ฝนหยดที่ 31 ไม่เจ็บ?
ทำไมล่ะ ก็เมื่อกี้นี้...........................
ถูกยิง ?
ใช่แล้วเมื่อกี้นี้เขาจำได้ว่าคุณหญิงเล็งปลายกระบอกปืนมาทางเขานี่นะ แล้วทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเจ็บอะไรเลยละ? ทำไมกัน..............................
เหตุการณ์เมื่อครู่มันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาที่ไม่ใครทันคาดคิดและไม่มีใครจะทำได้ระวังตัว เพราะไม่มีใครคิดว่าอยู่ดีๆคุณหญิงที่ดูเหมือนหมดอาลัยตายอยากตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องจะกล้าพุ่งตัวเข้ามาขโมยปืนที่เหน็บอยู่ที่ขอบกางเกงของบอดี้การ์ดที่อยู่ใกล้ตัวเอง จนเกิดเป็นเหตุความวุ่นวายขนาดย่อมเมื่อเป้านิ่งที่ถูกเลือกมานั้นคือคุณหนูเล็กของตระกูล
“อย่าอยู่เลยแก!!”
เสียงตะโกนที่เหมือนเป็นสัญญาณว่าในอีกไม่ช้านี้เพชฌฆาตสีดำนี้กำลังจะฆาตชีวิตคนตรงหน้านี้
“เกล!!”
เสียงร้องพี่ชายทั้งสองที่เข้าไปนั่งรออยู่ในรถแล้วตะโกนออกมาเสียงดังเมื่อเหตุการณ์ตรงหน้ากำลังจะเกิดขึ้นกับน้องชายผู้เป็นที่รักยิ่งของพวกเขา
เสียงปืนดังลั่นหนึ่งนัดดังแหวกอากาศฝ่าความตกใจของผู้คนโดยรอบบริเวณ ร่วมถึงคนที่ลั่นไกย์ปืนออกไปด้วย
ปัง!!
!!!
เสียงลั่นไกลปืนที่ดังออกมาพร้อมกับควันร้อนจากปลายกระบอกเริ่มจางหายไปก่อนจะถูกแทนที่ด้วยความเงียบเพียงชั่วครู่ จนได้ยินเสียงบางสิ่งร่วงตกสู่พื้นคอนกรีตของท่าเรือขนส่งพร้อมกับความตื่นตกใจของผู้คน
เมื่อกระบอกปืนสีดำที่ถูกหยิบฉวยมาเพื่อหวังปลิดชีพคู่แค้นที่ทำร้ายชีวิตตนกลับร่วงหล่นลงพื้นพร้อมกับร่างของมือปืนชั่วคราว เมื่อลูกตะกั่วที่อยากจะฝั่งมันลงร่างไร้วิญญาณของเกลกลับถูกฝั่งลงบนแผ่นหลังของใครอีกคนแทน
“พี่ชิน!!”
เกลประคองร่างของคนรักที่โถมกายเข้าหาตนอย่างคนไร้เรี่ยวแรงจนเขาที่รับน้ำหนักของอีกคนไม่ไหวถึงกลับล้มลงไปนั่งอยู่ที่พื้นอย่างทำอะไรไม่ถูกเมื่อฝ่ามือที่ประคอมหลังของชิตรัตน์เปือกชื้นไปด้วยขงเหลวที่แดงฉานเต็มฝ่ามือ
“พี่ชิน พี่ชิน” เกลหวีดเรียกคนรักอย่างคนเริ่มคุมสติไม่อยู่ทั้งเรียกทั้งเขย่ากายหนาไปมาแต่อีกคนกลับแน่นิ่งไปจนเจ้าตัวเริ่มใจเสีย
“ตาชิน!!!”
เช่นเดียวกับคนที่ยิงลูกปืนออกไป เมื่อเห็นว่าคนที่ออกรับกระสุนจนแน่นิ่งไปคือลูกชายของตนเองคุณหญิงเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากคนเสียสติ พยายามตะเกียดตะกายไปตามพื้นเพื่อเข้าไปให้ถึงชิตรัตน์แต่ก็โดยการ์ดจับตัวเอาไว้เสียก่อน จนต้องดิ้นไปมาอย่างคนบ้าก่อนจะถูกทิมสั่งให้แยกตัวเอาไปไว้ที่รถอีกคันหนึ่งแทน
“เลือดออกเยอะมาเลย รีบพาไปโรงพยาบาลเถอะ” ธารว่าเสียงเครียดก่อนหันไปเรียกให้ลูกน้องที่อยู่ใกล้ๆให้มาช่วยพาอีกคนขึ้นรถ
“ไม่ๆ จะเอาพี่ชินไปไหนอย่าเอาพี่ชินไปนะ!”
แต่ดูเหมือนว่าคนที่เสียสติไปแล้วจริงๆจะเป็นเกลที่ตอนนี้ไม่ยอมแม้จะให้ใครเข้ามาใกล้หรือมันจับตัวของชิตรัตน์เลย จนทิมต้องเข้ามารวบตัวน้องชายของตัวเองเอาไว้เพื่อให้ลูกน้องช่วยกันพยุงร่างของชิตรัตน์เข้าไปไว้ในรถได้สะดวก
“น้องเกลใจเย็นๆนะ ไม่มีใครพาชิตรัตน์ไปไหนทั้งนั้นพี่แค่จะพาเขาไปหาหมอ”
ธารพยายามพูดอย่างใจเย็นเมื่อเกลเริ่มสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพยายามเบี่ยงตัวเพื่อเข้าไปหาชิตรัตน์ให้ได้ ร้อนถึงทิมที่ต้องเข้ามานั่งประกบเพื่อไม่ให้น้องชายเกิดอาการคลั่งไปมากกว่านี้ แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
“ไม่จริง เกลจะไปหาพี่ชินปล่อยเกลนะพี่ธารพี่ทิมปล่อย” เกลพยายามบิดตัวออกจากแขนของธานที่พยายามรั้งตัวเขาเอาไว้ไม่ให้ข้ามไปข้างหลังที่มีชิตรัตน์นั่งอยู่กับการ์ดอีกคนหนึ่ง
“กะ เกล”
เสียงแผ่วเบาจากริมฝีปากซีดอย่างคนขาดเลือดของชิตรัตน์เอ่ยเรียกชื่อคนรักออกมาทันทีที่เริ่มได้สติ เกลที่พยายามดิ้นดึงอยู่เมื่อครู่พอได้ยินเสียของชิตรัตน์ก็เริ่มมีกำลังใจสะบัดตัวออกจากแขนของพี่ชายอย่างแรงจนหลุดแล้วรีบตรงเข้าไปหาชิตรัตน์ที่อยู่ข้างหลังทันที
“พี่ชิน พี่ชินเป็นยังไงมั่งเจ็บมากไหม” เกลรีบถามอย่างรนรานพร้อมยกฝ่ามือของอีกฝ่ายขึ้นมาทาบกับแก้มของตัวเอง
“พี่ไม่เป็นอะไร เกลละเจ็บตรงไหน ไหม” เขานะไม่เจ็บอะไรเลยต่างหาก
“เกลไม่เป็นอะไร” พอได้ยินดังนั้นชิตรัตน์ก็ระบายยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“ดีแล้ว” ก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้ง
“พี่ชิน?” คราวนี้ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากคนที่ไดรับบาดเจ็บอีกครั้ง
“ไม่ๆๆ ไม่นะพี่ชินตื่นสิตื่นมาเดียวนี้นะ เกลบอกให้ตื่นไง พี่ชิน!!”
เมื่อเห็นว่าชิตรัตน์นิ่งเงียบไป เกลก็รู้สึกรนรานมากกว่าปกติพยายามเขย่าร่างของอีกคนพร้อมเรียกชื่ออยู่หลายครั้ง จนเอริคที่นั่งอยู่ข้างชิตรัตน์รีบเข้ามาประคอมจับที่ไหล่คนที่เริ่มออกอาการคลุ้มคลั่งอีกครั้งเอาไว้แทน
“คุณหนูใจเย็นๆครับ”
“ไม่ เอริคปล่อยเดี๋ยวนี้นะ พี่ชิน อึก”
“คุณหนู / เกล”
กลายเป็นเกลอีกคนที่เป็นลมหมดสติจนเกือบร่วงไปนอนกับพื้นรถโชคดีที่เอริคการ์ดที่อยู่ด้านข้างรับตัวเอาไว้ได้แล้วพาขึ้นมานอนข้างๆชิตรัตน์
“เหยียบให้มันไว้กว่านี้ไม่ได้หรือไงวะ”
ทิมหันไปเร่งให้คนขับขับให้ไวมาขึ้นกว่าเดินจนไม่สนแล้วว่ารถติดตามที่ขับตามมานั้นจะไล่ตามตนทันหรือไม่ ตอนนี้ความปลอดภัยของน้องเขาต้องมาก่อนค่าปรับที่ขับรถเร็วเกินกำหนดน่ะเอาไว้ก่อน
เมื่อเจ้านายสั่งมีหรือลูกน้องจะกล้าขัดได้ เป็นคนขับรถของทิมมันต้องทำได้ทุกอย่าง อย่างเช่นตอนนี้ที่เขาต้องสวมวิญญาณนักขับตีผีปาดได้ปาดแซงได้แซงอะไรที่ทำแล้วโดนเพื่อนร่วมถนนด่าเขาทำหมดเลยทำให้รถคันโตสีดำมาถึงยังโรงพยาบาลเอกชนที่ใกล้ที่สุดในเวลาเพียงแค่หนึ่งอึดใจพร้อมเสียงด่าไล่หลังอีกเป็นโขยงและไม่ใช่แค่คันของเขาเท่านั้นที่มาถึงได้อย่างรวกเร็วเพราะรถติดตามทั้งสองก็มาจอดถึงที่หมายในเวลาไม่ห่างกันมาก
และด้วยความที่ขับมาด้วยความเร็วอย่างยิ่งเมื่อมาจอดสนิทอยู่หน้าทางเข้าของโรงพยาบาลเหล่าบุรุษพยาบาลและคนดูแลด้านนอกก็รีบเข้ามาดูว่ามีผู้บาดเจ็บอยู่หรือไม่
“มีคนถูกยิงครับ”
ทิมที่เป็นคนเปิดประตูออกร้องบอกให้บุรุษพยาบาลที่เข้ามารับรู้ก่อนจะหลบทางให้คนในชุดสองสามคนเข้ามาในรถแล้วช่วยกันนำตัวคนที่สาหัสลงมาพร้อมกับอีกหนึ่งคนที่สลบไม่ได้สติ
ร่างของชิตรัตน์ถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดด่วนพร้อมเครื่องช่วยหายใจแบบพกพา ส่วนเกลถูกแยกให้ไปยังห้องพักฟื้นอีกห้องหนึ่งพร้อมนายแพทย์อีกคนที่เข้ามาดูอาการโดยมีธารคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
การผ่าตัดของชิตรัตน์ใช้เวลาอยู่นานมีพยาบาลเดินเข้าออกอยู่หลายครั้งทำเอาคนที่นั่งรออยู่หน้าห้องผ่าตัดรู้สึกผิดมายิ่งขึ้นจนกลายเป็นความเครียด
คุณหญิงโฉมฉวีนั่งรอลูกชายที่ถูกหามเข้าห้องผ่าตัดด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักไม่ใช่เพราะการ์ดที่เฝ้าอยู่ไม่ห่างหรือสายตาที่มองมาเป็นระยะอย่างกดดันของทิม แต่เป็นเพราะคนที่อยู่ข้างในนั้นต่างหากที่เธอเป็นห่วง
หล่อนไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ตอนนั้นหล่อนคิดแค่ว่าขอแค่กำจัดศัตรูให้ออกไปจากชีวิตได้แค่นั้นแล้วลูกชายของหล่อนก็จะกลับมาหาหล่อนเองอย่างแน่นอน แต่ไม่คิดเลยว่าชิตรันตน์จะเข้ามารับกระสุนแทนจนอาการสาหัสขนาดนี้
คุณหญิงยกมือสองข้างที่พลาดพลั้งจนเกือบปลิดชีวิตลูกชายขึ้นมาด้วยอาการสั่นเทา มือคู่นี้ที่ครั้งหนึ่งเคนโอบอุ้มค้ำชูชายหนุ่มมาตั้งแต่แบเบาะ แต่เมื่อไม่นานมานี้มันกลับเป็นมือคู่ที่กำลังพรากลมหายใจของอีกคนไป
“มองมันให้ทะลุ ชิตรัตน์ก็ไม่หายขึ้นมาตอนนี้หรอก” คุณหญิงเงยหน้ามองคนที่พูดจาเชือกเชือนใส่ตนที่นั่งกอดอกมองอยู่ตรงข้าม
“ทำอะไรโง่ๆ คิดว่าถ้าเกลตายแล้วลูกชายจะกลับมาหาคุณอย่างงั้นหรอ เหอะ มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่จะคิดวิธีโง่ๆแบบนี้ออกมา” ทิมยังคงพูดจาด้วยถ้อยคำร้ายกาจนั้นนออกมาอีกครั้งอย่างไม่ไว้หน้าคนตรงหน้าเลยว่าจะแสดงสีหน้าแบบไหนยามที่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด
“แล้วจะให้ฉันทำยังไง ก็เพราะมันนั้นแหละที่แย่งความรักของชิตรัตน์ไปจากฉันเพราะมัน มันแย่งลูกชายไปจากฉัน!”
หล่อนตะโกนออกมาเสียงดังอย่างไม่แคร์เลยว่าที่ที่ตนอยู่ตอนนี้คือหน้าห้องผ่าตัดในโรงพยาบาลสถานทีที่ต้องการความเงียบมากที่สุดในการช่วยเหลือชีวิตของผู้ป่วย เพราะในยามนี้หล่อนคิดอย่างเดียวคือขอแค่ได้ระบายความอัดอั้นในใจที่มีอยู่ออกมาแค่นั้น แค่ความอัดอั้นจากความคิดที่ตนมีขอแค่ได้พูดมันออกมา
“ไม่มีใครแย่งความรักไปจากใครได้หรอกนะ คุณหญิง”
!!
“คุณเอาแต่บอกว่าทุกคนแย่งความรักไปจากคุณ แล้วคุณนะเคยเผื่อแผ่ความรักที่คุณมีอยู่ให้ใครบ้างหรือเปล่า”
“แกหมายความว่าไง”
คุณหญิงถามอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่หนุ่มตรงหน้าพูดออกมา แต่ทิมกลับหันหน้านี้ทำทีเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่อีกคนถาม
“ฉันถามก็ตอบมาสิว่ามันหมายความว่ายังไง”
คราวนี้ไม่ใช่เสียงตะคอกโฮกฮากเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นเสียงของคนที่เหมือนกับกำลังหลงทางและสับสน แต่ถึงจะพยายามถามอีกฝ่ายอย่างไรทิมก็ทำเป็นหูทวนลมไม่ยอมพูดจาอะไรที่จะเป็นคำตอบที่ทำให้หล่อนพึ่งพอใจเลย จนความสับสนเมื่อครู่เริ่มเปลี่ยนเป็นความไม่พอใจที่ไม่ได้รับคำตอบ ครั้งจะอยากกระแทรกเสียงใส่คนที่อายุน้อยกว่าบานประตูหน้าผ่าตัดก็เปิดออกพร้อมแสงไฟสีแดงที่ดับลง พร้อมกับร่างของคุณหมอผ่าตัดร่างท้วมใส่ชุดปลอดเชื้อสีเขียวเป็นผู้ที่เดินผลักบานประตูออกมาหยุดอยู่ตรงหน้า ทำให้คนที่ตั้งใจจะเค้นคำตอบของปริศนาคำของหนุ่มตรงหน้าต้องเบนเข็มความสนใจทั้งหมดของตนไปที่ผู้มาใหม่แทน
“คุณหมอลูกชายดิฉันเป็นยังมั้งคะ”
น้ำเสียงร้อนรนของญาติผู้บาดเจ็บที่เสนอตัวบอกความสัมพันธ์ที่มีต่อกันออกมาก่อนที่คนเป็นหมอจะได้ถาม แต่เพราะความกังวลในน้ำเสียงของญาติผู้บาดเจ็บทำให้นายแพทย์มากประสบการณ์รู้สึกกดดันทุกครั้งที่ต้องออกมารายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“คนเจ็บพ้นขีดอันตรายแล้วครับ”
แม้คำที่ออกมาจากปากของคุณหมอจะทำให้ใครหลายคนที่หน้าห้องผ่าตัดรู้สึกโล่งใจกับข่าวดีที่ได้รับ แต่สีหน้าที่ยังไม่คลายความกังวลของคุณหมอทำให้คนที่โล่งใจไปเมื่อครู่เริ่มตีหน้าเครียดขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่อยากคาดเดาว่าสีที่กำลังจะกล่าวออกมาจะเป็นเช่นไร
“ทำไมคุณหมอทำหน้าแบบนั้นละคะ ไหนว่าลูกชายฉันไม่เป็นอะไรแล้วไง” คุณหญิงเริ่มลนลาน
“ถึงเราทำการผ่าตัดเอากระสุดออกจากร่างกายของคนเจ็บได้แล้ว แต่เพราะกระสุนเข้าไปฝั่งอยู่ในจุดที่ถือได้ว่าเสี่ยงต่อชีวิตมากอีกทั้งคนเจ็บมาอาการเสียเลือดอย่างมากทำให้ต้องอยู่ดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องปลอดเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้ออีกสักระยะ ตอนนี้หมอคงบอกพวกคุณได้เท่านี้ยังไงก็ขอตัวก่อนนะครับ”
คุณหมอว่าจบก็เดินเบี่ยงตัวหลบออกไป ทิ้งเอาไว้เพียงญาติผู้ป่วยที่ไม่เหลือแม้เรี่ยวแรงที่จะทรงตัวอยู่ได้ที่ทรุดล้มลงกับพื้นเย็นเฉียบของกระเบื้องสีขาวของโรงพยาบาล
“ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ทำไม อ๊ายยยยยย!!” หล่อนกรีดร้องยกกำปั้นทุบลงที่พื้นอยู่หลายครั้งวนเวียนอยู่แบบนี้หลายครั้งอย่างไม่หมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง
ทิมมองการกระทำของคุณหญิงอย่างไม่รู้จะอธิบายสิ่งที่เห็นตรงหน้านี้อย่างไร จะพูดว่าสงสารมันก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่มีจะว่าสมเพชก็ดูแรงไป แต่ก็คงจะต้องเป็นแบบนั้นแล้วละในตอนนี้ แต่ที่คิดไม่ตกในตอนนี้คงจะเป็นเรื่องของอาการชิตรัตน์ที่เขาเองยังไม่รู้เลยว่าจะบอกน้องของเขาให้รู้เรื่องนี้ยังไงดี ทิมมองดูผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะเดินเลี่ยงจากภาพตรงหน้านี้เพื่อไปดูอาการของน้องที่นอนพักอยู่อีกห้องหนึ่งก่อนจะสั่งให้คนของตนอยู่เฝ้าแทน
แต่ยังไม่ทันที่ทิมจะเดินไปถึงห้องที่น้องเกลของเขานอนพักอยู่เคนที่เขากำลังจะไปหากลับมาอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับคนติดตามที่เขาสั่งให้อยู่เฝ้าหน้าห้อง
“ทำไมน้องถึงมาอยู่ตรงนี้ เอริคนายพาน้องออกมาทำไม”
ทิมตรงเข้ามาถามอย่างร้อนใจ แม้ทุกอย่างจะดูปกติดีแต่เพราะใบหน้าที่ยังคงซีดเซียวของคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นสีน้ำเงินของโรงพยาบาลทำให้คนเป็นพี่ชายอย่างเขาอดเป็นห่วงไม่ได้
“อย่างไปว่าเอริคเลยครับ น้องขอให้เขาพาออกมาเอง” เกลตอบแทนคนที่อยู่ด้านหลังเพื่อจะได้ไม่ต้องถูกตำหนิจากพี่ชายของเขา
“แต่น้องควรพักต่ออีกสักหน่อยดูสิหน้ายังซีดอยู่เลย แล้วเจ้าธารมันไปไหนทำไมปล่อยน้องออกมาแบบนี้ได้”
ทิมเริ่มบ่นเป็นหมีกินผึ้งอีกครั้งเมื่อมองซ้ายมองขวาแล้วไม่พบแม่แต่เงาของน้องชายคนรองที่รับอาสาจะอยู่ดูแลเกลให้เสียดิบดีแต่ดันหายไปเสียนี้
“พี่ธารต้องไปรับคุณแก้วกับลูกที่โรงพยาบาลนะครับเกลเลยฝากให้ไปรับน้องเกรทที่โรงเรียนด้วยเลยเดี๋ยวก็คงกลับมาเย็นๆนู้นละครับ”
เกลตอบคำถามพี่ชายอีกครั้งก่อนจะขอให้ทิมช่วยพาไปหาชิตรัตน์ แต่ชายหนุ่มผู้พี่กลับมีทีท่าไม่ค่อยมั่นใจเสียเท่าไรที่จะพาน้องเข้าไปหาจนแสดงอาการลุกลี้ลุกลนออกมา
“มีคนมาบอกน้องเรื่องอาการของพี่ชินแล้วละครับ นะครับพี่ทิมพาน้องไปหาพี่ชินทีแค่เห็นหน้าก็ยังดี”
เกลเอื้อมมือออกไปจับมือของพี่ชายเอาไว้พร้อมแววตาขอร้องอย่างน่าสงสารจนทิมไม่อาจปฏิเสธได้จึงต้องจำใจยอมพาน้องไปยังด้านหน้าของห้องปลอดเชื้อที่มีใครบางคนยืนอยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว
เกลมองคุณหญิงที่ยืนเอามือแนบกับกระจกบานใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างด้านนอกกับห้องพักฟื้นพิเศษเขตปลอดเชื้อที่มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงพร้อมด้วยสายต่างๆที่พาดผ่านร่างกายรวมทั้งเครื่องช่วยหายใจขนาดเล็กที่วางอยู่เหนือริมฝีปาก
“ให้ทุกคนออกไปก่อนได้ไหมครับ น้องมีเรื่องอยากคุยับคุณหญิงหน่อย” เขาว่าเสียงนิ่งโดยที่สายตาไม่ละไปจากตัวต้นเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
“แต่..”
เกลชายตากลับมามองพี่ชายคนโตนิ่งๆอีกครั้งก่อนพยุงตัวขึ้นจากรถเข็นของทางโรงพยาบาลเพื่อเป็นสัญญาณให้รู้ถึงความต้องการที่แน่ชัดของตนเอง ซึ่งทิมเองก็ไม่กล้าที่จะขัดใจขัดความต้องการของน้องชายได้จะโทษก็คงต้องโทษพวกเขานี้แหละที่ตามใจน้องคนเล็กมากเสียจนตัวเองไม่กล้าขัดใจอีกฝ่ายไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่อะไร
เกลยืนนิ่งรอจนทิมและพวกเดินออกไปจากบริเวณนั้นจนหมดและรอจนแน่ใจว่าจะไม่มีใครเดินมายังบริเวณที่ตอนอยู่รวมทั้งสอดส่องดูตำแหน่งของกล้องวงจรปิดที่อาจซ้อนอยู่ตามบริเวณนี้จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีจึงได้เดินเข้าใกล้จุดที่คุณหญิงยืนอยู่ ก่อนเว้นนะยะห่างเอาไว้แล้วหันหน้ามองไปยังคนรักที่นอนอยู่ตรงหน้า
“คุณมันฆาตกร”
!!!
คนที่ถูกสบประมาทหันขวับไปยังผู้มาใหม่อย่างไม่พอใจด้วยสายตาที่มากไปด้วยความอาฆาตและชิงชัง แต่เกลกลับไม่สะทบสะท้านต่อสายตาที่อีกคนส่งมาให้ กลับหันไปสบตาตอบด้วยแววตานิ่งเรียบแทน
“คุณมันฆาตกร” เขาแน่ย้ำค้ำพูดนี้อีกครั้งให้อีกคนได้ยินชัดๆก่อนจะหันกลับมามองชิตรัตน์ใหม่อีกครั้ง
“เพราะแกนั่นแหละที่ทำให้ลูกชายฉันเป็นแบบนี้ ถ้าไม่มีแกสักคนลูกฉันก็ไม่ต้องมานอนเป็นผักแบบนี้หรอก!”
หล่อนตวาดเสียงดังลั่นอย่างเจ็บแค้น ถ้าไม่มีมันสักคนชิตรัตน์ที่น่ารักของเขาก็ไม่ต้องมาทำร้ายจิตใจหล่อนแบบนี้ไม่ต้องมาเจ็บเจียนตายแบบนี้มุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมันเป็นเพราะไอ้เด็กเหลือขอนี้ทั้งหมด เป็นเพราะมันคนเดียว!!
เกลได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดคำพูดกับคำพิพากษาที่อีกคนพิพาทเขาอย่างเห็นแก่ตัว จนถึงตอนนี้คุณก็ยังไม่เคยยอมรับความจริงอะไรสักอย่างจริงๆ
“เพราะแก ฮึก เพราะแกคนเดียว”
และสิ่งหนึ่งที่เกลเองก็ไม่คิดว่าวันนี้เขาจะได้มาเห็นมัน น้ำตาของแม่มดร้ายที่กำลังไหลอย่างไม่อาจปกปิดได้ แต่ขอล่ะนะอย่าใช้มันมาเป็นเครื่องขอความเห็นใจเลยเขาไม่มีให้หรอกนะ
“ร้องไห้เป็นด้วยหรอครับ” เขาถามในสิ่งที่คิด
“คนเลือดเย็นที่ฆ่าคนได้โดยไม่รู้สึกผิดเนี่ยร้องไห้เป็นด้วยหรือครับ”
“ฉันก็คนนะ หัวใจฉันก็มีลูกชายฉันจะเป็นจะตายอยู่ตรงหน้าแกจะให้ฉันยิ้มมีความสุขหรือไง” คุณหญิงว่ากลับอย่างขุ่นมัวใจ
“งั้นหรอครับ แล้วคุณไม่คิดมั่งหรือไงว่าคนอื่นเขาก็มีหัวใจเหมือนกัน”
“....”
“คุณเคยคิดมั่งไหมว่าจะมีใครต้องเจ็บต้องเสียใจกับสิ่งที่คุณทำไปมั่งคุณเคยรู้บ้างไหม” เกลเริ่มเสียงสั่นอย่างข่มอารมณ์ที่มี แต่คุณหญิงกลับเอาแต่เงียบและก้มหน้านิ่ง
“หึ คุณมันไม่เคยเห็นหัวใครเลยนอกจากตัวเองคุณมันเห็นแก่ตัว” เขาย้ำ
“....”
“คุณคงอยากให้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นผมแทนที่จะเป็นพี่ชินสินะ” เกลยิ้มเยาะเมื่อแค่มองสายตาของคุณหญิงก็เหมือนว่าตนสามรถอ่านความคิดของอีกคนได้
“ใช่ ถ้าเป็นแกที่ตายเรื่องทุกอย่างมันก็จะดีกว่านี้ถ้าไม่มีแกตาชินก็จะไม่มีวันทิ้งฉันไป”
“ไม่ทิ้งงั้นหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า”
เกลหัวเราะออกมาอย่างกับว่าเรื่องที่เขาพูดทวนเมื่อครู่เป็นเรื่องตลก จนทำให้คุณหญิงต้องมองอย่างไม่เข้าใจว่ามันมีเรื่องอะไรให้น่าขำนักหนา
“ขำอะไรของแกไอ้เด็กบ้า” หล่อนว่าอย่างหัวเสีย
“ก็ขำคนที่เงาหัวยังไม่มีแต่ก็ยังพยายามยืดคออยู่น่ะสิครับ”
“นี่แก!”
“คุณหญิงคิดจริงหรือครับว่าแค่กำจัดผมออกไปพี่ชินจะกลับมาเป็นลูกชายที่น่ารักของคุณอยู่อีกน่ะ”
“....”
“ลองคิดดูเล็นๆนะครับถ้าวันนี้คนที่โดนยิงเป็นผมตามที่คุณตั้งใจไว้จริง ตอนนี้คุณคิดว่าพี่ชินจะเดินเข้ามาหาคุณแล้วบอกว่า ยอดเยี่ยมที่สุดครับ อย่างงั้นหรอ” เกลลองเชิงถามเสียงเหยียด
“...”
“เงียบทำไมละครับทำไมไม่ตอบละ หรือเพราะว่าคำตอนที่รู้ดีอยู่ในใจมันพูดออกมาแล้วเสียหน้ากันล่ะครับ”
หล่อนมองหน้าคนถามตาขวาง ใช่ เพราะสิ่งที่เกลพูดมันเป็นความจริงถ้าตอนนี้คนที่นอนอยู่ตรงนั้นเป็นไอ้เด็กนี้ และตรงนี้เป็นชิตรัตน์ล่ะก็ หล่อนคงโดนสายตาตัดพ้อและเจ็บปวดของอีกคนส่งมาให้ทิ่มแทงใจเล่นอย่างแน่นอน เพราะอะไรทำไมหล่อนถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย
“คุณมันรักแต่ตัวเองคุณหญิง คุณมันไม่เคยรักใครจริงขนาดคนที่คุณบอกว่ารักนักรักหนาคุณยังทำให้เขาเกือบตาย มันก็สมควรแล้วนิที่คุณมันจะต้องไม่เหลือใคร”
เกลว่าทิ้งท้ายเอาไว้แค่นั้นก่อนจะหันไปอีกทางเพื่อที่จะได้ออกไปจากบริเวณนี้ แต่เพราะเสียงจากคุณหญิงที่ยังคงดึงดันในความถูกแบบผิดๆของตัวเองเรียกเขาเอาไว้เสียก่อน
“ที่ฉันไม่เหลือใครมันก็เพราะพวกแกนั้นแหละที่เป็นคนแย่งไป พวกแกทุกคนมันก็แค่พวกขี้อิจฉาเห็นฉันได้ดีเลยคิดจะแย่งไปใช่ไหมล่ะ เหอะ ฉันไม่ยอมหรอก!!”
เกลส่ายหน้าอย่างละอากับความสมองน้อยคิดได้แค่เรื่องของตัวเองแบบนี้อย่างสมเพชเวทนา จึงต้องหันกลับไปเผชิญหน้ากับคุณหญิงใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้สายตาที่จ้องมองมายังคนตรงหน้ามีแต่คำว่าดูถูกและสมเพชอย่างมาที่มีให้อีกคน
“ไม่มีใครแย่งของของคุณหรอกนะคุณหญิง มันมีแต่คุณนั้นแหละที่ผลักไสพวกเขาออกมาจากชีวิตคุณน่ะ”
!!