมาให้ สมองของผมขาวโพลนปล่อยทุกอย่างไปตามอารมณ์ของธรรมชาติ แม้ว่าเสียงในใจจะร้องเตือนว่ามันยังไม่ถึงเวลา

โอ้ยยยย ตายๆๆๆ ผมจะโดนกินแล้ว!

มือสากสอดสัมผัสผ่านใต้เสื้อเข้ามาจนผมสะดุ้งและรีบถดตัวหนีพร้อมเบนหน้าออกจากรสจูบเร่าร้อน แต่ไม่ทันที่ผมจะร้องประท้วงห้ามมือของคนตรงหน้ากลับหยุดนิ่ง ทำให้ผมตัวแข็งทื่อตามไปด้วยเพราะตอนนี้มือใหญ่ข้างหนึ่งอยู่ในเสื้อของผมและทาบสัมผัสเหนืออกผมพอดี จนผมต้องกลั้นหายใจลุ้นสิ่งที่จะตามมา

แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปอย่างที่ระแวง พี่ขุนละริมผีปากออกห่างก่อนจะซุกลงที่ซอกคอผมและถอนหายใจแรงแนบต้นคอจนขนผมลุกซู่

“ให้ตาย....”

“อะ...อะไร”

ผมถามเสียงสั่นเมื่อจู่ๆ เขาก็สบถออกมาก แต่คำตอบของพี่มันกลับแทบทำให้ผมอยากจะทุบหัวเกรียนๆนั่นให้บุบคามือ

“พี่โคตรอยากเลยอ่ะ”

ดูมัน!

ทุบซักทีดีมั้ย!

“ละ...ลุกเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไอ้พี่ขุนโรคจิต” สิ้นคำ ดวงตาคมปลาบก็เงยขึ้นมองผมขุ่นๆในระยะประชิด

“ถ้าคนเกิดอารมณ์เรียกโรคจิต ไม่ต้องมีคนโรคจิตทั้งโลกเหรอพอร์ท”

“ยังจะมาพูดอีกนะ ลุกเลย!!”

ให้ตายเหอะ คนคนนี้มัน...!!

“ก็ลุกแล้วไง”

“ลุกตรงไหน นอนอยู่เนี่ย ออกไปเร็วๆ”

 ผมเร่งพร้อมพยายามผลักเจ้าตากล้องจอมฉวยโอกาสออกห่างจากตัว ซึ่งไม่เป็นผล แต่คำตอบของเขากลับทำให้ผมหน้าเห่อสี

“ลุกแล้วจริงๆนิ...ตั้งตรงเลยนะ”

“อะ...ไอ้...”

ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เมื่อเริ่มเข้าใจว่าอะไรที่ ‘ลุก’

หน้าผมเห่อร้อนจัดเมื่อสัมผัสได้ถึงสิ่งที่ ‘ลุก’ ดุนดันอยู่ตรงหน้าขา ตามที่เจ้าตัวพูด ตัวผมสั่นสะท้านไปหมดเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงประโยคของคนที่ส่งสายตาร้อนแรงมาให้เมื่อครู่

'พี่โคตรอยากเลยอ่ะ'

ไอ้พี่ขุน!

“ลุกจริงป่ะ?”

ผั๊วะ!!!

“โอ้ย!! ทำไมวันนี้มีแต่คนตบหัววะ แล้วตบพี่ทำไมเนี่ย”

ร่างสูงลุกหนีเมื่อโดนผมตบป้าบเข้าเต็มหัวทุยนั่น มันน่าจะเอาให้สมองไหลจริงๆ ให้มันหายลามกไปเลย

“จะได้หายหื่นไง คุยเรื่องรูปอยู่ดีๆ จู่ๆก็มาหื่นแบบนี้ ไม่ได้เกี่ยวกันเลยซักนิด”

“ทำไมจะไม่เกี่ยว?”

“แล้วมันเกี่ยวตรงไหน?”

“ก็นั่นมันรูปที่พี่...”

ผมเด้งตัวลุกขึ้นทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่อีกฝ่ายกลับปิดปากฉับคล้ายกับรู้ตัวว่าหลุดปากออกมามากกว่า หลุดปาก? หมายความว่า มันมีอะไรงั้นเหรอ?

หรือว่า...

“รูปที่อะไร พูดออกมา พี่รู้จักเจ้าของรูปใช่มั้ย?”

ผมรีบถามรัวเร็วแต่เขากลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้และไม่ยอมสบตาผม แบบนี้มันยิ่งน่าสงสัย เขาต้องรู้จัก Warlord แน่!

“บอกพอร์ทมาเลยนะ!!”

“บอกก็ได้”

“จริงเหรอ!!"

“ทำให้พี่หายอยากก่อนสิครับ”

“....” อึ้งครับ...ใบ้แดกสิครับ

ผั๊วะ!!!

“ตบพี่ทำไมอีกเนี่ย!!”

ก็เขินสิวะ ไอ้พี่ขุนโรคจิต!!

อย่าพูดเรื่องแบบนี้ทั้งๆที่ทำหน้าจริงจังได้มั้ยครับ ผมเชื่อ! เอ้ย!! ผมกลัว!

"ก็พี่อ่ะ! คนกำลังจริงจัง ก็ทำเป็นเล่นไปได้"

"ก็ไม่ได้พูดเล่นซักหน่อย"

แนะ... ยังอีก

ผมกลอกตาให้กับความบ้าบอของพี่มัน ก่อนจะเงียบเขินมือใหญ่ลูบเแก้มผมเบาๆพร้อมกับสายตาที่บอกได้เลยว่าหวานกว่านี้ก็น้ำตาลแล้วละ ซึ่งทำให้ผมทนมองง่ายๆจนต้องก้มหน้าหนี แต่ก็นับว่าพลาดเมื่อต้องทนเห็นความคับแน่นที่ยังคงลุกชัดเจนจนทำให้หน้าผมแดงกว่าเดิม

อืม...

หรือผมควรจะตอบรับอะไรพี่เขาบ้าง

ไหนๆเขาก็ช่วยผมมาเยอะ...ผมก็ควรจะช่วยเขาบ้างใช่มั้ย

"พอร์ท...เอ่อ...ช่วยมั้ย"

สายตาพี่ขุนฉายความแปลกใจยิ่งทำให้ผมเขินหน้าแดง ดวงตาคมมองตามว่าผมกำลังมองไปที่ไหน แต่ก็ยิ่งกลับทำให้ผมอายกว่าเดิมเมื่อสีหน้าและแววตาของพี่เขาแสดงออกถึงความเอ็นดูและดีใจ แต่คำตอบกลับทำให้ผมมุ่ยหน้า

"พี่ไม่อยากให้พอร์ทช่วยหรอก"

อ้าว...ไอ้ชิบหายพี่มึง แล้วเมื่อกี้ใครบอกอยาก หะ!

"แต่อยากให้เราช่วยกัน"

"อื้อ!"

ผมเผลอร้องเมื่อพี่ขุนยกตัวผมวืดเดียวก็ทำให้ร่างของผมไปนั่งครอมอยู่บนตกแกร่งจนต้องเผลอคล้องคอพี่เขาเอาไว้ ทำให้เราเห็นสายตาและสัมผัสลมหายใจกันได้ชัดเจน

หัวใจผมเต้นรัวกับลำดับขั้นความแปลกใหม่ที่กำลังพัฒนาให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ก็ไม่คิดปฏิเสธในเมื่อหัวใจของผมไว้ใจและตอบรับความรู้สึกของพี่เขาอย่างชัดเจนแล้ว และการสัมผัสกันด้วยความรักก็ไม่่่ใช่เรื่องผิด เพราะสังคมที่ผมโตมาไม่ได้ปิดกั้นสิ่งเหล่านี้

แล้วอีกอย่าง คือเราทั้งคู่ต่างเป็นผู้ชาย

เรารู้ว่าเราต่างต้องการอะไร

ผมจึงจูบเขาอย่างไม่ลังเล...

ริมฝีปากเขาเราบดเบียดหาความอ่อนนุ่มและอุ่นชื้นซึ่งกันและกัน มันช่างหอมหวานและนุ่มนวลจนผมเผลอครางอย่างพอใจในความนุ่มละมุนของรสจูบครั้งนี้ที่มาพร้อมกับการลูบไล้เบาๆที่แผ่นหลัง ทำให้รู้ว่าถึงจะต้องการแค่ไหน แต่พี่ขุนก็ยังปล่อยให้มันค่อยๆเป็น ค่อยๆไป เหมือนอยากให้เราทำความรู้จักกันที่ละน้อยแม้ว่าส่วนนั้นจะอดกลั้นไว้เต็มที่ก็ตาม ทำให้ผมรู้สึกอยากให้รางวัลในความอ่อนโยนของเขา

พี่ขุนส่งเสียคำรามเซ็กซี่อย่างพอใจเมื่อผมขบเม้มริมฝีปากเขาเบาๆ พลางสอดมือเข้าไปในกลุ่มผมนุ่ม เหนี่ยวดึงมันเล็กน้อยเพื่อระบายอารมณ์ ส่วนอีกมือก็ลากผ่านอกแกร่งลงไปที่กล้ามเนื้อหน้าท้องที่เกร็งตามสัมผัสของผมจนเขาคำรามในคอ

"พอร์ทครับ..."

"ครับ..."

ผมกระซิบตอบถ้อยคำที่วนเวียนอยู่ข้างใบหู

"พี่ขอนะครับ"

"..."

เสียงพี่ขุ่นสั่นพร่าอย่างอดกลั้น ยิ่งทำให้มันฟังดูเซ็กซี่มากซะจนใจผมสั่น ความรู้สึกตื่นตัวไปทั่วร่างจนแทบอดกลั้นไม่อยู่...

"ก็ไม่ได้ห้ามครับ"

เท่านั้นละ เสื้อของผมก็ถูกรูดเหวี่ยงออกไป โดยไม่คิดจะสนใจว่ามันจะหายไปไหน เพราะผมต้องให้ความสนใจกับความร้อนของริมฝีปากที่ขมเม้มมาตามลำคอ ไล้ต่ำลงมาพร้อมกับมือร้อนที่ลูบผ่านจุดชูเด่นบนอก

"อื้อ..."

ผมเผลอครางด้วยความพอใจและแอ่นตัวเข้าไปใกล้ลิ้นร้อนที่ครอบครองยอดอก ตวัดเลียดุนดันปลุกเร้าพร้อมกับมือที่ลูบไล้ไปมาทั่วลำตัวจนผมต้องจิกกลุ่มผมนุ่มของพี่ขุนเพื่อระบายอารมณ์ที่ก่อตัวชัดเจน

มือใหญ่ขยับต่ำลงมา เล่นเอาใจสั่นเมื่อมันลงมาสัมผัสบีบเน้นส่วนกลางตัวของผมที่เริ่มคับแน่นตอบรับสัมผัสจนผมต้องยกมือกุมทับมือพี่เขาไว้ ผละอกออกจากปากที่ยังดุนดันและเข้าไปจูบแลกความชื้นแทนพร้อมกับขยับมือไปที่ความคับแน่นของพี่ขุน บีบเม้นมันเบาๆอย่างที่เขาทำกับผม

"อ่าห์..."

พี่ขุนครางอย่างพอใจไม่ต่างกันเมื่อเราต่างคนต่างบีบเน้นปลุกเร้าพร้อมๆกันก่อนจะยื่นมือเขาไปสัมผัสเพื่อทักทายแล้วพามันทั้งสองออกมาทำความรู้จักกัน

ผมส่งเสียงครางอีกครั้งเมื่อเราทั้งสองสบตากับด้วยความฉ่ำปรือ พอๆกับปลายยอดของเราทั้งคู่ที่เรียกร้องต้องการปลดปล่อย มือข้างหนึ่งของเรากอบกุมอีกฝ่าย อีกข้างหนึ่งของเราต่างลูบไล้ใบหน้า ริมฝีปากของเรายิ้มให้กัน และสายตาของเราผสานกันไม่ไปไหน...

"อื้ม...พอร์ท"

"พะ..พี่ขุน..."

เสียงของเราแหบพร่าพอกันเมื่อต่างคนรูดรั้งให้ซึ่งกันและกันเป็นจังหวะเดียว ทำความรู้จักกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป และซาบซ่านไปทั้งหัวใจ แต่มันก็นุ่มนวลได้ยากนั้นเมื่ออารมณ์ของเรากำลังเร่าเร่าร้อน  ทำให้เราต้องจูบระบายอารมณ์กันอีกครั้งพร้อมจังหวะมือที่เร็วขึ้น

"ซี๊ด...พี่ขุน"

"อ่าห์...พี่รู้ครับ"

"อ่าห์..."

เสียงผมเร่งเร้าตามอารมณ์ ซึ่งพี่ขุนรับรู้ดี มือของเราต่างเร่งวังหวะเร็วขึ้น ผมแทบครางลั่นเมื่อถูกรั้งตัวเข้าไปใกล้พร้อมกันถูกครอบครองยอดอกอีกครั้ง และแทบหวีดร้องเมื่อปลายส่วนร้อนของเราสองคนสัมผัสถูกไถกัน เร่งทำให้เราชักรูดให้กันเร็วขึ้นเพื่อไปให้ถึงปลายทาง

"ซี๊ด...พี่ขุน...น้องไม่ไหวแล้ว"

"พี่รู้ครับที่รัก...อ่าห์"

เราทั้งคู่ชักรูดให้กันผ่านความเปียกชื้นของส่วนปลาย เกิดเป็นเสียงน่าอายดังคับห้อง แต่มันก็ยิ่งทำให้เกิดอารมณ์จนหยุดไม่อยู่ เร่งเร้าจังหวะให้กันและกันจนร่างผมสั่นสะท้านพอๆกับพี่ขุนที่ครางตำส่งสัญญาณ

"อื้อ...."

ผมถอดหายใจหนักผวาเด้งกายกอดรั้งอีกฝ่ายที่ดุนดันตวัดปลายลิ้นอยู่ที่ยอดอก รู้้้สึกได้ถึงแรงกระตุกของเราทั้งคู่ที่ปลดปล่อยออกมาพร้อมๆกันพร้อมเสียงครางอย่างพึงใจหลังการปลดปล่อยของเขา

พี่ขุนไล่จูบอย่างอ่อนโยนไปตามใบหน้าของผม ขณะที่มือของเรายังสัมผัสซึ่งกันและกันราวกับจะซึมซับทำความรู้จักอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ไม่เร่งร้อน ดวงตาฉ่ำปรือของเราสบกัน ถ่ายทอดความรู้สึกโดยไม่ต้องพูด เปล่งประกายถึงความใกล้ชิดอีกขั้นของเราที่พัฒนาขึ้นอย่างอบอุ่น

สารภาพเลยว่านี่เป็นการปลดปล่อยที่ดีที่สุดในชีวิตลูกผู้ชายของผม

มันช่างแตกต่างจากการสัมผัสตัวเอง เพราะมันทั้งเร่าร้อน อบอุ่น และอิ่มเอมเมื่อมีคนที่เรารักมาสัมผัสเราอย่างอ่อนโยน

พี่ขุนลูบแก้มผมเบาๆก่อนริมฝีปากเราจะจูบกันอีกครั้ง ปล่อยให้ความรู้สึกร้อนเริ่มผ่อนคลายกลายเป็นความอ่อนหวานและอุ่นใจ เหมือนอาฟเตอร์เทสต์หลังจากดื่มไวน์รสเลิศที่หวานหอมกรุ่นอยู่ที่ปลายลิ้น

"พี่รักพอร์ทนะครับ"

เสียงทุ้มเอ่ยคำหวานที่แทบกร่อนใจผมจนละลายไปทั้งตัว ไม่คิดจะลังเลยเลยที่จะเอ่ยตอบไป

ต่อให้ผมจะฝันเลวร้ายยังไง ผมก็เชื่อ...

ว่าผู้ชายคนนี้และคำรักของเขาจะอยู่เคียงข้างกัน

"ครับ..."

"..."

"รักเหมือนกันครับ"

---------------


ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
SP พี่ขุนเป็นคนใจแข็ง

ฟัค...


พูดได้เลยว่าไม่คิดว่าจะมาถึงจุด จุดนี้ จุดที่น้องยอมช่วยกัน

แถมยัง... เอ็กซ์สัส!!

โอยยย ใจไอ้ขุนจะละลายกลายเป็นของเหลว

งานดี งานละเอียด เกรดพรีเมี่ยมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ทั้งริมฝีปาก ทั้งรสลิ้น ทั้งกลิ่นหอม ทั้งผิวขาวเนียน ทั้งตุ่มไต ทั้ง...

ทำไงดีวะ...

มันน่าจูบไปทั้งตัวเลย

ฮรื่ออออออ

ไอ้ขุนอยากรังแก อยากย่ำยี...

แต่ความดีมันค้ำคอร์

น้องป่วย น้องอ่อนแอ จะมารังแกน้องไม่ได้!!

ไหนจะยิ่งรู้ว่าน้องเก็บภาพนั้นเอาไว้อีก ยิ่งทำให้ใจมันทุ่มให้ไปหมดดวงจนไม่เหลืออะไรไว้กับตัวแล้ว

"อื้อ...พี่ขุน"

เสียงครางงึมงำในลำคอของคนใจร้ายที่นอนหลับไปก่อนอย่าน่าหยิกน่าเอ็นดู แถมยังขยับตัวซุกเข้ามาหาอกของผมที่ไม่คิดจะปฏิเสธ รวบคนตัวนิ่มเข้ามาซุกให้แนบชิด

แต่ไหงคนนอนหลับมันยังแผลงฤทธิ์ได้อีกก็ไม่รู้ มือ...น้องครับ มือ!

"พอร์ท!"

อย่าเขี่ยนมพี่! ฮีื่ออออออ!!!

อระหังสัมมา  น้องยังอ่อนล้า ห้ามรังแก

น้องอ่อนแอ...

"อือ... พี่ขุน..."

ห้ามกระทำชำ...

"...รักนะครับ"

ผึง!!

ไอ้คนใจร้าย! น้อง! ทำไมใจร้าย!!

ทำให้พี่ต้องเข้าห้องน้ำรอบที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย!

ฮือ! ชีวิตไอ้ขุนมันบัดซบ! อยากจับร่างน้องขึ้นมาประกบก็ทำไม่ได้

ได้แต่ท่องไว้ว่าใจแข็ง

แข็งเข้าไว้...แข็งเข้าไว้หัวใจ...

"อืม...พอร์ทรักพี่ขุนนะครับ..."

แข็งจริงๆด้วยกู...

ใจเรอะ?

เหอะ! เปล่า!!

XXกูนี่แหละครับ! โถ ชีวิต!

เข้าใจคนชอบแดกแต่ต้องไดเอ็ตก็วันนี้!

เข้าห้องน้ำรอบที่ห้าแล้วมึงไอ้ขุน!!

ออฟไลน์ benjyAstro

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
Chapter 24 - กลัว

ผมเพิ่งเข้าใจก็วันนี้ ว่าการได้ลืมตาตื่นมามองเห็นคนที่เรารักเป็นคนแรก และเขามองเห็นเราเป็นคนแรกเมื่อลืมตาตื่นมันเป็นยังไง

ความอบอุ่นในใจมันทิ้งตัววนอยู่ในอกจนผมอิ่มเอมไปกับมัน จนอดไม่ได้ที่จะจูบหน้าผากคนที่ยิ้มบางมาให้

"หวัดดีครับ"

พอร์ทยิ้มละมุนหลังได้ยินคำทักทายที่ผมสาบานเลยว่านี่เป็นครั้งแรกที่เสียงผมมันนุ่มได้ขนาดนี้

แต่คนขี้โกงกลับเอาคืนหนักกว่าด้วยการขยับตัวเข้ามาใกล้แล้วจูบแก้มผมซ้ายขวาเบาๆแต่เสียงดังชัดเจนก่อนกระซิบเสียงแผ่วที่ทำเอาผมขนลุกไปทั้งตัว

"Bonjour ครับ"

เชี่ย...

เขาว่าคนฝรั่งเศสโรแมนติกนี่ท่าจะจริง

แต่นอกจากโรแมนติกแล้วเสียงกระซิบยังโคตรอีโรติกอีกต่างหาก หนักกว่าเมื่อคืนอีกละงานนี้

ใจไอ้ขุนมันบางจนจะเป็นทิชชู่แล้ว...

"พี่ทำหน้าลามกทำไม"

เพราะใครละน้อง...

"ก็พอร์ทน่า..."

"น่าอะไร"

เอา...

พูดออกไปมีหวังตายพอดี ไม่เอา ไม่แสดงออก

"น่ารักไงครับ"

"..."

"รักไปหมดแล้วเนี่ย"

"..."

"ไปทำงานวันสุดท้ายแล้วกลับบ้านกันนะครับ"

เนี่ย...ผมมันเป็นคนละมุนงี้แหละ

แล้วที่ชวนกลับบ้านนี่มีความหมายตรงตัวนะครับ...

ใครจะยอมให้แฟนที่กำลังป่วยอยู่คนเดียวกันละ

จริงมั้ย?


ทริปถ่ายงานที่สุราษฎร์จบลงด้วยดีในช่วงสาย ผมไม่คิดจะยื้อเวลาต่อและเสนอให้กลับทันที แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าขัด ถึงจะแอบเห็นบางคนจับกลุ่มเม้าท์กันบ้างก็เถอะ

แต่แล้วใครสน?

สิ่งที่ผมสนมีแค่อยากพาพอร์ทกลับเท่านั้น

ถ้าจบงานนี้ น้องจะได้เลิกเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองซักที

เลิกเป็นพาทิเช่ กลับมาเป็นพอร์ทเทรต...

เป็นของผม...

แต่มันคงไม่ได้ง่ายขนาดนั้นในเมื่อยังมีก้างชิ้นโตจากฝรั่งเศสที่มายืนโด่ขวางทางตั้งแต่หน้าประตูคอนโด

คนที่ทำให้น้องชะงักเท้าและเหลือบตามาทางผมคล้ายเกรงใจ

ผมรู้...

รู้ว่าเพื่อนคนนี้คงมีความสำคัญอะไรบางอย่างกับน้อง

แต่ผมก็อยากให้พอร์ทมั่นใจในความรู้สึกของเราที่จะไม่มีวันปิดบังใครหากไม่ใช่เกี่ยวกับเรื่องสถานะของพาตี้

ผมคว้ามือพอร์ทไว้แน่น ไม่สนใจสายตาขุ่นที่มองเขม็ง แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้น อาจจะเป็นเพราะฝรั่งหน้าใหม่ที่ยืนอยู่ข้างหลังที่เอื้อมมามาแตะหลังไอ้เจ้าอังเดรเหมือนจะปราม

"ยังไม่กลับไปอีกเหรอ"

"ถ้ากลับ คงเห็นมั้ง"

"พี่ขุน! อังเดร!"

เออ ให้มันได้อย่างงี้สิ ปากดีเสมอต้นเสมอปลาย ไอ้หัวทอง!

สีหน้าของมันดูขุ่นใจ แต่เราทั้งคู่ก็ยอมหุบปากเพราะเสียงห้ามของคนกลาง

"เข้าไปคุยข้างในเถอะ"

"ไม่ต้องหรอก"

น้องเอ่ยคำภาษาถิ่นหามัน แต่กลับถูกตอบเป็นภาษาสากลที่เหมือนจงใจจะให้ผมฟังรู้เรื่อง พร้อมกับสายตาที่จงใจมองมาที่ผมก่อนกลับไปมองที่พอร์ทอีกครั้ง

"ฉันจะกลับฝรั่งเศสแล้ว"

" อ้าว...ทำไมจู่ๆก็จะกลับละ"

จะไปรั้งมันไว้ทำไมละครับหนู!

"มีงานด่วนเข้ามา แล้วก็มีเรื่องวางคอลัมภ์ใหม่ที่นายจะมาร่วมเขียนด้วย จำได้ใช่มั้ย"

"จำได้สิ นายจะให้ฉันส่งตอน--"

"เดี๋ยวลูอิสจะให้รายละเอียดนาย"

ไอ้เจ้าอังเดรรีบพูดขัดและสายตายังคงไม่ละไปจากผม แต่ก็ไม่มีแววหาเรื่องอย่างที่เคยเป็น

แปลก...

แล้วก็คงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่รู้สึก เพราะพอร์ทก็มองเจ้าฝรั่งนั่นที มองผมทีเหมือนสงสัยไม่ต่างกัน แน่นอนว่าทั้งน้องทั้งผมก็คงไม่เข้าใจไอ้บรรยากาศนี้พอๆกันจนคนหน้าใหม่ที่ยืนนิ่งเอ่ยออกมา

"เชิญคุณพอร์ทคุยเรื่องงานกับผมด้านในดีกว่าครับ"

"แต่--"

"เชิญครับ"

สาบานเลยว่าทั้งผมทั้งน้องไม่มีใครกล้าขัดไอ้เสียงและใบหน้านิ่งๆนั่นแน่ๆ

อย่าว่าแต่พอร์ทที่รีบไขประตูตัวเกร็งเข้าไปในห้องทันที ผมก็ยังรีบปล่อยมือยอมให้น้องไปด้วยความเผลอเพราะตกใจใจความเรียบนิ่งรอบๆตัวคนผู้ชายคนนั้น

ทำไมมีออร่าทะมึนขนาดนี้วะ

อย่างกับครูฝ่ายปกครองโหดๆสมัยมอต้น เสียแต่ว่าผมไม่เคยมีครูเป็นฝรั่งเนี่ยแหละ

พอตั้งสติได้ ผมก็กะจะตามเข้าไป แต่ไอ้อังเดรก็ก้าวมาขวางไว้ก่อนแบบเรียกว่าแทบจะชนกัน

ถึงอย่างนั้น จากสายตาที่ส่งมาทำให้ผมไม่ได้โวยวายออกไปและเลือกที่จะเดินตามไปที่บันไดหนีไฟเงียบๆ

และก็เงียบกันอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่

"ถ้าจะเงียบก็กลับไปเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาทำอย่างอื่น"

ดวงตาสีอ่อนกวาดขวางมาทางผม  เหอะ ใครกลัววะ เดาว่ามันคงอยากด่าผมซักที แต่ก็กลับไม่เป็นอย่างนั้น

"ฉันไม่ได้มาเพื่อเถียง"

"..."

"ฉันมาเพื่อเคลียร์"

"เรื่อง?"

"ฉันได้ยินเรื่องพอร์ทไม่สบายตอนไปทำงาน"

เสียงเรียบเรื่อยของอังเดรฟังเรียบเรื่อยจนน่าโมโห และมันก็ยิ่งน่าหงุดหงิดเมื่อมันรู้เหตุการณ์ทุกอย่างของพอร์ทที่อยู่กับผม

"แล้วยังไง?"

"นายไม่รู้ใช่มั้ยว่าพอร์ทเป็นอะไร"

"..."

"หึ...ไม่รู้ละสิ"

"มึง!"

ผมกระชากไอ้สูทเรียบๆที่น่าหงุดหงิดพอๆกับเจ้าของของมันเพราะหมดความอดทน แต่สายตาของอีกฝ่ายก็ห้ามผมไว้อีกครั้งก่อนเสียงเรียบเรื่อยแต่ข่มไปด้วยอารมณ์จะพูดต่ออีกโดยไม่สนคอเสื้อที่ผมขยำไว้

"พอร์ทกำลังต้องการคนอยู่เคียงข้างและยอมรับในตัวเขา ไม่ใช่คนรู้สึกผิดอย่างฉัน"

"แกพูดอะไร"

ดวงตาสีฟ้าของอังเดรดูอ่อนแสงจนผมต้องปล่อยเขา ท่าทางมั่นใจน่าหงุดหงิดตั้งแต่เจอหน้ากันดูเป็นเรื่องตลก เพราะตอนนี้หมอนี่ดู...เสียใจ

"ฉันบอกได้แค่ว่าอีกไม่นานนายคงได้คำตอบเรื่องอาการของเขา"

"นายรู้?"

"..."

"ถ้ารู้ก็บอกอะไรกันบ้างดิวะ! เป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ!"

"คนที่จะอธิบายนายได้คือพ่อของพอร์ท ฉันรู้ว่านายคุยกับเขาแล้วก่อนกลับมากรุงเทพ และที่ฉันจะกลับฝรั่งเศสก็เพื่อจะพาเขาไปรู้คำตอบ"

"ก็แล้วทำไมไม่บอกกันตรงนี้วะ! อะไรกันนักหนา!"

ผมโวยวายอย่างอัดอั้นจนจะเข้าไปกระชากคออีกฝ่ายอีกรอบ แต่กลับเป็นผมเองที่ถูกคว้าคอดันติดกำแพง

"ถ้าหมอที่นายพามาตรวจเขาอธิบายแล้วก็น่าจะรู้ว่านี่ไม่ใช่อาการป่วยธรรมดา!"

"ก็ถ้าอย่างนั้นแล้วจะทำไม!"

ใช่! ผมรู้อยู่แก่ใจว่าไอ้อาการที่แสดงออกถึงความเครียดมันเป็นเรื่องสภาพจิตใจล้วนๆ แล้วมันรู้อะไรทำไมไม่บอกผมตรงๆวะ!

"ฉันบอกแกตรงนี้ไม่ได้เพราะเรื่องมันระยำจนทำให้เขาเป็นแบบนั้น แล้วมันจะไม่ได้หยุดแค่นี้!"

เรื่อง..ระยำ

เชี่ย...มันเกิดอะไรขึ้นกับน้องกันแน่วะ

"แค่ฉันเห็นก็รู้แล้วว่าพอร์ทกับนายรู้สึกอะไรกัน แต่สิ่งที่ฉันต้องการคือความมั่นใจว่านายจะอยู่เคียงข้างเขาด้วยความจริงใจไม่ใช่แค่อารมณ์ชั่ววูบ!"

"..."

"เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็ขอให้นายไปให้พ้นจากชีวิตเขาซะ แล้วฉันจะพาเขาไป"

"ไม่มีทาง!"

"ถ้างั้นนายต้องรับปาก!"

"..."

"ดูแลความทรงจำของเขาให้ดี..."

"..."

"อยู่ข้างๆเขา อย่าปล่อยมือเพื่อนของฉัน"

"..."

"อย่าพลาด...เหมือนอย่างที่ฉันเคยพลาด"

***

อังเดรและเลขาของเขาที่ได้ยินว่าชื่อลูอิสบอกลาพอร์ทไปแล้ว ก่อนเราทั้งคู่จะถูกพี่เชนเรียกมาที่บ้านภายใต้ความงงของน้องที่ทั้งไม่เข้าใจและหงุดหงิดที่ถูกเรียกให้มาค้างที่บ้าน

“พ่อให้ผมมาอยู่นี่ ผมพอเข้าใจ...”
 
“เข้าใจแล้วมีปัญหาอะไรละ?”
 
“แต่ที่พี่ขุนมาอยู่นี่ด้วยผมไม่เข้าใจ!!”
 
ผมมองพอร์ทเทรตที่กำลังโวยวายกับพ่อของตัวเองอย่างไร้ประโยชน์ เพราะพี่เชนแค่ทำหน้ามึนแล้วก็นั่งแยงหูแบบที่คนทั่วไปต้องเรียกว่า ‘กวนโอ๊ย’ สุดๆ โดยไม่สนใจท่าทางฮึดฮัดของลูกชายตัวเองที่กำลังออกท่าออกทางได้...ถูกใจผมสุดๆ
 
เพราะตอนนี้พอร์ทกลับไปอยู่ในลุคชายหนุ่มหน้าหวานให้ผมเห็นชัดๆอีกครั้งที่ดูแล้วโคตรชื่นใจ
 
ทั้งใบหน้าขาวใสไร้เครื่องปกปิด ผิวขาวเนียนนุ่ม และยังผมสลวยที่ถูกรวบยุ่งๆไว้เป็นมวยสูงด้วยดินสออวดต้นคอเซ็กซี่ ประกอบกับใบหน้ายุ่งๆและปากแดงๆตามธรรมชาติ
 
ให้ตายเหอะ...
 
คนอะไรน่ารักโคตร!
 
อะแฮ่ม!
 
กลับมาที่ประเด็นตรงหน้านี้ เรื่องของเรื่องมันมาจากอาการที่พอร์ทเป็นเมื่อตอนออกกองนั่นแหละครับที่ทำให้ผมโทรหาพี่เชนญาติคนเดียวที่นี่ของน้อง นั่นคือสิ่งที่พอร์ทรู้ ก่อนจะได้ข้อสรุปด้วยการเก็บสัมภาระของพอร์ทมาอยู่ที่บ้านหลังนี้

แต่ที่น้องไม่รู้คือพี่เชนกำลังจะบินไปฝรั่งเศสพร้อมกับอังเดรเพื่อหาคำตอบให้กับอาการหน้ามืดที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาของน้อง

เรื่องที่หมอนั่นไม่ยอมเล่าตรงๆกับผมนอกจากจะมห้พี่เชนไปรับรู้ด้วยกัน...

นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้องมาอยู่กันที่นี่
 
“พ่อจะไม่อยู่บ้าน พอร์ทจะอยู่คนเดียวได้ยังไง”
 
“แล้วพอจะให้ผมมาอยู่ที่นี่ทำไมละ ผมอยู่คอนโดก็ได้”
 
“อยู่ที่คอนโดคนเดียวใครจะดูแล”
 
“ที่นี่ผมก็อยู่คนเดียว”
 
“พ่อถึงให้ไอ้ขุนมาอยู่ด้วยไง
 
“พ่อ!!”

พอร์ทเทรตโวยลั่นก่อนจะตวัดตาขวางมาทางผมให้รู้ว่าเขาระบุเป้าหมายต้นเหตุไว้ในใจแล้ว
 
“พี่เปล่านะ” ผมรีบพูดเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์
 
“ไม่ต้องไปพาลคนอื่น ขุนมันไม่รู้เรื่องอะไรด้วยหรอก พ่อสั่งให้มันมาดูแลพอร์ทเอง”
 
“ก็แล้วทำไมต้องให้พี่ขุนมาดูแลด้วยละ”
 
“รู้จักกัน ทำงานด้วยกัน พ่อก็รู้จักและไว้ใจมันดี เรานั่นแหละ มีปัญหาอะไรถึงไม่ยอม”
 
“ก็...ก็...”

เจ้ากระต่ายน้อยหันรีหันขวางคล้ายคนคิดไม่ตก ใบหน้าเนียนแดงสลับขาวจนน่าพุ่งเข้าไปหอมซักฟอด
 
“เอาตามนี้ จบ!! พ่อต้องบินตอนเที่ยง ทำอะไรให้พ่อกินหน่อย”

พี่เชนตัดบท ทำให้น้องมองตาขวางแต่ก็ยอมลุกเดินดุ่มอย่างไม่ค่อยพอใจหายเข้าไปในครัว ท่าทางน่าฟัดนั่นทำให้ผมอยากตามไปหยอกเล่นเหลือเกิน ติดอยู่ตรงที่คุณพี่ พ่อของน้องที่จ้องเขม็งมา
 
“ฉันไม่ได้เปิดโอกาสให้แกหรอกนะ”
 
“ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนิพี่”
 
“แค่มองตาแกฉันก็รู้แล้ว ถ้าจับลูกฉันแก้ผ้าได้คงทำไปแล้วมั้ง”
 
“ก็เกือบได้อ่ะนะ”
 
“ไอ้ขุน!!”

หมอนอิงความเร็วสูงพุ่งมาทันทีจากช่างภาพชื่อก้องโลกที่ออกอาการหวงลูกทำให้ผมอดขำไม่ได้
 
“ลูกพี่ยังเด็ก แม่เขาก็รักมาก ส่วนพี่ก็รักทั้งลูกและแม่ของลูกมากยิ่งกว่า แกเข้าใจที่พี่พูดใช่มั้ย”
 
“ครับ”

 ผมสบตาคนตรงหน้าและรับคำหนักแน่นอย่างจริงใจโดยแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดทำให้อีกฝ่ายยิ้มออกมา
 
“หลังจากที่รู้เรื่องจากแกพี่ก็โทรหาแม่เขาทันที...”

ผมขยับตัวรอฟังลุ้นจนใจเต้นรัว แต่พี่เชนกลับเงียบนานคล้ายกับไม่แน่ใจว่าจะพูดออกมายังไง
 
“เชลีนพูดแค่ว่าพอร์ทมีเรื่องร้ายแรงจากเพื่อนสมัยเรียนไฮสคูล”
 
 
สมองผมตื้อและมึนงงไปชั่วขณะจนต้องทิ้งตัวลงนั่ง
 
มีเรื่องร้ายแรงจากเพื่อน?
 
ร้ายยังไง แบบไหน?
 
“แม่เขาไม่ได้บอกอะไรอีก รู้แค่ว่าคนที่รู้เรื่องนี้ดีคือเพื่อนของพอร์ทที่ชื่ออังเดร ได้ยินว่าเป็นคนช่วยพอร์ทไว้ แต่พอคุยแล้วเด็กนั่นยืนยันว่าจะคุยเรื่องนี้ต่อหน้าเชลีนเท่านั้น”

พี่เชนเดินออกเดินทางไปแล้ว แต่ผมก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิมกับความคิดเดิมๆที่วนเวียนอยู่ในหัวก่อนจะตัดสินใจลุกเดินไปทางห้องครัวที่เจ้าตัวคนที่อยู่ในความคิดผมอยู่
 
ประโยคจากพี่เชนและอะงเดรวนเวียนอยู่ในหัวของผมตลอดเวลา และมันกำลังกัดกินความรู้สึกของผมอย่างช้าๆ
 
การถูกทำร้ายจิตใจมันจะเป็นรูปแบบไหนได้บ้าง ผมไม่ได้ต้องการจะคิดอะไรอกุศลหรือมองโลกในแง่ร้าย แต่เด็กผู้ชายจะถูกกลั่นแกล้งมันก็มีอยู่ไม่กี่เรื่อง
 
ผมเฝ้ามองแผ่นหลังบางที่กำลังทำความสะอาดอุปกรณ์ทำอาหาร หลังจากทำเมนูง่ายๆให้พี่เชนทานก่อนพี่เขาจะออกไปสนามบินโดยไม่ได้พวกเราตามไปส่ง เขาอ้างว่าพอร์ทไม่ควรออกไปในสภาพผู้ชายให้คนอื่นสงสัย แต่ส่วนหนึ่งผมว่าพี่เขาคงไม่อยากให้พอร์ทรู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหน
 
น้องยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานและทำทุกอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ บรรยากาศรอบตัวเขาดูอ่อนโยนและอบอุ่นจนทำให้ผมเผลอยิ้มออกมา
 

ยกเว้นถ้าน้องไม่ได้กำลัง..
 
“พอร์ท!!”

ผมวิ่งเข้าไปคว้ามือเล็กได้ทันก่อนมันจะรูดเข้ากับคมมีดที่หงายขึ้นอย่างน่าอันตราย ซึ่งเจ้าตัวก็สะดุ้งตกใจคล้ายเพิ่งได้สติว่าเกิดอะไรขึ้น ดวงตากลมโตเบิกกว้างมองมองมือของตัวเองสลับกับหน้าผมตื่นๆ
 
หัวใจผมแทบหล่นไปที่ตาตุ่มเมื่อเห็นเขาหยิบมีดทำครัวมาล้างโดยกำลังจะเช็ดถูทำความสะอาด ซึ่งมันจะไม่เป็นอะไรเลยถ้าเขาไม่ได้กำลังจะใช้มือเปล่าๆหันเข้าหาคมมีด!!
 
“เอ่อ...”

 ปากเล็กเผยอคล้ายจะพูดก่อนจะปิดฉับและชักมือออกห่าง ดวงตากลมโตที่ยังคงแววตกใจมองไปมาอย่างสับสน ผมมองท่าทีของน้องแล้วต้องเผลอกัดฟันแน่นอย่างข่มใจ
 
“ไปนั่งเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการตรงนี้เอง”
 
น้องรีบเดินไปทันทีโดยไม่เสียเวลาปฏิเสธและไม่สบตาผมแม้แต่น้อย ผมยืนมองมีดใจมือสลับกับแผ่นหลังของคนที่เดินออกมาอย่างสับสน
 
ตัวผมที่ยืนอยู่เพียงลำพังในห้องครัวช่างเงียบงัน ราวกับคมมีดในมือกำลังค่อยๆกรีดลงไปในหัวใจผมช้าๆ ค่อยๆ...ลึกลงไป

พร้อมๆกับคำพูดของอังเดร...

มันจะไม่หยุดแค่นี้...

***
 
ผมทิ้งตัวที่โซฟาพร้อมกับกำมือตัวเองแน่นเพื่อพยายามไม่ให้มันสั่น ตั้งแต่กลับมาจากต่างจังหวัด ผมก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกเหม่อลอยตลอดตลอดเวลา และเสียงกรีดร้องที่ตามมาหลอกหลอน มันดังห้องอยู่ในหัวตลอดเวลาโดยที่ผมควบคุมมันไม่ได้

จากที่ได้ยินแค่ในฝัน ตอนนี้แม้กระทั่งลืมตาผมก็ยังได้ยิน! และมันเกือบจะทำให้ผมเฉือนมือตัวเองไปแล้วถ้าพี่ขุนไม่เข้ามาห้าม
 
ผมเป็นอะไรวะ
 
ผมกำลังจะ...ผมกำลังจะเป็นบ้าเหรอวะ?!
 
ช่วยที ใครก็ได้เอาเสียงบ้าๆนี่ออกไปจากหัวผมที!
 
“พอร์ท”
 
“ออกไป!!!”
 
เพล้ง!!
 
ผมตกใจกับเสียงที่ออกจากปากของตัวเอง แต่ก็ไม่เท่ากับคนตัวใหญ่ตรงหน้าที่ยืนนิ่งโดยมีแก้วน้ำหวานที่ถูกผมปัดตกแตกกระจายบนพื้นโดยไม่รู้ตัว แต่สิ่งที่ทำให้ผมตกใจมากกว่ากลับไม่ใช่เสียงแก้วหรือเสียงตัวเอง

แต่เป็นแววตาของพี่ขุนที่ฉายแววเจ็บปวด...ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
 
“พี่...”
 
“พี่จะไปหยิบที่โกย อยู่นิ่งๆนะ”
 
“พี่ขุน!”

ผมรีบคว้าชายเสื้อของเขาเอาไว้ทันก่อนจะเดินไป รู้สึกราวกับว่าถ้าผมปล่อยให้เขาหันหลังให้เขาจะไม่หันกลับมามองผมอีก

แต่คนถูกดึงกลับยืนนิ่งปล่อยให้ผมรับเขาไว้เพียงปลายชายเสื้อโดยไม่หันมามอง
 
“พี่จะโทรตามคุณเจสซี่ให้”
 
“โทรทำไม?”
 
“ถ้าพอร์ทลำบากใจที่อยู่กับพี่ตามลำพัง...”
 
“พอร์ทเปล่า!”

ผมรีบตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดและดึงเสื้อพี่ขุนไว้แน่นเป็นการยืนยัน
 
ให้ตายเถอะพอร์ทเทรต แกกำลังระแวงอะไร พี่เขาอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าแก คนที่รักแกมาสามปีกำลังอยู่ตรงนี้ แล้วความรู้สึกของเราทั้งคู่มันก็ชัดเจนแล้ว
 
ถ้าไม่พึ่งเขา แล้วแกจะพึ่งใคร?
 
“พี่ขุน...”
 
ผมไม่รู้ตัวว่ามันออดอ้อนแค่ไหน แต่ผมไม่อาจห้ามปากตัวเองได้ เพราะภายใต้ความปกติที่ผมฝืนแสดงออกแต่ตอนนี้จิตใจของผมมันสับสนและไร้เรี่ยวแรงเหลือเกิน

 ถ้าเขาปล่อยผมไว้คนเดียว ผมคง...
 
“อยู่กับพอร์ทนะ...พอร์ทกลัว”

ดวงตาของเราสบกันนิ่ง ใจผมเต้นไปด้วยความสับสน และกังวลว่าพี่มันจะสะบัดตัวเดินจากไปหรือไม่ ถ้าพี่เขาทำอย่างนั้นจริง ผมก็คงไม่มีแรงพอจะรั้งเขาเอาไว้ อีกทั้งไม่มีคำพูดใดใดออกจากปากเขาเลย พี่ขุนแค่มองมาที่ผมเงียบๆเท่านั้น
 
แต่แล้วเขาก็นั่งลงเคียงข้างและดึงผมเข้าไปหา ซึ่งผมไม่ลังเลที่จะโอนอ่อนเข้าไปหาความอบอุ่นจากบ่าแกร่งนั้น ซุกหน้าลงไปราวกับต้องการใช้มันเป็นที่ยึดเหนี่ยว เพียงแค่เขาโอบกอดผมเบาๆโดยไร้คำพูดกลับทำให้ผมสบายใจขึ้นอย่างง่ายดาย
 
ผมเพิ่งได้เรียนรู้วันนี้ว่าการสัมผัสกายซึ่งกันและกันอย่างอ่อนโยนมันมีอานุภาพมากมายแค่ไหน หัวใจของผมเหมือนได้รับแรงกำลังเพิ่มขึ้นอย่างน่าประหลาด และคิดว่ามันคงมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำให้ผมกล้ามากขึ้น...มากพอที่จะเปิดปากพูดออกไป
 
“ถ้าพอร์ทไม่ปกติเหมือนคนอื่น พี่จะรู้สึกยังไง”
 
“....”

“พี่ขุนจะไปจากพอร์ทมั้ย”

ผมฝังหน้าลงกับบ่ากว้าง รู้สึกถึงมือสั่นเทาที่ยึดชายเสื้อเขาไว้แน่น แต่ไม่อาจกล้าพอที่จะโอบกอดเหนี่ยวรั้ง เพราะผมต้องพร้อมที่จะปล่อยมือเสมอถ้าหาก...
 
“งั้นเราก็คงบ้าเหมือนกัน”
 
“....”
 
“อย่าลืมสิ...พี่บ้ารักพอร์ทมาตั้งนานแล้ว”

แขนแกร่งโอบรัดแน่นพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มมั่นคงที่ดังชัดข้างหูทำให้ผมเลื่อนมือโอบกอดตอบอย่างไม่ลังเลราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ
 
“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามพี่ยังอยู่ตรงนี้นะ”

หัวใจของผมสั่นไหว รู้สึกถึงความร้อนผ่าวที่ดวงตาพี่เริ่มพร่าเลือน ความกลัว ความสับสน ความลังเล ความไม่เข้าใจทั้งหลายจางหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นเพียงแค่เพราะคำกระซิบเบาๆแต่หนักแน่นของคนที่กอดผมไว้
 
“อยู่กับพี่นะครับ”

-------

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด