Kiss Love ♥ [25] ออกเดท [กาย...♥]...
...
...
...
...
ช้ำครับ…
ระบมด้วย เหนื่อยด้วย เพลียด้วย ไอ้อาการที่ว่ามาทั้งหมด เป็นผลพวงจากการหลงเสน่ห์คนแบบไม่เข้าเรื่อง
โดยเฉพาะ ถ้าคนคนนั้นคือพี่เอก หรือนายเอกภพ กิจไพศาลด้วยแล้ว
บอกตามตรง มีแต่เสียกับเสียฮะ
เมื่อวานอยู่ ๆ พี่มันก็หงุดหงิดใส่ผมแบบไม่ทราบสาเหตุ พอถามมันก็บอกว่าหงุดหงิดให้คนอื่น (แต่มาพาลเอากับกู ว่างั้น) แล้วผมก็ต้องเป็นคนทำให้มันหายหงุดหงิด
เจ็บตัวกูอีก
พี่เอกขับรถมาส่งผมที่คณะเหมือนเดิม ไอ้เต้ยนั่งรออยู่บนม้านั่งหน้าตึกเรียน ผมเดินเข้าไปหา มันมองผมใหญ่
“มึง…”
“เงียบ”
ผมตัดบทมัน
“กูว่ามึงน่าจะหายาบำรุงมากินบ้างนะ ท่าจะเสียน้ำเยอะ”
ผมเบิ้ดกะโหลกมันไปที มันลูบหัวป้อย ๆ
“เงียบไปเลยมึง”
“แล้วตกลงมึงคบกับพี่เอกเขาจริง ๆ จัง ๆ แล้วเหรอ”
ไอ้เต้ยมันถามด้วยสีหน้าจริงจัง ผมส่ายหัวปฏิเสธ มันทำหน้าแปลกใจ
“อ้าว.. แล้วไอ้ที่มึงมาทำนั่งหน้าเพลีย ไปไหนมาไหนกับพี่เขานี่มันหมายความว่ายังไง”
“กูไม่รู้”
มันขมวดคิ้วกับคำตอบผม
“หมายความว่ายังไง”
“ก็ไม่ยังไง กูก็ยังไม่รู้ใจตัวเองเลยเต้ย แล้วก็ไม่รู้ความรู้สึกของพี่เอกด้วย”
คิ้วมันขมวดยิ่งกว่าเดิม แต่มันเงียบครับ มันคงเข้าใจ
ถึงผมจะมีความสัมพันธ์ทางกายกับพี่เอกแล้ว แต่มันก็ยังเป็นแค่เซ็กส์ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันจะกินเวลายาวนานแค่ไหน ความรู้สึกมันยังครึ่ง ๆ กลาง ๆ อยู่เลย
“มึงจะหยุดหรือเดินหน้าต่อ” มันถาม
ผมจ้องกลับมันนิ่ง ๆ
“กูไม่เคยวิ่งตามนะเต้ย เอ่อ…นอกจากเวลาอยากถ่ายรูปนิดหน่อย”
มันตีคิ้วย่นกับคำตอบผม ผมเลยอ้อมแอ้มตอบมันไปตามจริง มันหัวเราะก๊ากเลย
มึงจะขำอะไรนักหนาวะ ก็กูไม่มีเงินจ่ายพี่เขานี่นา
“พี่เขาก็ยอม”
ผมพยักหน้า
“พี่เอกเจ้าเล่ห์ว่ะ หาเรื่องฟันมึงมากกว่า”
ผมไม่ตอบ มันก็ได้ทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ เพราะผมเพิ่งมารู้ทีหลังว่าพี่เอกไม่ชอบการถ่ายรูปเอามาก ๆ แต่นี่ยอมให้ผมถ่ายแทบทุกท่าที่ต้องการ ก็ถือว่าเจ๊ากันล่ะครับ
“มึง..”
ผมเรียก มันเงยหน้ามอง
“หยุดพูดไปเลย กูรู้ว่ามึงจะห้ามกูเรื่องพี่เป้”
ทำไมเวลาอย่างนี้มึงถึงได้ฉลาดนักวะ
“ไม่ต้องมาชมกูในใจ”
แน่ะ รู้อีกนะมึง
มันก้มหน้าจ้องมองพื้นโต๊ะ
“อะไรที่เกี่ยวกับพี่เป้ กูรู้หมดแหละ”
..ยังหรอกเต้ย..
ยังมีอีกเรื่องที่มึงไม่รู้ และถ้ามึงรู้ กูไม่รู้ว่ามึงจะยังเห็นพี่เป้เป็นพี่มึงอยู่อีกไหม ให้เวลาพี่มันหน่อย ให้มันได้ตัดใจ และกลับมาเป็นพี่ชายที่แสนดี(ปนเลว)ของมึงอีกครั้ง
“กูรักพี่เป้นะกาย” มันเงยหน้าขึ้นมาพูดเลื่อนลอย
“กูรู้”
รู้ว่ามึงรักพี่เป้
“พี่เป้ก็รักมึงเหมือนกัน”
แต่ไม่ได้รักมึงแบบน้อง แบบที่มึงรักมันแบบพี่หรอก
ผมถอนหายใจแรง ทอดมองวิวต้นไม้ขนาดใหญ่หน้าคณะขณะรอเข้าคลาส
เสียงมือถือผมดังเบา ๆ ผมละสายตาจากวิวมามอง เป็นเมสเสจครับ เจ้าของเบอร์ก็คือ…
พี่เอก!
ผมรีบกดอ่านทันที
‘เลิกเรียนกี่โมง’
ผมเลิกคิ้วแปลกใจนิดหน่อย แล้วทำไมตอนอยู่ด้วยกันไม่ถาม
ผมกดตอบกลับ
‘วันนี้มีเรียนเย็น เลิกหกโมง’
สักพักก็ได้ยินเสียงเมสเสจอีก
‘พี่จะไปรับ’
ผมจ้องมองข้อความในมือถืออีกที ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ผมควรจะดีใจดีไหม?
“ยิ้มอะไรไอ้กาย”
ไอ้เต้ยมันถาม ผมรีบเก็บมือถือลงกระเป๋าทันที
“เปล่า”
มันทำตาเจ้าเล่ห์มองกลับ
“ทำหน้าแบบนี้ ถ้าคนส่งไม่ใช่พ่อหรือแม่มึง ก็ต้องเป็นพี่เอกแหง ๆ”
ผมตีหน้านิ่ง ๆ สักพักก็มีข้อความส่งเข้ามาอีก ผมเปิดดู
‘เลิกเรียนกี่โมงครับ’
เมื่อกี้ผมเปิดหน้าเมสไว้ มันเลยออโต้ข้อความขึ้นมาทันที ผมเลิกคิ้ว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นข้อความเดียวกัน แต่อันนี้มันดูสุภาพขึ้นมาหน่อย ผมเลื่อนดูเบอร์คนส่งอีกที
พี่เชน
ผมกดตอบไปและข้อความที่ได้กลับมาก็คือ…
‘พี่จะไปรับ’
เอ่อ…
ผมเคยบอกแล้วว่าถ้าคิวเยอะ ผมจะจัดให้พ่อกับแม่ก่อน แล้วก็พี่เอก ผมรีบส่งข้อความตอบกลับทันที
‘ผมติดนัดแล้วครับ ไว้โอกาสหน้าละกัน อยากเจอพี่เชนเหมือนกัน’
ผมนั่งรอ แต่ไม่มีข้อความตอบกลับสักทีจนผมลืมไปเลย ผ่านไปเกือบสิบนาที ถึงได้มีข้อความเข้ามาใหม่
‘งั้นพี่ขอจองตัวล่วงหน้า วันเสาร์อาทิตย์นี้ว่างวันไหน’
แม่ะ มาจองวันที่กูไม่ว่างเนี่ยนะ
‘พอดีเสาร์อาทิตย์นี้ผมเริ่มทำงานพิเศษกับเพื่อนน่ะฮะ ยังไม่รู้เวลาเริ่มงานเลิกงานเลย’
พอผมส่งเสร็จ เสียงมือถือก็ดังจ้าขึ้น ผมตกใจรีบกดรับเป็นพัลวัน
“พี่เชน”
กรอกเสียงเรียกอัตโนมัติเลยครับ
“ทำงานที่ไหน ไม่บอกว่าอยากทำงานพิเศษ พี่จะได้ดึงตัวมาเป็นผู้ช่วย”
ผมอมยิ้มทันที
“พอดีเพื่อนผมเขาอยากทำน่ะครับ เลยชวน งานนี้ปฏิเสธไม่ได้ เอาไว้หลังจากนี้ละกันนะ ถ้าไม่ติดอะไร ผมอาจจะไปทำด้วย ไม่รับปากนะฮะ เพราะผมไม่คิดจะยึดงานถ่ายภาพเป็นอาชีพหลัก ถ้างานอดิเรกละก็ ผมทำ”
ผมบอกไปตรง ๆ
แล้วพี่มันก็ถามสถานที่ที่ผมจะไปทำ ผมก็บอกไป
“งั้นพี่จะหาโอกาสแวะไปนั่งกินนะ อยากเห็นกายใส่ชุดพนักงานเสิร์ฟเหมือนกัน”
ผมหัวเราะร่วนรับปากไป เราคุยกันสักพัก พี่แกก็ว่างสาย
ปลื้มครับ มีคนที่เราเคารพรักมาชวน
บุญไอ้กายสูงวุ้ย
ผมหันไปมองไอ้เต้ยที่กำลังนั่งทำอะไรก๊อกแก๊กข้าง ๆ ชะโงกหน้าไปดูใกล้ ๆ อีกที
“ทำไรมึง”
มันเงยหน้าขึ้นมายิ้ม
“วาดรูป”
ผมมองตัวการ์ตูนที่มันกำลังร่างยักยื้อยักยันบนโต๊ะ
“อนุบาลฉิบหาย”
“เออ กูมันไม่ได้มีหัวศิลป์เหมือนมึง หรือหัวคำนวณแบบพี่เป้นี่นา” มันต่อว่างอน ๆ
ก็จริง มันเป็นลูกคุณหนูของแท้ครับ ทำอะไรไม่ค่อยจะเป็นหรอก ไม่ใช่ว่ามันไม่ทำ แต่ทำแล้วไม่ได้เรื่องนี่นา ทำได้ดีสุดคงเป็นอ้อนกับดูแลคนนี่แหละมั้ง
“พี่กูก็ออกจะเก่ง ทำไมกูไม่ฉลาด ๆ เหมือนพี่เขาบ้างน้า”
“มึงฉลาดนะเต้ย”
มันมองผมใหญ่
“แต่ฉลาดในเรื่องโง่ ๆ ว่ะ”
แล้วผมก็ต้องลุกหนีตีนมัน
มันวิ่งไล่เตะผมตั้งแต่หน้าตึก A ไปทางตึก B
“มึงมาให้กูเตะซะดี ๆ!!”
มันไม่ยอมแพ้ ผมก็ไม่ยอม วิ่งลิ่ว ๆ ไปตามทางเดิน เหลียวหลังไปดูมันนิดหนึ่ง มันยังวิ่งตามมาไม่หยุด ด้วยความว่ากลัวมันจะวิ่งตามมาทัน เลยเร่งสปีดเร็วขึ้นแบบไม่มองทาง จนชนกับใครบางคนเข้าเต็ม ๆ
“ขอโทษครับ”
ผมรีบออกปากทันที เงยหน้ามองคนที่อ้าแขนรับผมไว้ทั้งตัว
“อ้าว พี่โอ๊ค”
ผมอยากจะถอยออกมาจากอ้อมแขนพี่แก แต่แกยังไม่ปล่อย ผมเลยขยับเบา ๆ ให้รู้ตัว สักพักพี่โอ๊คก็คลายมือออก
ไอ้เต้ยวิ่งมาถึงตัวพอดี
“อ้าว พี่โอ๊ค”
มึงไม่ต้องมาอุทานแบบเดียวกับกูก็ได้
“มาทำอะไรแถวนี้ครับ”
มันถาม เพราะคณะบริหารที่พี่แกเรียนมันอยู่อีกตึก เดินมาไกลพอควร
“มาเดินเล่นนิดหน่อย”
พี่แกบอกเรียบ ๆ ผมเลิกคิ้วมอง ก่อนหรี่ตามองพี่แกกรุ้มกริ่ม
“มาเหล่สาวแถวนี้ละสิ”
ผมยื่นหน้าเข้าไปพูดล้อ ๆ ชักสนิทกับกลุ่มพี่เขาแล้วล่ะครับ เลยเล่นหัวกันได้สบาย พี่แกทำหน้าผิดปกติ ผมเลยรีบกระเถิบตัวเข้าไปชิด
คนกลุ่มนี้ขึ้นชื่อว่าเจ้าชู้อันดับต้น ๆ ของมหาลัย เจ้าเสน่ห์ก็เท่านั้น ไอ้ที่จะมาหลงสาวนั้นยาก แต่มาหว่านให้สาวหลงน่ะชัวร์ ๆ แต่ทำท่าแบบนี้ สงสัยพี่แกต้องหลงก่อนแน่ ๆ
“บอกผมได้น้า ผมจะได้ช่วย”
ผมกระแซะไหล่พี่แกเบา ๆ จริง ๆ ไม่ถึงหรอกครับ แทะได้แค่ต้นแขนเท่านั้นแหละ (กรรมจริงกู = =)
พี่มันทำหน้าหลุกหลิกยิ่งกว่าเดิม
“ปีไหน ชื่ออะไร น้ำหนัก ส่วนสูง รูปร่าง หน้าตา สีผิว สาธยายมาให้หมด”
ผมรุกฆาต เห็นพี่แกนิ่ง ๆ ไม่ยอมผมเลยรุกต่อ
“น่านะ บอกผมมาเถอะ ผมไม่บอกต่อความลับนี้ให้ใครรู้เด็ดขาด นอกจากไอ้เต้ยมันน่ะนะ เพราะมันยืนอยู่ตรงนี้พอดี แต่พี่คิดซะว่า มันเป็นตัวตะกวดข้างกำแพงละกัน”
ไอ้เต้ยมันง้างมะเหงกกลางอากาศใส่ผม
พี่โอ๊คทำหน้าอึดอัด
“โอเค งั้นเรามาเกมเล่น 10 คำถามกัน”
พี่มันไม่ตอบ ไอ้เต้ยทำท่าตื่นเต้นด้วยคน
“ชื่อ..”
“ไม่ขอบอกได้ไหม”
“โอเคไม่เป็นไร”
“สีผิว”
“ก็ขาว”
“ไอ้เต้ย มึงรีบจดไว้เลย”
ไอ้เต้ยก็รับมุข หยิบไอโฟนมากดเมมใหญ่
“น้ำหนัก…ส่วนสูง”
“คิดว่าไม่เกิน 175 น้ำหนักคงไม่เกิน 60”
พี่มันบอกต่อ ไอ้เต้ยก็กดหยิก ๆ
“อยู่ปีไหน”
“ปีสอง”
“ปีเดียวกับเราโว้ยเต้ย หาง่ายหน่อย”
ผมหันไปตื่นเต้นกับมัน
“ผมล่ะ สั้นยาว สีอะไร”
“ผมสั้น สีน้ำตาลไม่เข้มไม่อ่อน”
ไอ้เต้ยมันกดยิก ๆ
“บุคลิกคร่าว ๆ”
“สดใสร่าเริง ยิ้มน่ารัก”
“อืม กว้างนะเนี่ย”
“บอกชื่อเลยไม่ได้รึไง”
ผมต่อรอง พี่แกไม่ตอบครับ เสหน้าไปด้านอื่น พี่แกคงอาย
“พี่ต้องไปก่อนละ”
พี่มันตัดบทแล้วเดินจากไป ผมกับไอ้เต้ยมองตามงง ๆ ก่อนก้มมองข้อมูลในไอโฟนไอ้เต้ยมัน
“ใครวะ”
“ไม่รู้”
แล้วเราสองคนก็พากันมานั่งมองสาว ๆ ที่เดินผ่านไปผ่านมา ในคณะเรามีคนผมสั้นไม่กี่คนหรอก เพราะส่วนมากจะไว้ยาว แต่ดู ๆ แล้ว ไม่น่าจะใช่สเป็คพี่โอ๊คสักคน ผมกับมันนั่งหากันอยู่สักพักก็เข้าคลาสเรียน
..
..
..
..
..
..
..
..
ถ้าถามว่ามีวันไหนที่พี่เอกไม่หล่อ ผมก็บอกว่า ไม่มี ไม่เคยเห็น และไม่คิดจะเห็นด้วย ขนาดเปื้อนโคลนทั้งตัวมันก็ยังหล่อ
วันนี้พี่มันก็ยังหล่อครับ หล่อในชุดนักศึกษาและกำลังห้อมล้อมไปด้วยสาว ๆ คือพี่แกมาถึงก่อนเวลา และจอดรถไว้ริมฟุตบาทหน้าตึก ไม่รู้ยืนเท่อีท่าไหน สาว ๆ ถึงได้เดินล้อมหน้าล้อมหลังขนาดนั้น
ไอ้เต้ยมันรู้งานครับ มันเดินแยกไปอีกทางทันที ปล่อยให้ผมยืนมองภาพบาดตาอยู่คนเดียว
พี่เอกเห็นผมแล้ว ใจจริงอยากเดินปัดตูดหนีไป แต่ก็ใช่เรื่อง เลยเดินเข้าไปหาแทน
“ขอตัวก่อนนะ”
พี่มันบอกสาว ๆ เสียงนุ่ม ทีกับกูละทำเสียงโหดใส่อยู่เรื่อย
พี่มันเปิดประตูรถให้ครับ
เอิ่ม..
ผมรีบสอดตัวเข้าไปทันที หวังว่าคงไม่มีใครสังเกตเห็นนะ อายครับ โดนปฏิบัติเหมือนตัวเองเป็นผู้หญิง แล้วพี่แกก็เดินอ้อมไปนั่งยังตำแหน่งตัวเอง
“มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามทันทีที่พี่เอกนั่งประจำการ
พี่มันหันมามองแล้วตีหน้ายักษ์ทันที
จำได้ว่าเมื่อตะกี้ มึงยังทำหน้ารื่นเริงอยู่เลยนะ หรือมันจะทำหน้าแบบนั้นกับสาว ๆ เท่านั้นฮึ?
“ต้องมีธุระอย่างเดียวรึไง ถึงจะมารับได้”
แน่ะ ยังมาถามอีก กูก็แค่สงสัย ถามมึงด้วยความเป็นห่วงเท่านั้นเอง
ไม่อยากสืบความยาวครับ เดี๋ยวมันงาบหัวเอา ผมกลับมานั่งนิ่ง ๆ เหมือนกัน
“จะพาไปกินข้าว”
ผมหันไปมอง แล้วก็กลับมานั่งเงียบ ๆ เสหน้ามองหน้าต่าง
กำลังดีใจอยู่
อย่าเพิ่งมองหน้าผมตอนนี้
ผมเขิน
แล้วพี่มันก็พาผมมา
เอ่อ…
มึง…
กูก็คิดว่ามึงจะพากูไปนั่งกินอาหารในร้านหรู ๆ มึงพากูมาเดินตลาดนัดเนี่ยนะ ผมหันไปมองพี่มันงง ๆ มันตีหน้านิ่งครับ แล้วก็ลากผมเดินแทรกบรรดาสาว ๆ ที่กำลังช็อปกันกระจายไปดูข้าวของในตลาด
โห รสนิยมมึง บ้านนอกโคตร ๆ
นึกถึงไทด์ราคาหลายพันของมันแล้วก็สะท้อนว่าไอ้คนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผม มันอาจเป็นคนละคนกับคนที่ผมรู้จักก็ได้
“พี่เอก”
ผมเรียก พี่มันหันมามอง
“พี่เอกตัวจริงป้ะเนี่ย”
ผมดึงแก้มพี่มันจนยืดแล้วปล่อย พี่มันยืนอึ้งไปหลายวิ ก่อนปล่อยก๊ากออกมาเสียงดัง
มึง..หัวเราะห่วงหล่อบ้างอะไรบ้างก็ได้นะ
กูอายเขา คนมองกันใหญ่เลย
พอหัวเราะจนหนำใจ พี่มันก็กลับมาทำหน้าเรียบ ๆ เหมือนเดิม
“ทำไม”
กูอนุญาตให้มึงถามยาวกว่านี้ก็ได้
“คิดว่าพี่จะพาไปเดินห้างหรู ๆ กินร้านดี ๆ กว่านี้ซะอีก”
“ตอนแรกก็ว่าจะพาไปนั่นแหละ แต่เห็นที่นี่เลยแวะก่อน”
โห มันไม่ได้เข้ากันเล้ย แต่ก็เอาเถอะ เปลี่ยนบรรยากาศบ้างก็ดี
ตอนนี้มืดแล้วครับ แต่พื้นที่โดยรอบสว่างไสวไปด้วยดวงไฟหลากสี ดูสวยสว่างไม่แพ้ช่วงเวลากลางวันเลยทีเดียว
ผมเพิ่งรู้ว่ายิ่งดึก ที่นี่ยิ่งคึกคัก เห็นทางเข้าแคบ ๆ แต่ด้านในกว้างมาก และพวกเราเพิ่งเห็นว่าเป็นงานวัดครับ ไม่ใช่ตลาดนัด ด้านในมีเกมให้เล่นเยอะแยะเต็มไปหมด ได้ยินเสียงประกาศออกลำโพง ถึงได้รู้ว่าเป็นงานฝังลูกนิมิต พวกเราเลยแวะไปทำบุญกันก่อน
ผมทำหน้าที่เดินไปซื้อพวกดอกไม้ธูปเทียน แล้วเอามายื่นให้พี่ยักษ์ข้าง ๆ ตัวพี่แกสูงเอามาก ๆ ดีแล้ว เวลาผมหาอะไรไม่เจอ จะได้ถามพี่แกได้
เราเดินเข้าไปนั่งขอพรต่อหน้าพระประธานองค์ใหญ่ พอไหว้พระเสร็จ เราก็ออกไปเดินเล่นกันต่อ
“อยากนั่งไหม”
พี่มันชี้ไปที่กระเช้าลอยฟ้าขนาดใหญ่ริมรั้ว ผมเงยหน้ามอง มันสูงนะน่ะ แต่ก็พยักหน้าแล้วเดินไปกับพี่แก คนละยี่สิบบาท ไม่แพงครับ
แล้วเราสองคนก็มานั่งมองวิวยามราตรีในส่วนที่สูงที่สุดของพื้นที่แห่งนี้แล้ว
เสียดายไม่มีกล้อง จะได้ถ่ายวิวสวย ๆ เก็บไว้
กำลังนั่งคิดเสียดายอยู่ในใจ อยู่ ๆ ก็มีบางสิ่งยื่นมาไว้ตรงหน้า ผมจ้องมองสิ่งนั้น
เป็นมือถือครับ พี่มันยื่นมือถือมาให้
“อยากถ่ายไม่ใช่รึไง ใช้ไอ้นี่แทนกล้องตัวเก่งของนายก็ได้”
ผมหัวเราะเบา ๆ ผมว่าบางครั้ง พี่มันก็รู้ใจผมดี ผมรับมาถือไว้ แล้วจัดการกดถ่ายไปรอบ ๆ พอได้ภาพสวยสมใจ ก็หันกลับมาถ่ายพี่เอกต่อ
ถ่ายพี่แกเสร็จ ก็หันมาถ่ายตัวเองต่อ พอดีมือถือพี่แกเป็นรุ่นใหม่มีกล้องทั้งหน้าและหลัง ผมยิ้มให้กล้องธรรมดา ไม่ได้ทำท่าปัญญาอ่อนเหมือนที่ไอ้เต้ยชอบทำหรอก
จริง ๆ ผมชอบถ่ายภาพคนอื่นมากกว่าถ่ายภาพตัวเอง คือ..กลัวกล้องพังน่ะ ฮ่า ๆ ๆ
ผมหันไปถ่ายวิวอีกครั้ง ก่อนพี่เอกจะแย่งมือถือกลับคืน ดึงตัวผมไปนั่งแทรกกลางหว่างขาแก ยังไม่ทันได้ถามว่าพี่แกจะทำอะไร กล้องก็กดแชะแล้วครับ
ผมยังทำหน้าเหวออยู่เลย ผมรีบแย่งมาถือไว้
“ให้ผมทำหน้าหล่อก่อนสิ”
ผมบอก เก็กหน้าให้หล่อที่สุด ตั้งมุมกล้องให้ดีแล้วกดแชะ
“คนหล่อ ไม่ต้องเก็กก็หล่อ คนไม่หล่อ เก็กยังไงก็ไม่หล่อ”
พี่มันบอกหลังจากผมถ่ายเสร็จ
ผมเบ้หน้า ก่อนที่เราสองคนจะบิ้วหน้าหล่อกันเต็มที่ พอถ่ายจบก็เห็นคนสองคนในภาพที่พยายามบิ้วหน้าหล่อกันสุดฤทธิ์สุดเดช
พวกเราสองคนพากันหัวเราะร่วน
แล้วเราก็ถ่ายกันอีกหลายภาพ ช่วงแรกก็บิ้วหล่อกันอยู่หรอก สักพักก็พากันบิ้วขี้เหร่แทน คือทำหน้าให้ขี้เหร่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ใส่กล้องน่ะนะ
นั่งฮากันไปถ่ายกันไป
พอถ่ายกันจนหนำใจ ผมก็นั่งไล่ภาพไปเรื่อย ๆ ภาพไหนมันทุเรศมาก ๆ ก็กดลบ พี่มันบอกให้เก็บทุกภาพ แต่ผมก็เลือกที่จะลบ เกิดภาพพวกนี้หลุดไป
อายเขาแย่…
ผมนั่งขำกับภาพภาพหนึ่งที่ผมยิงฟันทำหน้าเบี้ยวไปทางซ้าย ในขณะที่พี่เอก ทำหน้าแบบเดียวกันแต่เบ้ไปทางด้านขวา
ภาพตลกดีครับ กดภาพไปเรื่อย ๆ จนไปเจอภาพแรก แต่ผมไม่แน่ใจว่ามันหมดรึยัง เลยรันเดินหน้าไปอีก ก่อนหยุดนิ่งมองภาพในมือถืออีกที พี่เอกทำท่าจะแย่งกลับ แต่ผมเบี่ยงมือถือหลบ ดูภาพนั้นให้ชัด ๆ อีกที
เพราะคนที่อยู่ในภาพนั้น…
เป็นผมเอง
เป็นภาพด้านข้างตอนกำลังถ่ายรูปอยู่ ผมในชุดเสื้อยืดสีฟ้าเข้ม จ่อกล้องไว้ที่ดวงตา คลี่ยิ้มให้กับพระอาทิตย์ ผมเงยหน้ามองเจ้าของมือถือ พี่มันเสมองไปด้านอื่น ผมอมยิ้ม
มาแอบถ่ายกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
ผมกดดู มีแค่ห้าภาพเท่านั้น ที่เหลือ เป็นภาพพี่เอกกับเพื่อน ๆ หรือไม่ก็พวกน้อง ๆ ภาพสามสาวจอมป่วนเยอะเป็นพิเศษ คงจะหยิบมือถือพี่ชายมาถ่ายเล่นกันเองมากกว่า เพราะเห็นข้อความบนหัวภาพบอกไว้ว่า ‘ให้ไว้ เผื่อคิดถึง’
ผมอมยิ้มกับภาพรอยยิ้มของสามสาว พี่มันรีบดึงมือถือไปเก็บทันที
“หมดเวลาเล่นมือถือคนอื่นแล้ว”
“พี่เป็นคนยื่นให้ผมเองนะ”
“ก็หมดเวลาแล้วไง”
ผมขำกับท่าเขิน ๆ ของพี่แก จนรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติไปจากเดิม ผมก้มมองตัวเองอีกที
ครับ..
ผมมานั่งอยู่ฝั่งเดียวกับพี่มัน นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างขาพอดี แล้วมือพี่มันกำลังโอบหน้าท้องผมอยู่ เนียนครับ ผมรีบลุกเป็นจังหวะเดียวกับที่วงล้อหมุนมาถึงจุดสุดท้ายพอดี
เราก้าวลงจากกระเช้า เดินเล่นกันต่อ
ผมว่าหน้าของผมคงจะฉีกแน่ ๆ เพราะตัวเองนั้นยังยิ้มไม่หุบ มือถือผมมันมีกล้องก็จริง แต่มันไม่คมชัดเท่าของพี่เอก ผมเลยไม่ถ่าย
พวกเราไปที่ซุ้มยิงปืน ผมชอบครับ เป็นผู้ชายต้องหัดยิงปืนให้เป็น พี่มันถือปืนไว้แล้วจัดการสาดกระสุน กวาดกระป๋องบนชั้นร่วงพื้นหมด ผมมองแกทึ่ง ๆ
“มีเรื่องไหนที่พี่ทำแล้วไม่ได้เรื่องบ้างเนี่ย”
ผมชมทึ่ง ๆ พี่แกหันมามอง
“ก็หลายเรื่องนะ คนเราไม่มีใครเพอร์เฟ็คไปซะทุกเรื่องหรอก ยังมีอีกหลายอย่างที่พี่ทำไม่ได้ และทำไม่ดีอีกเยอะ”
มันพูดแล้วหยิบปืนมายิงด้วยมือเดียว ยืนยันความเก่งให้ตัวเองอีกครั้ง
“พอดีพี่ชอบยิงปืนแค่นั้นเอง”
แล้วมันก็หันมาทำสายตากรุ้มกริ่มใส่ผม
เอ่อ กูว่า กูกำลังหาเรื่องเข้าตัวแล้วนะ
“ผมว่า เรากลับกันดีกว่า”
ผมรีบเลี่ยง
“ก็ดี นายจะได้จ่ายค่าตัวที่ค้างให้พี่ด้วย”
ผมหันไปมองรอยยิ้มยั่วจากพี่แก
กูเปลี่ยนใจ ขอเดินเล่นในงานจนจบเลยได้ไหม
TBC..
หายหัวไปนาน กลับมาลงเหมือนเดิมแล้ว (ยิ้มแฉ่ง)