Chapter – 19
ข้าวปั้นครับ มาลองพฤติกรรมบำบัดกันไหม
“อาจารย์คะ หนูอยากถามเรื่องเคสของคนไข้ที่เป็นโรคลำไส้อักเสบน่ะค่ะ อาจารย์พอจะมีเวลามั้ยคะ”
ผมที่กำลังจะเดินกลับห้องพักแพทย์ถูกเรียกไว้ด้วยนักศึกษาแพทย์สาวชั้นคลินิกซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มวอร์ดที่ผมดูแล เธอเป็นหนึ่งในท็อปคลาสที่ผมภูมิใจ ผมหันกลับมาแล้วพยักหน้ารับ เธอยิ้มหวานแล้วเดินเข้ามาเปิดไอแพดเพื่อถามสิ่งที่สงสัย
ผมลอบมอง เธอตัวเล็กมาก สูงแค่เทียมอกผม แต่อะไรๆ กลับโตเกินกว่าที่ร่างเล็กๆ นั่นควรจะมี
ผมกรอกตามองบน นิสัยเดิมๆ จะให้เลิกเลยมันก็ยาก แต่จะให้ทำต่อมันก็ไม่ใช่เรื่อง โดยเฉพาะเมื่อลูกศิษย์คนโปรดวันนี้จงใจใส่เสื้อคอคว้านลึกจนต่อให้ผมไม่ตั้งใจมอง มันก็ยังเห็นอยู่ดี
เด็กสมัยนี้...
ผมมองตามชาร์จผู้ป่วยและข้อมูลในไอแพดของเธอแล้วอธิบาย ระหว่างที่อธิบายผมก็รู้นะว่าเจ้าหล่อนแอบขยับกายเข้ามาชิดเกินพอดีจนกลิ่นน้ำหอมฉุนกึกตีเข้าจมูกผม คิ้วผมขมวดแน่น
“น้ำหอมของคุณ ผมว่ามันแรงเกินไป”
“อ๊ะ...” นักศึกษาถอยห่างทันทีที่ผมทัก เธอยกมือขึ้นเอาผมทัดหูแก้เก้อ หน้าแดงก่ำไม่รู้ว่าโกรธหรืออาย
“ขะ... ขอโทษค่ะอาจารย์ คือว่าหนูเพิ่งเปลี่ยนกลิ่นน้ำหอม ขอโทษค่ะ”
เธอละล่ำละลักแก้ตัว ผมเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะดันแว่น เอามือล้วงกระเป๋าเสื้อกาวน์สั่งสอน
“ผมไม่ได้ห้ามว่าใส่ไม่ได้ แต่คุณควรจะรู้ว่าการเป็นหมอต้องเจอกับผู้ป่วยหลายประเภท กลิ่นน้ำหอมที่แรงเกินไปอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกแย่” ผมสั่งสอนแกมดุ ไม่ได้ใช้น้ำเสียงดูถูกหรือรุนแรงแต่เหมือนอีกฝ่ายจะหน้าชาไปแล้ว แม้รอบๆ ด้านจะไม่มีคนเลยก็ตาม
“ค่ะอาจารย์ ต่อไปหนูจะระวังค่ะ”
“ครับ”
แล้วเจ้าหล่อนก็เดินเร็วๆ จากไป ผมส่ายหัวเบาๆ เรื่องแบบนี้ก็มีแทบทุกปีตั้งแต่ผมรับเป็นอาจารย์หมอดูแลชั้นคลินิกวอร์ดศัลยศาสตร์ ผมยอมรับว่าตัวเองก็ใส่แต่มันจะเป็นเพียงกลิ่นบางๆ ที่ใช้บ้างไม่ใช้บ้าง กลิ่นหอมอ่อนๆ ผมชอบเวลาใช้อาฟเตอร์เชฟหลังโกนหนวดมากกว่า และนั่นคงเป็นกลิ่นที่ข้าวปั้นชอบ
ผมล้วงมือถือขึ้นมาเช็คอย่างคาดหวังว่าจะมีข้อความอะไรจากคนที่คงกำลังนั่งตัวหน้าติดจอคอม แต่ก็ไม่... ครั้งแรกที่เขาเป็นฝ่ายส่งข้อความมาหาก่อน ผมดีใจจนเซ็นเอกสารผิดเลยครับ ถึงแม้ตอนนั้นจะเป็นแค่การส่งรูปมาแบบไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ แถมเขาเองก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะประทับใจผมสักนิด ความดีใจมันก็หักลบไปกับความเซ็ง ยิ่งคิดว่าเขาเกลียดผมขนาดหนีกลับบ้าน ยิ่งเซ็งหนักเข้าไปอีก
“ไฮ้ ไอ้หมอ แม่นักศึกสาวนั่นเดินหน้าบูดตูดบิดสวนกะกูไปนู่นแล้ว เพราะมึงใช่มั้ย?”
ผมเงยหน้ามองคนทักที่เดินมาแขวะ เก็บมือถือใส่กระเป๋าเสื้อกาวน์แล้วเปิดประตูห้องเข้าไป ไม่สนใจเจ้าของคำพูดหยาบคายสักนิด
“หยิ่งจริงนะครับอาจารย์หมอ เฮ้อ... เมื่อไหร่กูจะมีโอกาสได้เข้าวอร์ดพร้อมสาวๆ สวยๆ พวกนั้นมั่งวะ” คนที่ตามเข้ามาทิ้งตัวนั่งตรงข้ามโต๊ะทำงานของผมประสานมือไว้ที่ท้ายทอยเอนตัวบ่น ผมเปิดแลปท็อปของตัวเองก่อนจะเช็คตารางผ่าตัดวันนี้ที่มีสองเคสรวมถึงอ่านรายงานผู้ป่วยพร้อมทานของว่างรองท้องไปด้วย
“สาวๆ นอนรอมึงบนเตียงตั้งเยอะแยะ” ผมพูดกลับ หมอริทถึงกับย่นหน้าเบะปาก
“สาวพ่อมึงสิ นอนนิ่งให้กูผ่าไม่ขยับเชียว ไม่นิยมสาวที่พรมน้ำหอมกลิ่นฟอร์มาลีน”
ครับ มันเป็นหมอนิติเวช หรือหมอผ่าศพนั่นแหละครับ
ผมหัวเราะขำก่อนจะเปิดรายงานพร้อมกับเลื่อนจอไปด้วย หมอริทเลิกคิ้วมองของกินก่อนผ่าตัดของผมแล้วถามอย่างสงสัย
“แดกแต่ข้าวปั้นเซเว่นแล้วมึงจะยืนไหวเรอะวันนี้”
“เออ”
ผมแกะห่อข้าวปั้นห่อที่สาม กินไปคิดถึงเจ้าของชื่อที่เหมือนกันไป ถอนหายใจเหมือนคนถูกบังคับให้กินข้าว ทันใดเสียงแจ้งเตือนข้อความจากมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ทำให้ผมรีบหยิบขึ้นมาดู
แล้วก็ผิดหวังอีกตามเคย... แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังจนเกินไป
“ใคร? สาวไหนบอก” หมอริทยื่นหน้าเข้ามา ผมชักมือถือหนีพร้อมด่า
“เสือก”
“แหม อคิน มึงให้เบอร์ใครง่ายๆ ที่ไหนกูรู้หรอกน่า” หมอริทแซวอย่างรู้ทัน ผมเลยบอกไปอย่างไม่ปิดบัง
“ลิน” ผมอ่านข้อความแล้วยิ้มบางๆ “บอกว่าจะมาถึงไทยเที่ยวเย็นวันเสาร์นี้”
“เห แม่สาวเมกา แล้วมึงจะไปรับมั้ย เขาไม่เคยมาไทยนี่หว่า”
ผมขมวดคิ้วก่อนจะพิมพ์ข้อความตอบกลับคนจากแดนไกลว่าจะไปรับ เพราะผมไม่ค่อยอยากให้เธอเดินทางในกรุงเทพคนเดียว มันอันตรายสำหรับชาวต่างชาติ แถมยังเป็นผู้หญิง พลางคิดว่าจะพาข้าวปั้นไปรับเธอด้วยดีมั้ย
“ไป”
“กูไปด้วยดิ” หมอริทเสนอหน้า ซึ่งผมเหลือบตามองก่อนจะกระตุกยิ้มให้พร้อมพูด
“เสือก”
วันนี้มันโดนผมด่าไปสองรอบ หวังว่าคงจะนอนหลับฝันดีถึงสาวๆ ที่มันผ่าจนครบทุกคนนะ
หลังผ่าตัดเสร็จตอนตีสอง ผมกลับมาเปลี่ยนชุดที่ห้องพักแพทย์เตรียมกลับคอนโด ปกติถ้าดึกขนาดนี้ผมจะนอนที่ห้องพักนี่พอเช้าก็อาบน้ำที่ห้องพักแพทย์แล้วราวด์วอร์ดต่อเลย แต่ผมกลับมีแรงฮึดอยากกลับบ้านขึ้นมาซะงั้น เพราะข้อความเดียวที่ส่งมาให้ผมตอนหัวค่ำในช่วงที่กำลังจะไปผ่าเคสที่สอง
KaowwwPun: ผมกำลังกลับนะครับ หมออย่าลืมกินข้าวนะ
ไอ้ประโยคนี้ทำให้ผมรู้สึกหายเหนื่อยครับ แต่ประโยคที่ทำให้กระชุ่มกระชวยก็คือประโยคสั้นๆ ต่อมา
KaowwwPun: คิดถึงครับ
ครับ ร้อยแปดสิบผมก็จะเหยียบให้ถึงคอนโดภายในสิบห้านาที
ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มคบกัน ผมก็ให้กุญแจสำรองห้องผมกับเขาไว้ เขาก็ให้เช่นกัน สาเหตุหลักๆ คือเผื่อคนใดคนหนึ่งมีเหตุฉุกเฉินจะได้เข้าห้องกันและกันได้ อีกอย่าง ให้เขาสนิทใจกับผมเสียทีว่าจะไม่บังเอิญเจอเหตุการณ์ตะลึงเหมือนวันนั้นอีก
ผมคิดว่าเขาจะถามเรื่องของวาริศมากกว่านี้ แต่สุดท้ายข้าวปั้นก็ไม่ถาม แถมยังบอกด้วยว่า ตอนนั้นหมอก็คือหมอ เขาไม่มีสิทธิ์จะต่อว่าอยู่แล้วเพราะผมกับเขาไม่ได้เป็นอะไรกัน ที่เขาเตลิดเปิดเปิงไปก็เพราะตกใจแล้วก็ช็อคมากกว่า
แต่ผมรู้สึกผิด ทั้งๆ ที่เคยบอกกับข้าวปุ้นไปแล้วว่าจะจีบเขา แต่ดันอยากรู้อยากลองไม่เข้าเรื่อง
แน่นอนครับ นิสัยผมเป็นแบบนี้ และเรื่องของวาริศคือสิ่งที่เราตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นแล้วตั้งแต่เขามาคอนโดผมครั้งแรก
“พี่หมอคิน”
ผมที่กำลังจะเดินไปลานจอดรถของโรงพยาบาลถูกเรียกไว้จากคนที่เข้าห้องผ่าตัดไปกับผมเมื่อเคสก่อนหน้า ผมหยุดแล้วหันกลับมา ร่างเพรียวบางสะอาดสะอ้านดูสำอางของวิสัญญีแพทย์หนุ่มฝีมือดีที่ยังอยู่ในชุดกาวน์เดินเข้ามาใกล้ผม หน้าตาเขาบูดไม่น้อยเมื่อเห็นท่าทางรีบเร่งของผม
“ว่า?”
“จะกลับคอนโดเหรอครับ ปกติดึกขนาดนี้พี่หมอจะค้างไม่ใช่เหรอ?” วาริศเดินเข้ามาชิดผมจนได้กลิ่นยาคลุ้ง แน่นอนว่าไม่ต่างจากผมนักหรอก แต่ในกลิ่นยามันมีกลิ่นน้ำหอมอบอวลที่ผมเพิ่งจะต่อว่าลูกศิษย์ไปหยกๆ เมื่อเช้า มันตีกันจนผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่จึงถอยห่างเล็กน้อยก่อนตอบ
“ใช่”
“ใช่? หืม หรือว่าเด็กของพี่หมอรออยู่”
วาริศเป็นคนฉลาด เขามักมีวิธีการเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่เขาต้องการ ผมไม่ใช่คนเดียวที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย แม้เขาจะบอกว่าชอบผม แต่ผมรู้ว่าในคำหวานของเขามันมียาพิษอยู่มากมาย และผมก็ไม่คิดจะสนใจมันด้วย ถ้าหากเราทั้งคู่ต่างมีประโยชน์ซึ่งกันและกัน ผมก็ไม่เกี่ยงจะใช้งานเขา และแน่นอน ผมมีข้อตกลงเสมอก่อนจะทำอะไร
“คุณมีธุระอะไรรึเปล่าวา”
ผมถามไปตรงๆ หมอวาริศหัวเราะในลำคอก่อนจะใช้นิ้วแตะริมฝีปากตัวเองพลางส่ายหน้าไปมา
“มาหาผมได้เสมอนะถ้าพี่หมอเบื่อเด็กอ่อนประสบการณ์”
แล้วก็ยิ้มเย็นให้หนึ่งครั้งก่อนเดินกลับไป ผมมองตามด้วยสายตาที่เย็นชา ผมไม่กลัวว่าเขาจะเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศแต่สิ่งที่กังวลคือความคิดของเขา อะไรที่วาริศถูกใจ เด็กที่โดนสปอยด์แบบนั้นไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือ ซึ่งตอนนี้ผมคือสิ่งที่เขาอยากได้และผมพลาดที่คิดว่าผมจะเป็นแค่หนึ่งในคู่นอนทั่วไปของเขาแล้วจบไปตามข้อตกลง
ด้วยจรรยาบรรณความเป็นแพทย์ ผมก็หวังว่าเขาจะไม่ทำอะไรให้มันผิดความเป็นหมอของเขานะ
ผมปลดล็อคประตูห้องชั้น 9 เทียนหอมในห้องดับไปหมดแล้ว ผมจัดการใช้มือถือแทนไฟฉายก่อนจะใช้ไฟแช็คที่วางไว้ตรงชั้นวางจุดเทียนให้เขา ถ้าผมสามารถกลับมานอนคอนโดได้ ผมก็มักจะแวะมาทำแบบนี้ให้เขาทุกคืน
ก่อนจะเข้าห้องเขา ผมแวะไปอาบน้ำห้องตัวเองก่อนเพราะไม่อยากให้เชื้อโรคจากโรงพยาบาลมาแพร่เชื้อใส่คนที่กำลังนอนฝันดีโดยมีปั้นสิบนอนหงายพุงอยู่ข้างหมอน
ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างเตียง แสงไฟจากเทียนหอมทำให้สามารถเห็นหน้าเขาได้ชัด คนที่ผมเริ่มยาวนอนขดตัวอยู่ในผ้าห่มผืนหนา ผมใช้ข้อนิ้วเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าเขาขึ้น และคนรู้สึกตัวง่ายก็คงจะรับรู้ถึงสัมผัสแปลกๆ ได้
นัยน์ตาสีน้ำตาลค่อยๆ ปรือขึ้นเหมือนคนละเมอ ก่อนจะหันมามองผมนิดๆ มือเรียวยื่นออกมาจากผ้าห่มแล้วจับที่มือผมพลางลูบเบาๆ
“กลับมาแล้วเหรอครับ”
“ครับ”
ข้าวปั้นจับมือผมไว้ก่อนจะยิ้ม หันตัวมากอดเอวผมแบบอ้อนๆ ซึ่งปกติถ้าไม่สะลึมสะลือไม่มีทางหรอกนะครับมุมอ้อนๆ แบบนี้น่ะ
“เหนื่อยมั้ยครับ”
เขาถามทั้งๆ ที่หลับตาเหมือนพร่ำเพ้อไปงั้นเองแต่ผมกลับเอ็นดูจนต้องโน้มตัวลงไปนอนข้างๆ สอดตัวเข้าไปอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน พลางกดหน้าเขาให้ซุกลงมาแนบอก ข้าวปั้นสูดกลิ่นสบู่ที่ติดตัวผมก่อนจะขยับหน้าเบือนออกเพราะต้องการพื้นที่หายใจ
“เหนื่อยครับ”
“พรุ่งนี้ราวด์กี่โมงครับ” เขาถามแบบนี้ทุกครั้งที่ผมมานอนด้วย เพราะเขารู้ว่าผมตื่นเช้ามากเพื่อเข้าโรงพยาบาล
“เหมือนเดิมครับ หกโมง”
“เดี๋ยวปั้นตื่นมาทำอะไรให้กินนะครับ”
เขาบอกอย่างน่ารัก ผมอยากจะกดเขาทั้งๆ ตอนนี้เสียเลย ถ้าไม่ติดว่าผมก็เหนื่อย เขาก็ง่วงล่ะก็นะ
“วันศุกร์ไปค้างห้องเฮียนะครับข้าวปั้น”
วันศุกร์ผมไม่มีเวรและไม่มีเคสผ่า... ขอสักวันให้ได้อยู่กับเขานานๆ
“ครับ”
ไม่รู้ล่ะว่าละเมอหรือตอบรับ แต่ผมเหมารวมแล้วว่าตกลง
อดทนหน่อยอคิน...
ผมสะดุ้งตื่นมาตอนตีห้าเพราะได้ยินเสียงก๊องแก๊ง แสงไฟจากโซนครัวลอดผ่านเข้ามา คนที่นอนอยู่ข้างผมตอนนี้ใส่ผ้ากันเปื้อนเข้าครัวไปแล้วไปแล้ว ผมยีผมหยักศกของตัวเองก่อนจะคว้าแว่นที่วางไว้ข้างๆ มาใส่แล้วลุกจากเตียง เปิดประตูกระจกที่กั้นระหว่างโซนนอนกับโซนนั่งเล่นพลางเช็คมือถือไปด้วยว่ามีข้อความด่วนอะไรรึเปล่า
โชคดีที่ไม่มี
“ตื่นแล้วหรอครับ จะกินกาแฟก่อนหรืออาบน้ำก่อนครับ”
คนทักผมหันมายิ้มให้แวบนึงก่อนจะกลับไปง่วนกับการทำแซนวิชหั่นเป็นชิ้นพอดีคำต่อ เขาจัดการเอาทุกอย่างใส่กล่องพลาสติกและใส่ลงถุงผ้าอีกที
ศรีภรรยา...
ผมยิ้มขำกับภาพที่เห็นก่อนจะเดินไปกอดเอวเขาแล้วกดจมูกลงบนศีรษะทุยยุ่งๆ นั่น ข้าวปั้นแตะแขนผม หูเหอแดงจนน่าเอ็นดู ผมลอบสอดมือเข้าไปใต้ผ้ากันเปื้อนพลางลูบหน้าท้องเขาจนเจ้าตัวสะดุ้งหดหนี
เขาผอมลงอีกแล้ว
“อย่าหื่นตั้งแต่ตื่นได้มั้ย ไปอาบน้ำครับ!”
“ครับๆ”
ผมคว้าผ้าเช็ดตัวมาแล้วเดินตัวปลิวเข้าห้องน้ำไปพร้อมเสียงหัวเราะหึๆ ให้คนโดนลวนลามขมุบขมิบปากอวยพรตามหลัง แค่นิดๆ หน่อยๆ ก็ทำให้วันนี้ผมมีแรงทำงานทั้งวันแล้วครับ
“ข้าวปั้นครับ”
หลังแต่งตัวเสร็จผมก็เรียกเขาระหว่างที่ดื่มกาแฟไปด้วย คนที่กำลังจัดการกับเสื้อสูทของผมให้หันมาขานรับ ผมเห็นหน้าเขาแล้วอดมันเขี้ยวไม่ได้จริงๆ
“วันศุกร์นี้ไปค้างห้องเฮียนะ”
“ฮะ??”
ผมยิ้มมุมปาก ผมว่าเขาคงพอจะรู้แหละว่าผมหมายถึงอะไร อายุอานามเราสองคนก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ
“ก่อนที่เฮียจะไม่ว่าง เฮียอยากใช้เวลากับปั้น” ผมคว้าร่างเขามากอด สามสี่เดือนมานี้ผมแทบจะไม่มีเวลามาเจอเขาเลย เรื่องอย่างว่าตั้งแต่ครั้งแรกมันก็ไม่เคยมีอีกเลย ผมรู้ว่าเขายังไม่พร้อม แต่การตอดนิดตอดหน่อยของผมที่ทำทุกครั้งที่เจอกันก็คงจะพอทำให้เขารู้บ้างแหละว่าสักวันเขาจะหนีคมเขี้ยวผมไม่พ้นแน่นอน
ผมอุตส่าห์ใจดีเตือนล่วงหน้าให้เวลาทำใจตั้งหลายวัน
“ไปเล่นเกมห้องเฮียกัน”
ผมทำทีชวนเขาไปเล่น PS4 ที่เขาติดใจมันมากแต่ไม่กล้าเข้าไปเล่นเมื่อผมไม่อยู่ทั้งๆ ที่ผมบอกว่าจะเข้าก็ได้ผมไม่ว่า แต่เขาก็ยังขี้เกรงใจอยู่ดี
ข้าวปั้นได้ยินแล้วตาวาววับเพราะเขาเคยเล่นแค่สองสามครั้ง เขาบอกว่าถ้าเล่นคนเดียวมันไม่สนุก ดังนั้นส่วนใหญ่เกมที่เขาเล่นจึงเป็นแนว multi-player แน่นอนว่าเมื่อก่อนผมอยู่คนเดียว เล่นคนเดียวก็มีแค่เกมแนว single player แต่พอข้าวปั้นพูดว่าอยากเล่นที่เล่นด้วยกันได้ ผมกว้านซื้อมันทุกเกมที่มีขาย store นั่นแหละ ให้เขามาเลือกเอง เพราะถ้าให้เขาบอกว่าอยากเล่นเกมไหนจะมานั่งเกรงใจกันอีก
“คร้าบ”
หลอกง่ายจริงเด็กอะไร
ครับ... หลอกง่าย
ผมเนี่ย....
เรากลับมาถึงคอนโดประมาณสามทุ่มหลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ ข้าวปั้นก็ขออนุญาตหอบเอาปั้นสิบมาด้วย ปั้นสิบดูจะร่าเริงเพราะมันมาถึงห้องผมปุ๊บก็ตรงดิ่งไปยังตู้ปลาทะเลของชอบเพื่อไปตบกระจกตู้เล่นอย่างเพลิดเพลิน ข้าวปั้นกลัวทุกครั้งว่ามันจะกระโจนลงไปในตู้แต่ปั้นสิบดูจะฉลาดกว่าที่ข้าวปั้นคิด เพราะมันรักที่จะยืดตัวเอามือตบปลาผมจากผิวน้ำมากกว่า... อืม
ตั้งแต่เข้าห้องมา เขาก็ตรงดิ่งไปยังเครื่องเล่น PS4 ของผมพร้อมกับขออนุญาตเปิด และนั่งเล่นมันกับผมไปสามชั่วโมงแล้ว... จนผมรู้สึกว่ามันอาจจะเป็นเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา จึงไล่ให้เขาไปอาบน้ำก่อนที่เขาจะง่วงจนหน้าจมลงไปกับจอยเหมือนทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้เขาอาบน้ำนานกว่าทุกครั้ง ก่อนจะกลับมามุดตัวนั่งบนโซฟาเหมือนเดิมพลางไล่ผมไปอาบน้ำบ้าง ส่วนเขาก็เปิดอนิเมะดูในบริการสตรีมมิงยอดฮิตผ่านแอคเค้าน์ของผมที่ต่อไว้อยู่แล้ว พอผมกลับมาพร้อมกับเช็ดผมไปด้วย ก็เห็นว่าเขานั่งเหม่อมากกว่านั่งดู
“ข้าวปั้นครับ” ผมลองเรียก แต่เขากลับไม่สนใจ เอาแต่มองหน้าจอทีวี ผมเลยทิ้งตัวนั่งลงจนชิดเขา คนที่กำลังเหม่อจิตล่องลอยจึงได้ดึงวิญญาณตัวเองกลับมาพลางหน้าแดงจนผมงง หรือเขาจะไม่สบาย
“เป็นอะไร หน้าแดงเชียว ไม่สบายเหรอครับ แอร์หนาวไปเหรอ?”
“ปะ... เปล่าครับ”
เขาเบือนหน้าหนี ทำท่าจะลุกแต่ก็เปลี่ยนใจ ทิ้งตัวนั่งลงตามเดิมพลางหนีบขาชิดกันในท่าชันเข่าขึ้น... ผมถึงได้เข้าใจว่าเมื่อกี้เขาเหม่ออะไร
ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้กว่าเดิม ข้าวปั้นเอนตัวออกห่างเล็กน้อย หัวเราะแห้งแก้เก้อ
“เด็กลามกคิดอะไรก่อนนอนรึเปล่าครับ”
“อะ อะ อะไรน่ะครับ ฮ่าๆๆๆ”
ผมไล่ต้อนเขาจนสุดเบาะโซฟาเบดตัวยาว ก่อนจะดันร่างผอมในชุดเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขายาวลงนอนราบกับเบาะ ข้าวปั้นเงียบกริบ หลับตาปี๋ มือบางจับแขนเสื้อนอนผมไว้แน่น
“ข้าวปั้นครับ... หมออิงบอกว่าโรคกลัวที่แคบที่มืดของข้าวปั้น ต้องรักษาด้วยการทำความคุ้นชินกับมัน” ผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เขาเบือนหน้าออกไปด้านข้างแต่ก็ไม่ได้ผลักออกเหมือนทุกครั้ง ผมยิ้มพอใจกับความเด็กน้อยฉลาดรู้ของผม
“เรามาลองพฤติกรรมบำบัดกันดูมั้ยครับ”
“ครับ...”
ผมจูบที่ซอกคอหอมกลิ่นสบู่ของผม โดยปกติผมจะไม่ยอมให้คู่นอนหรือใครหน้าไหนใช้ของใช้ส่วนตัว แม้แต่ห้องนอนก็ไม่ให้เข้า จบแล้วจบเลยแยกย้ายไม่มีค้างต่อแม้อีกฝ่ายจะพยายามยื้อแค่ไหนผมก็ยังยืนยันให้กลับโดยสุภาพ แต่ข้าวปั้นผมถึงกลับต้องหลอกล่อให้เขาอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเขาค้างห้องผมครั้งแรกแล้วเห็นคอมราคาสองแสนวางตั้งให้ฝุ่นจับอยู่ในห้องนอน... ผมทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตอนเขาต่อว่าผมว่าใช้เงินไร้สาระเกินไปแล้ว
“หมอครับ... คือ คือผม...”
เขาเริ่มประท้วงเมื่อผมสอดผมลูบไล้เอวผอมนุ่มมือของเขา แม้ข้าวปั้นจะผอมแต่ไม่ใช่เนื้อติดกระดูก ถึงจะไม่นุ่มเท่าผู้หญิง แต่ผมชอบสัมผัสทุกอย่างที่เป็นเขา ผมขบเม้มไหปลาร้าสวยพลางใช้มือรั้งคอเสื้อยืดลงมาให้เปิดมากขึ้น ลิ้นร้อนของผมดูดดึงจนผิวขาวเป็นรอยช้ำแดง ผมยันตัวขึ้นมองผลงานอย่างพอใจ อยากทำให้คอขาวๆ นั่นเป็นรอยมากกว่านี้จริงๆ
“หมอครับ... ไม่ ไม่ใช่ตรงนี้”
ผมเลิกคิ้ว เขากัดริมฝีปากตัวเอง ตาสวยชั้นเดียวคลอน้ำตานิดๆ
“ผม... ผมไม่อยากทำ... ตรงโซฟานี้”
ผมชะงักกึก ก่อนจะนึกได้ว่าโซฟานี่เป็นที่ที่เขาเห็นผมกับวาริศมีอะไรกัน... ผมจูบหน้าผากเขาแรงๆ ก่อนจะโอบร่างเขาขึ้นมากอดแนบอก กดจูบที่แก้มใสๆ พลางกระซิบขอโทษ
“ขอโทษครับ เฮียทำให้เรารู้สึกไม่ดีใช่มั้ย”
เรียวแขนบางตวัดขึ้นคล้องคอผมก่อนส่ายหัวเบาๆ
“ผม... ผมแค่ไม่อยากทำตรงนี้”
“ครับ”
ผมตวัดร่างบางที่หนักไม่เท่าไหร่สำหรับผมขึ้นอุ้ม เจ้าตัวกอดคอผมแน่น เขาคงอายน่าดู แต่ก็ไม่พูดอะไร ผมเห็นว่าปั้นสิบกำลังจะเดินตามมา จึงหันกลับไปบอกมันนิ่งๆ
“ถ้าตามมาอดแซลมอนแน่ๆ ครับปั้นสิบ”
ไม่รู้ว่ามันรู้เรื่องที่ผมพูด หรือเพราะน้ำเสียงของผมถึงทำให้ผมยอมนั่งลงแล้วขู่ฟ่อใส่หนึ่งที
ผมวางร่างผอมบางลงบนเตียงกว้างที่ไม่ค่อยได้ใช้งานบนชั้นสองซึ่งเป็นห้องนอนของผมเอง ในห้องนั้นแทบจะไม่มีแสงเลยนอกจากแสงจากนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้ ข้าวปั้นพยายามควานหาสวิตช์โคมไฟบนหัวเตียง แต่ผมกลับคว้ามือเขาจับไว้แล้วจูบเบาๆ คนตัวเล็กกว่าหอบหายใจ พยายามมองไปทางหน้าต่างที่มีแสงไฟ
“หายใจช้าๆ เข้าไว้ครับ สักห้านาทีเดี๋ยวเฮียเปิดไฟให้นะ”
“ปั้น... ปั้น”
เขาจับมือผมแน่นพลางผวาตัวมากอดผมไว้ ผมลูบหลังบางก่อนจะปลอบโยน
“เดี๋ยวข้าวปั้นจะอยากให้เฮียปิดไฟครับ”
“หมอ...” เขาเริ่มโมโหแล้ว ผมหัวเราะก่อนจะจับหน้าเขาให้แหงนขึ้นด้วยมือทั้งสองข้างแล้วจูบลงไปเบาๆ แค่ปากแตะกัน ผมจูบเขาแล้วถอนริมฝีปากออกแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเล่นกับเด็กน้อย ทำแบบนั้นอยู่นานจนเขาเริ่มชินกับความมืดและเริ่มกัดปากตัวเอง จูบตอบผมบ้างเพราะผมแกล้งหยอกเขาด้วยการจูบเบาๆ บนปากนุ่มไม่เหมือนทุกที
จากริมฝีปากแตะกัน ข้าวปั้นเริ่มเป็นฝ่ายเผยอปาก เขาเรียกร้องโดยการขยับเม้มดูดดึงริมฝีปากล่างของผมในจังหวะที่จูบลงมา มือที่เกาะบ่าผมไว้เริ่มสอดเข้าไปลูบไล้ท้ายทอยของผมพลางกดมันให้เข้ามาใกล้
เนี่ยแหละสิ่งที่ผมต้องการ อยากให้เขาเป็นฝ่ายรุกบ้าง
ลิ้นเล็กชื้นแลบเลียออกมาเหมือนที่ผมชอบทำกับเขา เป็นฝ่ายสอดดุนเข้ามาเองด้วยจังหวะที่อ่อนประสบการณ์ ผมขยับตัวขึ้นไปนั่งบนเตียงเต็มๆ ขาข้างหนึ่งชันเล็กน้อย อีกข้างขัดสมาธิเข้ามาโดยมีร่างเล็กนั่งอยู่ตรงกลาง ร่างบางขยับเข้ามาชิดกว่าเดิม เรียกร้องจูบที่เร่าร้อนกว่านี้ ผมหยอกเขาเล่นด้วยการดูดลิ้นเล็กเข้ามาในปากแล้วใช้ลิ้นตัวเองไล้วนด้วยจังหวะที่ทำให้คนในอ้อมแขนหายใจถี่รัว
“หมอ... อื้อ...”
เขาถอนปากตัวเองออกมา มองผมผ่านแสงไฟจากตึกสูงที่ส่องผ่านเข้ามา ผมประคองแผ่นหลังเขาไว้ก่อนจะทำท่าจะเอื้อมมือไปเปิดไฟที่หัวเตียงเพราะน่าจะเลยห้านาทีที่สัญญากันมาแล้ว... แล้วเขากลับตะปบข้อมือผมไว้พลางส่ายหัว
“อย่าเปิดเลยครับ”
“ทำไมครับ ถ้าแพนิคขึ้นมาจะไม่ดีนะ” ผมเลียติ่งหูอ่อนของเขาอย่างหลงใหล “เปิดเถอะ อยากเห็นหน้า”
“ไม่ครับ มันน่าอาย”
ผมเอียงคอก่อนจะจัดการถลกเสื้อยืดของเขาให้พ้นคออย่างรวดเร็ว ข้าวปั้นร้องลั่น ผมหัวเราะ ผู้ชายด้วยกันจะอายอะไร?
“อายทำไม”
“ผมไม่ใช่ผู้หญิง... มันไม่มีอะไรน่าดูสักหน่อย”
ผมใช้แสงไฟที่ส่องผ่านเข้ามาเพียงน้อยนิดในการสังเกตร่างเปลือยท่อนบนตรงหน้า ไม่ว่ายังไง... เขาก็ดูเซ็กซี่น่ารักในสายตาผม โดยเฉพาะยอดอกสีอ่อนกับเอวบางๆ นั่นที่ผมเรียกได้ว่าเพ้อหาตั้งแต่มีอะไรกันครั้งแรก
“ข้าวปั้น เฮียอยากดูเพราะเป็นปั้นนะครับเด็กดี”
ผมโน้มหน้าลงไปตวัดลิ้นชิมยอดอกสีอ่อนน่ารัก มือข้างหนึ่งประคองหลังที่เอนหนีไว้ให้มั่น อีกข้างเผลอไผลไปลูบแถวๆ หน้าท้องที่หดเกร็งแล้วลามลงไปพาดผ่านส่วนน่ารักที่กำลังตื่นตัวจนแข็งขืน
ไฟติดง่ายเหมือนเคยเลยเด็กน้อย...
“ฮื่อ... หมอครับ”
“เรียกเฮียสิครับปั้น”
ผมอู้อี้อยู่แถวๆ แผ่นอกเล็กที่สะท้อนขึ้นลง มือใหญ่ค่อยๆ กอบกุมร่างกายร้อนผ่าวผ่านกางเกงผ้า ขยับมือตามความยาวเบาๆ ก่อนใช้ฝ่ามือไล้วนแถวบริเวณส่วนปลายที่เริ่มจะซึมชื้น เสียงหอบหายใจทำให้ผมดันร่างเล็กให้เอนลงราบกับฟูกนุ่ม เคลื่อนใบหน้ามาจูบที่ริมฝีปากอ่อนอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมเป็นฝ่ายรุกเร้าบดขยี้จนคิดว่าพรุ่งนี้ปากข้าวปั้นต้องบวมเจ่อแน่นอน ร่างด้านใต้ร้องประท้วงเมื่อผมยังไม่เลิกลูบไล้เขาผ่านเนื้อผ้า
“ร้อนมากเลยนะครับ อยากออกมาแล้วล่ะสิ”
ผมหัวเราะในคอ ข้าวปั้นทำหน้าไม่พอใจกับการแซว ก่อนจะหลับตาอายเพราะผมชันเข่านั่งควบร่างเขาไว้โดยไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปก่อนจะสอดมือรั้งขอบกางเกงนอนเขาออก จนส่วนที่ชูชันจนดันเนื้อผ้าออกมาเป็นอิสระ ข้าวปั้นพลิกตัวหนีแต่ผมกดเอวเขาไว้ จ้องมองส่วนสวยงามน่าหลงใหลที่แดงก่ำผงาดขูชันท้าสายตาจนคนโดนจ้องต้องเอามือปิดไว้
“ยะ... อย่ามอง”
“สีสวยจะตาย”
ผมเริ่มใช้คำพูดโลมเล้าเขา จัดการรวบข้อมือบางทั้งสองข้างให้ยกขึ้นไม่ให้บดบังทัศนียภาพตรงหน้า ผมกลืนน้ำลาย ไม่คิดว่าตัวเองจะมีปฏิกิริยากับผู้ชายตรงหน้าขนาดนี้...
ผมจัดการถอดกางเกงเขาให้พ้นขา ตอนนี้ร่างตรงหน้าเปล่าเปลือยโดยสมบูรณ์ เมื่อปิดความน่าอายให้พ้นสายตาผมไม่ได้ ข้าวปั้นจึงเลือกที่จะปิดหน้าตัวเองหนีความอายแทน น่ารักเกินไปแล้วพ่อหนุ่มน้อย...
ผมสอดตัวเข้าไปตรงกลางระหว่างขาเขาให้แหกกว้าง ผมเห็นนะว่าเขาแอบมองผมผ่านช่องว่างของนิ้วที่ถูกอ้าออกอย่างจงใจ... ทำไมครับ อยากรู้เหรอว่าผมจะทำอะไรต่อไป
ผมสอดมือเข้าไปใต้บั้นท้ายทุ่มเล็กๆ นั่นแล้วยกขึ้นจนตัวลอยมาวางบนหน้าขา ข้าวปั้นร้องเบาๆ อย่างตกใจ ยิ่งเมื่อปลายนิ้วของผมเริ่มขยับสอดผ่านแก้มก้นนุ่มที่ถูกบังคับให้อ้าออกด้วยมือของผม ปลายนิ้วกลางลูบไล้เบาๆ ที่ปากทางแคบ...
“ข้าวปั้น ขอโทษนะครับ ช่วยหยิบของที่อยู่บนโต๊ะหัวเตียงให้หน่อยได้มั้ย”
ผมลืมหยิบ..
ข้าวปั้นกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะกวาดมือไปแถวๆ โต๊ะหัวเตียง แม้ห้องนี้จะไม่ได้เปิดไฟ แต่แสงที่สอดผ่านเข้ามาก็สว่างพอจะเห็นอะไรต่ออะไรได้ชัดเจนเมื่อสายตาปรับสภาพแล้ว
“ขวด?”
“ครับ”
เขายื่นสิ่งนั้นให้ผม ผมจัดการรับมาเปิดฝา เทของเหลวนั่นลงฝ่ามือจนชุ่มก่อนจะค่อยๆ สอดมือกลับเข้าไปที่เดิม ข้าวปั้นสะดุ้งโหยงกับความเย็นของเจลหล่อลื่น ผมอยากเห็นปฏิกิริยาเขาชัดๆ... ขอเปิดไฟอีกรอบได้มั้ย รู้งี้ไม่แกล้งเขาแต่แรกก็ดี
“หมอครับ... โอ๊ะ...”
ข้าวปั้นจับข้อมือผมไว้เมื่อผมเริ่มใช้นิ้วกลางสอดเข้าไปในช่องทางคับแคบ ผมหายใจหนักๆ ดันต้นขาเขาให้ชันขึ้นสูงเพื่อเปิดทางให้ผมขยับนิ้วง่ายขึ้น คับแน่นแต่มันนุ่มและเคลียร์มาก... เหมือนกับว่า....
“ข้าวปั้น... เตรียมเองมาก่อนแล้วเหรอครับ?”
ผมฉงน ก่อนจะใจเต้นแรงเมื่อเขาปิดหน้าตัวเอง ผมไม่คิดว่าเขาจะใส่ใจ ถึงขั้นเตรียมตัวมาด้วย... ผมไม่รังเกียจหรอกถ้าเขาจะให้ผมช่วยเตรียมให้ มิน่า... วันนี้อาบนานเชียว
ผมยิ้มกว้าง ค่อยๆ สอดนิ้วเข้าไป ร่างตรงหน้าสั่นสะท้าน คว้าหมอนมากอดแน่น ผมว่าเขาคงใช้แค่นิ้วเล็กๆ ของเขานั่นแหละ เพราะดูจากอาการ... อา... ผมตื่นเต้นจนอยากใส่เข้าไปแล้วสิ...
ผมโน้มตัวลงไปทั้งๆ ที่นิ้วยังอยู่ในตัวเขาหนึ่งนิ้ว ค่อยๆ ทำให้ชินดีกว่า ผมไม่รีบ พรุ่งนี้ไม่มีขึ้นเวรเช้า เตรียมให้เขาชั่วโมงนึงผมก็ทำได้ ผมกระซิบข้างหูเขาด้วยน้ำเสียงหลงใหลและแหบพร่าด้วยอารมณ์ขณะที่คนเขินอายเอาหมอนปิดหน้าแน่น
“ข้าวปั้นครับ เฮียจะทำช้าๆ นะครับ”
คนตัวเล็กที่ร่างสั่นไม่ไหวแล้วผงกหัวรับ
“สัญญาจะไม่เจ็บเหมือนคราวที่แล้ว จริงๆ ครับ”
“อ๊ะ...”
อุ๊ปส์ น้อนเสร็จเฮียหมอซะแล้ว งานนี้ปั้นสิบก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้วจ้า
ถามว่ามีต่อมั้ย?
ตอบเลยว่ามาก... 555
#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น