#04
‘ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ’
“อย่างที่ประกาศไปในเฟซบุ๊กนะครับว่า วันนี้จะเป็นการแจ้งกิจกรรมของภาคเราตลอดเทอมนี้ สำหรับน้องๆ ปีหนึ่งที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน พี่ก็ขอประกาศแนวทางการเข้ากิจกรรมภาคไว้คร่าวๆ ดังนี้ครับ ขาดกิจกรรมหนึ่งครั้งโดนตักเตือน สองครั้งขึ้นทัณฑ์บน สามครั้งถูกพิจารณาให้ย้ายเอก...”
ความเงียบแผ่กระจายปกคลุมห้องประชุมเล็กๆ ทันทีที่ประธานภาคเอ่ยจบ ตอนนี้น้องผู้หญิงปีหนึ่งเริ่มหน้าเสีย ในขณะที่น้องผู้ชายบางคนถอนหายใจด้วยท่าทีขึงขัง แต่ก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา
“เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันนะครับ” พี่ไนท์เอ่ยต่อเสียงนิ่ง “เข้าใจตรงกัน...ว่าน้องถูกหลอกอะครับ!”
แล้วเสียงหัวเราะของพี่ๆ ปีอื่นก็ดังสนั่นด้วยความสะใจที่รวมหัวกันแกล้งน้องได้ ในขณะที่น้องๆ ยังแตกตื่นไม่หาย พี่ไนท์เลยเฉลยความจริงให้ฟัง
“กฎทั้งหมดนั้นพี่ล้อเล่นครับ! ภาคเราชิลจริงๆ ไม่จำเป็นต้องเข้าทุกกิจกรรม แต่กิจกรรมไหนที่ได้รับมอบหมายแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ต้องทุ่มสุดตัวจนเสียการเรียน ไม่ต้องมาขลุกอยู่ที่ภาคจนไม่มีเวลาไปทำอย่างอื่น โตแล้ว ตัดสินใจด้วยตัวเองได้เลย เพราะสิ่งเหล่านี้คือ ‘สิทธิและเสรีภาพ’ ครับ...”
“ว่อออออออออ” ต้องยอมรับจริงๆ ว่าประธานเอกเป็นเจ้าพ่อ Quote พูดอะไรออกมานี่เรียกเสียงฮือฮาได้ตลอด
พอเสียงแซวต่างๆ เงียบลง รองประธานก็ขึ้นสไลด์ตารางกิจกรรม ก่อนพี่ไนท์จะอธิบายและมอบหมายให้แต่ละชั้นปีเป็นแม่งาน โดยเฉลี่ยๆ กันไป ไม่ให้เทไปที่ชั้นใดชั้นหนึ่งมาก กิจกรรมแรกสุดคือ ‘ไหว้ครู’ ที่น้องปีหนึ่งต้องรับไปดูแล ทั้งหาตัวแทนถือพานและทำพาน ต่อมาคืองาน ‘คเณศจตุรถี’ ที่ปีสามกับปีสี่ต้องเป็นคนดูแลร่วมกัน และงานอื่นๆ อีกสองสามงานจนจบเทอมแรก
หลังปล่อยให้แต่ละส่วนประชุมกันคร่าวๆ สมาชิกปีสามกับปีสี่จึงเดินไปห้องพักอาจารย์ เพื่อคุยเรื่องงานคเณศที่จะมีในปลายเดือนนี้แล้ว
“ยังไม่ชินกับไอ้ภาคเรียนที่ย้ายเวลาใหม่นี่สักที เปิดมาก็เจองานยักษ์เลย จะเตรียมทันมั้ยเนี่ย” พี่ปีสี่บ่นกันเบาๆ เพราะเป็นรุ่นสุดท้ายที่คาบเกี่ยวการจัดเรียงปีการศึกษาแบบเดิม คือเปิดเรียนเดือนมิถุนายน กับแบบใหม่ที่เปิดเรียนเดือนสิงหาคม
“อ้าว ประชุมกันเสร็จแล้วเหรอ” อาจารย์กฤตกับอาจารย์ธารผู้สอนปรัชญาอินเดียเปิดห้องพักเข้ามา หลังทักทายลูกศิษย์เรียบร้อยก็ให้ทุกคนหาที่นั่งกันตามสบาย
“พีพี” ปรนัยสะกิดเพื่อนที่กำลังมองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้จะไปลงตรงไหน “มานั่งนี่”
ไม่พูดเปล่า แต่แขนยาวๆ ยังคว้าไหล่เพื่อนสนิทให้มานั่งบนเก้าอี้สตูที่มุมห้องด้วย ภาคภูมิลังเลเล็กน้อย เพราะเห็นพี่ผู้หญิงปีสี่ยังไม่ได้นั่ง โดยเฉพาะพี่จ๋าที่มองมาตรงเพื่อนของเขาหลายครั้ง ทว่าพอร่างโปร่งขยับตัวจะลุกขึ้น มือหนักๆ ของคนข้างๆ ก็กดไหล่เขาไว้ให้อยู่กับที่
“ทำไมวะ” ภูมิกระซิบถาม
“มีเรื่องจะคุยด้วย” อีกคนตอบ
นอกจากระแวงสายตาของพี่จ๋าแล้ว เขายังต้องมาระแวงอีกว่าไอ้ห่าปอจะคุยอะไร คือถ้ามึงเปิดมาซะขนาดนี้ สู้คุยให้จบๆ ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ?!
เมื่ออาจารย์ธารเริ่มพูดถึงกิจกรรมคเณศจตุรถีในส่วนที่ปีสี่ต้องรับผิดชอบซึ่งยังไม่เกี่ยวกับปีสาม แขนยาวๆ ของปรนัยจึงพาดไปกับไหล่ของคนข้างๆ ก่อนจะดึงตัวเพื่อนให้มาตอบคำถามในสิ่งที่เขาตงิดใจมาตั้งแต่เมื่อครู่
“พีพี เมื่อกี๊ไอ้ท่านขุนมาคุยไรกะมึง”
“ฮะ ตอนไหนวะ” คนถูกถามยังนึกไม่ออกว่ารุ่นน้องปีสองมาคุยกับตัวเองตอนไหน ก็ในเมื่อตลอดการประชุมเขาแทบจะไม่ได้คุยกับใคร...
“เอ้า! ก็ไอ้ห่าท่านขุนมายืนซะชิดมึง” อีกฝ่ายบอกอย่างหงุดหงิด เพราะตอนเริ่มประชุมไปได้สักพัก ปรนัยนึกขึ้นได้ว่าลืมส่งการบ้านภาษาอังกฤษ เลยแว่บเอาชีทไปส่งที่ภาคอิ๊งซึ่งอยู่ชั้นสอง พอลงมาอีกทีก็ไม่สามารถเบียดฝูงชนไปยืนที่เดิมข้างไอ้ภูมิได้อีก พอดีกับตรงนั้นมีกลุ่มปีสี่อยู่ เขาเลยยืนคุยกับพวกพี่จ๋าแทน
“กูจำไม่เห็นได้เลยว่ากูคุยกับไอ้ท่านขุน” ภาคภูมิยังใคร่ครวญถึงเรื่องราวที่ผ่านมา อยู่ๆ ไอ้ปอก็พรวดพราดออกไป พอกลับมาอีกทีมันก็ยืนหัวเราะคิกคักอยู่กับพี่จ๋าแล้ว นี่แหละที่ทำให้เขาต้องเพ่งสมาธิไปกับสไลด์แค่หน้าเดียวที่พี่ไนท์อธิบาย จนไม่ได้คุยอะไรกับใครอีก
“อะไรวะ ก็เห็นแม่งยืนเบียดไหล่มึง พูดๆ อะไรตลอดเวลา มึงก็พยักหน้าหงึกๆ” เสียงทุ้มพูดใส่อารมณ์ “นี่ถ้ากูอยู่ใกล้ๆ นะ...”
ตากลมตวัดมองใบหน้าเพื่อนที่บ่นงึมงำในคอ “มึงจะทำไม”
“กูจะเบิ้ดกะโหลกไอ้ห่าขุนแม่งสักสองที ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
“อะไรของมึง” ภาคภูมิขมวดคิ้ว “เพิ่งเรียนเรื่องความเท่าเทียมมาไม่ใช่เหรอ”
คราวนี้ใบหน้าคมมุ่ยลงเหมือนเด็กเอาแต่ใจ “กูนี่อยากรื้อฟื้นระบบโซตัสเลย”
เสียงมุ้งมิ้งที่ไม่เข้ากับหน้าคนพูดทำเอาภาคภูมิต้องปล่อยเสียงหัวเราะออกมา และด้วยความเผลอตัวไปนิด หัวคนขำเลยได้โขกกับผนังห้องเสียงดังลั่น จนอาจารย์และพี่ๆ หันมามองกันเป็นตาเดียว
ในขณะที่ภูมิไม่รู้ว่าควรจะเจ็บหรืออายเป็นอันดับแรก สัมผัสอุ่นๆ จากฝ่ามือของคนข้างๆ ก็เอื้อมมาลูบศีรษะของเขา ตามด้วยเสียงทุ้มที่บอกกับคนอื่นๆ “ไม่มีอะไรครับๆ ภูมิมันอุบัติเหตุนิดหน่อย”
เขากำลังข่มใจไม่ให้สั่นไปกับสัมผัสที่ลูบเบาๆ บนหัวตัวเอง ในตอนที่ปรนัยถามย้ำอีกรอบในเรื่องเดิม
“สรุปว่ามึงไม่ได้คุยกับไอ้ขุนใช่มั้ย”
“เออดิ กูยังไม่รู้เลยว่ามันยืนข้างกู” จำเลยยืนยันหนักแน่น
“ดีละ” พนักงานสอบสวนพึมพำ“แล้วเจ็บมั้ยเนี่ย โขกซะแรงเลย”
คำถามนั้นทำให้ภูมิรู้ตัวว่ามือหนายังแตะเบาๆ ตรงส่วนที่เจ็บ ตากลมลอบมองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่อยู่ใกล้แค่คืบ ปรนัยกำลังชะโงกมองหัวของเขาราวกับหาบาดแผลด้วยสีหน้าจริงจัง
“หัวไม่แตกหรอกมั้ง ไม่ได้เจ็บขนาดนั้น” มือขาวแสร้งปัดมือของเพื่อนที่จับศีรษะตนเองออก แม้ใจจะอยากให้สัมผัสอุ่นอยู่นานกว่านี้ แต่โลกแห่งความเป็นจริงก็เรียกร้องให้เขาต้องกลับไป ไม่ใช่ด้วยเสียง...แต่เป็นสายตา
“หือ มีไรกัน” เป็นปรนัยที่ถามออกไป เมื่อรู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังมองมาทางนี้ “ไอ้ภูมิไม่เป็นไร บอกแล้วนี่”
“อ่อออ... เออๆ” ไอ้แก้วพยักหน้ารับ แต่ตายังมองอยู่ที่เดิม
“มึง!” ชิงชิงสะกิดเพื่อนที่กำลังตาค้างก่อนพูดเสียงดังให้เพื่อนในชั้นปีได้ยิน “จารย์ธารน่าจะคุยกับปีสี่ใกล้จบละ มารวมกันตรงนี้แล้วกัน”
เมื่อภาคภูมิลุกขึ้น ปรนัยจึงเกาะไหล่เพื่อนเดินไปด้วย ระยะทางแค่ไม่กี่ก้าวนั้นกลับทำให้คนที่เดินนำหน้าหนักอึ้งไปทั้งตัวและหัวใจ
“ห่างกันมั่งก็ได้หรอกโว้ย!” เป็นแก้วที่ทนไม่ไหว เมื่อเห็นสองสมาชิก F4 เดินนัวเนียกันเข้ามาหา
“ไม่!” ร่างสูงที่กำลังทิ้งตัวนั่งตะโกนตอบเสียงดัง “แม่งชอบหายตัว”
“ไรของมึง” คราวนี้เป็นภาคภูมิที่ต้องถามบ้าง ตั้งแต่ออกจากห้องประชุมมา ไอ้เชี่ยปอก็มีอาการแปลกๆ แล้วทำตัวพิลึกคนเดียวไม่พอ ยังมาพาให้เขาใจสั่นไปด้วย
ดวงตารีหันไปสบตากับคนถามพลางหรูลมหายใจออก “ตอนกินพิซซ่าก็หนีกู ตอนเดินตลาดก็หนีกู ตอนอยู่ในห้องเมื่อกี๊ก็ยังหนีกูอีก”
“อ้าว” คนโดนต่อว่าทำหน้าไม่ถูก ก่อนจะงึมงำกับตัวเอง “ก็มึงอยู่กับคนอื่นนี่หว่า”
ปรนัยไม่ได้ยินท้ายประโยคนั้น เพราะมัวแต่ขยับที่นั่งให้อาจารย์ธารกับอาจารย์กฤตมานั่งด้วย ทำให้ภาคภูมิถอนหายใจอย่างโล่งอก ที่ไม่ต้องมานั่งอธิบายความหมายในประโยคเมื่อครู่อีก
“โอ้ ปีสามมากันครบเลย” อาจารย์ธารกวาดสายตามองสี่หนุ่มนักศึกษาเอก พร้อมเด็กที่เก็บโทปรัชญาอีกสามสี่คน เด็กๆ หัวเราะแหะๆ เพราะรู้ดีว่ามีกันอยู่เท่านี้ ถ้ายังรวมกันไม่ครบอีก เห็นทีคงต้องลาออกทั้งชั้น
อาจารย์ธารเป็นผู้นำในการอธิบายรายละเอียดงานส่วนของปีสาม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเตรียมอุปกรณ์มากกว่า ส่วนอาจารย์กฤตจะดูแลเรื่องเงิน หากใครต้องไปซื้ออะไร ก็มาเอางบไปใช้ได้ แต่ต้องมีใบเสร็จกลับมาด้วยทุกครั้ง
“เสาร์นี้มีใครว่างมั้ย ผมจะให้ไปช่วยซื้อของที่พาหุรัด”อาจารย์ธารถาม
แก๊ง F4 มองหน้ากันก่อนจะยกมือ ส่วนสิปป์ศิลป์ต้องขอตัว เพราะเอกไทยมีไปทัศนศึกษาที่อยุธยาพอดี
“โอ้ สี่คนก็โอเคแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ไว้มาช่วยทำของอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน”
นอกจากอาจารย์ธาร หรือชื่อเต็มๆ คือ ลำธาร ผู้มีหนวดเคราครึ้มกับร่างสูงใหญ่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องปรัชญาอินเดียและปรัชญาศาสนาอื่นๆ แล้ว อาจารย์ยังเป็นพราหมณ์จริงๆ ที่นับถือศาสนาฮินดูอีกด้วย เพราะฉะนั้นงานนี้อาจารย์จึงเป็นทั้งพ่องานและพราหมณ์ผู้ทำพิธีเองทั้งหมด
----------------------------
เช้าวันเสาร์ เด็กๆ ปีสามมารวมตัวกันที่หน้าภาคปรัชญา คนที่นัดพวกเขายังไม่มา แต่คนที่มาคืออาจารย์กฤต ที่วันนี้อยู่ในชุดลำลอง ทั้งหมดยกมือไหว้ผู้อาวุโสกว่าอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะเห็นว่าข้างหลังอาจารย์มีเด็กหน้าคุ้นๆ ยืนอยู่ด้วยอีกคน เมื่อน้องคนนั้นเห็นรุ่นพี่ก็ยกมือไหว้พวกเขาด้วยสีหน้าตกใจ
พอเห็นว่าอาจารย์กฤตเดินไปไขประตูภาค ชิงชิงจึงเอ่ยทักรุ่นน้องที่ยืนคว้างอยู่คนเดียว “น้องที่ได้ถือพานใช่มั้ย”
“ถือพานภาคเราอ่านะ” ปอถามต่อ พอน้องคนนั้นพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ เสียงทุ้มก็เอ่ยด้วยความพอใจ “เออ หน้าตาทำให้เอกปรัชญาดูมีราศีขึ้นมาก”
ภาคภูมิหันมองเพื่อนข้างๆ แล้วก็อดแซวไม่ได้ “ไม่เหมือนปีเราเนอะ”
“เออ” ชิงชิงรีบต่อ “เชี้ยยยยยเชี่ยยยย”
นั่นเพราะตัวแทนถือพานคือไอ้ปอ ซึ่งรันทดไร้คู่เพราะรุ่นเขาไม่มีผู้หญิง เลยต้องไปยืมตัวพี่จ๋า ที่ตอนนั้นอยู่ปี 2 ให้มาช่วยถือให้ และที่น่าอนาถกว่านั้น คือหน้าตาของพานที่ทำให้อาจารย์ผู้ได้รับถึงกับขำกลางเวที
“กูคือผู้เสียสละนะโว้ยยย” อดีตตัวแทนถือพานโวยวาย
“โทษทีทุกคน ผมแวะไปสั่งขนมมา เลยช้าหน่อย” ร่างสูงของอาจารย์ลำธารที่วันนี้ใส่เสื้อยืดของภาคกับกางเกงขาสั้นรีบเดินเข้ามาหา
“พวกผมก็เพิ่งมาครับอาจารย์”
“อาจารย์ธาร” อาจารย์กฤตเดินออกมาจากภาคพร้อมซองพลาสติกใบหนึ่ง “นี่เงินซื้ออุปกรณ์ครับ”
“โอ้ ขอบคุณมากครับ อุตส่าห์มาเปิดภาคให้ ผมนี่ไม่น่าลืมเลย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมต้องแวะมาพอดี” อาจารย์หนุ่มที่วันนี้ดูผ่อนคลายกว่าทุกวันเอ่ยยิ้มๆ “เอ้อ เดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ ต้องไปทำธุระต่อ”
บอกลาอาจารย์รุ่นพี่เสร็จก็หันไปพยักหน้าให้นักศึกษาที่มาด้วย เด็กน้อยยกมือไหว้รอบทิศก่อนจะเดินก้มหน้างุดๆ ตามอาจารย์ที่ปรึกษาไป
“เดี๋ยวเราไปกันเลยแล้วกัน จะได้ไม่สายมาก รถผมจอดอยู่ข้างหลัง” อาจารย์ธารเดินนำเด็กๆ ไปตามถนนด้านหลัง หากในใจยังครุ่นคิดถึงอาจารย์รุ่นน้องกับนักศึกษาคนเมื่อครู่ไม่คลาย
พาหุรัดยามสาย กับดงบังทั้งหลาย...
ภาคภูมิเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมจารย์ธารต้องพาลูกศิษย์ชายฉกรรจ์มาด้วยถึง 4 คน หนึ่งคือของที่ต้องซื้อนั้นเยอะมาก ต้องใช้แรงงานแบกกลับไป สองแดดร้อนเกินกว่าจะเดินซื้อทีละอย่าง ดังนั้นการกระจายกำลังจึงสำคัญ และสาม อาบังที่อยู่กันเป็นดงแม่งงงง แทบจะจับกูแดกอยู่แล้วววว
บังมึง! ไม่ต้องแสดงอภินิหารของแป้งอะไรให้กูดูแล้ว กูร้อน! เหนื่อย! เหม็น! กูมาซื้อแค่ผงสี อย่ารั้งกู! ม่ายยยยยย!
“พีพีใจเย็น!” ปรนัยถึงกับร้องบอกเพื่อน เมื่อเห็นคนข้างๆ กำลังง้างหมัดจะต่อยแขก
คนถูกห้ามทำท่าฮึดฮัด หัวคิ้วขมวดมุ่น ใบหน้าขาวที่เต็มไปด้วยเหงื่อนั้นก็ดูมอมแมมจนอีกคนแอบขำ เมื่อเห็นสภาพของเพื่อนแล้ว สุดท้ายปอเลยใช้เงินส่วนตัวซื้อผงแป้งมหัศจรรย์อะไรนั่นมาถุงหนึ่ง เพื่อตัดปัญหาให้บังปล่อยตัวออกจากร้านเสียที
ตอนนี้เขากับภาคภูมิเดินอยู่ในตรอกเล็กๆ เพื่อตามหาของอีกสองอย่าง ส่วนแก้วกับชิงชิงแยกกันไปอีกทาง ในขณะที่อาจารย์ธารแวะไปพบท่านบัณฑิตเพื่อเชิญมาร่วมงาน ก่อนจะนัดเจอกันอีกทีที่ห้างกลางพาหุรัด
“ร้านนี้ปะวะ” ภูมิคลี่กระดาษที่อาจารย์จดชื่อร้านไว้ให้ เมื่อดูแล้วว่ามาถูกที่ พวกเขาก็รีบเข้าไปทันที
แขกที่นี่พูดภาษาไทยได้ทุกคน แต่เขาไม่มีอารมณ์จะคุยด้วย จึงยื่นลิสต์ของที่ต้องการให้เจ้าของร้านจัดการให้ ขณะยืนรอของ มือเรียวจึงโบกพัดเรียกลมเพราะร้อนเกินจะทนไหว ก่อนจะรู้สึกถึงลมเย็นเบาๆ จากด้านข้าง
“เฮ้ย! ไม่เป็นไรมึง” กระดาษจดโพยอีกใบในมือของปรนัยกำลังทำหน้าที่พัดลมมือถือให้กับเพื่อนสนิท
“เอาเหอะ มึงดูไม่ค่อยโอเคเลย” คำว่าไม่ค่อยโอเคที่ปอว่า ก็คือใบหน้าขาวซีดที่ชื้นเหงื่อ กับริมฝีปากแห้งผากราวกับคนขาดน้ำ และร่างกายที่ดูไร้เรี่ยวแรงจนเขาไม่กล้าเดินห่างไปไหนไกล
“กูโอเค” ภาคภูมิตอบพลางยืนยันหนักแน่น “จริงๆ”
อีกฝ่ายดูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ร่างสูงโปร่งชะเง้อเข้าไปในร้าน เห็นว่าคนขายยังหาของให้ไม่เสร็จ เลยบอกเพื่อนให้รออยู่ในนี้ ก่อนตัวเองจะแว่บออกไปซื้อน้ำที่ร้านใกล้ๆ
ภาคภูมิถอนหายใจกับความใจดีของเพื่อนสนิท ตลอดสามปีมานี้ สิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่อีกคนทำให้และความใส่ใจที่ได้รับอยู่เสมอ ทำให้เขาค่อยๆ เผลอใจทีละนิด จนที่สุดแล้วมันก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่อยู่ และในเมื่อมันเป็นไปแล้ว สิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ทุกวันก็คือบอกกับตัวเองว่า ปรนัยเป็นเพื่อนที่ดี ที่เขาคงไม่มีสิทธิ์อะไรไปมากกว่านั้น
แต่มันก็ไม่เคยเป็นผล...
“อะ” คนที่อยู่ในห้วงควาดคิดยื่นน้ำเปล่าขวดหนึ่งมาให้
ภาคภูมิเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนยื่นมือไปรับ แต่คนมีน้ำใจกลับชักมือกลับ ทำเอาคนรอต้องเลิกคิ้วถาม
“ลืมเปิดให้ แหะๆ” พูดพลางบิดฝาขวดน้ำออก คราวนี้ภูมิจึงได้รับน้ำเย็นเฉียบพร้อมดื่มมาไว้ในมือจริงๆ เสียที
ปรนัยมองปากเล็กๆ ที่ดูดน้ำอย่างเอาเป็นเอาตายแล้วก็ได้แต่คลี่ยิ้ม นอกจากดวงตาแล้ว องค์ประกอบทุกอย่างบนใบหน้าไอ้ภูมินี่ดูย่อส่วนไปหมด ไม่ว่าจะจมูก คิ้ว ปาก คาง หรือแม้แต่ใบหู ก็ดูเล็กจิ๋วทุกส่วน เวลามองแล้วตลกดีเหมือนกัน
“อันนี้ครบทุกอย่างแร้วขรับ” ในที่สุดเจ้าของร้านก็แบกถุงใบใหญ่ออกมา ก่อนจะชี้แจงว่ามีอะไรและราคาเท่าไรบ้าง
ปอรับถุงนั้นมาถือไว้ ในขณะที่ภูมิกำลังเก็บเงินและบิลค่าของลงกระเป๋า
“เสร็จละ” เหรัญญิกร้องบอก ก่อนจะยื่นมือไปช่วยอีกคนถือบ้าง
“ช่วยถือน้ำกับแป้งแล้วกัน” ของจากร้านที่แล้วกับถุงพลาสติกใส่น้ำอีกขวดถูกเปลี่ยนมือมาไว้กับภาคภูมิ
“นี่ครบแล้วปะ”ปรนัยร้องถามเพื่อน
โพยในกระเป๋าถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง “อืม ของเราได้หมดแล้วนะ”
“เยสสส งั้นไปห้างนั้นกันเลยมะ”
พอภาคภูมิพยักหน้ารับ ร่างสูงโปร่งจึงเดินนำไปตามถนนที่ป้ายชี้ไปยังห้างสรรพสินค้าอันเป็นจุดนัดหมาย พาหุรัดวันเสาร์อัดแน่นไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ ไหนจะพ่อค้าแม่ค้าที่แบกเทิร์นของไว้บนหัวคอยจะเดินสวนไปมา ไหนจะของพะรุงพะรังเต็มมือ ทำเอาแต่ละก้าวนั้นยากลำบากกว่าปกตินัก อาศัยว่าคนเดินนำหน้ารูปร่างสูงใหญ่ จึงคอยแหวกทางให้อีกคนเดินตามมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นการจะก้าวให้ทันปรนัยก็เป็นเรื่องยากและเหนื่อยสำหรับภูมิอยู่ดี
“พีพี” คนเดินนำหันกลับมาเรียกเพื่อนที่ควรเดินตามมาด้วยแต่กลับไม่มี ร่างสูงชะเง้อมองผ่านผู้คนมากมายแล้วก็ยังไม่เห็นเพื่อนสนิท ความร้อนใจทำให้เขาวิ่งย้อนกลับไปทางเดิม จนเห็นคนที่กำลังตามหายืนหันซ้ายหันขวาด้วยสีหน้าวิตก พร้อมโทรศัพท์ที่แนบหูอยู่
“พีพี!” ปอเรียกเพื่อนอีกครั้ง คราวนี้คนที่พลัดหลงกันหันมาตามเสียง ก่อนใบหน้าขาวจะฉายแววดีใจอย่างปิดไม่มิด
“โทรหากูเหรอ” ตารีเล็กมองไปยังโทรศัพท์ที่อีกคนยังถืออยู่
“เอ้ย! ลืมวาง!” อุทานแล้วก็รีบปิดมือถือยัดใส่กระเป๋าเหมือนเดิม
“โทษที มัวแต่วิ่งมา เลยไม่รู้ว่ามึงโทรเข้า” เสียงภูมิบอกว่าไม่เป็นไร ปรนัยจึงใช้มืออีกข้างที่ยังว่างรวบร่างของคนหลงให้เดินมาพร้อมกัน
“มึงเดินเร็วอะ” ภาคภูมิอดบ่นไม่ได้ เดินๆ อยู่ดีๆ แม่งหายไปซะงั้น
“เป็นไงล่ะ” ปรนัยเอ่ยยิ้มๆ ทำเอาอีกคนร้องถามด้วยความสงสัย
“อะไร?”
“ก็ความรู้สึกของคนถูกทิ้งอะ เป็นไง” พูดจบก็รอดูปฏิกิริยาของเพื่อนสนิท ตอนแรกภาคภูมิทำหน้างง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นก้มหน้าแล้วด่าเขาว่า ‘ไอ้สัด’ เมื่อนึกได้ว่าถูกเขาประชดเพราะตัวเองก็ชอบทิ้งเขาไว้กลางทางเหมือนกัน
“กูไม่เคยทิ้งมึงเหอะ” อีกฝ่ายแก้ตัว
“โห...ไม่ทิ้งเล้ยยย”
“กูแค่...” อยู่ๆ ปลายเสียงก็เงียบไป
“หืม?”
“แค่...เปิดโอกาสให้มึง”
ใบหน้าคมหันมามองคนพูดทันควัน “เปิดโอกาสให้กูเนี่ยนะ?”
“เออดิ”
“ยังไงวะ ไม่เข้าใจ”
ภูมิถอนหายใจ “ก็มึงกับพี่จ๋าไง!”
น้ำเสียงหงุดหงิดจากเพื่อนทำให้ปอยิ่งงงหนัก “กูกับพี่จ๋า? ทำไมอะ”
คราวนี้ภาคภูมิหยุดเดิน และหันมาประจันหน้ากับเพื่อนทันที “มึงชอบพี่จ๋าใช่มั้ย กูเห็นมึงกับเค้าอยากอยู่กันสองคน กูก็เลยหลีกให้ มีกูอยู่ด้วยคง...”
“ภูมิ...ภูมิ!” ปรนัยเรียกเพื่อนด้วยชื่อจริงๆ ไม่ใช่ฉายาที่ตัวเองตั้งให้อย่างที่ผ่านมา ทำให้เจ้าของชื่อต้องชะงักคำพูดเพราะความจริงจังในน้ำเสียงนั้น
“กูยังไม่ได้คิดอะไรกับเค้าขนาดนั้น คือชอบพี่จ๋ามั้ย มันก็...นิดๆ อะ แบบปลื้มๆ คุยด้วยแล้วสนุกดี แต่มึงอะคิดไปไกลละ” มือข้างที่ถือของอยู่ถึงกับวางสัมภาระลงบนพื้น “อะไรที่มึงคิดแม่งไม่ใช่เลยเว้ย ต่อไปไม่ต้องเปิดทางอะไรให้กู กูอยู่กับมึงก็เพราะกูอยากอยู่ ถ้ากูอยากอยู่กับพี่จ๋า กูก็ไปหาเค้าเองแล้ว”
ตากลมโตกะพริบปริบๆ เมื่อฟังเพื่อนอธิบายจบ ภาคภูมิคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ คิดไม่ออกแม้กระทั่งว่าความเจ็บปวดในหลายๆ วันที่ผ่านมามันหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาได้ยังไง
ดงบังนี่แม่งต้องมีเวทมนตร์แน่ๆ
“อ้าว...พีพี จะไปไหน” ปรนัยรวบของบนพื้นมาถือไว้ลวกๆ ตอนวางก็อารมณ์กรุ่นไปหน่อย จนลืมคิดว่าอยู่กลางถนนที่คนยิ่งกว่าหนอน ดีไม่ถูกเตะกระจาย พอของครบก็รีบเร่งเท้าตามเพื่อนสนิทที่อยู่ๆ ก็เดินหนีไปซะอย่างนั้น
“เชี่ย ทีงี้ล่ะเดินเร็วเลย” ร่างสูงโปร่งหอบน้อยๆ เมื่อเดินตามอีกคนทัน
“ขอโทษว่ะ” ภาคภูมิเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“เฮ้ย ไม่เป็นไร กูก็พูดไปงั้น”
“ไม่ใช่” ใบหน้าขาวเงยขึ้นสบตากับคนข้างๆ “ขอโทษที่เคยทิ้งมึง”
คนได้ฟังคำขอโทษไม่ตอบอะไร มีเพียงรอยยิ้มกว้างกับมืออุ่นๆ ที่คว้าไหล่ภาคภูมิให้เดินไปด้วยกัน
-----------------------------
“โอ้ ได้ของครบกันหมดเลยเหรอเนี่ย ขอบคุณทุกคนมากๆ” เมื่อไก่ทอดชุดคอมโบสองเซตหมดลง อาจารย์ธารจึงเช็กของที่เด็กๆ ซื้อมา สมาชิก F4 นั่งผึ่งพุงกันอย่างมีความสุข เพราะภารกิจอันหฤโหดเสร็จสิ้นลงแล้ว
“เก่งมากเลยๆ งั้นเดี๋ยวเราไปซื้อผ้ากันต่อเลยแล้วกัน”
“หาาา! ซื้อผ้า!”
แล้วสี่หนุ่มปี 3 แห่งเอกปรัชญา ก็ต้องไปเดินเลือกผ้าในพาหุรัดต่อจนถึงเย็น...
--------- TBC. ---------
เดตสุดฮอตกลางพาหุรัดค่ะคุณ! 55555555555
ตอนนี้พี่จ๋าไม่ว่างมาเข้าฉาก ใครที่คิดถึงรอตอนหน้านะ *อย่าขว้างของใส่คนเขียน ฮือออ*
ปล. อย่าว่าแต่เด็กปีสี่ในเรื่องงงเรื่องเปลี่ยนการเปิดเทอมต้อนรับ AEC เลยค่ะ
คนเขียนก็งงเหมือนกัน จบมานานเหลือเกิน
ถึงกับต้องถามอาจารย์ว่าสมัยนี้เค้าเรียนกันตอนไหน ฉับฉนไปหมด
เจอกันตอนหน้าค่า บ๊ายบาย