Meow 6
“ออกมาเดี๋ยวนะไอ้กระปู๋แมว ออกม๊า!!”
เสียงดังเงี้ยวง้าวอยู่หน้าลานต้นโพธิ์ทำเอาคนที่สัญจรผ่านไปมาต่างหันมองควับด้วยความสงสัย ถ้าเป็นสุนัขคงเรียกเห่า แต่นี่เป็นแมว...แถมยังมาร้องประท้วงอยู่หน้าต้นโพธิ์ไม่ยอมหยุดตั้งแต่เก้าโมงเช้า
ต้องเรียกว่าอะไรหรอ...แมวเห่า?
“ถ้าแกไม่ออกมาชั้นจะฟ้องแก ชั้นจะบอกแมวในระแวกนี้ให้เลิกเคารพแกให้หมด แล้วชั้นก็จะจองล้างจองผลาญแกไปตลอดชีวิต ออกมาในโว้ยยยไอ้กระปู๋แมว ออกมาเดี๋ยวนี้!!”
นาทีนี้ไม่มีแล้วคำว่าเทพเจ้าหรือมนุษย์ มีเพียงแค่คุณมิวนิคกับไอ้ปู่แมวเท่านั้น จะโดนสาปเพิ่มก็ให้มันรู้ไปสิวะ ชีวิตคงไม่มีอะไรซวยไปกว่านี้แล้วแหละ!
และเหมือนมลภาวะทางเสียงที่เขาสร้างขึ้นจะเป็นผล เพราะในที่สุดไอ้ปู่แมวบ้าก็ได้ฤกษ์ออกมาซักที หน็อย...ยังมีหน้ามาทำเสียงเบื่อโลก มันต้องเป็นเขาต่างหากละโว้ยที่ควรทำเสียงแบบนั้น
“อะไรอีกมิวมิว แกนี่มันวุ่นวายจริงๆ เลยนะ”
โอ้โห...ขึ้นตรงคำว่ามิวมิว ก็รู้อยู่ว่าชื่อมิวนิคยังจะมาเรียกชื่อแมว นี่มันกะล้อเขาชัดๆ นี่หว่า เป็นต้นเหตุไม่พอยังบูลลี่กันอีก ปัดโถ่เว้ย...ทำไมเขาถึงวิ่งทะลุผ่านร่างมันตลอด จะข่วนหน้าให้หายแค้นก็ทำไม่ได้
“นี่มันเรื่องอะไรกันวะปู่ คำสาปคลายแล้วไม่ใช่รึไง แล้วทำไมถึงสาปให้ผมกลายเป็นแมวอีก”
“เฮ้อ...เสียเวลาคนทำงานจริงๆ” อีกฝ่ายทำท่ากุมขมับน่าตบ เพ่งพินิศมองแมวน้อยขี้โวยวายตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมาได้เอง “แล้วใครบอกเอ็งฮะว่าคำสาปคลาย”
“กะ...ก็...”
จริงด้วยสิ ไม่มีใครบอกซักคน เขาก็แค่ตื่นขึ้นมาในร่างมนุษย์ แต่นั่นมันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรอว่าคำสาปได้คลายลง ก็ร่างเขาคืนกลับเป็นมิวนิคตามเดิมแล้วอ่ะ
“กรรม นี่ชั้นยังไม่ได้บอกแกสินะ” เทพเจ้าในร่างมนุษย์ยกมือเกาหัวแกร้กกร้ากพลางหลุดหัวเราะ
“บอกอะไร” ขมวดคิ้ว เอียงศีรษะสงสัย
“ก็ทุกวันอาทิตย์แกจะกลายร่างเป็นคนเหมือนเดิม”
“หาา?”
สิ้นประโยคคนฟังก็อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อรูหู จะว่าดีใจก็ดีใจ จะว่าโกรธก็โกรธ มันเป็นความรู้สึกอึนๆ ที่กำลังตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด หมายความว่า...ในหนึ่งอาทิตย์เขาจะเป็นไอ้แมวมิวมิวแค่หกวัน ส่วนอีกหนึ่งวันเขาจะกลับเป็นมิวนิคงั้นหรอ!?
“คำสาปก็มีวันหยุดนะไอ้หนู ให้คำสาปได้พักบ้าง”
เวรเอ๊ย เหมือนทำเล่นๆ อ่ะ มิวนิคหลุดถอนหายใจด้วยความเซ็งขั้นสุด เริ่มมีความคิดว่าตกลงแล้วไอ้กระปู๋แมวมันต้องการจะสั่งสอนเขาให้รู้จักความหมายของชีวิตจริงๆ หรือแค่อยากจะกลั่นแกล้งกันแน่
“เรื่องมันโคตรบ้า”
“หึหึ...มีธุระแค่นี้ใช่มั้ย ทีหลังมีอะไรให้เรียกวันอาทิตย์เพราะข้ากลับโลกมนุษย์พอดี บุญของเจ้านะที่วันนี้ข้าต้องแวะเข้ามาตรวจพื้นที่ ไม่งั้นคงได้เห็นแมวขาวมณีแหกปากคอแตกตาย”
“จ้ะ!” แมวน้อยกัดฟัดตอบ ปากแบบนี้ควรเป็นเทพเจ้าหมามากกว่าเทพเจ้าแมว
ราวกับธารแห่งความโกรธเหือดแห้งลงไปเปราะนึง อาจเพราะหมดคำจะต่อเถียง ชะตาชีวิตของตนเองตอนนี้เขากำหนดอะไรไม่ได้เลย ต่างจากเมื่อก่อนที่ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุม มันทั้งสิ้นหวังแล้วก็หมดแรงจะกลายเป็นคนร้ายๆ เหมือนเก่า ตอนนี้มีแค่มิวนิคคนกาก
ไม่สิ...ต้องมิวมิวแมวกาก
“นี่ปู่...”
“หืม?” เจ้าของเสียงหันกลับมามองแค่เพียงเสี้ยวหน้า
“ถ้าปู่เป็นเทพจริง ปู่ก็น่าจะรู้ใช่ปะว่าผมไม่ได้เป็นคนเลวขนาดนั้น” น้ำเสียงจริงจังทำเอาร่างที่กำลังจะเลือนหายถึงกับต้องหยุดชะงักฟัง “เพราะงั้น...ผมจะรีบหาความหมายของชีวิตให้เจอ แต่ยังไงผมก็อยากให้ปู่ปราณีผมด้วย อย่าใจร้ายกับผมให้มากเข้าใจเปล่า”
“หึ โตขึ้นมาหน่อยแล้วนี่มิวนิค”
เพราะหน้ากากไม่ได้ปิดบังจนหมดใบหน้า เขาจึงแอบเห็นผิวกายด้านในที่กำลังอมยิ้ม ปู่แมวไม่ได้แก่ คล้ายจะเป็นผู้ชายคนนึงที่แค่สวมหน้ากากแมวเท่านั้น อีกอย่าง...เมื่อกี้ที่พูดไปก็เพราะรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ เขากำลังเล่นอยู่กับเรื่องเหนือธรรมชาติ ถ้าจะให้ดื้อรั้นอย่างเคยผลลัพธ์ก็คงออกมาเป็นแบบเดิม เฮ้อ...
ไหนๆ ก็ซวยขนาดนี้แล้ว ทนซวยต่อไปอีกหน่อยก็แล้วกัน
ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงหอพักบ้านสุขใจ ถ้าถามว่ามายังไงก็คงตอบว่าปีนป่ายตามหลังคาคลำทางมาเรื่อย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาก็ไม่คิดหรอกว่าตนเองจะทำได้ สงสัยจะเป็นความสามารถของแมว
ทีแรกกะว่าจะไปอยู่กับสายหมอก อย่างน้อยถ้าฝั่งนั้นรู้ความจริงก็ยังมีแนวโน้มว่าเจ้าตัวจะช่วยเหลือเขาได้ ใช่เลย...เขาไว้ใจเพื่อนชายคนนี้มาก ทว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะทันทีที่ไอ้เพื่อนรักเปิดประตูเข้ามาตามในห้องเมื่อเห็นว่าเขายังไม่ลงมาซักที ผื่นแดงก็ผุดขึ้นจนเกือบแทบทั้งตัว
สายหมอกแพ้ขนแมว...
แพ้ขั้นรุนแรงถึงขนาดที่ว่าต่อให้ยังไม่ได้สัมผัสกัน แค่นั่งลงบนที่นอนที่มีขนแมวร่วงอยู่ผื่นก็ขึ้นแล้ว เป็นความลับที่มันไม่เคยบอกเลยซักนิด ไม่ต้องถามเลยว่าเหตุการณ์ต่อจากนั้นเป็นยังไง ครับ...ไอ้หมอกร้องจ๊ากพร้อมวิ่งเป็นแต๋วแตกออกไปจากห้องแทบไม่ทัน
ตัดช้อยส์ผู้ช่วยเหลือคนแรก
เขากลับมาถึงห้องตอนสิบโมงเช้า เนื่องจากห้องแม็กซ์เวลอยู่ชั้นสาม แถมมีสกิลปีนป่ายที่เพิ่งอันล็อคมาจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร เท้าขาวๆ เขี่ยเปิดประตูระแนงเดินดุ่มๆ เข้าไปในห้อง เพราะไม่อยากให้ห้องอากาศอุดอู้ตาเจ้านายของเขาจึงไม่ชอบปิดประตูกระจก
แน่นอนว่าอีกฝ่ายไปทำงานแล้ว ทั้งห้องถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดพร้อมปลาทูทอดหนึ่งตัวในชามข้าวแมว มิวนิคกล่าวทักทายเหล่าแคคตัสข้างหน้าต่างแม้จะรู้ว่าไม่สามารถสื่อสารกับพืชได้ ดีแล้วแหละ...แค่คุยกับสัตว์ด้วยกันรู้เรื่องก็ปวดหัวจะแย่
“ไง แอนโธนี่”
กระโดดขึ้นมาเคาะโหลกระจกพร้อมนอนตะแคงบิดขี้เกียจคุยกับคู่สนทนาหลังจากจัดการปลาทูทอดจนหมด ถ้าไม่กลายเป็นแมวอย่าหวังเลยว่าคุณมิวนิคจะยอมกินปลาทูทอดเปล่าๆ แบบนี้ เสียศักดิ์ศรีบ้านวัชรโภคินทร์ชะมัด!
“อืม กลับมาแล้วสินะ”
“โห...ไม่ห่วงกันบ้างเลยหรอ นี่หายไปตั้งสองวัน”
ว่าด้วยน้ำเสียงตัดพ้อใส่ตัวจิ๋วที่กำลังขะมักเขม้นกับการขุดเจลสีฟ้าไม่รู้จักเบื่อ ดูเหมือนตาแว่นจะมาเติมเจลเพิ่มให้เจ้ามดดำแล้วแฮะ แถมยังมีป้ายชื่อกระดาษเขียนด้วยลายมือแปะติดว่าแอนโธนี่ด้วย แหม...กลัวคนอื่นไม่รู้หรือไงว่ามดตัวเองชื่อแอนโธนี่ หมั่นไส้ว่ะ
“พวกแมวก็อยู่ไม่ติดบ้านอยู่แล้วปะ”
รู้ดีเก่ง! เคยเกิดเป็นแมวรึไงไอ้มดบ้านี่ มิวนิคกระโดดลงจากชั้นไม้ ทิ้งตัวลงกับฟูกเตียงอย่างขี้เกียจ กลิ้งเกลือกไปมาไร้จุดหมาย ลมเย็นๆ ของหอพักบ้านสุขใจที่พัดผ่านเข้าทางหน้าต่างช่างชวนง่วงไปเสียทุกวินาที ว่าก็ว่าเถอะ...ตาเจ้านายของเขามาเสาะแสวงหาหอนี้เจอได้ยังไงกัน โลเคชั่นดี๊ดี เหมาะแก่การนอนมาก
“ฮ้าว...ฝันดีแอนโธนี่”
ฝันกลางวันน่ะ...
รู้สึกตัวอีกทีตะวันก็คล้อยลับฟ้าจนผ่านพ้นมาถึงช่วงค่ำ มิวนิคสะดุ้งตื่นอย่างงัวเงียเมื่อเสียงบานประตูถูกเปิดออก เป็นภาพชายหนุ่มแว่นหนาที่กำลังลอบถอนหายใจเหมือนโล่งอกอะไรบางอย่างเดินตรงเข้ามาใกล้
“หายไปไหนมา”
คนพูดช้อนร่างสีขาวบริสุทธิ์ขึ้นมาไว้ในอ้อมกอด ฝังจมูกลงบนศีรษะทุยๆ ของแมวน้อยขี้เซา ถึงคุณป้าเจ้าของหอจะบอกว่าเป็นเรื่องปกติที่แมวตัวผู้ชอบหนีออกจากบ้าน แต่แม็กซ์เวลก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ก็เจ้ามิวมิวยังมาอยู่ห้องเขาไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์เลย
“ม๊าวว (ปล่อยน่า อึดอัด) ”
“คิดถึงเหมือนกันสินะ”
“เมี้ยว (มั่วตลอด) ”
มิวนิคถูกจับวางลงบนตักกว้าง หลังร่างสูงทิ้งก้นลงนั่งขัดสมาธิบนฟูกเตียง พิงแผ่นหลังกับผนังสีเทา เปิดสวิทซ์ไฟคริสมาสต์สีส้มด้านบนให้ห้องดูไม่มืดจนเกินไป สัมผัสอ่อนๆ จากลมกลางคืนราวกับกำลังขับกล่อมให้หนังสืออะไรซักอย่างในมือหนามีอรรถรสมากขึ้น
แมวน้อยมองดวงหน้าด้านหลังกรอบแว่นด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด เขาว่านายแว่นเป็นคนน่าเบื่อ เฉิ่มเบ๊อะ แถมยังเห่ยหลุดโลก ยกเว้นเฉพาะเพียงตอนนี้ ตอนที่อีกฝ่ายกำลังจดจ่อสมาธิไปกับหนังสือ
มันช่างดูมีเสน่ห์...
เคยได้ยินมาว่าคนเราเวลาได้ทำในสิ่งที่ชอบมักจะแสดงเสน่ห์ที่แฝงอยู่ออกมาโดยไม่รู้ตัว เสน่ห์ที่สามารถทำให้คนน่าเบื่อกลับกลายเป็นน่าสนใจ ซึ่งแม็กซ์เวลกำลังเป็นอยู่
แมวเหมียวเอียงศีรษะสงสัย...ใช่คนคนเดียวกันกับที่เอาดอกกุหลายสุดเชยมาให้เขาจริงๆ น่ะหรอ ดูท่าประโยคที่ว่า ‘จงอย่าตัดสินหนังสือแค่เพียงหน้าปกของมัน’ จะมีความหมายชัดเจนขึ้นมาทันตา
“เมี้ยว (นี่) ” ส่งเสียงร้องเรียก เงยมองเจ้าของตักอบอุ่น
มันอบอุ่นราวกับเขาสามารถนอนบนตักนี้ได้ทั้งวัน ยิ่งถ้าเป็นหน้าหนาว อากาศเย็นๆ คงไม่อยากลุกออกไปไหน นึกๆ ดูแล้ว...ความรู้สึกแบบเดียวกันที่ได้สัมผัสล่าสุดก็คงเป็นตอนนอนตักคุณพ่อ โห...ตาหมอนี่มีมุมเหมือนคุณพ่อเขาด้วยหรอเนี่ย
“หืม?”
จุ๊บ!
เหมียวน้อยเขย่งตัวขึ้น ทาบฝ่าเท้าด้านหน้าทั้งสองกับแผ่นอกหนอนหนังสือ แตะริมฝีปากตนเองลงบนริมฝีปากอีกฝ่าย คนถูกจูบชะงักแน่นิ่งไปซักพักเพราะไม่คิดว่าเจ้าเหมียวจะเล่นอะไรแบบนี้
ในนิทานเจ้าชายกบที่ถูกสาป เจ้าชายได้รับข้อแม้ว่า...จะสามารถกลับกลายเป็นมนุษย์ก็ต่อเมื่อได้รับจุมพิตจากรักแท้ มิวนิคไม่คิดหรอกว่าตาทึ่มนี่จะเป็นรักแท้ของเขา เฉิ่มก็เฉิ่ม เด๋อก็เด๋อ แถมยังเห่ยสุดๆ
ทว่าใครจะไปรู้...บางทีไอ้เทพเจ้ากระปู๋แมวบ้าอาจมีความคิดจับเขาคลุมถุงชนกับตาแม็กซ์เวลก็ได้ เอ้อ...แล้วมันจะทำแบบนั้นไปทำวะ กามเทพก็ไม่ใช่
แต่ที่แน่ๆ ลองดูก็ไม่เสียหาย ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้รังเกลียดเรื่องพรรค์นี้ อีกอย่าง...การจูบเป็นอะไรที่เบสิค ถ้าต้องจูบคนแปลกหน้าแล้วคำสาปคลายลงก็คุ้มที่จะเสี่ยง
แช่ริมฝีปากไว้อยู่พักหนึ่งก่อนจะผลักออก ดวงตาสีฟ้าจ้องมองเจ้านายตัวโตที่กำลังอมยิ้มจางๆ เหมือนพอใจ วินาทีนั้นมิวนิครู้เลยว่านิทานเจ้าชายกบเป็นแค่เรื่องแต่งหลอกเด็ก หรือไม่...การจูบเพื่อคลายคำสาปก็โคตรไร้สาระ เชื่อเขาเลยมิวนิค...จูบกับตาแว่นเฉิ่มเบ๊อะเนี่ยนะ
“หึ อยู่ดีๆ ก็มาจูบ”
“เมี้ยว! (เปลืองตัวชะมัด) ” สะบัดก้นลุกหนี
“อ้าว...จะไปไหนล่ะมิวมิว มานอนตักกันก่อนสิ”
ʕ = •́ .̫ •̀ = ʔ
คนที่สบายที่สุดก็คือคนที่ไม่ต้องทำอะไร อยู่บ้านเฉยๆ มีเงินใช้ มีข้าวให้กิน มีที่นอนให้หลับ มิวนิคคิดว่าตัวเขากำลังเข้าใกล้ความสบายที่ว่านั้น หากแต่มันกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกถึงความสุขเลยแม้แต่นิด
มันโคตรน่าเบื่อ
“เฮ้ออออ”
เบื่อ เบื่อ เบื่อ ไปเรียนก็ไม่ได้ เพื่อนก็ไม่ได้เจอ ปาร์ตี้หรออย่าหวังเลย ทำไมชีวิตมันถึงน่าเบื่อแบบนี้ สิ่งมีชิวีตสีขาวกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียง ลอบถอนหายใจเบื่อหน่ายคล้ายจบสิ้นแล้วคราบเพอร์เฟ็คชั่นนิสต์แห่งคณะนิเทศศาสตร์
“นี่ แอนโธนี่ ไม่เบื่อหรอ”
เปลี่ยนมาเกาะกระจกถามเพื่อนร่วมห้องตัวจิ๋วที่ยังคงขะมักเขม้นกับการขุดเจลสีฟ้าได้ทั้งวัน อยากรู้จริงๆ เลยว่าพวกมดเคยหลับนอนกันบ้างมั้ย ขยันขันแข็งเสียจนเขากลายเป็นตัวขี้เกียจประจำห้อง
“คนที่กำลังเบื่อมันแกไม่ใช่รึไง”
“ก็มันไม่มีอะไรทำนี่นา”
“ก็นอนไปสิ”
“อีกนิดคือตายแล้วนะ”
มดขี้รำคาญหันมาจิ๊ปากก่อนจะเริ่มเล่านิทานตั๊กแตนกับมด มิวนิครีบเบรกทันทีเพราะเจ้าตัวเล่ามาแล้วเป็นรอบที่สิบสาม อย่างว่า...สมองก็แค่นั้นคงมีลืมๆ ไปบ้าง อีกอย่าง...ไอ้นิทานมดกับตั๊กแตนเขาก็เคยฟังมาแล้วตั้งแต่ยังเด็ก โว้ยไม่เห็นจำเป็นต้องให้มดมาเล่าซ้ำเลย
“เบื่อนักก็ออกไปเล่นข้างนอก”
“เล่นข้างนอก?” ดวงตาสีฟ้าเบิกโพล่งด้วยความสนอกสนใจ
“ก็พวกแมวเคยอยู่ติดบ้านที่ไหน โดยเฉพาะแมวตัวผู้”
จ้ะ รู้เก่งเหมือนเคยเกิดเป็นแมวเชียวล่ะ มิวนิคมองบนก่อนจะกระโดดลงไปนอนบนฟูกเตียงอีกรอบ พลันบิดตัวไปมาใช้ความคิด จริงสินะ...อุดอู้อยู่ห้องไปทั้งวันก็ดูเหมือนจะไม่ได้อะไร แถมการนอนหลับคงไม่ใช่ความหมายของชีวิตแน่ๆ เพราะแม้เขาจะเก็บชั่วโมงมาราธอนขนาดนี้...แต่คำสาปก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะคลาย
อีกอย่าง...ตาแม็กซ์เวลก็ไม่อยู่ห้องด้วย เฮ้อ...เหงาชะมัด
ไม่ได้นึกพิศวาสอะไรหรอก แค่เวลาอยู่ห้องกับหมอนั่นอีกฝ่ายก็มักจะชอบชวนเล่นนู่นเล่นนี่ตลอด อย่างเช่นจับวางบนตักบ้างล่ะ เกาคางบ้างล่ะ พาทำแมวลอยฟ้าบ้างล่ะ ฟังดูไร้สาระ...แต่นั่นก็เป็นเพียงช่วงเวลาเดียวที่ทำให้มิวนิคไม่เหงาเลย
“นี่ๆ แอนโธนี่ แม็กซ์เวลกลับตอนไหนอ่ะ?”
“ประมาณ ห้าโมงเย็นมั้ง...”
ประตูบานเกล็ดค่อยๆ ถูกฝีเทานุ่มนิ่มเปิดออก มิวนิคกระโจนออกทางหน้าต่าง ไต่ก้านกิ่งไม้เรื่อยมาจนถึงฝั่งหน้าล็อบบี้ หอพักบ้านสุขใจนับว่าเป็นหอที่อุดมไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เหมือนเขาอยู่ในอเมซอนหากแต่ยังให้ความรู้สึกปลอดภัย สิ่งที่แตกต่างจากหอพักอื่นๆ เลยก็คือลมธรรมชาติเย็นสบายโดยไม่ต้องพึ่งแอร์
มิวนิคกลิ้งเกลือกไปมาบนพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบหน้าตุ๊กตาเทพเจ้ากวนอูขนาดเท่าเอวมนุษย์ ดูเหมือนข้างล่างก็อากาศดีไปอีกแบบ สงสัยช่วงนายแว่นทำงานเขาคงต้องแว้บลงมาเล่นแถวนี้บ่อยๆ
เป็นตอนนั้นเองที่จู่ๆ ก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสอันเสียววาบไปทั่วแผ่นหลัง ดวงตาสีเหลืองกร้าวจ้องมองมาแต่ไกล ก่อนเจ้าถิ่นตัวสีดำเว้นแต่ปลายเท้าสีขาวจะค่อยๆ เยื้องย่างกายเข้ามา
“เห้ย แกอ่ะ มาอยู่ใหม่เรอะ”
อีกฝ่ายถามพลางเดินวนดูรอบๆ จมูกยื่นมาดอมดมฟุดฟิด แถมยังเอาเท้ามาแตะๆ เหมือนเช็คอะไรบางอย่าง คนถูกสัมผัสตัวเกร็งเพราะกลัวถูกทำร้าย ไอ้แมวนี่หน้าตามันเอาเรื่องอยู่แฮะ ขืนโดนกัดขึ้นมาเขาคงสู้ไม่ได้ เก่งก็จริง...เก่งแต่ปาก เรื่องชกต่อยเคยสู้ใครไหวที่ไหนกัน
“...อื้อ” ตอบอ้อมแอ้ม เหลือบมองดวงตาสีเหลืองช่างสงสัย
“ชื่อไรฟะ”
แหม นักเลงจริงเชียวพี่ชาย “เอ่อ...มิวมิว”
“ชื่ออะไรน่ารำคาญ คิดว่าแบ๊วมากมั้ง”
“อ้าว...แล้วนายชื่อไร”
“ชิโน่”
จ้ะ ไม่แบ๊วเลยมึงอ่ะ คนถูกเขม่นมองบนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนกับพื้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ อีกครั้ง น่าประหลาดใจตรงที่ไอ้นักเลงเมื่อครู่ก็ทิ้งตัวลงมาตาม แถมยังนอนหงายขยับขาทั้งสี่ทำท่าดุ๊กดิ๊กไม่สนใจใคร
เดาทางยากจังเลยแฮะ
“แมวเขานอนกันแบบนี้”
“อ๋อ...หรอ”
แกล้งทำตามบ้าง เออว่ะ...สบายดี เมื่อก่อนก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมแมวชอบนอนท่าแปลกๆ อย่างเช่นบิดตัวเป็นเกลียว ทำคอหักคล้ายกำลังจะตาย หรือเข้าไปอยู่ในที่แคบๆ แต่ตอนนี้เข้าใจแล้วแหละ ก็มันสบายชะมัด สบายเสียจนเริ่มง่วง
“นี่...แก ชื่อไรนะ มิวมิว?”
“อื้อ...” ความจำสั้นรึไง ก็เพิ่งบอกไปเมื่อตะกี้
“สนใจอยากมีลูกพี่ปะ”
ช่างเป็นสัตว์ที่แสวงหาอำนาจอะไรเยี่ยงนี้ คิดว่าหมดยุคล่าอาณานิคมไปแล้วนะเนี่ย มิวนิคแทบจะหลุดขำกับท่าทางสุดจริงจัง แล้วดูมองเข้า...สงสัยพี่แกคงไม่ได้พูดเล่น แต่เอาเถอะ...ช่วงนี้ไม่มีอะไรทำเพราะว่างแบบสุดๆ อีกอย่าง...ลองเป็นลูกน้องคนอื่นดูบ้างก็อาจจะค้นพบความหมายของชีวิต
ฝากตัวด้วยนะครับคุณชิโน่
“ก่อนอื่นเลยชั้นจะแนะนำลูกสมุนมือซ้ายให้แกรู้จัก อ้อ...แกเป็นมือขวานะ”
เจ้าถิ่นจอมเฮี้ยบเดินนำไปยังแท่นไม้สามชั้นสำหรับเป็นที่นอนให้น้องแมว ข้างบนเป็นน้องแมวลายกาฟิวส์สีส้มที่กำลังหลับปุ๋ยอยู่หนึ่งตัว เจ้าของร่างสีดำใช้วิธีการปลุกโดยการกระโดดขึ้นไปทับจนน้องแทบตกลงมา เอ๊ะ...ไอ้หมอนี่เล่นแรงจังเลย เป็นแมวบ้าพลังรึไง
“เฮ้ย...ชิลลี่ นี่มิวมิว ลูกสมุนคนใหม่ของชั้น แล้วก็มิวมิว...นี่ชิลลี่ น้องชายชั้น”
พยักหน้ารับตามการบรรยายสุดดิบเถื่อน เชื่อเขาเลย เอาน้องชายตัวเองมาเป็นลูกน้องเนี่ยนะ มิวนิคขมวดคิ้วมุ่น สงสัยพวกแมวคงไม่ได้จริงจังเรื่องลำดับญาติกันเท่าไหร่ คล้ายกับว่าต่อให้เกิดก่อนเกิดหลังก็ไม่มีผล ใครใหญ่คนนั้นก็รอด
ที่คอนทราสก็คือชื่อกลับแบ๊วกันทั้งบ้าน
“งายมิวมิว” คนถูกปลุกลืมตาขึ้นมาอย่างสลึมสะลือ “ฮ้าว...เฮียปลุกไรแต่เช้าครับ ผมจะนอน”
แหมะ มีมารยาทกว่าตัวพี่เยอะเลยแฮะ แต่เวลาเที่ยงครึ่งเขาไม่นับว่าเช้านะลูก เอ็นดูชะมัด...นี่ถ้าอยู่ในร่างมนุษย์เขาคงอุ้มไอ้สองแสบขึ้นมากอดเล่นจนหนำใจ
ไม่รู้ว่าคุยกันอีท่าไหน จู่ๆ ก็ถูกชวนออกมาเดินเล่นข้างนอกเฉยเลย มิวนิคคิดว่าอาจเพราะด้วยความที่เป็นสัตว์ ทิฐิหรืออีโก้ต่างๆ จึงไม่ได้มีมากเหมือนมนุษย์ แค่คุยกันถูกคอก็กลายเป็นเพื่อนกันได้แล้ว
เขาคิดว่างั้นนะ...
“วี๊ดวิ้ว น้องตัวสีส้มกับสีขาวอ่ะ น่ารักจังเลยน้า”
ผัวะ! ผัวะ!
เสียงร้องเอ๋งดังลั่นขึ้นหลังจากสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่กว่าที่มายืนขวางทางถูกตบหน้าด้วยความเร็วสูงแบบแทบนับครั้งไม่ทัน ไม่ต้องเดาเลย...มิวนิคคิดว่าตนเองเลือกถูกฝ่าย เฮียชิโน่แกเฟียสจริงๆ ว่ะ
บ่นพวกหน้าขี้แซวไม่พอยังหันมาบ่นเขากับชิลลี่ที่กำลังทำหน้าเหลอหลาว่าไม่รู้จักรักนวลสงวนตัวอีก โหยพี่...ประสบการณ์ครั้งล่าสุดก็เจอหมาวัดไล่เกือบตาย แล้วใครจะไปคิดวะครับว่าหมาตัวผู้มันจะแซวแมวตัวผู้ก็เป็นด้วย
“นี่ๆ ตกลงพวกเราสามารถสื่อสารกับสัตว์ทุกชนิดได้หมดเลยหรอ?”
มิวนิคถามแม้จะคล้ายจะรู้คำตอบอยู่แล้ว ก็แค่อยากย้ำว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ ความสามารถนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับชิโน่และชิลลี่ แต่ไม่ใช่สำหรับเขา เขาคือแมวมือใหม่ มีหลายเรื่องที่ต้องเรียนรู้ในโลกแมวๆ อีกเยอะแยะ และถ้ามีโค้ชที่สามารถปกป้องตนเองได้แบบนี้ก็อุ่นใจ
จริงๆ การเป็นลูกน้องคนอื่นก็ไม่ได้แย่กว่าที่คิด
“นั่นมันเรื่องปกติปะ” คนถูกถามตอบอย่างไม่หยี่ระขณะเดินนำไปบนแนวกำแพงแคบ “มีแต่พวกมนุษย์นี่แหละที่คุยกับเราไม่รู้เรื่อง อ้อ...จะมีพวกปลาด้วยนะ ชอบพูดอะไรของพวกมันไม่รู้บุ๋งๆ”
“เฮีย ผมอยากกินปลา” ชิลลี่ทำหน้างอแง
“เอ๊ะ...กลับบ้านค่อยกินไอ้นี่ วันนี้เฮียจะพาลูกน้องเที่ยว”
จ้าเฮีย จะตามเฮียไปทุกที่เลยจ้า แมวน้อยหลุดขำเบาๆ เขาเหมือนได้กลับกลายไปเป็นเด็กอีกครั้ง ต่างจากตรงที่เมื่อก่อนเคยเป็นหัวโจก ก็เปลี่ยนมามีหัวโจกคอยพาทำกิจกรรมแปลกๆ แทน ฟังดูไร้สาระ แต่ชีวิตที่กำลังเป็นอยู่เขาคงทำได้แค่นี้จริงๆ อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ตนเองเบื่อ ไม่ทำให้หัวใจห่อเหี่ยว...
มิวนิคถูกพามายังร้านไอศรีมรถเข็นข้างทาง แม้จะไม่ใช่ย่านคนรวยเหมือนที่ปกติอยู่ แต่บรรยากาศตลอดไปทั้งซอยกลับช่างร่มรื่นราวกับถูกซื้อด้วยธรรมชาติราคาแพง แถมผู้คนก็ช่างดูเป็นมิตร ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตาแว่นของเขาถึงใจดีชะมัด
“ไงชิโน่ มาอีกแล้วเรอะ แหม...วันนี้พาเพื่อนมาซะด้วย”
“เมี้ยวว”
ที่ว่าแมวชอบใช้เสียงสองเวลาพูดกับมนุษย์ท่าจะจริง ดูไอ้เพื่อนใหม่ตัวดำของเขาสิ อ้อนคุณป้าใหญ่เลย นี่แสดงว่ามาบ่อยใช่ไหม แถมยังเดินไปคลอเคลียกับเท้าคุณป้าไม่หยุด เป็นถึงแมวเจ้าของหอแต่ทำไมถึงต้องมาขอไอศกรีมคุณป้ากินกันนะ
“รู้แล้วจ้า อ้อนจริงเชียว” คุณป้าบ่นอมยิ้มราวกับคุยภาษาแมวรู้เรื่อง ก่อนจะก้มลงตักไอศกรีมกะทิใส่ถ้วยให้ประมาณหยิบมือหนึ่ง “ป้าให้กินนิดเดียวนะจ๊ะ เดี๋ยวจะเป็นเบาหวานเอา”
คิดว่าคุณป้าพูดถูก เคยอ่านมาว่าสิ่งมีชิวิตอย่างเราๆ ไม่ได้เกิดมาเพื่อกินของหวานแบบนี้ ยิ่งบริโภคมากก็จะยิ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก สงสัยวันหลังเขาคงต้องชวนคุณลูกพี่ให้พาไปทำกิจกรรมอย่างอื่น
“มิวมิวไม่กินเรอะ”
“กินเลย ยังอิ่มปลาทูอยู่”
“ตามใจนะ แกนี่มันเสียชาติแมว”
แกมันก็แปลกแมวเหมือนกันนั่นแหละ มีอย่างที่ไหนมาชวนกันกินไอศกรีม ปกติพวกหมาแมวเขาไม่ค่อยแบ่งอาหารให้ใครกันไม่ใช่รึไง หรือสงสัยต้องยกเว้นแมวหอนี่ซะแล้ว
กินเสร็จชิโน่ว่าจะพาเดินสำรวบริเวณรอบๆ ให้มากขึ้นเพราะเขาบ่นว่าไม่มีอะไรทำ อีกอย่างไหนๆ ก็ออกมาแล้วจึงไม่อยากเสียเที่ยว ทว่าแพลนทั้งหมดก็ต้องถูกล้มเลิกทันที่รถญี่ปุ่นคันสีเหลืองขับผ่าน
คลาสสิคแบบนี้มีคันเดียว
มิวนิคขอตัวเพื่อนๆ ทุกคนกลับหอโดยด่วน ขืนไม่ทำอย่างนั้นมีหวังนายแว่นต้องขังเขาเอาไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหนแน่ๆ ลำพังแค่วันจันทร์ที่แล้วตอนเจ้าตัวพบเขาช่วงเย็นหลังจากหายหัวมาตลอดทั้งวัน ก็โดนเอ็ดชุดใหญ่ว่าห้ามออกไปไหน ยิ่งเป็นแมวเด็กอยู่เดี๋ยวก็หลง
ตาหมอนั่นคงคิดว่าเอ็ดๆ ไปอย่างนั้น ยังไงเขาก็ฟังไม่ออก...แต่จริงๆ คือฟังออก ก็เขาเป็นมนุษย์เหมือนอีกฝ่ายทุกประการนี่นา เพราะงั้นเอาเป็นว่าตัดปัญหาถูกเสี่ยงกักบริเวณตั้งแต่ต้นลม ไว้รอคนเฉิ่มตายใจค่อยเถลไถลให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน
“ไงมิวมิว นอนทั้งวันเลยสิ” คนตัวสูงอมยิ้มจางๆ หลังบานประตูเปิดออก
“เมี้ยว (ก็นะ) ”
ชะโงกขึ้นมาแค่ส่วนหัวในท่านอนคว่ำเป็นแมวตายบนที่นอน ถ้าจะจัดอันดับสัตว์ที่เล่นละครเก่ง แมวคงติดหนึ่งในท็อปไฟว์ ไม่สิ...แอคติ้งแบบนี้น่าจะเอาอันดับหนึ่งเลย แมวที่ชื่อมิวมิวอ่ะนะ
“เดี๋ยวว่างๆ พาไปเดินเล่น”
เหมียวน้อยถูกจับวางบนตักในท่าประจำ มือหนาวางแหมะลงบนกลุ่มขนสีขาว ลูบไล้แผ่วเบาอย่างถนุถนอม คล้ายกับความอบอุ่นกำลังแผ่ซ่านแผ่นฝ่ามือใหญ่ๆ นั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโคตรรู้สึกดี
“ม๊าว (ไปมาทั้งวันละ) ”
“อ้อนแบบนี้แสดงว่าอยากไป”
จ้ะ...จะเข้าใจยังไงก็เข้าใจไปเถอะ ตอนนี้มิวนิครู้แค่ว่าราวกับกำลังขึ้นสวรรค์ การถูกเกาคางมันดีอย่างนี้นี่เอง ยิ่งถูกเกาก็ยิ่งเสพติด ยิ่งถูกเกาก็ยิ่งอยากนอนหลับอยู่บนตักอุ่นๆ ความคิดบางอย่างเริ่มผุดขึ้นมาในหัว เป็นความคิดแย่ๆ มันแย่ตรงที่เริ่มรู้สึกว่า
การเป็นแมวก็ไม่ได้แย่...
tbc.
ʕ = •́ .̫ •̀ = ʔ
==============================================
อ้าววว อย่าเที่ยวเพลินจนลืมหาความหมายของชีวิตนะน้องแมวว
ปล. ถ้าชอบก็ขอคนละเม้นเป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้า
หรือจะติดแท็ก #แปลกไหมถ้าจะคิดอะไรกับแมว มาพูดคุยกันก็ได้เน้อออ