Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)  (อ่าน 35103 ครั้ง)

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
วิธีจีบของหมอเกินเบอร์มาก

ออฟไลน์ nanaexo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอ๊ยยยย น่ารัก


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
วิธีการจีบไม่ธรรมดาเลยนะหมอ,,,

ออฟไลน์ JanTi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 18
หมอครับ คิดถึง



   เวลาผ่านไปแล้วสามเดือน

   แต่ผมเจอหน้าหมอแค่เดือนละสามครั้ง

   หลายๆ เทศกาลโรแมนติกผ่านไปอย่างไร้ความหมาย

   ไม่ว่าจะเป็นคริสต์มาส ปีใหม่ วาเลนไทน์

   ถามว่าผมแคร์มั้ย?

   ...

   แคร์สิวะ!!

   “หน้าบูดเชียว ไม่ได้ขี้ตอนเช้ารึไง”

   พี่เจี้ยนทักทายเช้าอันสดใสด้วยประโยคสดสวย ผมนั่งจ้องหน้าจอผ่านแว่นที่เพิ่งได้มาเมื่อสองวันก่อนเพราะผมขี้เกียจแหกตาใส่คอนแทคเลนส์มันทุกเช้า มือขวาจับเม้าส์ มือซ้ายวางไว้บนปุ่มแป้นคีย์บอร์ด กระตุกยิ้มรับเสียงทักส่งๆ

   “เกลียดหน้ามึง”

   พี่เจี้ยนวางกระเป๋าไว้ข้างโต๊ะ เปิดหน้าจอแล้วปิด Deadline Slave ก่อนจะรีสตาร์ทเครื่องหนึ่งครั้ง ระหว่างรอเครื่องบูตใหม่ เขาก็หันมานั่งจ้องผมที่หน้าเครียดอยู่หน้าโปรแกรม MAYA

   จ้องขนาดนี้กูหันก็ได้

   “ว่ามาพี่”

   “กูอยากปาร์ตี้ ช่วงนี้ไปค่อยได้ไปข้าวสารเลย”

   “เหนื่อย ไม่ไปได้มะ”

   ผมถอนหายใจยาว อยากกลับบ้านทั้งๆ ที่เพิ่งจะนั่งโต๊ะได้แค่ยี่สิบนาที งานช่วงนี้ทำเอาผมกลับไม่ตรงเวลาเลยสักวันบางครั้งลามไปห้าทุ่มเที่ยงคืนแต่ยังดีหน่อยที่มีบริการอาหารมื้อเย็นให้กับเหล่าอาร์ตติสผู้กำลังจะตายคาจอคอม บางอาทิตย์ต้องเข้ามาทำงานวันเสาร์อาทิตย์ด้วยก็มีเพราะใกล้จะถึงเดดไลน์ sequence ที่สองแล้ว พวกผมต้องส่งทุกอย่างเข้าเรนเดอร์ฟาร์มทั้งหมดก่อนวันศุกร์นี้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ทันกำหนดส่ง และวันนี้วันพุธแล้ว assets ต่างๆ อย่างพวกโมเดลพร็อบ ของประกอบฉาก หรือแม้กระทั่งอินเตอร์เซค (intersect) จากการอนิเมทก็ยังไม่สมบูรณ์พร้อมเอามาซ่อมในชอต lighting แล้วมันจะทันมั้ยฮะ!

   ต่อให้ส่งขึ้นคราวน์เรนเดอร์แม่งก็ไม่ทัน!

   “อย่าเครียดสิวะ คนเรามันต้องไปผ่อนคลายบ้าง” พี่เจี้ยนยื่นหมูปิ้งมาให้ผมหนึ่งไม้อีกตามเคย ซึ่งผมก็รับมาไม่ให้เสียน้ำใจเหมือนทุกครั้ง

   “ไม่เครียดได้ไง พี่ดูสิ ผมขอแก้อินเตอร์เซคไปตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว ห่าเอ้ย วันนี้ยังไม่ได้ เร่งแล้วเร่งอีกว่ากูจะส่งลูกค้าแล้วนะ พี่รู้มะ ไอ้ทีมแอนิม (Animator) มันตอบผมกลับมาว่าไง”

   “ว่า?”

   “ถ้ารีบไปดึง Cluster เอาเอง พ่อมึงสิ!”

   “เอ้าไอ้สัส หน้าที่มันไม่ใช่เรอะ!” พี่เจี้ยนของขึ้นบ้าง ผมกลับมานั่งอยู่หน้าโปรแกรม MAYA อีกครั้ง

   “เออ นี่ไง ผมเลยมานั่งดึง cluster เองนี่ไง ไม่รอเหี้ยแม่งละ”

   ผมหงุดหงิด นั่งเลือกจุดของ polygon ที่มันมีการซ้อนทับกันอันเกิดจากการที่ฝ่ายอนิเมทไม่รีเช็คให้ผม ให้คุณคิดง่ายๆ เวลาดูอนิเมชั่น 3D ตัวอย่างเช่น เวลาคุณเคลื่อนไหว เสื้อผ้าคุณมันจะไม่ทะลุกันออกมาใช่มั้ยละ เพราะมันเป็นของจริง แต่การที่เสื้อทะลุกันออกมา ในวงการอนิเมชันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แค่ทีมอนิเมทและซิมมูเลชันมันต้องเนียนในการซิมมูเลทผ้า ขยับข้อพับข้อศอก หรืออะไรต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการซ้อนทับกันให้มันดีๆ เวลารีบๆ มันก็มีลืมเช็คกันบ้างผมเข้าใจ

   ถ้าเป็นผ้าทะลุเล็กๆ น้อยๆ แน่นอนผมแก้ในชอตได้ด้วยการใช้เครื่องมือ cluster ในการเลือกดึงส่วนที่ทะลุให้หดกลับเข้าไปเป็นเคสบายเคสโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่องานของคนอื่นๆ

   แต่เนี่ย อาวุธในมือทะลุพุงตัวละครออกมา จะดึงยังไงให้ออกจากพุงฮะ?

   “ไอ้ข้าว มึงจะใช้ cluster ทำแบบนั้นไม่ได้” พี่เจี้ยนมองงานผมที่เริ่มเละไปทุกทีแล้วถอนหายใจ ผมก็ทำประชดไปงั้นแหละครับ เอาจริงๆ ก็ต้องรอ

   “บอกพี่ดินดิ” พี่เจี้ยนเปิดโปรแกรม composite

   “บอกแล้ว พี่ดินเฉ่งให้แล้ว มันรับปากจะให้วันนี้”

   “งั้นมึงก็รอ”

   “เคยเชื่อคำพูดได้ด้วยเหรอ แล้วคนทำชอตอนิเมทของผมน่ะใครรู้มั้ย ไอ้ซัน”

   พี่เจี้ยนขำพรืด ผมกรอกตามองคอมแล้วกุมหัว งานกูจะเสร็จมั้ย ไอ้ซัน ไอ้เด็กเวรรุ่นเดียวกับฟาง ผู้ขยันลางานทุกวันพุธ วันลาของมันหมดไปกับการลาเรื่อยเปื่อยในวันพุธของมัน แล้ววันนี้วันพุธ! ผมจะได้งานมั้ยวะเนี่ย ต้องอธิฐานให้มันไม่ลา

   “มีธูปมั้ยพี่ จะจุดเรียกมัน ถ้าวันนี้มันไม่มา ผมเผาพริกเผาเกลือแทนแล้วนะ”



   สิ่งที่ทำให้ผมยังรู้สึกว่า หมอกับผมไม่ใช่แค่คนรู้จักกันก็คือความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของเขา

   ผมรู้ว่าหมอน่ะเจ้าชู้ จำได้แม่นเลยว่าเขามากับคนไม่ซ้ำหน้าแถมชอบทำอะไรโจ่งครึ่มและแน่นอนว่าเขาไม่แคร์ เขาเคยบอกกับผมว่าเขาไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่จบมอปลาย ได้รับอิทธิพลและวัฒนธรรมตะวันตกมาก็เยอะพอควร แต่สิ่งเดียวที่เขายืนยันกับผมก็คือ

   “ถ้าเฮียจริงจัง คือจริงจังครับ ไม่นอกลู่นอกทาง”

   การจีบของเขาไม่เหมือนกับที่ผมจีบสาวสมัยมหา’ลัย ไม่มีดอกไม้  ไม่มีคำหวาน ไม่มีเวลาให้ด้วย แต่ในหนึ่งวันที่เขามาหาผม แค่เขามาอยู่นิ่งๆ มาให้เห็นหน้า มากินข้าวด้วย ผมว่าสำหรับอาร์ตติสที่เป็นพวกอินโทรเวิร์ทอย่างผม มันดีกว่าการพาออกไปช้อปปิ้งเป็นไหนๆ และอาจเป็นเพราะเราเป็นผู้ชายกันทั้งคู่ เขาคงจะไม่รู้ว่าจะปฏิบัติกับผมเหมือนที่ทำกับผู้หญิงที่เขาเคยเดทยังไงล่ะมั้ง

   ณ วันเสาร์หนึ่งที่เราว่างตรงกัน หมอมาหาผมเหมือนเดิม มาพร้อมกับเซตชูชิอาหารญี่ปุ่นเกรดพรีเมี่ยมแถมยังมีส่วนของเจ้าปั้นสิบด้วย มันเข้ามาพันแข้งพันขาหมอเหมือนกับรู้ตัวว่ามีทาสคนใหม่เอาของมาเซ่นไหว้มัน

   “ทำไมหมอไม่ค่อยอัพเดทเฟซบุ๊คเลยครับ ไม่เล่นหรอกหรอ” ผมถามหาเรื่องคุยในขณะที่นั่งไหลมือถืออยู่หน้าโซฟาเพื่อให้เขาเช็ดผม เลื่อนเจอแต่สเตตัสหมออิง แต่ไม่เคยเจอของเขาเลย

   “เฮียเอาไว้เช็คข่าวเฉยๆ ครับ”

   “หืม? ปกติไม่เล่นโซเชียลเหรอครับ” ผมโยกหัวไปมา หมอหยุดมือไปก่อนจะยื่นมือถือของเขาให้ผมที่เข้าหน้าอินสตราแกรมไว้

   “ปกติเฮียชอบลงสตอรี่มากกว่า เฮียไม่ค่อยชอบพิมพ์”

   ผมรับมาดูชื่อยูสเซอร์ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มกว้าง

   “ขอฟอลโลว์นะครับ”

   “ครับ”

   ผมเสิร์ชหาอินสตราแกรมของเขา มันเป็นไพรเวทอย่างที่คิด และมีคนติดตามอยู่ไม่เท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่คนที่กดติดตามเขาจะเป็นพวกคนดังฝั่งยุโรปหรือวงการเดียวกันที่ผมเห็นว่าเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คเขา ดูท่าหมอจะมีโลกกส่วนตัวสูงเหมือนกันนะเนี่ย และคนที่เขาติดตามก็มักจะเป็นพวกคนที่ผมเข้าไม่ถึง แต่หนึ่งในนั้นมีผมอยู่ด้วย!

   “หมอแอบตามไอจีผมตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”

   หมอเลิกคิ้ว

   “ตั้งแต่แรก”

   “เพื่อ?”

   “น่าสนใจดี เฮียลองหาเล่นๆ แล้วเจอเลยกดติดตาม ตอนแรกคิดว่าน่าจะมีรูปข้าวปุ้นอยู่ด้วย ไม่เจอหน้ากันตั้งนานเลยอยากรู้ว่าเป็นไงบ้างน่ะครับ” เขาเช็ดผมต่อ

   อินสตราแกรมของผมมักจะมีแต่รูปประหลาด ไม่มีคอนเซปต์ ไม่มีคอนเทนต์ อยากลงอะไรก็ลง ส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นสิบกับของกิน อะไรของหมอที่บอกว่าน่าสนใจ?

   เมื่อผมกดส่งคำขอติดตาม เขาบอกให้ผมกดยอมรับเองเลย เมื่อผมสามารถเผือกอินสตราแกรมของเขาได้ก็จัดการไหลทันที โดยส่วนใหญ่รูปในอินสตราแกรมของเขาจะเป็นพวกท้องฟ้า ธรรมชาติ ถ่ายวิวทั่วไป และหนึ่งในนั้นมีรูปที่ผมเผลอใจเต้นตึกๆ

   รูปท้องฟ้าของผมที่เผลอกดส่ง คู่กับท้องฟ้าของเขา

   แคปชั่นเดียวกับที่เขาเคยส่งให้ผม...

   “น่าอายนะนั่น” ผมพึมพำกับตัวเอง กดไลค์ให้ไปหนึ่งที หมอเลื่อนมือมาจับใบหูผมพลางโน้มหน้าลงมากระซิบข้างๆ

   “หูแดงหมดแล้วครับ”

   ผมผงะหนี ถอยกรูดคว้าปั้นสิบมาขวาง ไอ้อ้วนตัวกลมมองหน้าหมอด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

   “ผะ... ผมแห้งแล้วครับ ขอบคุณมากครับหมอ”

   หมอเอียงคอ พลางยื่นมือมาอุ้มปั้นสิบไปก่อนจะตามลงมายื่นหน้าจนเกือบชิด ใช้ฝ่ามือเสยผมหน้าที่ตกลงมาปรกตาของผมขึ้นพลางขมวดคิ้ว

   “ครับ?”

   “เลิกเรียกหมอได้มั้ยครับ เรียกเฮียดีกว่า”

   “ทะ... ทำไมครับ” ผมเอนตัวหนีหน้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

   “นั่นสิ”

   จุ๊บ!

   ริมฝีปากอุ่นกดจูบบนหน้าผากที่ถูกเสยผมขึ้นแรงๆ หนึ่งทีอย่างหมั่นไส้

   “ทำไรน่ะหมอ”

   ผมเอามือผลักหน้าเขา หมอหัวเราะก่อนจะยอมถอยกลับขึ้นไปนั่งบนโซฟา

   “เฮียใสกับเราที่สุดแล้วนะครับ”

   “ใสกับผีสิหมอ!”

   และนั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนปีใหม่

   หลังจากนั้นเหรอ เทศกาลปีใหม่อะไรนั่นผมไม่รู้จัก ฮ่าๆๆ แฮปปี้นิวยง นิวเยียร์อะไรไม่มี๊ เพราะมันเป็นช่วงเจ็ดวันอันตรายโดยเฉพาะวันสิ้นปีที่คนอื่นๆ เขาไปจุดพลุเค้าน์ดาวน์กัน ส่วนหมอน่าสงสารครับ วิ่งเข้าวิ่งออกห้องฉุกเฉินเป็นว่าเล่น ก่อนปีใหม่เขากำชับผมเด็ดขาดว่าอย่าออกไปเที่ยวข้างนอก มันอันตราย เลยกลายเป็นว่า ผมพาไอ้อ้วนไปฉลองปีใหม่ที่บ้านพี่ดินกับพวกพี่เจี้ยนแทน

   จบปีใหม่ คืออะไรครับ ใช่... วาเลนไทน์ไง

   ผมเคยคิดว่าเทศกาลนี้แม่งโคตรงี่เง่า ทำไมต้องให้ดอกกุหลาบกับช็อคโกแลตกันในวันตายของเซนต์วาเลนไทน์ด้วยวะ แล้วถ้าเป็นพวกคู่รักก็จะมีความคาดหวังความโรแมนติกจากคนรัก

   แต่ผมกับหมอ ยังไม่ได้เรียกว่าคบกันอย่างเต็มปากเต็มคำ

   นับครั้งจะเจอกันยังได้เลย

   แล้วผมจะคาดหวังอะไร

   [“ขอโทษนะข้าวปั้น เฮียมีผ่าตัดฉุกเฉิน นัดวันนี้ขอเลื่อนก่อนนะครับ”]

   “ครับ อย่าลืมกินข้าวนะครับหมอ”

   ผมยืนรอแกร่วอยู่หน้าออฟฟิศตอนสองทุ่ม... มือถือแนบอยู่ข้างหูฟังเสียงสายที่ตัดไป

   “แฮปปี้วาเลนไทน์ตัวกู”

   ผมหัวเราะแห้ง รู้งี้ไปข้าวสารกับพวกพี่เจี้ยนดีกว่า ผมถอนหายใจ เก็บเอาความนอยด์เล็กๆ กลับเข้าไปให้ลึก ท่องไว้ๆ หมอคืออาชีพที่ได้กินข้าวก็แฮปปี้แล้ว ผมคิดว่าจะโทรหาพี่เจี้ยน... แต่คิดอีกที กลับบ้านไปนอนกอดปั้นสิบให้หายชอกช้ำดีกว่า

   แต่ทุกวันที่ไม่เคยขาดคือข้อความจากเขา ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหน หมอจะส่งข้อความมาหาทุกวัน ถามว่ากินข้าวรึยัง กลับรึยัง ทำงานเป็นยังไงบ้าง เหนื่อยมั้ย ถ้าว่างเขาจะมาหาผมทันที และทุกครั้งเขาจะพยายามปลีกตัวเพื่อมาเอาเสื้อผ้าที่ห้องแล้วก็ทักทายผมนิดๆ หน่อยๆ

   ผมเห็นหน้าเขาที่เหนื่อยอ่อนแล้วทำให้ไม่กล้างอนครับ

   หมอเวลาปกติก็น้อยอยู่แล้ว แต่เขากลับยอมให้เวลาว่างกับผมที่มีเพียงเล็กน้อยมาส่งข้อความหา บางวันส่งแม้กระทั่งแผนที่การจราจร หรือพยากรณ์อากาศ หรือช่วงนี้ที่หนักๆ ก็ค่า pm2.5 เขาเหมาแมสปิดปากมาหมดชั้นเลยมั้งครับตอนเราไปหาซื้อของกินกันน่ะ บังคับให้ใส่เวลาออกไปข้างนอก

   ผมว่า ผมน่าจะผันตัวไปเป็นลูกเขาแทนน่าจะดีกว่า

   

   วาร์ปกลับมาที่ปัจจุบัน ผมลงแท็กซี่แล้วจ่ายเงินให้คนขับ ตอนนี้จะตีหนึ่งแล้ว รถเมล์หมด รถไฟฟ้าหมด ผมจำต้องนั่งแท็กซี่กลับมาเอง สภาพผมแย่มาก เหมือนกลับไปช่วงที่ต้องเข้าผ่าตัดแม้มันจะผ่านมาปีกว่าแล้วก็ตาม ผมเริ่มเอามือกุมท้อง ผมไม่ได้อดข้าวนะ กินทุกมื้อ แต่อาจเป็นเพราะผมเครียดก็ได้ นอกจากงานจะทำแทบไม่ทันเพราะไอ้ซันแม่งลาเช้างานยังไม่ได้ วันนี้ยังโดนพี่ฤกษ์มากดดันกับพี่อัฐด่าอีกว่าส่งเรนเดอร์ผิดทำให้เสียเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆ พี่ดินเองก็โดนกดดันด้วยเช่นกันเพราะดูแลลูกทีมไม่ดีพอ ซึ่งก็คือผมกับฟางที่ทำงานช้ากันอยู่สองคน

   อย่างน้อยธูปที่ผมจุดเรียกไอ้ซันก็ทำให้มันล่องลอยมาทำงานให้ผมจนเสร็จได้ในตอนบ่าย

   “ข้าวปั้น”

   ผมเงยหน้าขึ้น เห็นร่างของหมอยืนอยู่หน้าคอนโด ผมนี่จุกอกเลยครับ

   คิดถึง...

   “หมอ”

   ผมครางเรียกเขาเสียงแผ่ว เดินเข้าไปหาร่างสูงในชุดทำงานที่ไม่ได้คลุมทับด้วยสูทก่อนจะสวมกอดเขาอย่างลืมอาย ความรู้สึกตื้นในอกกับการมีคนมายืนรอตอนกลับบ้านมันเป็นอย่างงี้นี่เอง

   หมอคงจะงง เขาโอบรับผมที่ซุกหน้าเข้ากับอกเสื้อเชิ้ตยับๆ ของเขาก่อนจะสูดลมหายใจแรงๆ กลิ่นน้ำหอมของหมอยังคงทำให้รู้สึกผ่อนคลายเหมือนเดิม อ้อมแขนแกร่งที่โอบผมเบาๆ ค่อยๆ กระชับให้แน่นขึ้นก่อนจะลูบหลังลูบไหล่ผมเบาๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนมาลูบหัวผม ทำให้ก้อนสะอื้นมันไหลขึ้นมาจุกคอ

   “เป็นอะไรเหรอครับ เหนื่อยเหรอ?”

   “อือ”

   “กลับห้องมั้ย อาบน้ำ พักผ่อน พรุ่งนี้เฮียไม่มีขึ้นเวรเช้า เฮียอยู่กับเราได้ทั้งคืน”

   “อือ”

   ผมอยากให้เขาลูบหัวผมไปเรื่อยๆ... เรื่อยๆ

   

   ผมเข้าไปอาบน้ำด้วยท่าทีซังกะตาย หมดอาลัยตายอยาก วันนี้สงครามหนักเกินรับมือจริงๆ ครับ อาจเป็นเพราะพี่ดินที่เป็นลีดเดอร์ซวยไปด้วยเลยทำให้ผมรู้สึกผิดมากๆ ทั้งๆ ที่พี่เขาช่วยเหลือผมตั้งหลายอย่าง

   เมื่อออกจากห้องน้ำ ผมเห็นหมอนั่งเอนหัวพิงพนักโซฟา กระดุมคอกับแขนถูกปลดออก ผมที่เคยเซตตกลงมาปรกหน้า ดวงตาสีเขียวปิดสนิท ในมือยังถือรายงานภาษาอังกฤษล้วนๆ ไว้ แว่นก็ยังไม่ได้ถอด

   ผมกะจะไปให้อาหารปั้นสิบ ก็เห็นว่ามันถูกเติมแล้วด้วยฝีมือคนที่หลับอยู่บนโซฟา

   “หมอ หมอครับ”

   ผมลองเรียกเบาๆ

   สงสัยเขาจะหลับลึกมาก ดูจากถุงได้ตาคล้ำๆ แล้วรู้เลยว่าเขาอดนอนมา เขาควรกลับไปพักผ่อนไม่ใช่มานั่งอ่านรายงานแบบนี้

   ผมจัดการถอดแว่นตาของเขาให้ แต่ทันทีที่ถอดออก เอวของผมกลับถูกรวบเข้ามาชิดจนเสียหลักลงไปนั่งกองบนตักเขา ในท่าควบหันหน้าเข้า ผมผงะออก นัยน์ตาสีเขียวคู่สวยลืมขึ้น แววตาเขาทำผมคิดดีไม่ได้เลย โดยเฉพาะเมื่อมือใหญ่เริ่มสอดเข้ามานิดๆ ใต้เสื้อยืดสีดำของผม

   “หมอ ง่วงไม่ใช่เหรอครับ”

   ผมเหนื่อยเกินกว่าจะขัดขืน หมอเองก็คงเหนื่อยเกินกว่าจะแกล้ง เขาไล้มือเข้ามาลูบเอวบางเป็นผ้าอนามัยของผมไปมาจนรู้สึกวูบวาบ

   อาการผีเสื้อบินในท้องผู้ชายก็มีด้วย?

   “ข้าวปั้น”

   หมอขยับดวงหน้าที่เริ่มรกด้วยเคราเขียวมาชิดข้างแก้ม เขาสูดดมกลิ่นหอมจากสบู่ที่ติดตัวผมอย่างเคลิบเคลิ้ม ริมฝีปากสวยเริ่มขยับจูบไล่ตั้งแต่กรามไปยังติ่งหู ผมเอียงคอหนีอย่างไม่ชินและจั๊กจี้ เขาหยุดไปนิดนึง ก่อนจะตวัดลิ้นเลียติ่งหูนุ่มพลางขบเม้มอย่างเพลิดเพลิน

   อึ๋ยยยย คันหูเลยวุ้ย!

   “หมอครับ พรุ่งนี้ผมเข้างานเช้า”

   “ครับ”

   “หมอ... เดี๋ยว”

   ผมยันบ่าเขาไว้เมื่อเขาเริ่มซุกไซร้บริเวณซอกคอผม ปากร้อนขยับอ้าพลางดูดดึงผิวเนื้อจนผมคิดว่า พรุ่งนี้กูได้งัดคอเต่ามาใช้อีกแน่เลย...

   สัมผัสเปียกชื้นไล่ไปทั่วจนมาจบที่ริมฝีปาก เขากัดเม้มริมฝีปากล่างของผมก่อนจะดูดดึงมันอย่างมันเขี้ยว ในขณะที่ปากหลอกล่อให้ผมเพลิดเพลินกับสัมผัสวาบหวาม มือเขาจัดการเลื่อนเสื้อยืดของผมขึ้นมาจนมากองอยู่บนอกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

   และในขณะเดียวกัน มือผมก็ทะลึ่งสอดเข้าไประหว่างสาบเสื้อเขาอย่างเผลอไผล ลูบไล้แผ่นอกแน่นตึงจนน่าอิจฉา

   “ไหนว่ามีงานเช้า แบบนี้เหมือนจะไม่ได้นอนนะครับ”

   “ผม... ผม....”

   ผมเป็นคนจุดไฟติดง่าย แค่เขาจูบ ช่วงล่างของผมก็พร้อมทะยานฟ้าแล้ว... ผมเบือนหน้าหนีอย่างเขินอาย

   “ข้าวปั้นครับ”

   “ครับ”

   “เป็นแฟนกันนะ”

   “ครับ... หือ????”

   ผมหันไปมองนาฬิกา เชี่ย... ตีสอง หมอมาขอผมเป็นแฟนตอนตีสอง ตีสองเนี่ยนะ มันใช่เวลามั้ย?

   “ตีสอง”

   ผมเผลอหลุดปากในสิ่งที่คิด หมอคงไม่เข้าใจ เพราะเขาเลิกคิ้ว ยิ้มสวยๆ ให้หนึ่งทีก่อนจะกระชับอ้อมแขน

   “หมอขอผมเป็นแฟนตอนตีสอง”

   “ความจริงว่าจะขอตั้งแต่วาเลนไทน์ แต่ติดผ่าตัดพอดี พยายามจะหาเทศกาลดีๆ อีกรอบ แต่ถัดจากวาเลนไทน์ก็เอพริลฟลูเดย์ เฮียว่าปั้นอาจตีเบลอหาว่าโกหก ถัดไปก็เชงเม้ง เฮียว่าไม่เหมาะจะขอใครเป็นแฟน เลยคิดว่า เอาฤกษ์สะดวกดีกว่า”

   ไร้ซึ่ง... จะว่าไม่โรแมนติกมันก็ไม่ใช่

   ผมเงียบ ไม่ตอบ แต่ก้มหน้าลงไปกอดคอเขาแทน ผมซบหน้าลงบนบ่ากว้าง หมอลูบหลังผม

   “หมอถือว่าคนไข้เซ็นยอมรับนะครับ”

   “งื้อ...”

   ผมจะปฏิเสธอะไรได้ล่ะ... แค่ความรู้สึกคิดถึงที่ตีเข้ามาตอนเจอหน้ากันเมื่อกี้ก็บ่งชัดแล้วว่าผมน่ะ ชอบเขาไปแล้วเต็มๆ



   “เฮียอาจจะไม่ค่อยมีเวลาให้ แต่เฮียจะหาเวลาให้ ปั้นเองถ้ามีอะไรไม่สบาย อย่าเกรงใจ ถึงเฮียจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่เฮียพร้อมฟัง” หมอจูบข้างแก้มผม ก่อนจะเลื่อนขึ้นไปบนหน้าผาก “เอาแต่ใจบ้างก็ได้ครับ”

   ผมหัวเราะ ความรู้สึกนอยด์ๆ แทบจะหายไป มีกำลังใจขึ้นโขเลยครับ

   “ข้าวปั้นครับ”

   “ครับ”

   “ไม่ขอแค่จูบได้มั้ย”

   ผมเห็นรอยยิ้มเขาแล้วรีบคว้าปั้นสิบที่นอนอยู่ข้างๆ มาขวางทันทีก่อนที่เขาจะโน้มหน้าลงมา

   “ทะลึ่งครับหมอ!”



หวายๆๆๆๆๆ ความโรเเมนติกตอนตีสองงงงงงงง

ฮื่อ...จากนี้ จากนู้น จากนั้น... ตอนหน้ามีเรียกเลือดนะคะ

ขอบคุณสำหรับคอมเม้ตน์และกำลังใจนะคะ โฮกๆๆๆๆ

ชอบไม่ชอบยังไงฝากติชอบกันด้วยนะคะ

 :mew3:

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu



ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
ฮ่าาาาาา ก็ยังดีที่ไม่ได้รอไปขอตอน April's Fool Day นะครับ ^^

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
เป็นแฟนอย่างเป็นทางการ​ อย่างงี้ต้องฉลอง
เห็นพระนายของเราทำงานแล้วอยากวอนขอคนแต่งเพิ่มบทให้เค้าทั้งคู่ได้พักบ้างเถอะ​ ฮือ​ สงสาร

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :L2: :L2: :L2:
ยินดีด้วยนะข้าวปั้น

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
โรแมนติกมากค่ะหมอ โถ่ 555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 19
ข้าวปั้นครับ มาลองพฤติกรรมบำบัดกันไหม


   “อาจารย์คะ หนูอยากถามเรื่องเคสของคนไข้ที่เป็นโรคลำไส้อักเสบน่ะค่ะ อาจารย์พอจะมีเวลามั้ยคะ”

   ผมที่กำลังจะเดินกลับห้องพักแพทย์ถูกเรียกไว้ด้วยนักศึกษาแพทย์สาวชั้นคลินิกซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มวอร์ดที่ผมดูแล เธอเป็นหนึ่งในท็อปคลาสที่ผมภูมิใจ ผมหันกลับมาแล้วพยักหน้ารับ เธอยิ้มหวานแล้วเดินเข้ามาเปิดไอแพดเพื่อถามสิ่งที่สงสัย

   ผมลอบมอง เธอตัวเล็กมาก สูงแค่เทียมอกผม แต่อะไรๆ กลับโตเกินกว่าที่ร่างเล็กๆ นั่นควรจะมี

   ผมกรอกตามองบน นิสัยเดิมๆ จะให้เลิกเลยมันก็ยาก แต่จะให้ทำต่อมันก็ไม่ใช่เรื่อง โดยเฉพาะเมื่อลูกศิษย์คนโปรดวันนี้จงใจใส่เสื้อคอคว้านลึกจนต่อให้ผมไม่ตั้งใจมอง มันก็ยังเห็นอยู่ดี

   เด็กสมัยนี้...

   ผมมองตามชาร์จผู้ป่วยและข้อมูลในไอแพดของเธอแล้วอธิบาย ระหว่างที่อธิบายผมก็รู้นะว่าเจ้าหล่อนแอบขยับกายเข้ามาชิดเกินพอดีจนกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกตีเข้าจมูกผม คิ้วผมขมวดแน่น

   “น้ำหอมของคุณ ผมว่ามันแรงเกินไป”

   “อ๊ะ...” นักศึกษาถอยห่างทันทีที่ผมทัก เธอยกมือขึ้นเอาผมทัดหูแก้เก้อ หน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออาย

   “ขะ... ขอโทษค่ะอาจารย์ คือว่าหนูเพิ่งเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอม ขอโทษค่ะ”

   เธอละล่ำละลักแก้ตัว ผมเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะดันแว่น เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์สั่งสอน

   “ผมไม่ได้ห้ามว่าใส่ไม่ได้ แต่คุณควรจะรู้ว่าการเป็นหมอต้องเจอกับผู้ป่วยหลายประเภท กลิ่นน้ำหอมที่แรงเกินไปอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่” ผมสั่งสอนแกมดุ ไม่ได้ใช้น้ำเสียงดูถูกหรือรุนแรงแต่เหมือนอีกฝ่ายจะหน้าชาไปแล้ว แม้รอบๆ ด้านจะไม่มีคนเลยก็ตาม

   “ค่ะอาจารย์ ต่อไปหนูจะระวังค่ะ”

   “ครับ”

   แล้วเจ้าหล่อนก็เดินเร็วๆ จากไป ผมส่ายหัวเบาๆ เรื่องแบบนี้ก็มีแทบทุกปีตั้งแต่ผมรับเป็นอาจารย์หมอดูแลชั้นคลินิกวอร์ดศัลยศาสตร์ ผมยอมรับว่าตัวเองก็ใส่แต่มันจะเป็นเพียงกลิ่นบางๆ ที่ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง กลิ่นหอมอ่อนๆ ผมชอบเวลาใช้อาฟเตอร์เชฟหลังโกนหนวดมากกว่า และนั่นคงเป็นกลิ่นที่ข้าวปั้นชอบ

   ผมล้วงมือถือขึ้นมาเช็คอย่างคาดหวังว่าจะมีข้อความอะไรจากคนที่คงกำลังนั่งตัวหน้าติดจอคอม แต่ก็ไม่... ครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายส่งข้อความมาหาก่อน ผมดีใจจนเซ็นเอกสารผิดเลยครับ ถึงแม้ตอนนั้นจะเป็นแค่การส่งรูปมาแบบไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ แถมเขาเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะประทับใจผมสักนิด ความดีใจมันก็หักลบไปกับความเซ็ง ยิ่งคิดว่าเขาเกลียดผมขนาดหนีกลับบ้าน ยิ่งเซ็งหนักเข้าไปอีก

   “ไฮ้ ไอ้หมอ แม่นักศึกสาวนั่นเดินหน้าบูดตูดบิดสวนกะกูไปนู่นแล้ว เพราะมึงใช่มั้ย?”

   ผมเงยหน้ามองคนทักที่เดินมาแขวะ เก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อกาวน์แล้วเปิดประตูห้องเข้าไป ไม่สนใจเจ้าของคำพูดหยาบคายสักนิด

   “หยิ่งจริงนะครับอาจารย์หมอ เฮ้อ... เมื่อไหร่กูจะมีโอกาสได้เข้าวอร์ดพร้อมสาวๆ สวยๆ พวกนั้นมั่งวะ” คนที่ตามเข้ามาทิ้งตัวนั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของผมประสานมือไว้ที่ท้ายทอยเอนตัวบ่น ผมเปิดแลปท็อปของตัวเองก่อนจะเช็คตารางผ่าตัดวันนี้ที่มีสองเคสรวมถึงอ่านรายงานผู้ป่วยพร้อมทานของว่างรองท้องไปด้วย

   “สาวๆ นอนรอมึงบนเตียงตั้งเยอะแยะ” ผมพูดกลับ หมอริทถึงกับย่นหน้าเบะปาก

   “สาวพ่อมึงสิ นอนนิ่งให้กูผ่าไม่ขยับเชียว ไม่นิยมสาวที่พรมน้ำหอมกลิ่นฟอร์มาลีน”

   ครับ มันเป็นหมอนิติเวช หรือหมอผ่าศพนั่นแหละครับ

   ผมหัวเราะขำก่อนจะเปิดรายงานพร้อมกับเลื่อนจอไปด้วย หมอริทเลิกคิ้วมองของกินก่อนผ่าตัดของผมแล้วถามอย่างสงสัย

   “แดกแต่ข้าวปั้นเซเว่นแล้วมึงจะยืนไหวเรอะวันนี้”

   “เออ”

   ผมแกะห่อข้าวปั้นห่อที่สาม กินไปคิดถึงเจ้าของชื่อที่เหมือนกันไป ถอนหายใจเหมือนคนถูกบังคับให้กินข้าว ทันใดเสียงแจ้งเตือนข้อความจากมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ทำให้ผมรีบหยิบขึ้นมาดู

   แล้วก็ผิดหวังอีกตามเคย... แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังจนเกินไป

   “ใคร? สาวไหนบอก” หมอริทยื่นหน้าเข้ามา ผมชักมือถือหนีพร้อมด่า

   “เสือก”

   “แหม อคิน มึงให้เบอร์ใครง่ายๆ ที่ไหนกูรู้หรอกน่า” หมอริทแซวอย่างรู้ทัน ผมเลยบอกไปอย่างไม่ปิดบัง

   “ลิน” ผมอ่านข้อความแล้วยิ้มบางๆ “บอกว่าจะมาถึงไทยเที่ยวเย็นวันเสาร์นี้”

   “เห แม่สาวเมกา แล้วมึงจะไปรับมั้ย เขาไม่เคยมาไทยนี่หว่า”

   ผมขมวดคิ้วก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับคนจากแดนไกลว่าจะไปรับ เพราะผมไม่ค่อยอยากให้เธอเดินทางในกรุงเทพคนเดียว มันอันตรายสำหรับชาวต่างชาติ แถมยังเป็นผู้หญิง พลางคิดว่าจะพาข้าวปั้นไปรับเธอด้วยดีมั้ย

   “ไป”

   “กูไปด้วยดิ” หมอริทเสนอหน้า ซึ่งผมเหลือบตามองก่อนจะกระตุกยิ้มให้พร้อมพูด

   “เสือก”

   วันนี้มันโดนผมด่าไปสองรอบ หวังว่าคงจะนอนหลับฝันดีถึงสาวๆ ที่มันผ่าจนครบทุกคนนะ



   หลังผ่าตัดเสร็จตอนตีสอง ผมกลับมาเปลี่ยนชุดที่ห้องพักแพทย์เตรียมกลับคอนโด ปกติถ้าดึกขนาดนี้ผมจะนอนที่ห้องพักนี่พอเช้าก็อาบน้ำที่ห้องพักแพทย์แล้วราวด์วอร์ดต่อเลย แต่ผมกลับมีแรงฮึดอยากกลับบ้านขึ้นมาซะงั้น เพราะข้อความเดียวที่ส่งมาให้ผมตอนหัวค่ำในช่วงที่กำลังจะไปผ่าเคสที่สอง



   KaowwwPun: ผมกำลังกลับนะครับ หมออย่าลืมกินข้าวนะ



   ไอ้ประโยคนี้ทำให้ผมรู้สึกหายเหนื่อยครับ แต่ประโยคที่ทำให้กระชุ่มกระชวยก็คือประโยคสั้นๆ ต่อมา



   KaowwwPun: คิดถึงครับ



   ครับ ร้อยแปดสิบผมก็จะเหยียบให้ถึงคอนโดภายในสิบห้านาที

   ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มคบกัน ผมก็ให้กุญแจสำรองห้องผมกับเขาไว้ เขาก็ให้เช่นกัน สาเหตุหลักๆ คือเผื่อคนใดคนหนึ่งมีเหตุฉุกเฉินจะได้เข้าห้องกันและกันได้ อีกอย่าง ให้เขาสนิทใจกับผมเสียทีว่าจะไม่บังเอิญเจอเหตุการณ์ตะลึงเหมือนวันนั้นอีก

   ผมคิดว่าเขาจะถามเรื่องของวาริศมากกว่านี้ แต่สุดท้ายข้าวปั้นก็ไม่ถาม แถมยังบอกด้วยว่า ตอนนั้นหมอก็คือหมอ เขาไม่มีสิทธิ์จะต่อว่าอยู่แล้วเพราะผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน ที่เขาเตลิดเปิดเปิงไปก็เพราะตกใจแล้วก็ช็อคมากกว่า

   แต่ผมรู้สึกผิด ทั้งๆ ที่เคยบอกกับข้าวปุ้นไปแล้วว่าจะจีบเขา แต่ดันอยากรู้อยากลองไม่เข้าเรื่อง

   แน่นอนครับ นิสัยผมเป็นแบบนี้ และเรื่องของวาริศคือสิ่งที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นแล้วตั้งแต่เขามาคอนโดผมครั้งแรก

   “พี่หมอคิน”

   ผมที่กำลังจะเดินไปลานจอดรถของโรงพยาบาลถูกเรียกไว้จากคนที่เข้าห้องผ่าตัดไปกับผมเมื่อเคสก่อนหน้า ผมหยุดแล้วหันกลับมา ร่างเพรียวบางสะอาดสะอ้านดูสำอางของวิสัญญีแพทย์หนุ่มฝีมือดีที่ยังอยู่ในชุดกาวน์เดินเข้ามาใกล้ผม หน้าตาเขาบูดไม่น้อยเมื่อเห็นท่าทางรีบเร่งของผม

   “ว่า?”

   “จะกลับคอนโดเหรอครับ ปกติดึกขนาดนี้พี่หมอจะค้างไม่ใช่เหรอ?” วาริศเดินเข้ามาชิดผมจนได้กลิ่นยาคลุ้ง แน่นอนว่าไม่ต่างจากผมนักหรอก แต่ในกลิ่นยามันมีกลิ่นน้ำหอมอบอวลที่ผมเพิ่งจะต่อว่าลูกศิษย์ไปหยกๆ เมื่อเช้า มันตีกันจนผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่จึงถอยห่างเล็กน้อยก่อนตอบ

   “ใช่”

   “ใช่? หืม หรือว่าเด็กของพี่หมอรออยู่”

   วาริศเป็นคนฉลาด เขามักมีวิธีการเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เขาต้องการ ผมไม่ใช่คนเดียวที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย แม้เขาจะบอกว่าชอบผม แต่ผมรู้ว่าในคำหวานของเขามันมียาพิษอยู่มากมาย และผมก็ไม่คิดจะสนใจมันด้วย ถ้าหากเราทั้งคู่ต่างมีประโยชน์ซึ่งกันและกัน ผมก็ไม่เกี่ยงจะใช้งานเขา และแน่นอน ผมมีข้อตกลงเสมอก่อนจะทำอะไร

   “คุณมีธุระอะไรรึเปล่าวา”

   ผมถามไปตรงๆ หมอวาริศหัวเราะในลำคอก่อนจะใช้นิ้วแตะริมฝีปากตัวเองพลางส่ายหน้าไปมา

   “มาหาผมได้เสมอนะถ้าพี่หมอเบื่อเด็กอ่อนประสบการณ์”

   แล้วก็ยิ้มเย็นให้หนึ่งครั้งก่อนเดินกลับไป ผมมองตามด้วยสายตาที่เย็นชา ผมไม่กลัวว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศแต่สิ่งที่กังวลคือความคิดของเขา อะไรที่วาริศถูกใจ เด็กที่โดนสปอยด์แบบนั้นไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ ซึ่งตอนนี้ผมคือสิ่งที่เขาอยากได้และผมพลาดที่คิดว่าผมจะเป็นแค่หนึ่งในคู่นอนทั่วไปของเขาแล้วจบไปตามข้อตกลง

   ด้วยจรรยาบรรณความเป็นแพทย์ ผมก็หวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรให้มันผิดความเป็นหมอของเขานะ



   ผมปลดล็อคประตูห้องชั้น 9 เทียนหอมในห้องดับไปหมดแล้ว ผมจัดการใช้มือถือแทนไฟฉายก่อนจะใช้ไฟแช็คที่วางไว้ตรงชั้นวางจุดเทียนให้เขา ถ้าผมสามารถกลับมานอนคอนโดได้ ผมก็มักจะแวะมาทำแบบนี้ให้เขาทุกคืน

   ก่อนจะเข้าห้องเขา ผมแวะไปอาบน้ำห้องตัวเองก่อนเพราะไม่อยากให้เชื้อโรคจากโรงพยาบาลมาแพร่เชื้อใส่คนที่กำลังนอนฝันดีโดยมีปั้นสิบนอนหงายพุงอยู่ข้างหมอน

   ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง แสงไฟจากเทียนหอมทำให้สามารถเห็นหน้าเขาได้ชัด คนที่ผมเริ่มยาวนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา ผมใช้ข้อนิ้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าเขาขึ้น และคนรู้สึกตัวง่ายก็คงจะรับรู้ถึงสัมผัสแปลกๆ ได้

   นัยน์ตาสีน้ำตาลค่อยๆ ปรือขึ้นเหมือนคนละเมอ ก่อนจะหันมามองผมนิดๆ มือเรียวยื่นออกมาจากผ้าห่มแล้วจับที่มือผมพลางลูบเบาๆ

   “กลับมาแล้วเหรอครับ”

   “ครับ”

   ข้าวปั้นจับมือผมไว้ก่อนจะยิ้ม หันตัวมากอดเอวผมแบบอ้อนๆ ซึ่งปกติถ้าไม่สะลึมสะลือไม่มีทางหรอกนะครับมุมอ้อนๆ แบบนี้น่ะ

   “เหนื่อยมั้ยครับ”

   เขาถามทั้งๆ ที่หลับตาเหมือนพร่ำเพ้อไปงั้นเองแต่ผมกลับเอ็นดูจนต้องโน้มตัวลงไปนอนข้างๆ สอดตัวเข้าไปอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน พลางกดหน้าเขาให้ซุกลงมาแนบอก ข้าวปั้นสูดกลิ่นสบู่ที่ติดตัวผมก่อนจะขยับหน้าเบือนออกเพราะต้องการพื้นที่หายใจ

   “เหนื่อยครับ”

   “พรุ่งนี้ราวด์กี่โมงครับ” เขาถามแบบนี้ทุกครั้งที่ผมมานอนด้วย เพราะเขารู้ว่าผมตื่นเช้ามากเพื่อเข้าโรงพยาบาล

   “เหมือนเดิมครับ หกโมง”

   “เดี๋ยวปั้นตื่นมาทำอะไรให้กินนะครับ”

   เขาบอกอย่างน่ารัก ผมอยากจะกดเขาทั้งๆ ตอนนี้เสียเลย ถ้าไม่ติดว่าผมก็เหนื่อย เขาก็ง่วงล่ะก็นะ

   “วันศุกร์ไปค้างห้องเฮียนะครับข้าวปั้น”

   วันศุกร์ผมไม่มีเวรและไม่มีเคสผ่า... ขอสักวันให้ได้อยู่กับเขานานๆ

   “ครับ”

   ไม่รู้ล่ะว่าละเมอหรือตอบรับ แต่ผมเหมารวมแล้วว่าตกลง

   อดทนหน่อยอคิน...



   ผมสะดุ้งตื่นมาตอนตีห้าเพราะได้ยินเสียงก๊องแก๊ง แสงไฟจากโซนครัวลอดผ่านเข้ามา คนที่นอนอยู่ข้างผมตอนนี้ใส่ผ้ากันเปื้อนเข้าครัวไปแล้วไปแล้ว ผมยีผมหยักศกของตัวเองก่อนจะคว้าแว่นที่วางไว้ข้างๆ มาใส่แล้วลุกจากเตียง เปิดประตูกระจกที่กั้นระหว่างโซนนอนกับโซนนั่งเล่นพลางเช็คมือถือไปด้วยว่ามีข้อความด่วนอะไรรึเปล่า

   โชคดีที่ไม่มี

   “ตื่นแล้วหรอครับ จะกินกาแฟก่อนหรืออาบน้ำก่อนครับ”

   คนทักผมหันมายิ้มให้แวบนึงก่อนจะกลับไปง่วนกับการทำแซนวิชหั่นเป็นชิ้นพอดีคำต่อ เขาจัดการเอาทุกอย่างใส่กล่องพลาสติกและใส่ลงถุงผ้าอีกที

   ศรีภรรยา...

   ผมยิ้มขำกับภาพที่เห็นก่อนจะเดินไปกอดเอวเขาแล้วกดจมูกลงบนศีรษะทุยยุ่งๆ นั่น ข้าวปั้นแตะแขนผม หูเหอแดงจนน่าเอ็นดู ผมลอบสอดมือเข้าไปใต้ผ้ากันเปื้อนพลางลูบหน้าท้องเขาจนเจ้าตัวสะดุ้งหดหนี

   เขาผอมลงอีกแล้ว

   “อย่าหื่นตั้งแต่ตื่นได้มั้ย ไปอาบน้ำครับ!”

   “ครับๆ”

   ผมคว้าผ้าเช็ดตัวมาแล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำไปพร้อมเสียงหัวเราะหึๆ ให้คนโดนลวนลามขมุบขมิบปากอวยพรตามหลัง แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้วันนี้ผมมีแรงทำงานทั้งวันแล้วครับ

   “ข้าวปั้นครับ”

   หลังแต่งตัวเสร็จผมก็เรียกเขาระหว่างที่ดื่มกาแฟไปด้วย คนที่กำลังจัดการกับเสื้อสูทของผมให้หันมาขานรับ ผมเห็นหน้าเขาแล้วอดมันเขี้ยวไม่ได้จริงๆ

   “วันศุกร์นี้ไปค้างห้องเฮียนะ”

   “ฮะ??”

   ผมยิ้มมุมปาก ผมว่าเขาคงพอจะรู้แหละว่าผมหมายถึงอะไร อายุอานามเราสองคนก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ

   “ก่อนที่เฮียจะไม่ว่าง เฮียอยากใช้เวลากับปั้น” ผมคว้าร่างเขามากอด สามสี่เดือนมานี้ผมแทบจะไม่มีเวลามาเจอเขาเลย เรื่องอย่างว่าตั้งแต่ครั้งแรกมันก็ไม่เคยมีอีกเลย ผมรู้ว่าเขายังไม่พร้อม แต่การตอดนิดตอดหน่อยของผมที่ทำทุกครั้งที่เจอกันก็คงจะพอทำให้เขารู้บ้างแหละว่าสักวันเขาจะหนีคมเขี้ยวผมไม่พ้นแน่นอน

   ผมอุตส่าห์ใจดีเตือนล่วงหน้าให้เวลาทำใจตั้งหลายวัน

   “ไปเล่นเกมห้องเฮียกัน”

   ผมทำทีชวนเขาไปเล่น PS4 ที่เขาติดใจมันมากแต่ไม่กล้าเข้าไปเล่นเมื่อผมไม่อยู่ทั้งๆ ที่ผมบอกว่าจะเข้าก็ได้ผมไม่ว่า แต่เขาก็ยังขี้เกรงใจอยู่ดี

   ข้าวปั้นได้ยินแล้วตาวาววับเพราะเขาเคยเล่นแค่สองสามครั้ง เขาบอกว่าถ้าเล่นคนเดียวมันไม่สนุก ดังนั้นส่วนใหญ่เกมที่เขาเล่นจึงเป็นแนว multi-player แน่นอนว่าเมื่อก่อนผมอยู่คนเดียว เล่นคนเดียวก็มีแค่เกมแนว single player แต่พอข้าวปั้นพูดว่าอยากเล่นที่เล่นด้วยกันได้ ผมกว้านซื้อมันทุกเกมที่มีขาย store นั่นแหละ ให้เขามาเลือกเอง เพราะถ้าให้เขาบอกว่าอยากเล่นเกมไหนจะมานั่งเกรงใจกันอีก

   “คร้าบ”

   หลอกง่ายจริงเด็กอะไร



   ครับ... หลอกง่าย

   ผมเนี่ย....

   เรากลับมาถึงคอนโดประมาณสามทุ่มหลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ข้าวปั้นก็ขออนุญาตหอบเอาปั้นสิบมาด้วย ปั้นสิบดูจะร่าเริงเพราะมันมาถึงห้องผมปุ๊บก็ตรงดิ่งไปยังตู้ปลาทะเลของชอบเพื่อไปตบกระจกตู้เล่นอย่างเพลิดเพลิน ข้าวปั้นกลัวทุกครั้งว่ามันจะกระโจนลงไปในตู้แต่ปั้นสิบดูจะฉลาดกว่าที่ข้าวปั้นคิด เพราะมันรักที่จะยืดตัวเอามือตบปลาผมจากผิวน้ำมากกว่า... อืม

   ตั้งแต่เข้าห้องมา เขาก็ตรงดิ่งไปยังเครื่องเล่น PS4 ของผมพร้อมกับขออนุญาตเปิด และนั่งเล่นมันกับผมไปสามชั่วโมงแล้ว... จนผมรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จึงไล่ให้เขาไปอาบน้ำก่อนที่เขาจะง่วงจนหน้าจมลงไปกับจอยเหมือนทุกครั้ง

   แต่ครั้งนี้เขาอาบน้ำนานกว่าทุกครั้ง ก่อนจะกลับมามุดตัวนั่งบนโซฟาเหมือนเดิมพลางไล่ผมไปอาบน้ำบ้าง ส่วนเขาก็เปิดอนิเมะดูในบริการสตรีมมิงยอดฮิตผ่านแอคเค้าน์ของผมที่ต่อไว้อยู่แล้ว พอผมกลับมาพร้อมกับเช็ดผมไปด้วย ก็เห็นว่าเขานั่งเหม่อมากกว่านั่งดู

   “ข้าวปั้นครับ” ผมลองเรียก แต่เขากลับไม่สนใจ เอาแต่มองหน้าจอทีวี ผมเลยทิ้งตัวนั่งลงจนชิดเขา คนที่กำลังเหม่อจิตล่องลอยจึงได้ดึงวิญญาณตัวเองกลับมาพลางหน้าแดงจนผมงง หรือเขาจะไม่สบาย

   “เป็นอะไร หน้าแดงเชียว ไม่สบายเหรอครับ แอร์หนาวไปเหรอ?”

   “ปะ... เปล่าครับ”

   เขาเบือนหน้าหนี ทำท่าจะลุกแต่ก็เปลี่ยนใจ ทิ้งตัวนั่งลงตามเดิมพลางหนีบขาชิดกันในท่าชันเข่าขึ้น... ผมถึงได้เข้าใจว่าเมื่อกี้เขาเหม่ออะไร

   ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม ข้าวปั้นเอนตัวออกห่างเล็กน้อย หัวเราะแห้งแก้เก้อ

   “เด็กลามกคิดอะไรก่อนนอนรึเปล่าครับ”

   “อะ อะ อะไรน่ะครับ ฮ่าๆๆๆ”

   ผมไล่ต้อนเขาจนสุดเบาะโซฟาเบดตัวยาว ก่อนจะดันร่างผอมในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวลงนอนราบกับเบาะ ข้าวปั้นเงียบกริบ หลับตาปี๋ มือบางจับแขนเสื้อนอนผมไว้แน่น

   “ข้าวปั้นครับ... หมออิงบอกว่าโรคกลัวที่แคบที่มืดของข้าวปั้น ต้องรักษาด้วยการทำความคุ้นชินกับมัน” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เขาเบือนหน้าออกไปด้านข้างแต่ก็ไม่ได้ผลักออกเหมือนทุกครั้ง ผมยิ้มพอใจกับความเด็กน้อยฉลาดรู้ของผม

   “เรามาลองพฤติกรรมบำบัดกันดูมั้ยครับ”

   “ครับ...”

   ผมจูบที่ซอกคอหอมกลิ่นสบู่ของผม โดยปกติผมจะไม่ยอมให้คู่นอนหรือใครหน้าไหนใช้ของใช้ส่วนตัว แม้แต่ห้องนอนก็ไม่ให้เข้า จบแล้วจบเลยแยกย้ายไม่มีค้างต่อแม้อีกฝ่ายจะพยายามยื้อแค่ไหนผมก็ยังยืนยันให้กลับโดยสุภาพ แต่ข้าวปั้นผมถึงกลับต้องหลอกล่อให้เขาอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเขาค้างห้องผมครั้งแรกแล้วเห็นคอมราคาสองแสนวางตั้งให้ฝุ่นจับอยู่ในห้องนอน... ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอนเขาต่อว่าผมว่าใช้เงินไร้สาระเกินไปแล้ว

   “หมอครับ... คือ คือผม...”

   เขาเริ่มประท้วงเมื่อผมสอดผมลูบไล้เอวผอมนุ่มมือของเขา แม้ข้าวปั้นจะผอมแต่ไม่ใช่เนื้อติดกระดูก ถึงจะไม่นุ่มเท่าผู้หญิง แต่ผมชอบสัมผัสทุกอย่างที่เป็นเขา ผมขบเม้มไหปลาร้าสวยพลางใช้มือรั้งคอเสื้อยืดลงมาให้เปิดมากขึ้น ลิ้นร้อนของผมดูดดึงจนผิวขาวเป็นรอยช้ำแดง ผมยันตัวขึ้นมองผลงานอย่างพอใจ อยากทำให้คอขาวๆ นั่นเป็นรอยมากกว่านี้จริงๆ

   “หมอครับ... ไม่ ไม่ใช่ตรงนี้”

   ผมเลิกคิ้ว เขากัดริมฝีปากตัวเอง ตาสวยชั้นเดียวคลอน้ำตานิดๆ

   “ผม...  ผมไม่อยากทำ... ตรงโซฟานี้”

   ผมชะงักกึก ก่อนจะนึกได้ว่าโซฟานี่เป็นที่ที่เขาเห็นผมกับวาริศมีอะไรกัน... ผมจูบหน้าผากเขาแรงๆ ก่อนจะโอบร่างเขาขึ้นมากอดแนบอก กดจูบที่แก้มใสๆ พลางกระซิบขอโทษ

   “ขอโทษครับ เฮียทำให้เรารู้สึกไม่ดีใช่มั้ย”

   เรียวแขนบางตวัดขึ้นคล้องคอผมก่อนส่ายหัวเบาๆ

   “ผม... ผมแค่ไม่อยากทำตรงนี้”

   “ครับ”

   ผมตวัดร่างบางที่หนักไม่เท่าไหร่สำหรับผมขึ้นอุ้ม เจ้าตัวกอดคอผมแน่น เขาคงอายน่าดู แต่ก็ไม่พูดอะไร ผมเห็นว่าปั้นสิบกำลังจะเดินตามมา จึงหันกลับไปบอกมันนิ่งๆ

   “ถ้าตามมาอดแซลมอนแน่ๆ ครับปั้นสิบ”

   ไม่รู้ว่ามันรู้เรื่องที่ผมพูด หรือเพราะน้ำเสียงของผมถึงทำให้ผมยอมนั่งลงแล้วขู่ฟ่อใส่หนึ่งที

   

   ผมวางร่างผอมบางลงบนเตียงกว้างที่ไม่ค่อยได้ใช้งานบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของผมเอง ในห้องนั้นแทบจะไม่มีแสงเลยนอกจากแสงจากนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้ ข้าวปั้นพยายามควานหาสวิตช์โคมไฟบนหัวเตียง แต่ผมกลับคว้ามือเขาจับไว้แล้วจูบเบาๆ คนตัวเล็กกว่าหอบหายใจ พยายามมองไปทางหน้าต่างที่มีแสงไฟ

   “หายใจช้าๆ เข้าไว้ครับ สักห้านาทีเดี๋ยวเฮียเปิดไฟให้นะ”

   “ปั้น... ปั้น”

   เขาจับมือผมแน่นพลางผวาตัวมากอดผมไว้ ผมลูบหลังบางก่อนจะปลอบโยน

   “เดี๋ยวข้าวปั้นจะอยากให้เฮียปิดไฟครับ”

   “หมอ...” เขาเริ่มโมโหแล้ว ผมหัวเราะก่อนจะจับหน้าเขาให้แหงนขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างแล้วจูบลงไปเบาๆ แค่ปากแตะกัน ผมจูบเขาแล้วถอนริมฝีปากออกแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเล่นกับเด็กน้อย ทำแบบนั้นอยู่นานจนเขาเริ่มชินกับความมืดและเริ่มกัดปากตัวเอง จูบตอบผมบ้างเพราะผมแกล้งหยอกเขาด้วยการจูบเบาๆ บนปากนุ่มไม่เหมือนทุกที

   จากริมฝีปากแตะกัน ข้าวปั้นเริ่มเป็นฝ่ายเผยอปาก เขาเรียกร้องโดยการขยับเม้มดูดดึงริมฝีปากล่างของผมในจังหวะที่จูบลงมา มือที่เกาะบ่าผมไว้เริ่มสอดเข้าไปลูบไล้ท้ายทอยของผมพลางกดมันให้เข้ามาใกล้

   เนี่ยแหละสิ่งที่ผมต้องการ อยากให้เขาเป็นฝ่ายรุกบ้าง

   ลิ้นเล็กชื้นแลบเลียออกมาเหมือนที่ผมชอบทำกับเขา เป็นฝ่ายสอดดุนเข้ามาเองด้วยจังหวะที่อ่อนประสบการณ์ ผมขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงเต็มๆ ขาข้างหนึ่งชันเล็กน้อย อีกข้างขัดสมาธิเข้ามาโดยมีร่างเล็กนั่งอยู่ตรงกลาง ร่างบางขยับเข้ามาชิดกว่าเดิม เรียกร้องจูบที่เร่าร้อนกว่านี้ ผมหยอกเขาเล่นด้วยการดูดลิ้นเล็กเข้ามาในปากแล้วใช้ลิ้นตัวเองไล้วนด้วยจังหวะที่ทำให้คนในอ้อมแขนหายใจถี่รัว

   “หมอ... อื้อ...”

   เขาถอนปากตัวเองออกมา มองผมผ่านแสงไฟจากตึกสูงที่ส่องผ่านเข้ามา ผมประคองแผ่นหลังเขาไว้ก่อนจะทำท่าจะเอื้อมมือไปเปิดไฟที่หัวเตียงเพราะน่าจะเลยห้านาทีที่สัญญากันมาแล้ว... แล้วเขากลับตะปบข้อมือผมไว้พลางส่ายหัว

   “อย่าเปิดเลยครับ”

   “ทำไมครับ ถ้าแพนิคขึ้นมาจะไม่ดีนะ” ผมเลียติ่งหูอ่อนของเขาอย่างหลงใหล “เปิดเถอะ อยากเห็นหน้า”

   “ไม่ครับ มันน่าอาย”

   ผมเอียงคอก่อนจะจัดการถลกเสื้อยืดของเขาให้พ้นคออย่างรวดเร็ว ข้าวปั้นร้องลั่น ผมหัวเราะ ผู้ชายด้วยกันจะอายอะไร?

   “อายทำไม”

   “ผมไม่ใช่ผู้หญิง... มันไม่มีอะไรน่าดูสักหน่อย”

   ผมใช้แสงไฟที่ส่องผ่านเข้ามาเพียงน้อยนิดในการสังเกตร่างเปลือยท่อนบนตรงหน้า ไม่ว่ายังไง... เขาก็ดูเซ็กซี่น่ารักในสายตาผม โดยเฉพาะยอดอกสีอ่อนกับเอวบางๆ นั่นที่ผมเรียกได้ว่าเพ้อหาตั้งแต่มีอะไรกันครั้งแรก

   “ข้าวปั้น เฮียอยากดูเพราะเป็นปั้นนะครับเด็กดี”

   ผมโน้มหน้าลงไปตวัดลิ้นชิมยอดอกสีอ่อนน่ารัก มือข้างหนึ่งประคองหลังที่เอนหนีไว้ให้มั่น อีกข้างเผลอไผลไปลูบแถวๆ หน้าท้องที่หดเกร็งแล้วลามลงไปพาดผ่านส่วนน่ารักที่กำลังตื่นตัวจนแข็งขืน

   ไฟติดง่ายเหมือนเคยเลยเด็กน้อย...

   “ฮื่อ... หมอครับ”

   “เรียกเฮียสิครับปั้น”

   ผมอู้อี้อยู่แถวๆ แผ่นอกเล็กที่สะท้อนขึ้นลง มือใหญ่ค่อยๆ กอบกุมร่างกายร้อนผ่าวผ่านกางเกงผ้า ขยับมือตามความยาวเบาๆ ก่อนใช้ฝ่ามือไล้วนแถวบริเวณส่วนปลายที่เริ่มจะซึมชื้น เสียงหอบหายใจทำให้ผมดันร่างเล็กให้เอนลงราบกับฟูกนุ่ม เคลื่อนใบหน้ามาจูบที่ริมฝีปากอ่อนอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเป็นฝ่ายรุกเร้าบดขยี้จนคิดว่าพรุ่งนี้ปากข้าวปั้นต้องบวมเจ่อแน่นอน ร่างด้านใต้ร้องประท้วงเมื่อผมยังไม่เลิกลูบไล้เขาผ่านเนื้อผ้า

   “ร้อนมากเลยนะครับ อยากออกมาแล้วล่ะสิ”

   ผมหัวเราะในคอ ข้าวปั้นทำหน้าไม่พอใจกับการแซว ก่อนจะหลับตาอายเพราะผมชันเข่านั่งควบร่างเขาไว้โดยไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปก่อนจะสอดมือรั้งขอบกางเกงนอนเขาออก จนส่วนที่ชูชันจนดันเนื้อผ้าออกมาเป็นอิสระ ข้าวปั้นพลิกตัวหนีแต่ผมกดเอวเขาไว้ จ้องมองส่วนสวยงามน่าหลงใหลที่แดงก่ำผงาดขูชันท้าสายตาจนคนโดนจ้องต้องเอามือปิดไว้

   “ยะ... อย่ามอง”

   “สีสวยจะตาย”

   ผมเริ่มใช้คำพูดโลมเล้าเขา จัดการรวบข้อมือบางทั้งสองข้างให้ยกขึ้นไม่ให้บดบังทัศนียภาพตรงหน้า ผมกลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าตัวเองจะมีปฏิกิริยากับผู้ชายตรงหน้าขนาดนี้...

   ผมจัดการถอดกางเกงเขาให้พ้นขา ตอนนี้ร่างตรงหน้าเปล่าเปลือยโดยสมบูรณ์ เมื่อปิดความน่าอายให้พ้นสายตาผมไม่ได้ ข้าวปั้นจึงเลือกที่จะปิดหน้าตัวเองหนีความอายแทน น่ารักเกินไปแล้วพ่อหนุ่มน้อย...

   ผมสอดตัวเข้าไปตรงกลางระหว่างขาเขาให้แหกกว้าง ผมเห็นนะว่าเขาแอบมองผมผ่านช่องว่างของนิ้วที่ถูกอ้าออกอย่างจงใจ... ทำไมครับ อยากรู้เหรอว่าผมจะทำอะไรต่อไป

   ผมสอดมือเข้าไปใต้บั้นท้ายทุ่มเล็กๆ นั่นแล้วยกขึ้นจนตัวลอยมาวางบนหน้าขา ข้าวปั้นร้องเบาๆ อย่างตกใจ ยิ่งเมื่อปลายนิ้วของผมเริ่มขยับสอดผ่านแก้มก้นนุ่มที่ถูกบังคับให้อ้าออกด้วยมือของผม ปลายนิ้วกลางลูบไล้เบาๆ ที่ปากทางแคบ...

   “ข้าวปั้น ขอโทษนะครับ ช่วยหยิบของที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงให้หน่อยได้มั้ย”

   ผมลืมหยิบ..

   ข้าวปั้นกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะกวาดมือไปแถวๆ โต๊ะหัวเตียง แม้ห้องนี้จะไม่ได้เปิดไฟ แต่แสงที่สอดผ่านเข้ามาก็สว่างพอจะเห็นอะไรต่ออะไรได้ชัดเจนเมื่อสายตาปรับสภาพแล้ว

   “ขวด?”

   “ครับ”

   เขายื่นสิ่งนั้นให้ผม ผมจัดการรับมาเปิดฝา เทของเหลวนั่นลงฝ่ามือจนชุ่มก่อนจะค่อยๆ สอดมือกลับเข้าไปที่เดิม ข้าวปั้นสะดุ้งโหยงกับความเย็นของเจลหล่อลื่น ผมอยากเห็นปฏิกิริยาเขาชัดๆ... ขอเปิดไฟอีกรอบได้มั้ย รู้งี้ไม่แกล้งเขาแต่แรกก็ดี

   “หมอครับ... โอ๊ะ...”

   ข้าวปั้นจับข้อมือผมไว้เมื่อผมเริ่มใช้นิ้วกลางสอดเข้าไปในช่องทางคับแคบ ผมหายใจหนักๆ ดันต้นขาเขาให้ชันขึ้นสูงเพื่อเปิดทางให้ผมขยับนิ้วง่ายขึ้น คับแน่นแต่มันนุ่มและเคลียร์มาก... เหมือนกับว่า....

   “ข้าวปั้น... เตรียมเองมาก่อนแล้วเหรอครับ?”

   ผมฉงน ก่อนจะใจเต้นแรงเมื่อเขาปิดหน้าตัวเอง ผมไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจ ถึงขั้นเตรียมตัวมาด้วย... ผมไม่รังเกียจหรอกถ้าเขาจะให้ผมช่วยเตรียมให้ มิน่า... วันนี้อาบนานเชียว

   ผมยิ้มกว้าง ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไป ร่างตรงหน้าสั่นสะท้าน คว้าหมอนมากอดแน่น ผมว่าเขาคงใช้แค่นิ้วเล็กๆ ของเขานั่นแหละ เพราะดูจากอาการ... อา... ผมตื่นเต้นจนอยากใส่เข้าไปแล้วสิ...

   ผมโน้มตัวลงไปทั้งๆ ที่นิ้วยังอยู่ในตัวเขาหนึ่งนิ้ว ค่อยๆ ทำให้ชินดีกว่า ผมไม่รีบ พรุ่งนี้ไม่มีขึ้นเวรเช้า เตรียมให้เขาชั่วโมงนึงผมก็ทำได้ ผมกระซิบข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงหลงใหลและแหบพร่าด้วยอารมณ์ขณะที่คนเขินอายเอาหมอนปิดหน้าแน่น

   “ข้าวปั้นครับ เฮียจะทำช้าๆ นะครับ”

   คนตัวเล็กที่ร่างสั่นไม่ไหวแล้วผงกหัวรับ

   “สัญญาจะไม่เจ็บเหมือนคราวที่แล้ว จริงๆ ครับ”

   “อ๊ะ...”



อุ๊ปส์ น้อนเสร็จเฮียหมอซะแล้ว งานนี้ปั้นสิบก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วจ้า
ถามว่ามีต่อมั้ย?
ตอบเลยว่ามาก... 555

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
 :z10:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
หลอกเด็กอีกแล้วนะเฮียหมอ อิอิอิ
เดี๋ยวบอกปั้นสิบมากวนซะเลย
 :really2: :really2:

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
อู้ววววว ในที่สุด ^^
//หวังว่าหมอวาริศนี่คงไม่ได้มาตามราวีน้องข้าวปั้นนะครับ

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
หมอเจ้าเล่ห์

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ชั่วโมงบินหมอสูงมาก ไปไหนไม่รอดแน่ข้าวปั้น,,,

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 20
ข้าวปั้นครับ มาละลายพฤติกรรมกันหน่อย


   เจลหล่อลื่นหมดไปเกือบครึ่งขวด ผมรวบข้อพับขาของเขาทั้งสองข้างด้วยมือข้างเดียวแล้วดันขึ้นเปิดช่องทางสวยให้เห็นชัด นิ้วกลางขยับสอดเข้าออกเป็นจังหวะ เมื่อเส้นทางนุ่มเริ่มคลาย ผมก็ตามด้วยนิ้วที่สองและสามอย่างใจเย็น โดยมีร่างสั่นๆ กอดหมอนครางในลำคอเมื่อปลายนิ้วของผมไปสะกิดที่จุดกระสันภายในอย่างรู้งาน

   ผมโน้มหน้าลงไปจูบตามน่องที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ลากไล้ปลายลิ้นตามเรียวขามาจนถึงปลายเท้า ผมจูบเท้าเขาพลางแลบเลียแผ่วเบา ทำให้คนที่กำลังสับสนรีบชักเท้าออกเมื่อสัมผัสได้ถึงการกระทำประหลาด

   “หมอ... ทำอะไรน่ะ อื้อ... อ๊ะ ตรง... ตรงนั้นมัน...”

   ผมขยับนิ้วเร็วขึ้น ขยับขยายช่องทางสีสวยจนผมคิดว่าน่าจะพอให้ร่างกายของผมเข้าไปได้แล้ว กลางลำตัวน่ารักของเขาบวมแดงและเหยียดชันจนน้ำสีขาวขุ่นหยดแหมะลงบนหน้าท้องราบเรียบ

   “อา... ให้ช่วยก่อนดีมั้ย”

   ผมปล่อยขาเขาแล้วเปลี่ยนมาจับมันพาดบ่า ยกสะโพกสวยลอยขึ้น มือร้อนชื้นของผมขยับกอบกุมเอ็นเนื้อแข็งเกร็งของเขาไว้พลางชักนำอย่างใจเย็น จนข้าวปั้นต้องรีบเร่งให้ผมขยับมือเร็วขึ้นเพราะเขากำลังจะเสร็จ ผมครางเสียงต่ำในลำคอ ดึงหมอนที่เขากอดออกให้พ้นทาง ก่อนจะโน้มตัวไปจูบเขา ละมือไปเพื่อเปิดโคมไฟ ข้าวปั้นหลับตาปี๋ก่อนจะร้องว่า

   “ปะ... เปิดทำไมครับ ปะ... ปิดเถอะ ผมอาย”

   ผมมองร่างที่เคยขาวซีดตอนนี้แดงก่ำเป็นมะเขือเทศ ผมจับเขาให้ลุกขึ้นมานั่งก่อนจะจับมือเขาให้มาช่วยผมแกะกระดุมเสื้อนอน

   “มือเฮียไม่ว่าง ข้าวปั้นทำแทนให้หน่อย”

   “เอ๊ะ... อ๊า... อ๊ะ... ผม...”

   มือเล็กวางสั่นๆ อยู่บนอกเสื้อ ผมสอดนิ้วเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้จับให้เขาชันเข่าโน้มมาพิงอกไว้แล้วอ้อมมือไปเล่นกับด้านหลังเขาเพื่อกระตุ้นให้คุ้นเคยอีกครั้ง ข้าวปั้นยอมช่วยถอดเสื้อผมออกด้วยความทุลักทุเลจนกระทั่งเสื้อนอนหลุดไปกองบนพื้น ผมเหยียดตัวชันร่างขึ้น สั่งให้เขาเอาซองถุงยางอนามัยที่วางอยู่บนโต๊ะตัวเดิมให้ ตอนนี้ร่างกายของผมเริ่มขยับขยายแล้วแต่ยังไม่สุดดี แน่นอนว่าครั้งนี้ผมจะไม่ยอมให้เขานอนนิ่งๆ ครั้งแรกที่เราสองคนรู้ตัวดีมันจะต้องเป็นความทรงจำที่เขาต้องรู้สึกดีกว่าครั้งก่อน

   “มาละลายพฤติกรรมกันหน่อยครับ”

   ผมกดจูบที่กกหูเขาก่อนยิ้มให้คนขี้อาย จับมือเขาให้สอดลงไปในกางเกงนอนของผม ใช้ฟันฉีกซองถุงยางอนามัยออก  เพราะมือข้างหนึ่งยังคงทำหน้าที่ของมันไป เอาให้แน่ว่าครั้งนี้ต่อให้เขาจะเจ็บแต่จะต้องไม่เจ็บมาก

   ผมจ้องหน้าเขาด้วยนัยน์ตากระหาย แสงสีเหลืองจากโคมไฟทำให้ผมเห็นหน้าเขาชัดเจนยิ่งขึ้น ข้าวปั้นกัดริมฝีปากตัวเอง มือที่ถูกจับให้สอดลงไปใต้กางเกงเริ่มรู้งาน เขากอบกุมท่อนเนื้อร้อนแล้วควักมันออกมาให้โผล่พ้นกางเกง ผมเอียงคอมองเขาที่ก้มมองขนาดของสิ่งที่อยู่แล้วมีแล้วเบิกตาโพล่ง

   “มะ มะ มะ หมอ... เดี๋ยวนะ มันจะเข้าไปได้ยังไงครับเนี่ย”

   ผมมองต่ำพลางกลืนน้ำลายเอือก รับรู้ได้เลยว่าเขาเริ่มกลัวจนเกร็งตอดนิ้วผมจนขยับได้ยาก ผมสูดลงหายใจแล้วคลอเคลียซอกคอขาว

   “มันจะได้ครับ”

   ผมถอนมือออก จัดกางถอดกางเกงนอนอย่างรวดเร็วแล้วกลับมานั่งหันหลังพิงพนักเตียง ผมดึงคนที่มองกล้ามหน้าท้องผมสลับไปมากับส่วนที่ต่ำกว่าที่กำลังผงาดแข่งกับเขาให้เข้ามานั่งตรงกลาง จับมือเขาให้มากอบกุมเอ็นร้อนไว้พลางชักนำให้ขยับเช่นเดียวกับผมที่ทำให้เขา จนร่างกายผมแข็งขืนเกือบเต็มที่ ผมจัดการสวมถุงยางอนามัยแล้วชโลมเจลหล่อลื่นจนชุ่ม ขณะที่ริมฝีปากยังคงนัวเนียอยู่กับริมฝีปากอิ่มบวมเจ่อ เขาเริ่มเคลิ้มไปกับการกระทำอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผม... เริ่มไม่อยากทนเท่าไหร่แล้ว

   ผมรวบร่างบางมาจับพลิกให้นอนลง บังคับเขาให้เอาแขนเกาะคอผมไว้ ในขณะที่ยกเอาขาเรียวพาดบ่า ข้าวปั้นน้ำตาคลอเบ้า ปากสั่นพั่บๆ จนผมอดที่จะก้มลงไปขบริมฝีปากบวมๆ นั่นไม่ได้ ส่งยิ้มให้อย่างปลอบโยน

   “ถ้าเจ็บมากๆ ให้บอกนะ”

   ย้ำ... ว่ามากๆ...

   “อื้อ...”

   ผมจับท่อนเนื้อร้อนที่ชโลมเจลไว้จนชุ่ม บีบเจลส่วนที่เหลือเข้าไปในปากทางให้มากพอที่ผมจะกดสอดเข้าไปได้

   “โอ๊ะ.. หมอ... อื้อ...”

   “ข้าวปั้นครับ”

   ผมลูบหัวเขาเพื่อปลอบประโลม ก่อนจะกอบกุมท่อนเนื้อของเขาไว้แล้วรูดรั้งเบี่ยงเบนความสนใจ ขณะที่กดสะโพกดันส่วนหัวเข้าไปในช่องแคบที่ลื่นแต่ก็ยังคงคับแน่น ค่อยๆ กดแล้วถอนออกช้าๆ เพื่อให้คุ้นชิน ใต้ร่างผวาคว้าคอผมไว้พลางครางเสียงกระเส่า ร้องเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงสั่นกลัว

   “เฮียคิน... อื้อ...”

   “อย่าเกร็งนะคนเก่ง ให้เฮียเข้าไปอีกนิด อืม... อย่างนั้นครับ ดีแล้ว...”

   ผมสอดเข้าไปจนสุด มันไม่ได้ยากแต่ก็ไม่ได้ง่าย แช่ตัวทิ้งไว้ให้คนถูกกระทำคุ้นเคย ข้าวปั้นสะอื้นเบาๆ เมื่อผมเห็นว่าเขาเริ่มสงบจึงค่อยๆ ขยับตัวออกแล้วสอดกลับเข้าไปใหม่จนร่างเล็กซี้ดปาก ครางแผ่ว ผมพยายามดันต้นขาเขาให้ชิดอกเพื่อเปิดช่องทางแคบให้กว้างขึ้น เร่งจังหวะขยับโดยพยายามมองสีหน้าของเขาไปด้วย

   สีหน้าดูทรมาน... แต่เสียงครางมันย้อนแย้ง...

   “อา... ปั้น... ขอขยับหน่อยนะ”

   “หมอ... อ๊า อ๊า... มัน... มันโดนอะไรก็ไม่รู้”

   ตาเขาพร่าไปด้วยม่านน้ำตา ริมฝีปากถูกขบเม้มกลั้นเสียง เขาระบายความรู้สึกผ่านแผ่นหลังผมจนรู้สึกแสบๆ คันๆ

   “หึ... บอกแล้วไงครับว่าให้ตัดเล็บบ้าง”

   “งื้อ... อ๊ะ... ผม... หมออย่าเร็ว... ปั้น... ปั้นเหมือนจะ...”

   ผมสอดใส่เป็นจังหวะที่เร็วขึ้นจนได้ยินเสียงเนื้อกระทบกัน เขาไม่ได้รัดแน่นจนขยับลำบากเหมือนครั้งแรก สีหน้าก็ดูจะเคลิ้มจนล่องลอย ผมใช้นิ้วขยี้เล่นกับยอดอกที่แข็งเป็นไตอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะเคล้นคลึงหน้าอกแบนราบอย่างเคยชิน ปลายลิ้นตวัดชิมหาความหวานแล้วดูดดึงจนร่างบางแอ่นอกตาม

   “ข้าวปั้น... อื้อ...รัดจริงที่รัก... ดีมั้ยครับ”

   ผมยืดตัว จับท่อนขาเรียวยกแยกออกแล้วควงบดสะโพกจนโดนจุดกระสันที่ทำให้คนตัวเล็กร้องไม่เป็นศัพท์  เขาพยายามกลั้นสิ่งที่จะออกมา แต่สุดท้ายผมส่งเขาไปถึงฝั่งได้หนึ่งครั้ง  น้ำสีขาวขุ่นพุ่งทะลักออกมาจนเปรอะหน้าท้องลามไปถึงอก ผมเบาจังหวะลงก่อนจะค่อยๆ  ถอนกายออกมา แน่นอนว่ามันไม่จบแค่นี้หรอก

   ผมจับร่างอ่อนแรงพลิกคว่ำ รั้งสะโพกให้ลอยเด่น พลางเอาหมอนสอดรองไว้ใต้ตัวเขา ข้าวปั้นครางฮือเมื่อรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป เขากอดหมอนใบใหญ่กว่าตัวไว้แน่นก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อเจลเย็นๆ ถูกปาดลงมาอีกครั้งเพื่อเพิ่มความลื่น ผมคำรามเสียงต่ำเมื่อเห็นจังหวะขมิบของช่องทางแดงก่ำ  ก่อนสอดกระแทกเข้าไปจนร่างทั้งร่างสะดุ้งเกร็ง ผมชักนำให้เขาเคลิ้มตามอีกครั้งด้วยมือจนสิ่งที่เพิ่งจะห่อเหี่ยวจากการถูกปลดปล่อยเริ่มแข็งขันขึ้นมาสู้

   สะโพกสอบขยับเข้าออกตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเอาแต่ใจจนร่างเล็กคลอนด้วยแรงกระแทก ไหล่บางช้ำรอยมือของผมที่จับเขาไว้ ผมหน้ามืดตามัวบดอัดหน้าท้องที่เกร็งแข็งจนเป็นลอน ปากคร่ำครวญชื่อเขาจนคนที่ถูกกระแทกรัวๆ เริ่มเอามืออ้อมมาจับข้อมือผมที่ยึดสะโพกเขาไว้แน่น

   “เบาครับ... หมอ”

   เสียงเขากระท่อนกระแท่นปนสะอื้น ผมเริ่มผ่อนจังหวะ ข้าวปั้นเบือนหน้ามามองด้วยสีหน้าเหยเก

   “เจ็บรึเปล่า...” ผมถอนร่างออก ก่อนจะพลิกขาเรียวให้ตะแคงแยก ยกข้างหนึ่งพาดบ่า เปิดเปลือยเสียจนคนที่อยู่ในท่ากึ่งคว่ำกึ่งตะแคงหน้าแดงก่ำ

   “มะ...ไม่ แต่... ช้าๆ หน่อยครับ”

   ผมหัวเราะ ชันตัวสอดท่อนเนื้อที่แข็งเต็มที่พร้อมปลดปล่อยเข้าไป ข้าวปั้นคงรู้ได้ว่าขนาดมันขยายขึ้นกว่าเดิม เพราะเขาผงกหัวขึ้นมามองสิ่งสอดแทรกเข้าไปด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว หอบหายใจถี่ๆ ผมกระตุกยิ้มให้กับความอยากรู้อยากเห็นแล้วกระแทกเข้าไปจนข้าวปั้นตีแขนผมแรงๆ

   “บอกว่าให้เบาไงหมอ!”   

   “ขอโทษครับ  เห็นสีหน้าแล้วอดไม่ไหว” ผมเลียท่อนขาของเขาที่พาดบ่าอยู่ พลางขบกัดจนเป็นรอย

   “อื้อ... อา...อ๊า หมอ... จะ... จะเสร็จ... มะ... ไม่ไหว ไม่...”

   เขาซบหน้าลงกับหมอน ปล่อยร่างกายท่อนล่างให้เป็นของผม ผมเร่งจังหวะจนในที่สุด เขาก็เสร็จเป็นรอบที่สอง บดกระแทกอีกไม่กี่ครั้ง ผมก็ปลดปล่อยออกมาพร้อมเสียงครางต่ำอย่างสมใจ

   ร่างบางอ่อนเปลี้ย ผมจัดการถอนร่างออกมาแล้วดึงถุงยางออก โยนมันทิ้งที่ถังขยะข้างเตียง ก่อนจะหยิบซองใหม่มาฉีก ข้าวปั้นได้ยินเสียงฉีกซองถึงกับหันขวับมาถลึงตาใส่ผมที่ทำหน้าแบ๊วไม่รู้ไม่ชี้

   “ทะ... ทำอะไรน่ะครับ ปั้น ปั้นเหนื่อยแล้ว...”

   “เสียใจครับ” ผมยิ้มหวานให้ แต่ข้าวปั้นคงเห็นว่าเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวที่สุดในโลก ร่างผมควบทับร่างที่พยายามกระถดหนี หัวเราะเสียงเข้ม

   “ละลายพฤติกรรมแค่ครั้งเดียวมันไม่มีประโยชน์นะครับ ของแบบนี้ต้องทำซ้ำและนำไปใช้ด้วย”

   “ทฤษฎีบ้าอะไรน่ะหมอ! ... อื้อ...”



   ข้าวปั้นหลับไปแล้ว...

   ผมนั่งพิงพนักเตียง ผ้านวมผืนหนาถูกห่มคลุมร่างที่เต็มไปด้วยรอยจูบจนแดงไปทั้งตัว ผมเท้าแขนกับพนักเตียง มองดวงหน้าที่ซุกหมอนใบใหญ่อย่างหมดเรี่ยวแรงหลังจากผมเสร็จสมภารกิจไปสองรอบ ส่วนเขาสี่รอบจนร้องอ้อนวอนให้พอไม่อย่างนั้นเขาจะประท้วงหนีกลับห้องเดี๋ยวนี้ ผมถึงยอมให้เขานอนแต่โดยดี

   ก่อนเขาจะหลับ ผมลุกไปหยิบผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาเช็ดเนื้อเช็ดตัวที่เปรอะคราบอะไรต่อมิอะไรจนผมรู้สึกว่าไม่เหนียวตัวแล้วจึงจัดการห่มผ้าให้แล้วเข้าไปอาบน้ำก่อนจะกลับมานั่งพิงพนักเตียงลูบผมเขาอยู่แบบนี้มาสิบกว่านาทีแล้ว ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าการมีอะไรกับคนๆ นึงด้วยความรู้สึกรักมันเป็นยังไง วันนี้พึ่งได้รู้

   เราทั้งสองคนไม่มีอะไรที่ทำให้น่าจะรักกัน ผมเคยเชื่อมาตลอดว่าการที่มนุษย์จะสามารถรู้สึกผูกพันกันได้ อย่างน้อยต้องผ่านความทุกข์มาด้วยกัน...

   แต่สำหรับผม ข้าวปั้นคือความสุข

   เขาไม่ต้องทำอะไรเลย ผมก็รักเขา รักที่เขาเป็นเขา

   พรหมลิขิต... มันออกจะดูน้ำเน่าไปหน่อย แต่ผมคิดว่าเอามาใช้อ้างอิงน่าจะได้

   ก่อนที่จะเริ่มคบกัน ผมเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่ความชอบหรือความหลงใหลแปลกใหม่ที่ไม่คุ้นเคย แต่เมื่อได้เริ่มคบ รู้จักตัวตนของเขา สิ่งที่ทำให้ผมอยากอยู่กับเขาให้นานๆ คงเป็นเพราะความสบายใจ

   ผมเคยมีแฟน... แน่นอนครับ ก่อนหน้าจะคบข้าวปั้น ผมก็เป็นผู้ชายทั่วไป มีรักมีเลิกเป็นปกติธรรมดา ถ้าหากคบกับใครผมจะไม่เลิกกันด้วยปัญหานอกใจ ผมว่ามันไร้สาระมากถ้าเลิกกันด้วยเรื่องนั้น แต่ส่วนใหญ่การที่ผมเลิกกับแฟนเก่า มักมาจากสาเหตุหลักๆ เลยคือ อีกฝ่ายต้องการเวลาจากผม... และผมไม่มีให้

   เวลาของหมอมีค่ามากครับ ทุกวินาทีของเราคือชีวิตของคน เราเหนื่อยแต่เราก็ยังรักษา มากกว่ายี่สิบชั่วโมงในหนึ่งวันที่เราทุ่มเทให้กับคนไข้ ผมรักอาชีพของผม แต่คนที่คบกับผมไม่ได้รักอาชีพผมด้วย แค่เพียงหน้าตาดีและอาชีพน่าคบหาเท่านั้นที่พวกเธอสนใจ สุดท้ายพวกเธอก็จากไปด้วยเหตุผลที่แทบจะเหมือนกันหมด คือเพราะผมไม่มีเวลา

   ข้าวปั้นแตกต่างออกไป แทนที่เขาจะมาตั้งคำถามว่า ผมหายไปไหน ทำไมไม่ติดต่อ กลับเป็นคำถามง่ายๆ ว่า เหนื่อยไหม ทานอะไรหรือยัง?... นั่นทำให้ผมอยากกลับมาหาเขา มาอยู่ให้เขาถามใกล้ๆ มากกว่า

   “หมอ... ไม่นอนเหรอ ดึกแล้วครับ”

   เขาสะลึมสะลือถามเมื่อลืมตาขึ้นมายังเห็นว่าผมนั่งมองเขาอยู่ ผมใช้นิ้วโป้งลูบไล้แก้มใสเบาๆ ก่อนจะโน้มลงไปจูบ

   “รักนะครับ”

   ข้าวปั้นยิ้มเหมือนอยู่ในความฝัน เอามือผมไม่แนบแก้มหนุนต่างหมอน

   “รักเหมือนกันครับหมอ”

   

   “หมอ... ทำอะไรกับผมเนี่ย!!”

   ผมได้ยินเสียงโวยวายดังมากจากชั้นบน ขณะที่กำลังให้ข้าวปั้นสิบอยู่ สงสัยจะตื่นแล้ว... ผมหันไปมองนาฬิกาที่ชี้เวลาสิบเอ็ดโมง ตอนเช้าผมแวะไปโรงพยาบาลเพื่อราวด์เช้าก่อนจะกลับมาตอนเก้าโมงเพื่อออกกำลังกายตามปกติ จากนั้นก็มาเตรียมอาหารไว้ให้คนที่นอนยังไม่ตื่น ตอนแรกนึกว่าจะสายกว่านี้เสียอีก

   ผมลูบขนปั้นสิบสองสามที มันสะบัดหางใส่แล้วตั้งหน้าตั้งตากินแซลมอนที่ผมสัญญาไว้ แต่ก่อนที่ผมจะเดินขึ้นชั้นสองไปดูว่าคนที่ตื่นสายโวยวายอะไร เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง

   ผมเลิกคิ้วก่อนจะเดินไปที่ประตู ปกติแล้วห้องของผมไม่ต้อนรับแขกที่ไม่ได้นัดเท่าไหร่ ค่อนข้างแปลกใจที่มีคนมากดออด

   ทันทีที่เปิดประตู ผมถึงกับผงะถอย เบิกตากว้างเมื่อมีร่างบางสูงเพรียวราวกับนางแบบโถมตัวเข้ามากอดผมอย่างจัง

   “เซอร์ไพรส์!!”

   ผมดันร่างบางออก ผู้หญิงต่างชาติผมบลอนด์สลวยถูกลอนเป็นคลื่นคล้องคอผมก่อนจะกดจูบลงมาที่แก้มโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว วินาทีเดียวกับที่ข้าวปั้นเดินมาในชุดเสื้อเชิ้ตตัวเดียวด้วยสีหน้าโมโหพร้อมกับเสียงบ่นระงม นิ้วเรียวชี้ไปที่รอบคอตัวเอง

   “หมอ บอกกี่ทีแล้วว่าอย่าทำรอยๆ ผมไม่อยากใส่คอเต่าทั้งๆ ที่อากาศร้อนเป็นเตาอบหรอกนะ... ครับ”

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่

   หันหลังไปเจอสายตาตะลึงของคนรักที่มองสภาพผมกำลังถูกกอดจากผู้หญิงต่างชาติ ส่วนผู้หญิงต่างชาติที่คิดจะมาเซอร์ไพรส์ผมกลับโดนเซอร์ไพรส์ซะเอง สีหน้าของเธอเหมือนเห็นผี

   “Who is he? Darling.”



โอ๊ะโอ... ใครมาน่ะหมอ
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น
https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
มีดราม่าอีกแล้ว ข้าวปั้นกลับไปร้องไห้ก่อน อ้อ อย่าลืมอุ้มปั้นสิบไปด้วย  ส่วนหมอ...ก็หาทางแก้ตัวให้ดีๆ ละกันนะ
 o18 o18

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
เอาล่ะสิ หมอไม่เคลียร์ตัวเองก่อนละ,,,

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
คนที่หมอบอกว่าจะไปรับใช่เปล่า​

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ไม่รู้ใครจะ surprise กว่ากัน

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 21
หมอครับ ไปไหนไม่รอด


   ข้าวปั้นตะลึงงัน ผมก็ตกใจกับการใส่เสื้อของเขา สาวต่างชาติก็ช็อคกับสภาพที่เห็น

   “ผม... ผม..”

   “ข้าวปั้นครับ...” ผมเอียงคอมองแล้วชี้ไปที่เสื้อ เขาก้มลงมองสภาพตัวเองแล้วรีบจับชายเสื้อวิ่งกลับขึ้นไปข้างบนทันที ปากตะโกนบอกขอโทษครับๆ ไปด้วย ผมหน้าร้อน... เห็นสภาพนั้นแล้วของมันพาลจะขึ้น

   สาวต่างชาติถอดแว่นตากันแดดออกก่อนจะเอียงตัวมองตามคนที่วิ่งพรวดขึ้นไปบนชั้นสอง ดวงตาสีเขียวเบนกลับมามองผมที่ปั้นหน้านิ่ง รอยยิ้มรู้ทันถูกส่งมาให้ ผมถอนหายใจ เดินไปลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่วางไว้หน้าห้องเข้ามาก่อนปิดประตู เดินนำเข้ามาในห้องพร้อมกับสั่ง

   “อย่าไปแกล้งเขาล่ะ”



   - KaowPun Part -

   ไอ้ปั้น! สภาพแบบนี้มึงกล้าลงไปได้ยังไง แล้ว... แล้ว...

   ผมขมวดคิ้วยุ่ง

   ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร สวย... สูง... ผมยาว... นมโต... โอ สเปคหมอชัดๆ แถม... เขายังกอดกันอีก

   “กูจะแบกหน้าลงไปยังไงวะเนี่ย”

   เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ประมาณสิบนาที ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปอาบน้ำแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่มีแค่เสื้อยืดคอย้วย มันปิดไอ้รอยพวกนี้ไม่มิดแน่ๆ คิดไปคิดมาก็ได้แต่ทำใจแล้วลงไปชั้นล่างโดยใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กคล้องคอปิดไว้

   “ข้าวปั้น มาทานอะไรก่อน”

   หมอนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโต๊ะอาหาร โดยที่ตรงข้ามกันคือสาวต่างชาติที่นั่งไขว่ห้างจิบกาแฟอยู่ด้วยท่าทางสบายๆ เธอเหลือบมองมาทางผมก่อนจะยิ้มมุมปาก วางถ้วยกาแฟลงทักทายผม

   “Hi”

   “H… Hi…” ผมเดินตัวลีบๆ ไปนั่งลงข้างๆ หมอ เขาวางหนังสือพิมพ์ลง มองหน้าผมที่จ้องเขาด้วยสายตาที่มีแต่คำถาม ทำไมหมอไม่พูดอะไรเลยวะ? หมอเห็นสายตาผมมั้ย?

   เขาเลิกคิ้ว ยังไม่ยอมพูดอะไร จนสาวต่างชาติเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาเอง

   “My name’s Rilyn. I come from America. What’s your name?”

   “มะ... My name’s Kaowpun.”

   “Hummm Kaowpun… what are you with Akin?”

   เธอถามมาแบบนี้... ผมยิ่งกระอักกระอวนเข้าไปอีก หมอก็ทำหูดับ แต่ยังมีแอบเหลือบมองผมเหมือนรอให้ผมตอบเอง นี่หมอจะไม่ตอบจริงๆ ใช่มั้ย ผมสะกิดขาหมอยิกๆ เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้สึก ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ

   เอาวะ... ถ้าเขาคิดจะแกล้งผมแบบนี้ ก็ได้...

   “I’m his brother.”

   “น้องชายอะไรข้าวปั้น”

   หมอวางแก้ว หันมาทำหน้าดุใส่ ผมจึงหันกลับไปทำหน้าบึ้งกลับบ้าง

   “จะให้ผมตอบไงล่ะ”

   “บอกไปสิว่า I’m his boyfriend”

   “หมอ!”

   ผมทำหน้าเลิ่กลั่ก มองหน้าสาวต่างชาติที่ทำหน้าอึ้งไป ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นใคร จะให้ประกาศโจ่งครึ่มแบบนั้นได้ไงกันเล่า หมอกระตุกยิ้ม ก่อนที่คนที่รวมหัวกันแกล้งผมจะหัวเราะลั่น สาวต่างชาติหุ่นนางแบบสเปคหมอส่งยิ้มใจดีมาให้

   “หยุดแกล้งเขาได้แล้วค่ะพี่หมอ”

   คุณริลินพูดไทยชัดแจ๋วขัดกับหน้าตาฝรั่งจ๋ามาก หมอยกมือมาขยี้หัวผมจากด้านหลังก่อนจะแนะนำสาวตรงหน้า

   “ข้าวปั้นครับ นี่ริลิน น้องสาวของเฮีย เธอเกิดและโตที่อเมริกา เพิ่งเคยมาไทยครั้งแรก”

   “เราอายุเท่าข้าวปั้นเลย เป็นสถาปนิก มาไทยเพื่อเที่ยวแล้วก็ทำวิจัยงานสถาปัตยกรรมของเอเชียน่ะ”

   “สวัสดีครับ ผมทำงานด้านแอนิเมชันครับ”

   ผมทักทายกลับ จากนั้นก็กลายเป็นการสนทนาไปเรื่อยเปื่อย ริลินเป็นสาวอเมริกันอารมณ์ดี

   หมอบอกว่าเขากะจะไปรับริลินตอนเย็นพร้อมกับผม ไม่นึกว่าเธอจะโผล่มาเซอร์ไพรส์แบบนี้ แถมหมอก็ไม่เคยให้ที่อยู่ไว้  ไม่รู้เหมือนกันว่าริลินไปรู้มาจากไหน และอีกเรื่องที่ผมรู้เกี่ยวกับหมอ คือริลินกับหมอเป็นลูกต่างพ่อกัน จะว่าไป... ผมแทบไม่รู้เรื่องครอบครัวของหมอเลย

   “เฮียจะแวะเข้าโรงพยาบาลไปราวด์เย็น ไปด้วยกันนะ เสร็จแล้วจะพาไปทานข้าวข้างนอกด้วย ถือว่าเลี้ยงต้อนรับลิน” หมอถามขณะที่เขากำลังจะใส่สูท ผมจึงเดินไปช่วยเขาใส่

   “เอ่อ... ผม ผมไม่รบกวนดีกว่าครับ”

   ผมมองหน้าริลินที่นั่งอยู่บนโซฟามองมาทางผมสองคนด้วยสายตาหยอกล้อ

   “ไปด้วยกันสิข้าวปั้น เราอยากลองไปดูโรงพยาบาลที่พี่หมอทำงานอยู่เหมือนกัน ถ้าเราไปคนเดียวเราเหงา”

   ผมทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะยอมพยักหน้าตกลง

   กลัวจะได้เจอคนที่ไม่อยากเจอเข้าน่ะสิ

   หลังจากผมขอตัวลงไปเปลี่ยนเป็นเสื้อคอเต่าเสร็จ เราสามคนพากันเดินลงมาที่ลานจอดรถ ผมลังเลว่าตัวเองควรนั่งตรงไหน จะนั่งหน้าก็เกรงใจริลิน งั้นขอระเห็จตัวเองไปนั่งหลัง...

   “ทำอะไรน่ะข้าวปั้น” ริลินทำหน้ายุ่งเมื่อเห็นผมเปิดประตูหลัง

   “กะ.. ก็”

   “ที่นั่งด้านหน้า สงวนไว้ให้ตำแหน่งแฟนนะ good boy”

   สถาปนิกสาวขยิบตาให้ ก่อนจะเป็นฝ่ายเข้าไปนั่งเบาะหลังแทน ผมมองหน้าหมอ เขาเลิกคิ้วแล้วเร่งผมสีหน้าจริงจัง

   “ขึ้นสิครับ คุณแฟน”

   “หมอ”

   ผมทำเสียงดุ อย่าล้อผมสิ

   

   “รออยู่ห้องนี้ก่อนนะ ประมาณชั่วโมงนึงน่าจะเสร็จ”

   หมอพาผมกับริลินมารอที่ห้องพักแพทย์ส่วนตัวของเขา หมอจัดการสวมเสื้อกาวน์เตรียมราวด์เย็น จากนั้นก็ออกไปคุยกับพยาบาล ส่วนพวกผมก็นั่งเล่นรอที่นี่ นึกว่าจะได้อยู่อย่างสงบ จู่ๆ ประตูห้องพักแพทย์ก็เปิดเข้ามาโดยที่ไม่มีการขออนุญาต

   ผมคาดหวังว่าจะไม่ใช่คนที่ผมไม่อยากเจอ

   แต่เหมือนแต้มบุญผมจะน้อย...

   “อ้าว... พี่หมออคินไม่อยู่แฮะ”

   ผมที่นั่งเล่นเกมอยู่บนโซฟาข้างๆ ริลินที่นั่งไถไอแพดอยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้นพร้อมกับมองผู้ที่เข้ามาใหม่ ร่างเพรียวในชุดเสื้อกาวน์หมอเลิกคิ้วแปลกใจกับบุคคลแปลกหน้าในห้องทั้งสองคน ก่อนจะขยับยิ้มเย็น เข้ามาในห้องเต็มตัว ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลุกขึ้นเหมือนไม่รู้จะทำตัวยังไง ส่วนริลินมองหน้าคนเข้ามาใหม่แบบงงๆ

   “สวัสดีครับ แขกของหมออคินเหรอครับ”

   หมอวาริศทำเหมือนไม่รู้จักผม ริลินแตะมือผมก่อนเอ่ยถาม

   “ใครเหรอ?”

   ผมไม่รู้จะตอบยังไง จะให้บอกว่าเป็นคู่ขาเก่าของหมอมันก็ดูจะแหม่งๆ ผมเลยเลือกที่จะเงียบแล้วทำหน้าปั้นยาก

   “ผม วาริศ เป็นหมอวิสัญญี รุ่นน้องของพี่อคินครับ ยินดีที่ได้รู้จัก คุณเป็นใครเหรอครับ”

   หมอวาริศยื่นมือมาให้ริลินที่ลุกขึ้นจับมือเขาตอบตามมารยาท

   “ริลินค่ะ เป็นน้องสาวพี่คิน”

   “น้องสาว? ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหมออคินมีน้องสาวด้วย รู้แค่ว่าเขามีพี่ชายกับพี่สาว” หมอวาริศยิ้มเป็นมิตร

   “ฉันเกิดและโตที่อเมริกาค่ะ ไม่แปลกที่จะไม่รู้ พี่คินคงไม่ชอบพูดเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟังเท่าไหร่”

   ผมเริ่มทำหน้าแปลกๆ กับบทสนทนา... หมอวาริศเขามองข้ามหัวผมอีกแล้ว

   “น่าแปลกนะครับ ผมว่าผมก็สนิทสนมกับหมออคินในระดับหนึ่งเลย”

   เจ้าของผมสีน้ำตาลปล่อยมือที่จับออกช้าๆ เขาเหลือบตามองผม ด้วยแววตาที่ผมรู้สึกไม่ชอบใจเอาซะเลย

   “อา... ลืมทักทายไปเลย เหมือนเราจะเคยเจอกันแล้วสองสามครั้ง ผมยังไม่เคยถามชื่อคุณเลย”

   ในที่สุดเขาก็เห็นหัวผมเสียที ผมยิ้มให้อย่างมีมารยาท

   “สวัสดีครับ ข้าวปั้นครับ”

   เขาผงกหัวตอบรับ

   “วันนั้นคุณคงตกใจแย่ เป็นไงบ้างครับ ความสัมพันธ์กับพี่หมออคินไปได้ด้วยดีมั้ย”

   เอ... ไอ้ประโยคแบบนั้นผมควรตีความไปว่ายังไงได้บ้างนะ ผมจึงทำเป็นใสซื่อไม่รู้ไม่ชี้ไปซะ

   “ก็เรื่อยๆ ครับ”

   “หมอวาริศรู้จักกับข้าวปั้นมาก่อนเหรอคะ บังเอิญจังเลยนะ ตอนนี้ข้าวปั้นเขากำลังคบกับพี่คินอยู่น่ะค่ะ” ริลินจัดการวางระเบิดให้ผมลูกใหญ่ ผมสะกิดแขนเธอยิกๆ สายตาบอกว่า เรื่องนี้ไม่ควรพูดให้คนอื่นเขารู้นะ เรื่องที่ผมคบหมออคินอยู่ ผมไม่คิดว่าหมอจะอยากให้ใครรู้ กลัวภาพลักษณ์เขาจะเสียหาย แต่เหมือนริลินคนนี้จะไม่แคร์ภาพพจน์พี่ชายตัวเองเอาซะเลย

   คุณหมอดมยาขมวดคิ้วแน่น แววตามีทั้งความสงสัย ตกใจ และ.... ไม่ชอบ

   “ออ... เหรอครับ ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่าหมอจะมี รสนิยม แบบนั้น”

   ผมอยากจะแหมไปให้ถึงดาวเสาร์...

   “ตกใจเหมือนกันเลยค่ะ ปกติเห็นแต่พี่คินควงผู้หญิง แต่ข้าวปั้นน่ารักมาก ฉันที่เป็นน้องสาวยังชอบเลยค่ะ ไม่แปลกที่พี่คินจะชอบ”

   “ลิน...”

   “พี่คินไปราวด์น่ะค่ะ อีกสักเดี๋ยวคงจะกลับมาแล้ว มีธุระอะไรรึเปล่าคะ นั่งรอด้วยกันก่อนมั้ย” ริลินถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แม้หน้าจะฝรั่งจ๋า แต่การเรียงประโยคภาษาไทยเนี่ยเก่งมากเลย ทำเอาคนไทยอย่างผมรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปกับคำพูดของริลิน

   “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่แวะเข้ามาคุยเล่นกับพี่หมอเหมือนทุกที” อีกฝ่ายปฏิเสธ “ขอตัวก่อนนะครับ”

   “แล้วเจอกันนะคะ หมอวาริศ”

   คุณหมอร่างเพรียวบางอ้อนแอ้นเดินล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์ออกไป ทันทีที่ประตูปิดลง ผมถึงกับพ่นลมหายใจออกมา ริลินหันมามองผมที่ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาแล้วพูด

   “คนนั้นเคยเป็นคู่ขาพี่หมอใช่มั้ย?”

   “รู้ได้ไง?”

   ผมแปลกใจ ไม่น่าเชื่อว่าริลินจะถามแบบนี้ ไหนบอกไม่รู้ว่าพี่ตัวเองก็ชอบผู้ชายด้วยไง... เธอหัวเราะหึ กอดอกกระดิกเท้า

   “แหมข้าวปั้น ดูสายตาของเขาสิ แวบแรกที่เห็นเรา แทบจะจิกจนทะลุ ถ้าเราไม่บอกว่าเป็นน้องสาว คงจิกเรามากกว่านี้ แถมเขายังเมินเธออีก สังคมรอบตัวเรามีแบบนี้เยอะ คนแบบหมอวาริศเข้ามาในชีวิตพี่คินเยอะจะตาย แถมรายนั้นเมื่อก่อนเจ้าชู้เลือกที่ไหน ใครอ่อยมาเก็บเรียบหมดแหละ”

   “แต่เมื่อก่อนหมอไม่ได้ชอบผู้ชายนี่นา”

   “ทุกวันนี้พี่คินก็ไม่ได้ชอบผู้ชาย เขาแค่ชอบเธอ ข้าวปั้น”

   ริลินหัวเราะ เด็กฝรั่งเขาไม่คิดมากเรื่องนี้กันใช่มั้ยเนี่ย

   “เธอรู้มั้ย เราอยากมาหาพี่คินเพราะเธอเลยนะ” ผมทำหน้าสงสัย ไหนว่ามาดูสถาปัตยกรรมเอเชีย “พี่คินเป็นคนไม่ค่อยชอบพูดเรื่องตัวเอง แต่จู่ๆ เขาก็ส่งข้อความมาถามเราว่าการคบเพศเดียวกันจะเป็นอะไรมั้ย เราสงสัยเลยคาดคั้น จากนั้นก็ตามมาดูกับตาที่ไทยเนี่ยแหละ”

   “ทะ... ทำไมหมอต้องถามลินเรื่องนั้นอ่ะ” ผมหน้าแดง นี่หมอเอาเรื่องผมไปปรึกษาใครบ้างเนี่ย? โว้ยหมอ!

   “เพราะเราชอบผู้หญิง”

   อา... เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมตกใจ



   “เอ... ร้านกาแฟ ร้านกาแฟ... ชั้นหนึ่งตรงฝั่งตึกบี”

   ผมออกมาเดินยืดเส้นยืดสาย ก็เลยคิดว่าจะแวะร้านกาแฟซื้ออะไรไปเผื่อริลินกับหมอเสียหน่อย และแล้วก็เจอร้านกาแฟของโรงพยาบาลเสียที แต่ผมชะงักไปเมื่อเห็นว่าหมอที่ควรจะราวด์วอร์ดอยู่หอผู้ป่วยศัลยกรรมกลับมายืนจับมือถือแขนกับคุณหมอสาวหน้าตาดี

   แถมยัง... ยิ้ม

   เฮ้ๆ หมอ

   หันหลังกลับดีมั้ยว้า...

   ‘แถมรายนั้นเมื่อก่อนเจ้าชู้เลือกที่ไหน ใครอ่อยมาเก็บเรียบหมดแหละ’

   ริลิน... เพราะคำพูดเธอเลย

   ผมตัดสินใจเดินตรงไปที่เค้าน์เตอร์ร้านกาแฟ ซึ่งมันต้องผ่านหน้าหมอไปนั่นแหละ ใช่... ผมจงใจเดินผ่านเองแหละ

   “มอคค่าปั่นกับสตอว์เบอรี่มิลเชคครับ”

   ผมสั่งกาแฟให้ริลินกับสตอเบอรี่มิลเชคให้ตัวเองพลางเหลือบมองไปด้านหลัง เห็นหมอกระพริบตาปริบๆ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือคุณหมอสาวที่ยังพูดโน่นพูดนี่ไม่หยุด ผมถลึงตามองเขาก่อนจะหลุบไปมองที่มือเป็นเชิงว่าบอกว่าให้ ปล่อย

   หมอมองตามสายตาผมก่อนจะหัวเราะในลำคอ ปล่อยมือคุณหมอสาวอย่างเนียนๆ

   “ผมว่าไม่ต้องใส่เฝือกหรอกครับ แค่ซ้นธรรมดา หมอเกดก็พยายามอย่าใช้มือขวาให้มากนะครับ”

   ผมเงี่ยหูฟังบทสนทนาแล้วมุมปากกระตุก

   เวรข้าวปั้น... ปล่อยไก่ออกไปกี่เล้าวะเนี่ย

   “ขอบคุณที่ช่วยค่ะหมอคิน ใจดีไม่เปลี่ยน สามีหมอตอนนี้ก็หายดีแล้วค่ะ ถ้าไม่ได้หมออคินช่วยไว้ตอนไส้ติ่งแตกมีหวังแย่ ขอบคุณมากเลยนะคะ”

   แล้วเธอคนนั้นก็จากไป ปล่อยให้ผมยืนเคี้ยวเอื้องอย่างหมดคำพูด ผมหันตัวกลับไปนั่งรอที่โต๊ะที่ว่าง ไม่กล้าสบตาหมออีกเลย

   “สายตาเมื่อกี้มันอะไรน่ะครับ”

   หมอตามมานั่งที่เก้าอี้ตัวตรงข้าม ผมหัวเราะแหะๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น

   “เปล่าครับ”

   “หืม? ไม่ธรรมดา มีพัฒนาการ นึกว่าจะมีแค่เฮียที่รู้สึกหวงเราแค่ฝ่ายเดียว”

   ผมหัวเราะฮ่าๆๆ ก่อนจะเดินไปรับเครื่องดื่มที่เค้าน์เตอร์เมื่อพนักงานเรียกคิว ก่อนจะเดินลิ่วๆ กลับห้องพักแพทย์ โดยมีร่างสูงเดินตามมาติดๆ ด้วยรอยยิ้มขำๆ

   ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าตัวเองจะมีความรู้สึกแบบนี้ อยากตอบเขาไปตามใจปากแบบทุกทีเหลือเกินว่า

   ใช่ครับ ผมหวง

   ขืนพูดไป หมอได้ใจตายชัก เงียบๆ ไว้ดีแล้วข้าวปั้น

   

   หลังจากผ่านมื้อเย็นไป เราก็กลับมาที่ห้องของหมอกัน ตอนแรกผมกะว่าจะกลับไปนอนห้องตัวเอง แต่หมอก็ลากผมกลับมาที่ห้องจนได้ โดยจับปั้นสิบไว้เป็นตัวประกัน ผมกรอกตามองบนก่อนจะยอมตามเขาไป

   เอาน่ะ ใช่ว่าจะได้เจอกันทุกวันเสียเมื่อไหร่

   ริลินนอนห้องชั้นล่างที่เป็นห้องนอนแขก หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมลงมานั่งดูทีวีชั้นล่าง ริลินที่เปลี่ยนเป็นชุดนอนปาจามาสวมแว่นกรอบเงินทรงกลม เดินเช็ดผมเข้ามานั่งข้างผมก่อนจะชวนคุย

   “นี่ เราถามอะไรหน่อยสิ”

   “หืม... อะไรเหรอ”

   “พี่คินใจดีมั้ย?”

   ทำไมเหมือนคำถามนี้เคยได้ยินใครสักคนถามมาก่อนกันนะ... ผมดันแว่นตาตัวเองขึ้นแก้เก้อ เบือนหน้าหนีเล็กน้อย

   “ก็... มั้ง ตอนแรกๆ  ก็ดุ แต่หมอก็คอยช่วยเหลือตลอด เราเคยเป็นคนไข้ของหมอน่ะ”

   “เหรอ เหมือนในซีรี่ย์เลย” ริลินหัวเราะ “แล้วไม่กลัวพี่หมอเจ้าชู้เหรอ รายนั้นมองเผินๆ นิ่งๆ สุขุมนะ แต่จริงๆ ร้ายลึก”

   นี่ขายพี่ตัวเองอยู่ใช่มั้ย? แต่พอมาลองทบทวนแล้ว มันก็จริง... ทำไมผมถึงไม่กลัวว่าเขานอกใจกันนะ

   “ก็ไม่ถึงกับกลัวหรอก ระแวงมันก็มีบ้าง เพราะหมอเองก็ไม่ได้ชอบผู้ชายมาตั้งแต่แรก แถมรอบตัวเขาสาวสวยก็เยอะจนผมคิดว่าผมไม่น่าจะอยู่ในข่ายคนที่เขาจะมารู้สึกอะไรด้วยเลย”

   “งี้นี่เอง” สาวอเมริกันผงกหัวหงึกหงัก “ก็จริงนะ ตอนที่เขาไม่มีแฟน เขาก็เละเทะพอควร แต่ถ้าเขามีแฟน เขาจะไม่นอกใจเด็ดขาด เขาบอกว่า ถ้าจะเอาเวลาไปนอกใจ สู้เอาเวลาไปนอนดีกว่า”

   “หมอว่างั้นเหรอ”

   ผมขำ แต่ก็จริง เขามาหาผมทีไร ไม่หลับก็สัปหงกทุกที

   “เพราะฉะนั้นเรื่องนอกใจข้าวปั้นหายห่วงนะ  รายนั้นน่ะ ถ้ามีใครเป็นตัวเป็นตน สายตาเขาไม่มองใครทั้งนั้นแหละ ยิ่งถ้าเป็นคนที่สามารถทำให้พี่คินยอมมอบวันหยุดให้ เราว่าพี่หมอเขาไปไหนไม่รอด สำหรับคนบ้างานแบบนั้นน่ะ”

   “ลินก็พูดเกินไป หมอเป็นของหมอแบบนี้ดีแล้วครับ ผมพอใจที่เป็นอยู่แบบนี้”

   “เด็กน้อยจริงๆ มิน่า ถึงโดนหมอวาริศคนนั้นข่มเอาๆ”

   สาวฝรั่งส่ายหน้าเอ็นดู ก่อนที่เธอจะจับมือผมเบาๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน

   “ฝากดูแลพี่คินด้วยนะข้าวปั้น เขาเองก็ผ่านเรื่องร้ายๆ มาเยอะเหมือนกัน”



   “คุยอะไรกันเหรอครับ”

   ผมที่กำลังจะปีนขึ้นเตียงมาพร้อมกับมือถือถูกหมอที่นั่งพิงพนักเตียงอยู่ก่อนแล้วถาม ผมยักไหล่ยิ้มๆ

   “เรื่องทั่วไปครับ ผมอยากรู้ว่าอเมริกาเป็นยังไง อยากลองไปสักครั้ง หวังว่าถ้ามีโอกาสจะให้ริลินเขาพาเที่ยว”

   หมอปิดหนังสือแพทย์ (คนบ้าอะไรอ่านหนังสือไม่บันเทิงก่อนนอน) ก่อนจะดึงร่างผมมากอดหลวมๆ ผมร้องเหวอลั่น

   “อยู่ดีๆ ทำอะไรน่ะ!”

   “ทำไมต้องให้ลินพาเที่ยว เฮียพาเราไปเองก็ได้”

   เขาจูบหลังคอผม มือไม้เริ่มเลื้อย ผมเลยจัดการหยิกหลังมือเขาไปเบาๆ หนึ่งทีให้หมอหัวเราะเล่น

   “หมอ... ไม่ค่อยจะได้หยุดไม่ใช่เหรอครับ ผมไม่อยากรบกวน อีกอย่าง สิ้นปีนี้ผมก็วางแผนกับพวกเพื่อนที่บริษัทจะไปเที่ยวต่างประเทศสักประเทศนึง ยังไม่ได้ตกลงกันเลยว่าจะไปที่ไหน”

   ผมลูบมือเขาเบาๆ ตรงรอยที่โดนหยิกไป เจ็บมั้ยเนี่ย?

   “ถ้าเราอยากไป เฮียพาไปได้ เฮียมีวันหยุดที่ไม่ได้ใช้อยู่”

   คำพูดของริลินลอยเข้ามาในหัวเลย

   ‘ยิ่งถ้าเป็นคนที่สามารถทำให้พี่คินยอมมอบวันหยุดให้ เราว่าพี่หมอเขาไปไหนไม่รอด’

   ผมยิ้มโดยไม่ให้เขาเห็น...

   ผมต่างหากล่ะครับ ที่จะไปไหนไม่รอด



มันก็จะเริ่มเหม็นความรักนิดหน่อย...

หมั่นไส้อ่ะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
คนอื่นไม่เท่าไร มีแค่หมอดมยาวาริศนี่แหละครับ ที่กลัวจะมาสร้างปัญหา

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
น่ารัก​ หวานน้อยๆแต่ขอให้หวานนานๆ

ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
ปั้นเขินมากไหม ทางนี้เขินมากเลย 555 ช้อตนี้พี่หมออบอุ่นเหมือนไมโครเวฟฟ

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด