Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Doctor Plz Help me. หมอครับ รัก(ษา)ผมได้ไหม? โดย SeenYu - ตอนที่36(17/4/63)  (อ่าน 35459 ครั้ง)

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
น่าสงสารเข้าปั้นนะ ป่วยกลัวที่แคบตั้ังแต่นั้นมา
สำหรับคนที่ตามทำร้าย ถ้าเป็นเด็กคนนั้นก็น่าจะจำฝังใจ
ดีที่มีหมอดูแลใกล้ๆ แล้วหมอก็พาข้าวปั้นไปฉีดยาที่ห้อง เอ๊ะ เกี่ยวกันไหม
 :hao6: :hao6: :hao6:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ง่านึกว่าจะเป้นเรื่องใสๆนี่อะไรเลือดตกยางออกก้มา
รอตอนต่อไปยุ่น๊าาาาา

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 26
หมอครับ เขาบอกว่าใช่



   ผมไปทำงานจนครบอาทิตย์โดยมีเฮียปุ้นคอยไปรับไปส่ง ถึงจะเป็นงานที่ดูน่าเบื่อ แต่ผมรู้สึกว่าเฮียดูกระตือรือร้นกับการมารับมาส่งผมเหลือเกิน แถมยังชอบซื้อข้าวเช้าไปฝากกลุ่มเพื่อนที่พากันไปเที่ยวบ้านคราวก่อนอีกด้วย ไม่รู้เอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ ไอ้เนกับฟางนี่ลาภปากไปทั้งอาทิตย์ ในขณะที่พี่ดินฝากไปบอกว่าไม่ต้องซื้อมาเผื่อพี่แกหรอก

   แต่ที่ผมรู้สึกแปลกๆ... คือการกระทำเฉพาะเจาะจงของเฮียปุ้น

   “อันนี้ให้น้องเจี้ยนนะ”

   “ทำไม?”

   ผมมองเฮียด้วยสายตาไม่ไว้ใจ เฮียทำหน้ารำคาญบอกปัดๆ

   “เออน่า อย่าถามมากสิ”

   “เฮีย... เฮียจะถูกใจใครก็ได้นะ แต่อย่ามาล้อเล่นกับเพื่อนปั้น”

   ผมพูดไปตรงๆ หลังจากที่เฮียเจาะจงของที่ซื้อให้พี่เจี้ยนครบอาทิตย์ เฮียเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วพเยิดหน้า

   “เออ”

   “เอออะไร เอาให้ชัด ปั้นจะได้บอกพี่เจี้ยนถูก”

   “เออน่า ถามมากจังไอ้ตี๋เล็ก” เฮียปุ้นเบือนหน้าหนี ไม่ชอบให้มาเซ้าซี้เป็นปกติ

   “เฮียปุ้น นั่นเพื่อนปั้น จะทำอะไรเกรงใจหน้าปั้นนิดนึง” ผมเอ่ยเตือนเป็นครั้งสุดท้าย

   “เออ เฮียรู้ ไปๆๆ ตั้งใจทำงานไอ้ตี๋เล็ก”

   เฮียปุ้นไล่ ผมยังขมวดคิ้วแน่นไม่ไว้ใจเฮียจนวินาทีสุดท้ายก่อนขึ้นบริษัทไปพร้อมกับถุงข้าวกล่องพะรุงพะรัง

   ผมมองข้าวกล่องขณะเดินออกจากลิฟต์ ทักทายเพื่อนร่วมงานเป็นปกติก่อนจะเดินไปวางกล่องข้าวบนโต๊ะเนกับฟาง แล้วกลับมาที่ตัวเอง เห็นพี่เจี้ยนนั่งเหม่ออยู่หน้าคอม ผมแปลกใจกับการมาเช้าของพี่แกจนต้องเอ่ยปากทัก

   “มาเช้าจังพี่”

   “กูนอนไม่หลับ”

   ขอบตาพี่เจี้ยนลึกโหลเป็นมหาสมุทรจนต้องเอาแว่นกรองแสงขึ้นมาใส่ ผมหัวเราะหึก่อนจะยื่นถุงข้าวกล่องให้ พี่เจี้ยนหลุบตามองมันก่อนจะผลักออก

   “กูไม่เอา กินมาแล้ว อิ่ม”

   “งั้นเก็บไว้กินมื้อเที่ยง” ผมถอนหายใจ พี่เจี้ยนปฏิเสธมันตั้งแต่วันที่สองหลังจากรู้ว่าใครซื้อมาให้ ผมคันปากยุบยิบๆ อยากถามจะตายห่า แต่... คติเดิมครับ ผมไม่ยุ่งเรื่องคนอื่น

   พี่เจี้ยนทำหน้าหมาเบื่อ ยอมลากถุงข้าวมา ก่อนจะดมฟุดฟิด... สุดท้ายก็เปิดมันกินจนได้

   เอ้า! พี่ ไหนว่ากินมาแล้ว

   ผมลองสังเกต ข้าวกล่องของพี่เจี้ยนก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างกับของคนอื่นตรงไหน มันก็พวกกับข้าวธรรมดาเหมือนของผมที่เฮียปุ้นสั่งมาให้ วันนี้เป็นข้าวผัดกุ้งที่มีกุ้งตัวโตไม่ขี้เหนียวสองสามตัวกับไข่ดาวหนึ่งฟอง

   “เออ ไข่ต้มร้านนี้อร่อยว่ะ เฮียมึงสั่งยังไงให้ได้ไข่ยางมะตูมวะ ก็ดีที่มีให้เลือก กูไม่ชอบไข่ดาว”

   ผมมองไข่ดาวในกล่องของผม...

   “ไม่รู้แฮะ”

   พึ่งรู้ว่าร้านนี้มีไข่ต้ม... และก็พึ่งรู้ว่าพี่เจี้ยนไม่ชอบไข่ดาว



   วันนี้ผมบอกเฮียปุ้นว่าจะกลับเองเพราะมีคุยงานกับลูกค้าหลังเลิกงาน และมันก็ไม่ไกลมาก แถมตลอดสัปดาห์หลังจากโดนผลักตกบันได อีเมลและข้อความแปลกๆ ก็หายไปเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้น ตำรวจเองก็ยังไม่สามารถหาคนร้ายพบทั้งๆ ที่กล้องวงจรปิดในสถานีสามารถถ่ายภาพเก็บไว้ได้ แต่ก็เห็นเพียงใบหน้าที่สวมผ้าปิดปากกับฮู้ดคลุมหัวไว้เท่านั้น

   ตอนแรกเฮียไม่ยอมเพราะยังไม่ไว้ใจ ผมจึงขอให้เขาไปรับที่ร้านกาแฟที่นัดลูกค้าไว้แทน เพราะไม่อยากให้เฮียเสียเวลา

   อันที่จริงนอกจากเฮียจะมาเพราะเป็นห่วงผม เฮียยังมาติดต่อธุรกิจนำเข้าส่งออกที่ไปหุ้นบริษัทกับเพื่อนสมัยเรียนไว้ โดยที่ตัวเองซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นต้องมาประชุมบอร์ดตามไตรมาส แล้วผมก็ดันเกิดเรื่องพอดี เฮียเลยถือโอกาสลงกรุงเทพซะเลย เขาเองก็ไม่ได้ว่างมานั่งๆ นอนๆ เล่นที่กรุงเทพเป็นอาทิตย์ๆ หรอก

   วันนี้ก็มาก่อนเวลาอีกตามเคย ไอ้วุ้นกับมิวบอกว่าบีทีเอสเจ้ง กำลังคลานมาด้วยแท็กซี่อยู่ ผมจึงต้องออกมารับหน้าคุณพอร์ชก่อนอีกแล้ว

   คุณพอร์ชอยู่ในชุดสบายๆ เหมือนเดิม เขาจิบกาแฟ นั่งมองออกไปข้างนอกกระจกที่มีคนเดินผ่านไปมาโดยไม่รู้ตัวว่าผมมา ผมเข้าไปทักทาย คุณพอร์ชจึงวางแก้วกาแฟแล้วยกมือไหว้รับ

   “ขอโทษด้วยครับ คุณพอร์ชต้องมารออีกแล้ว”

   “ไม่เป็นไรครับคุณข้าว ผมค่อนข้างว่างน่ะครับช่วงนี้”

   ผมยิ้มให้ แต่หัวสมองเริ่มคิด...

   ทำธุรกิจยังไงให้ว่างวะ?

   “เอ่อ ใช่ครับ พวกวุ้นบอกว่าใกล้ถึงแล้ว คุณพอร์ชจะดูความคืบหน้างานก่อนมั้ยครับ”

   “ได้ครับ” คราวนี้เขาไม่ปฏิเสธ ผมจึงล้วงเอาไอแพดขึ้นมาเปิดวิดิโอที่ export ออกมาให้เขาดูความคืบหน้า เพื่อที่จะได้คุยกันสะดวก  ผมจึงเลือกนั่งฝั่งเดียวกับเขาเพื่อจะได้อธิบายส่วนต่างๆ ที่แก้ไขไปคราวที่แล้ว

   “ตรงนี้ผมเพิ่มการเคลื่อนไหวลงไป อัพเดท texture กับลงสีตัวละคร จัดเซตต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ถ้าคุณพอร์ชโอเคเราจะทำการจัดแสงจริงและเตรียมเรนเดอร์ครับ”

   “อืม... ผมไม่มีปัญหานะ ทุกอย่างตามสตอรี่บอร์ด ผมโอเคครับ”

   “งั้นคุณพอร์ชอยากให้เพิ่มอะไรมั้ยครับ”

   ผมเตรียมสมุดมาจดเพิ่มเติม คุณพอร์ชทำหน้าคิด เขามองวิดิโอผมซ้ำๆ ก่อนจะเลื่อนมาที่หัวผมก่อนเอ่ยถาม

   “คุณข้าวไปทำอะไรมาครับ ทำไมมีผ้าก๊อซที่ศีรษะ”

   ผมกระพริบตาปริบๆ  ก่อนจะจับตรงแผลที่ยังไม่เอาผ้าก๊อซออก ถึงมันจะเริ่มหายดีแล้วก็ตาม ผมหัวเราะแหะๆ

   “ผม... ผมซุ่มซ่าม ตกบันไดเลื่อนน่ะครับ”

   “บันไดเลื่อน?” ลูกค้าของผมเบิกตากว้าง เขาดูตกใจมากกว่าที่คิด ผมยกมือขึ้นโบกเป็นเชิงว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร... ทั้งๆ ที่ความจริงเรื่องมันใหญ่

   “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ผมติดไว้กันน้ำน่ะ ช่วงนี้ฝนตกบ่อย”

   “ออ” คุณพอร์ชทำหน้าสบายใจก่อนจะเอ่ยเตือนอย่างเป็นห่วง “ระวังหน่อยนะครับ ตอนกลางคืนมันอันตราย”

   “อ่า... ครับ”

   ผมหัวเราะรับ... ก่อนจะเอะใจ

   ผมพูดแล้วเหรอว่าตกบันไดเลื่อนตอนไหนน่ะ?

   ผมมองคุณพอร์ชอย่างสงสัย จนคุณพอร์ชที่กำลังมองงานเพื่อคอมเม้นต์ต่อถึงกับต้องหันมามองอีกครั้งพลางเลิกคิ้ว

   “คุณข้าวมีอะไรรึเปล่าครับ?”

   เขายิ้มใจดีถามผม ทำให้ผมรู้ตัวว่าจ้องเขาตรงเกินไปจนต้องเบือนสายตากลับมา ปฏิเสธว่าไม่มีอะไร ก่อนจะคุยงานกันต่อจนกระทั่งพวกวุ้นเส้นมา

   คุณพอร์ชเป็นลูกค้าที่ดี เป็นลูกค้าประเสริฐในอุดมคติ อาร์ตติสว่าไง ลูกค้าว่างั้น เขาบอกว่าเชื่อในเซ้นส์ของอาร์ตติส ผมนี่อยากจะกราบเขางามๆ ที่ทำให้งานมันไหลลื่น แถมรสนิยมดี ไม่ชอบการคุมโทนสีแบบงานอบต. ที่เน้นสีจัด ตัวหนังสือชัดไว้ก่อน

   หลังจากคุยงานกันเพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการต่อไปเสร็จ พวกวุ้นเส้นขอตัวแยกกลับไปก่อน ส่วนผมนั้นอยู่ต่ออีกหน่อยเพราะมีเรื่องคาใจ

   “คุณพอร์ชครับ คือว่า... ผมมีเรื่องอยากถาม”

   คุณพอร์ชที่กำลังจะเดินเลี้ยวไปอีกทางถูกผมเรียกไว้ เราหยุดอยู่ตรงหน้าร้านกาแฟร้านเดิม เขาหันกลับมายิ้มให้

   “ครับ? สงสัยเรื่องคอมเม้นต์เหรอครับ”

   “เปล่าครับ... คือ มันอาจจะละลาบละล้วงไปหน่อย แต่ผมขอถามเรื่องส่วนตัวหน่อยได้มั้ยครับ คือเรื่องที่คุณถามผมถึงโรงเรียนประถม...กับเรื่องน้องชายของคุณ...”

   คุณพอร์ชหุบยิ้มลง ใบหน้าใจดีเสมอกลายเป็นเรียบนิ่งจนผมหายใจติดขัด เริ่มไม่กล้าถาม คุณพอร์ชเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางเอียงคอเล็กน้อย

   “คุณอยากรู้อะไรเหรอครับ”

   “อะ.. เอ่อ”

   “ถามได้ครับ ผมก็อยากให้ถาม”

   ผมขมวดคิ้วแน่น  ไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็เหมือนจะเข้าใจ...

   “น้องชายคุณพอร์ช... เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนรึเปล่าครับ”

   ผมถามไปตรงๆ เพราะคงไม่มีประโยชน์ที่จะอ้อมค้อม ถ้าหากไม่ใช่ ผมก็แค่ขอโทษที่เข้าใจผิดแล้วก็ถามอะไรแปลกๆ ออกไป

   แต่ถ้าใช่...

   ผมกลืนน้ำลาย คอแห้งผาก ยิ่งเมื่อสายตาของคุณพอร์ชเย็นเยียบ ความนิ่งโรยตัว ท่ามกลางเสียงรถที่วิ่งสวนกันไปมาบนถนนสี่เลน หรือแม้กระทั่งเสียงบีทีเอสที่วิ่งอยู่บนหัว แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันอื้ออึงไปหมด

   ผมกำลังกลัว... กลัวคำตอบ

   “ใช่ครับ”

   ผมเบิกตากว้างขึ้น... มือชื้นเหงื่อเย็นๆ กำเข้าหากันแน่นจนเส้นเลือดปูดนูน คุณพอร์ชมองหน้าผมนิ่ง ในขณะที่ผมขยับขาถอยออกหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว

   “ข้าวปั้น”

   เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งสุดตัว หันกลับไปมองเสียงเรียก  ร่างสูงในชุดทำงานเรียบร้อยยืนอยู่ข้างหลังผม นัยน์ตาสีเขียวมองเขม็งไปยังคนที่อยู่ด้านหน้าผม คุณพอร์ชยิ้มให้เหมือนเดิมก่อนจะเอ่ยถามผม

   “เพื่อนเหรอครับ”

   ผมหันกลับมา อึกอักที่จะตอบ... จึงทำได้แค่พยักหน้ารับไป คุณพอร์ชเหลือบไปมองหมอที่เดินเข้ามาใกล้ก่อนจะยกมือสวัสดี หมอยกมือไหว้กลับ

   “สวัสดีครับ” คุณพอร์ชมารยาทงามเหมือนเดิม หมอไม่พูดอะไร เขามองหน้าผมที่เหงื่อแตกพลั่ก ผมที่เริ่มจะรู้ตัวจึงหันไปพูดกับคุณพอร์ชที่ยังไม่ยอมไปไหน

   “เอ่อ... เพื่อนพี่ชายน่ะครับ หมอครับ นี่คุณพอร์ช ลูกค้าผมเองครับ”

   “สวัสดีครับ อคินครับ”

   “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คุณพอร์ชหันมาคุยกับผม “งั้นผมกลับก่อนนะ เอาไว้ว่างๆ เราค่อยนัดนอกรอบคุยเรื่องนี้กันก็ได้ครับ ผมก็อยากจะคุยกับคุณเรื่องนี้เหมือนกัน”

   “อ่า... ครับ สวัสดีครับคุณพอร์ช”

   ลูกค้าของผมจากไป ผมมองจนเขาลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกยาว คนตัวสูงวางมือบนหัวผมพลางลูบเบาๆ ในขณะที่ผมดึงชายเสื้อเขาไว้อย่างต้องการที่ยึดเหนี่ยว ตัวยังสั่นไม่หยุด สายตาหลุบมองพื้นอย่างสับสน

   “กลับบ้านกันครับ”

   เขาไม่ถามอะไรมาก เพียงแค่ลดมือจากหัวผมลงมือกุมมือชื้นเหงื่อข้างเดียวกับที่รั้งเสื้อเขาไว้ แรงบีบเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกได้รับการปกป้อง... ผมยังคงเงียบ และไม่พูดอะไรจนกระทั่งถึงคอนโด

   

   “เฮียปุ้นไปไหนครับ เฮียบอกว่าจะมารับผม”

   ระหว่างที่กำลังเปิดประตูเข้าห้องตัวเองโดยมีหมอเดินตามต้อยๆ เหมือนเดิม ผมที่รวบรวมสติตัวเองได้แล้วจึงเอ่ยถามว่าไอ้เฮียของผมมันหายไปไหน ถ้าจะไม่มารับก็ควรจะบอกผมก่อนสิวะ

   “ปุ้นไปเจอเพื่อน เห็นบอกว่าวันนี้อาจกลับดึก... หรือไม่กลับเลย”

   หมอตอบตามที่พี่ชายผมบอกทิ้งไว้

   “เฮียควรบอกผมก่อนสิ”

   “มันบอกว่าโทรหาปั้นไม่ติด”

   “เอ๊ะ?”

   ผมล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู ปรากฏว่าแบตโทรศัพท์หมดเกลี้ยง ไม่น่าเชื่อว่าผมจะใช้จนแบตหมด อาจเป็นเพราะวันนี้ผมนั่งเช็คงานจากมือถือก่อนไปเจอลูกค้าตั้งแต่เช้าด้วยล่ะมั้ง แถมเป็นพวกไม่ชอบเปิด Low Power Mode อีกต่างหาก

   โชคดีแค่ไหนที่หมอหาเจอ ไม่งั้นได้เดินวนหากันเป็นหนังอินเดียแหง

   “ขอโทษครับ ผมลืมชาร์ตแบต”

   “หัดเช็คบ้าง ถ้าเฮียหาเราไม่เจอทำไง”

   คุณหมอดุ เขาเทข้าวให้ปั้นสิบเหมือนเป็นหน้าที่ประจำไปแล้ว ผมยิ้มแหยก่อนจะเดินเอามือถือไปเสียบที่ชาร์ตแบต ไอ้อ้วนนอนตีลังกาอยู่บนโซฟา มันมองคนเทข้าวด้วยหางตา ก่อนจะยอมกลิ้งตัวเองลงมาแล้วเดินลากพุงไปกินข้าว... แมวเวร

   “คนคนนั้น... มีเรื่องอะไรกับเขารึเปล่า”

   หมอถามหลังจากล้างมือเรียบร้อยแล้ว ผมที่กำลังหาน้ำหาท่ามาบริการเขา ก็ชะงักไปเมื่อได้ยินคำถามจนเผลอเทน้ำจนล้นแก้ว

   “เชี่ย! ผ้าๆๆๆ”

   ผมกระวีกระวาดหาผ้าเช็ดโต๊ะมาเช็ดน้ำที่หกท่วมเคาน์เตอร์ครัว ไม่ทันรู้เลยว่าคนตัวสูงเดินมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังตอนไหน เงาที่พาดมาทำให้ผมเลิกคิ้ว สองแขนอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูดนูนที่ลามไปยันมือใหญ่วางคร่อมผมจนตัวติดกับเคาน์เตอร์ ผมหัวเราะแห้งๆ

   “เอ่อ หิวน้ำเหรอครับ”

   “หิวข้าว”

   หมอก้มลงจูบหลังคอผมที่โผล่พ้นเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์คอวี ทำให้คอเสื้อมันค่อนข้างกว้างเพราะตัวผมเล็กกว่าไซส์มาก ริมฝีปากร้อนขบเม้มลาดไหล่ผมก่อนจะใช้ลิ้นดุน ผมแหวลั่นเพราะกลัวเขาจะทำให้มันเป็นรอย

   “หยุดเลยครับ”

   “วันนี้ใส่คอกว้างจัง”

   “เสื้อผมหมดแล้ว ฝนตกทุกวัน ผ้าไม่แห้งครับ”

   หมอจับแขนผมกดไว้กับโต๊ะไม่ยอมให้หันกลับมา ลิ้นร้อนลากผ่านไหล่ขึ้นไปตามลำคอ ก่อนจะเม้มเลียที่ติ่งหู... ผมขนลุกซู่ ขืนตัวออก แต่มือใหญ่ที่จับแขนไว้กลับค่อยๆ เลื่อนลงมาที่มือก่อนจะสอดประสานทับไว้ไม่ให้หนี...

   มือใหญ่ที่มีเส้นเลือดนูนมันกร๊าวใจผมทุกครั้งที่เห็น

   ไม่รู้เป็นโรคจิตเวลาเห็นเส้นเลือดที่มือคนแล้วรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ไปตั้งแต่เมื่อไหร่...

   “ปั้นครับ...”

   “ไม่ครับ วันนี้วันศุกร์ ผมมีนัดเล่นเกมกับเพื่อน แถมยังต้องเคลียร์งานลูกค้าอีก ผมมีเวลา... อ๊ะ... เดี๋ยวหมอ... หมอเฮ้ย... ดะ...”

   “ครั้งเดียว... นะ”

   มือใหญ่สอดลามเข้าไปในช่องว่างของกางเกงยีนส์ตัวนิ่ม

   สุดท้าย... ครั้งเดียวก็ไม่เคยมีจริง

   หมอแม่ง...



   _____________

   LINE

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error :    ไอ้เชี่ยข้าว ไปข้าวสารกัน

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error :    ข้าวสารๆๆๆๆๆๆ

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error :    ไม่มากูโกรธ

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error :    เหี้ยแม่ง ทำไมชวนใครไม่มีใครมากะกูเลย

   _____________

   Bro’ KaowPoon

   Missed Call (3)

   _____________

   LINE

   เฮียปุ้น : ไอ้ตี๋ เฮียติดธุระ ส่งหมอไปรับแกละนะ

   _____________

   LINE

   คุณเจี้ยนผู้ไม่ท้อต่อ error : ไอ้ข้าว! มาเอาพี่มึงกลับไป!

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6
พักเรื่องเครียดของปุ้นมาเชียร์พี่ปั้นดีกว่าเหมือนมีอะไรในกอไผ่​

ออฟไลน์ seaz

  • รักอยู่ไหน...ใจเรียกหา
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5383
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +381/-9
หมอ ... อย่าแกล้งน้อง :hao6:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
น้องชายคุณพอร์ชสินะ ว่าแล้วสิ่งที่ตามหาก็อยู่ใกล้ๆ กับคนรู้จัก
หมอนี่ หื่น ไม่เป็นเวล่ำเวลานะ แต่ก็นะไม่ค่อยมีเวลาว่างเห็นใจ อิอิ
พี่เจี้ยนหนีไม่พ้นเฮียปั้นหรอกนะ มีแฟนผู้ชายก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนะ หุหุ

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
หมอหื่นตลอดๆๆ

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เข้าใจไหม ตอนเกิดเรื่องข้าวปั้นยังเด็กอยู่นะ

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 27
หมอครับ ไม่ได้ชวนทะเลาะ



   “หน้าไปโดนอะไรมา?”

   ผมถามเฮียปุ้นที่กลับคอนโดมาตอนบ่ายแก่ๆ ขณะที่ผมกำลังนั่งปั่นงานไฟลุกอยู่หน้าคอมตัวเอง ใจนึงอยากขึ้นไปยืมไอ้เจ้าโซนิค คอมชุดละสองแสนที่หมอซื้อมาตั้งให้ฝุ่นจับอยู่หรอกนะ แต่คิดอีกทีก็เกรงใจ

   ผมมองหน้าเฮียที่มีรอยช้ำแดงที่เบ้าตา คิดว่าอีกไม่นานคงช้ำเขียวแน่นอน เฮียปุ้นนั่งแหงนหน้าพิงพนักโซฟา มือใหญ่ใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบเบ้าตาของตัวเองด้วยสีหน้าเหมือนอยากจะฆ่าคน ตอนแรกผมตกใจแทบแย่ นึกว่าเฮียไปฟัดกับใครมา แต่เจ้าตัวกลับบอกด้วยเสียงห้วนๆ

   “โดนตีนกระต่ายมา”

   “กระต่ายบ้านเฮียตีนหนักเนอะ ช้ำไปครึ่งหน้า”

   เฮียปุ้นส่งเสียงหึในลำคอ ผมส่ายหน้าขำ

   คงไม่พ้นข้อความที่พี่เจี้ยนส่งมาเมื่อคืน

   “บ้านพี่เจี้ยนดุนะ บอกไว้ก่อน ลูกชายคนเดียว พี่สาวทั้งบ้าน พ่อแม่หวงอย่างกับไข่ในหิน”

   ผมเตือนอย่างไม่จริงจัง เพราะคิดว่าเฮียคงจะรู้ตัวนะว่าทำอะไรอยู่ คนโดนเตือนเอาผ้าห่อน้ำแข็งที่ประคบเบ้าตาอยู่ออกก่อนหันมามองผม ใบหน้ารกเคราดูเถื่อนดิบกระตุกยิ้ม

   “เฮียชอบท้าทายอำนาจมืด”

   ผมไม่พูดต่อ เฮียปุ้นทำท่านึกได้ เขาล้วงมือถือขึ้นมาแล้วพูดกับผม

   “ไอ้ตุลย์มันค้นข้อมูลเจอแล้วนะ คดีมันเก่าไปหน่อยเลยไม่ได้เก็บเข้าระบบ ต้องรื้อเอกสารเลยช้า มันส่งรายละเอียดชื่อของผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดมาให้ จะดูเลยมั้ย”

   ผมชะงักมือที่จับเมาส์อยู่ ก่อนจะขมวดคิ้ว

   “ปั้นก็มีเรื่องจะบอกเหมือนกัน”

   “ว่า?”

   “ปั้นเจอคนที่เกี่ยวข้องกับคดีนั้น เขาเป็นลูกค้าของปั้นเอง”



   วันนี้หมอเลิกงานสองทุ่มพร้อมกับสั่งอาหารชุดใหญ่ให้ โดยบอกให้พวกผมขึ้นไปที่ห้องเขาเพื่อคุยกันถึงคดี ริลินไม่อยู่ เธอไปพม่าตั้งแต่เมื่อวานกับกลุ่มเพื่อนร่วมงานวิจัย ดังนั้นมื้อดึกจึงมีมนุษย์สามคน กับแมวอีกหนึ่งตัว

   เอ้อ... ยังมีปลาของหมออีกนี่หว่า

   “เมื่อวานปั้นไปเจอลูกค้ามา เขาชื่อคุณพอร์ช เป็นเจ้าของธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับซอฟต์แวร์อะไรสักอย่าง เขาจ้างพวกปั้นทำโฆษณาเล็กๆ ให้เขาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ตัวใหม่ที่จะออกใหม่ ปั้นเริ่มรับงานเมื่อประมาณสามเดือนก่อน”

   ผมเปิดเรื่องหลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้วบนโต๊ะอาหาร

   “ก่อนหน้าที่ปั้นจะถูกผลักตกบันได เขาถามปั้นว่า เป็นคนที่ไหน ปั้นเลยตอบไปว่าเป็นคนเชียงราย จู่ๆ เขาเล่าขึ้นมาว่าเขากับน้องชายก็เคยอยู่เชียงรายมาก่อน แถมเขายังถามเรื่องโรงเรียนสมัยประถม คุณพอร์ชบอกว่าน้องชายเขาก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่ย้ายออกเพราะมีปัญหา”

   “แกเลยสงสัยว่าน้องชายของลูกค้าแก คือเด็กคนนั้น” เฮียปุ้นเลิกคิ้วสนใจกับสิ่งที่ผมเล่า

   “ปั้นแค่สงสัย”

   ผมตั้งใจจะเล่าเรื่องนี้รอบเดียวพร้อมกับข้อมูลของเฮียปุ้นจึงรอให้หมอกลับมาก่อน เฮียปุ้นพยักหน้าหงึกหงัก ผู้ชายตัวโตๆ สองคนนั่งกอดอกฟังสิ่งที่ผมเล่า เฮียปุ้นเอาข้อมูลเก่าที่ปริ้นท์ออกมาวางไว้บนโต๊ะ

   “นี่เป็นเอกสารคร่าวๆ ที่ไอ้ตุลย์ส่งข้อมูลมาให้ มีรายชื่อของคนที่เกี่ยวข้องกับคดี รูปถ่ายและประวัติการรักษาอยู่”

   ผมกับหมอก้มดูรายงานการสืบสวนฉบับก๊อปปี้ รายชื่อของเด็กสิบเจ็ดคนไล่เรียงยาวลงมา ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่ไม่ได้ลงทะเบียน จะมีแต่ชื่อ ไม่มีนามสกุล เด็กที่มีสัญชาติไทยมีทั้งหมดเจ็ดคน ไล่ลงมาผมเจอชื่อผม และอีกชื่อทำให้ผมกับหมอถึงกับหันมามองหน้ากัน

   ด.ช. วาริศ วรุณรัศมิ์ ป.4 อายุ 10 ปี

   “หมอ... วาริศนี่ คงจะไม่ใช่...”

   ผมมองหน้าหมอที่ขมวดคิ้วแน่น เขามองชื่อกับรูปถ่ายสมัยเด็กอีกครั้ง เค้าโครงหน้าของเด็กคนนั้นมีส่วนคล้ายกับหมอวาริศจริงๆ ในรายงานมีการเขียนอธิบายถึงร่องรอยของการถูกผ่าเอาไตออกไปหนึ่งข้าง

   “ใช่ชื่อเขา”

   ผมยกมือแตะปลายคาง จ้องรูปในรายงานก่อนจะปิดปาก

   ผมจำเด็กคนนั้นได้ติดตา แม้จะอยากลบมันออกไปแค่ไหน แต่ผมก็ยังจำได้

   ติดแค่ว่า หมอวาริศคนนั้นจำผมได้รึเปล่า?

   “เขามีรอยผ่าตัดเหรอหมอ”

   ผมหันไปถาม หมอทำหน้านึกก่อนจะชะงักไป... นัยน์ตาสีเขียวเหลือบมามองผมมีแววประหลาด ผมเลิกคิ้วกลับ

   “ทำไมถามงั้น?”

   ผมหัวเราะหึเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อปีก่อน

   “ก็ก่อนหน้านั้นหมอกับเขาสนิทกันนี่ครับ”

   หมอหรี่ตาลง... เสียงแข็งขึ้นผิดปกติ

   “เฮียไม่ได้สนใจรายละเอียดอะไรหรอกนะ”

   “อ้อ... งั้นหรอกเหรอครับ ผมเข้าใจผิดไปเองแหละ”

   กลายเป็นว่าจู่ๆ บรรยากาศก็มาคุซะงั้น หมอเบือนหน้ากลับเหมือนไม่อยากต่อบทสนทนาที่เหมือนจะเป็นการชวนทะเลาะกลายๆ ส่วนผมก็เท้าคางเบือนหน้าไปอีกฝั่ง เฮียปุ้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามสอดสายตาเลิ่กลั่กมองคนสองคนที่จู่ๆ ก็มีทีท่าคล้ายกับว่าจะมีเรื่องกัน

   “เป็นไรวะ อยู่ๆ ก็พูดอะไรกันแปลกๆ แล้วตกลง วาริศเป็นใคร”

   ผมเงียบ ปล่อยให้หมอเป็นคนอธิบายไป

   “เขาเป็นหมอวิสัญญีประจำโรงพยาบาลที่กูทำงานอยู่”

   “หืม แล้วยังไง เขาใช่เด็กชายวาริศเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนรึเปล่าปั้น” เฮียปุ้นถามผมบ้าง ผมหันกลับมา หยิบรูปของเขาขึ้นมาดูอีกรอบก่อนจะพยักหน้า

   “ถ้านามสกุลเดียวกัน ปั้นว่าน่าจะใช่” ก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “ถ้างั้น... หมอวาริศ เป็นน้องชายของคุณพอร์ชงั้นเหรอ? แต่ผมว่า หน้าคุณพอร์ชกับหมอวาริศไม่เห็นมีส่วนไหนคล้ายกันเลย”

   “พี่น้องกันไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหรอก ข้าวปั้นกับปุ้นก็หน้าไม่คล้ายกันนะ”

   หมอหันมาตอบแทน จะว่าไปก็จริง หน้าเฮียปุ้นไม่เห็นจะคล้ายผมสักนิด หน้าผมติดจะหวาน เค้าโครงเดียวกับพวกเจ้ๆ แต่เฮียปุ้นหน้าแมน ดิบ เถื่อน แถมส่วนสูงนี่เรียกว่านึกว่าเกิดมาจากคนละพ่อคนละแม่ เวลาเฮียไปเดินข้างๆ เจ้หอมมักจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแฟนมากกว่าพี่ชาย

   “แล้วรู้รึเปล่าว่าคุณพอร์ชอะไรนั่น นามสกุลอะไร”

   “ไม่อ่ะ ผมก็เรียกเขาคุณพอร์ชมาตลอด มันเป็นงานโฆษณาเล็กๆ เลยทำให้ปั้นไม่ได้เขียนสัญญาจ้างจริงจัง แต่เขาก็จ่ายมัดจำตามจำนวนงวดที่ตกลงกันไว้ทุกครั้ง เลยคิดว่าไม่มีสัญญาก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เขารู้ที่อยู่บริษัทปั้นนะ เพราะปั้นให้นามบัตรเขาไป”

   “งั้นเขาก็สามารถส่งจดหมายนั่นให้แกได้สินะ” เฮียถาม

   “เขาจะทำแบบนั้นไปทำไม? ถ้าเขาเป็นพี่ชายหมอวาริศจริงๆ ทำไมต้องมาทำอะไรให้มันยุ่งยากขนาดนั้น ถ้าหมอวาริศเขาอยากจะแก้แค้นผม เขาก็ควรมาทำกับผมตรงๆ เลยก็ได้นี่นา”

   “วาริศไม่ทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนหรอก”

   คราวนี้คุณหมอพูดบ้าง ผมหันขวับ

   “หมอรู้ได้ไง”

   “เขาฉลาด”

   “หมอด่าผมโง่เหรอครับ”

   “เฮียไม่ได้พูดซักคำ”

   “เฮ้ พวกมึงทะเลาะอะไรกัน? เดี๋ยวนะปั้น เรื่องนี้มันผ่านมาตั้งสิบเจ็ดปีแล้วนะ จะมาแค้นกันให้ได้อะไรอีก อีกอย่าง... แกไม่ได้เป็นคนทำ แกก็ถูกจับไปเหมือนคนอื่นๆ เอาจริงๆ เรื่องนี้มันควรจบไปตั้งนานแล้ว” เฮียปุ้นขัดขึ้นมาก่อนที่ผมจะเริ่มเสียงสูงใส่หมอ ผมจึงหุบปากลง

   ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองหงุดหงิดอะไร

   “ถ้าคาใจ พรุ่งนี้กูจะไปถามเขาให้”

   ผมเผลอกำมือโดยไม่รู้ตัวเมื่อหมอพูดแบบนั้น ความจริงมันก็เรื่องปกติ ถ้าคาใจอะไรก็ไปถามให้มันรู้ๆ ไปเลย ไม่ใช่มานั่งเดาสุ่มเดามั่วแบบนี้

   แต่ผมไม่อยากให้หมอคุยเรื่องนี้กับคนคนนั้น

   “งั้นเดี๋ยวผมจะนัดเจอคุณพอร์ช ผมมีเรื่องอยากถามเขาเหมือนกัน”

   “จะไปคนเดียว?” คราวนี้หมอหันมาทั้งตัว เขาเท้าแขนข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะ ผมยักไหล่

   “ใช่ครับ ยังไงๆ ผมก็ต้องเอางานไปส่งอยู่แล้ว นัดเร็วหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

   “แล้วถ้าเขาเป็นคนผลักปั้นล่ะ”

   “เขาจะทำแบบนั้นเพื่ออะไรครับ ถ้าเขาเป็นพี่ชายหมอวาริศจริงๆ เขาอาจจะทำไปเพราะเด็กคนนั้นเอาผมไปเล่าในทางไม่ดี ผมรู้ว่าตอนนั้นมันคงจะดูแล้งน้ำใจ แต่ในตอนนั้นผมยังเด็ก ผมก็กลัวเป็นเหมือนคนอื่นๆ ถ้าเขาโตแล้วเขาน่าจะเข้าใจว่านั่นไม่ใช่เพราะผมเจตนาไม่ดี”

   ผมอธิบายเขาไปตามที่คิดจริงๆ

   ผมเห็นว่าเรื่องนี้มันจะมีแต่ความบังเอิญมากเกินไปแล้ว

   ความบังเอิญที่คุณพอร์ชมีน้องชายเคยเรียนอยู่โรงเรียนประถมเดียวกัน แถมยังเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ลักพาตัว

   ความบังเอิญที่ในรายชื่อเด็กที่ถูกลักพาตัวไป มีชื่อของหมอวาริศอยู่ด้วย แถมเขายังเป็นเด็กคนนั้นที่ทำให้ผมฝันร้ายมาตลอดสิบเจ็ดปี

   หมอวาริศจะใช้พี่ชายตัวเองมาทำร้ายผมทำไม?

   หรืออีกสาเหตุหนึ่งคือ เขาเหมารวมความเจ็บปวดในอดีตกับปัจจุบันเข้าด้วยกัน เลยมาลงด้วยการป่วนประสาทผมแบบนี้

   ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหมอวาริศเขาจำผมได้จริงๆ หรือเปล่า เพราะขนาดผมเองยังจำเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

   ปวดหัวโว้ย!

   “งั้นเดี๋ยวเฮียไปด้วย มึงโอเคนะไอ้หมอ”

   เฮียปุ้นตัดปัญหาโดยการบอกว่าจะไปเจอคุณพอร์ชกับผม หมอจึงยอมลดสายตาที่ดุจัดจนผมมองแบบกล้าๆ กลัวๆ ลง เขาไม่ดุผมมานานแล้ว... พอเจออีกเลยไปไม่เป็นเลยทีเดียว หมอยกกระป๋องเบียร์ขึ้นมาดื่ม วันนี้วันเสาร์ ผมจึงมีโอกาสได้ดื่มบ้าง

   หมอยกได้ทำไมผมจะยกไม่ได้

   “เอาเป็นว่า ถ้าแกนัดคุณพอร์ชนั่นเมื่อไหร่บอกเฮีย จำไว้ว่าอย่าไปคนเดียว ช่วงนี้ก็พยายามกลับให้มันเช้าๆ หน่อย”

   “หืม? ไม่ใช่ว่าเฮียจะไปรับไปส่งผมต่อเหรอ” ผมเลิ่กคิ้วถามอย่างแปลกใจ เฮียปุ้นลูบหลังคอตัวเอง

   “ป๊าสงสัยแล้วว่าเฮียหายมากรุงเทพนานผิดปกติ ช่วงนี้กำลังจะเตรียมส่งไม้ ไหนจะงานแต่งไอ้หอมอีก ม๊าเดินวุ่นอยู่คนเดียวเฮียก็เป็นห่วง”

   “เออใช่ ปั้นลืมไปเลย อยากให้ปั้นช่วยอะไรมั้ย”

   ผมลืมงานแต่งพี่สาวตัวเองไปได้ยังไงเนี่ย อีกแค่สองเดือนหว่า ยังไม่ได้ส่งใบลาล่วงหน้าเลย

   “ไปช่วยไอ้กรดีกว่า ป่านนี้อ้วกแตกตายคาโค้ดไปแล้วมั้ง”

   เฮียปุ้นเอ่ยถึงว่าที่พี่เขยที่ทำงานเป็นหัวหน้าวิศวกรระบบของบริษัทต่างประเทศในไทย พี่กรเก่งมากๆ แต่ก็ไม่มีเวลามากๆ เช่นกัน ที่รักกันได้กับเจ้หอมนี่เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยกันหรอกนะ คบกันมานานจนต่อให้ห่างกันเป็นเดือนๆ ไม่เจอหน้ากันก็ยังไม่ยอมเลิกกัน

   ออ... เพราะพี่กรเขาเปย์เงินให้เจ้หอมบินมาหาเขาที่กรุงเทพทุกเดือนน่ะ พวกคนเงินเหลือเอ๊ย!

   “ผมจะไปช่วยอะไรเขาได้ครับ” ผมห่วยโค้ดมาก

    เฮียปุ้นหัวเราะ

   “ยังไงๆ ก็ดูแลตัวเองดีๆ ถ้าจะไปเจอเขา บอกเฮียล่วงหน้า เฮียจะลงมาหาทันที เข้าใจมั้ย?”

   นี่ก็รวยค่าตั๋วเครื่องบินอีกคนละ

   “ครับๆ”

   จากนั้นผมก็ยกกระป๋องเบียร์ขึ้นซดอึกๆ วันนี้วันเสาร์ครับ ผมแฮปปี้มากเลยกับวันหยุด ถึงจะไม่ได้ไปข้าวสาร แต่อย่างน้อยวันนี้พวกผู้ชายตัวโตๆ ก็ยอมให้ผมดื่มข้าวหมักด้วย จากนั้นเราก็คุยกันไปเรื่อยๆ คุยไปคุยมา เฮียปุ้นก็ยกมือถือขึ้นมากดดูเพราะมีข้อความเข้า เขาขมวดคิ้วก่อนจะลุกขึ้น

   “ปั้น เฮียมีธุระ”

   “เอ๋... ทิ้งปั้นอีกแล้วว่ะ”

   ผมที่เริ่มกรึ่มๆ มุ่ยปาก หน้าแดงก่ำจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ เฮียปุ้นยื่นมือมาขยี้หัวผมก่อนจะสั่ง

   “ไปอาบน้ำนอนได้แล้ว ไปนะ”

   “คร้าบบบบบบ”

   ก่อนไป เฮียปุ้นหันกลับมากระซิบอะไรบางอย่างกับหมอที่นั่งตัวตรงดื่มเบียร์กระป๋องที่สี่แล้วแต่ไม่ออกอาการเลยสักนิด ผมเห็นเขากระซิบกระซาบกัน แอบเห็นนะว่าหมอหน้าแดงน่ะ คุยเรื่องไรกัน ยี่สิบบวกเหรอ?

   “กูไปล่ะ”

   “เออ”

   ผมลุกจากโต๊ะอาหารที่มีกระป๋องเบียร์เกลื่อนกลาดแล้วเดินเซๆ ไปที่โซฟา ก่อนจะโถมตัวลงนอนคว่ำ หันมาคว้ารีโมทเปิดทีวีเพราะไม่อยากให้ห้องมันเงียบ ผมหันหน้ามองทีวีพลางกระดิกขาไปด้วย

   ร่างสูงใหญ่เดินออกไปที่ระเบียง ผมยืดตัวขึ้นมองเขาที่ล้วงเอาบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบพลางกดโทรศัพท์ไปด้วย

   คุยกับใคร??

   ผมกลิ้งๆ ลงโซฟามาแล้วเดินย่องๆ ออกไปนอกระเบียงกว้าง ลมเย็นๆ ปะทะหน้าทำให้ผมรู้สึกสดชื่น ในมือยังถือเบียร์กระป๋องที่สี่อยู่ ผมเดินไปเกาะราวระเบียงอยู่ข้างเขา เอาคางวางไว้พลางงึมงำขมุบขมิบ

   “คุยกะใครน่ะครับ”

   คนตัวสูงหลุบตามองผม เขาดับบุหรี่เพราะไม่อยากให้ผมสูดควันมันเข้าไปด้วย ทั้งๆ ที่ตอนนี้ลมแรงจะตาย ต่อให้เขาดูดบ้องกัญชาตรงนี้ ผมก็ไม่ได้กลิ่นหรอก... หมอเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกง

   “เปล่าครับ”

   “คุยกะหมอวาริศเหรอครับ”

   ผมงึมงำถามออกไปโดยไม่มองหน้าเขา คำตอบที่ได้กลับมาคือความเงียบ ผมเริ่มมุ่ยปาก กระดกเบียร์เข้าไปอีกหนึ่งอึกใหญ่ๆ จนขมคอ

   “เฮียปุ้นบอกปั้นว่า หมอโทรไปขอปั้นตอนปั้นกลับเชียงราย”

   ผมรู้ว่ามันเป็นหัวข้อที่ดูหาเรื่อง แต่ตอนนี้ผมอยากพูด มันหงุดหงิดอยู่ในใจ

   หมอยังคงเงียบ

   “แต่ตอนปั้นกลับมา หมอทำกับหมอวาริศ”

   “ข้าวปั้น”

   “หมอโกหกผมทำไม”

   “เฮียไม่ได้โกหก”

   เขาเสียงแข็งขึ้น ผมหัวเราะหึ ก่อนจะหันไปหาเขาโดยหันหลังพิงราวระเบียง เอาศอกทั้งสองวางเท้าไว้ด้วยท่าทางหาเรื่อง

   “หมอบอกว่าหมอชอบปั้น แต่ตอนนั้นหมอก็ยังทำกับคนอื่นได้”

   “นี่กำลังหาเรื่องกันใช่มั้ยข้าวปั้น”

   ใช่ครับหมอ ผมกำลังหาเรื่อง... ผมกำลังหงุดหงิด

   “ผมเปล่า ผมแค่ถาม”

   “ปั้นไม่เคยจะถามว่าทำไมเฮียถึงทำกับคนอื่น” เขาทำหน้านิ่ง นัยน์ตาคู่สวยดุ หัวคิ้วกดลงมาจนผมกลัว ร่างสูงขยับเข้ามาใกล้จนผมถอยห่าง “ตอนนี้อยากถามแล้วใช่มั้ย”

   “ปั้น... ปั้นแค่ไม่เข้าใจว่าหมอโกหกทำไม” ผมเขยิบไปข้างๆ ไม่มองตาเขา

   “เฮียโกหกตอนไหน เฮียไม่เคยโกหก เฮียทำอะไร เฮียก็บอกว่าเฮียทำ” หมอขยับตามมา สองแขนคร่อมร่างผม

   “มะ... หมอบอกว่าชอบปั้นแต่ก็ยังไปทำกับคนอื่น”

   “เฮียบอกข้าวปุ้นดักไว้ ถามเขาว่าเขาโอเคมั้ย ข้าวปั้นโอเครึเปล่า ช่วยดูให้หน่อยว่าตอนกลับไปข้าวปั้นสบายดีมั้ย เฮียทำอะไรเฮียรับผิดชอบเสมอ เฮียไม่เคยทำแล้วค่อยคิด”

   มือใหญ่เลื่อนมาจับล็อคคางผมไว้แน่นเพื่อไม่ให้หลบตา

   “หมอ หมอไม่เห็นต้องไปทำกับคนอื่นนี่นา”

   ผมน้ำตารื้นเมื่อนึกถึงวันนั้น มันควรจะเคลียร์ตั้งแต่วันที่เขาบอกผมนี่นา เพียงแต่ผมไม่ถาม ผมยอมรับได้ถ้าเขาจะไปทำอะไรกับใครก่อนหน้าที่คบกับผม มันไม่ผิด... ไม่ผิดเลย เพียงแต่พอเห็นเขาพูดปกป้องหมอวาริศวันนี้ มันก็อดหงุดหงิดจนขุดเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาพูดไม่ได้

   ผมไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องแฟนเก่า คนคุยเก่า หรืออะไรเก่าๆ มันจะกลายมาเป็นหัวข้อการทะเลาะกันครั้งแรกของผมกับเขา

   หมอถอนหายใจเฮือกใหญ่

   “ข้าวปั้น อยากรู้ใช่มั้ยว่าเฮียทำกับวาทำไม”

   “ทำไมต้องเรียกวา สนิทกันนักรึไง”

   อารมณ์เหวี่ยงก็มาครับงานนี้ โทษเจ้าเบียร์สี่กระป๋องนั่นเลยนะ

   หมออึ้งไปกับการสวนกลับของผม ผมเองก็อึ้งตัวเองเหมือนกัน เขาทำหน้าเหนื่อยใจก่อนจะรั้งเอวผมเข้ามา ผมเบือนหน้าหนีไม่อยากมองหน้าเขา

   “ไม่เรียกแล้วครับ” เขาหัวเราะเบาๆ ชอบใจอะไรนักหนา

   “ข้าวปั้นรู้มั้ยว่าคืนแรกนั่นน่ะ ตัวเองทำหน้ายังไง ร้องยังไง เฮียทำแค่ครั้งเดียวแต่เลือดไหลนองจนเฮียตกใจ แต่ปั้นก็ไม่ยอมปล่อย จะว่าเฮียแก้ตัวก็ไม่ว่านะ แต่เฮียคิดจริงว่าถ้ามันมีครั้งที่สอง เฮียจะยังทำปั้นเจ็บอยู่มั้ย เฮียไม่ได้โลกสวยนะครับ ไม่ได้เป็นคนใจเย็น...” หมอกดจูบลงที่แก้มผมที่เบือนหนีอย่างหมั่นไส้ “จากที่ทำกันมา รู้แล้วใช่มั้ยว่าเฮียไม่ใช่คนอ่อนโยน”

   ผมหน้าแดง อยากจะกระโดดลงจากระเบียงไปเลย

   เออ! เขาอ่อนโยนแค่วันแรกเท่านั้นแหละ!

   “เราตกลงกันไว้สามครั้ง จะไม่มีการผูกมัดใดๆ เขาจะสอนในสิ่งที่คู่นอนต้องการ”

   “หมอเก่งจะตาย ศึกษาเองก็ได้นี่นา” ผมแก้มป่อง อยากกัดเขาให้จมเขี้ยวไปตอนนี้เลย

   “เวลาเรียนนอกจากคาบทฤษฎี ก็ยังต้องมีปฏิบัติไม่ใช่เหรอ” หมอจูบเบาๆ ที่ปลายจมูกผม

   “หมอเจ้าชู้”

   “เมื่อก่อนนะ”

   “แล้วตอนนี้ล่ะครับ”

   “เฮียเป็นของข้าวปั้นคนเดียวไง ไม่พออีกเหรอ”

   ผมกอดเอวเขาไว้แน่น อารมณ์หงุดหงิดปลิวไปแล้ว แค่นี้แหละที่ผมอยากได้ ผมแค่อยากให้เขาอธิบาย... ให้เขายืนยันว่าเขาเป็นของผมแค่คนเดียว หมอวาริศอะไรนั่นจะไม่มายุ่งกับเขา

   “อย่าเจ้าชู้อีกนะครับ” ผมกระซิบเบาๆ หมอกอดผมแน่นขึ้นพลางฟัดแก้มผมจนหน้าย่น

   “ถ้าเมาแล้วหึงน่ารักแบบนี้ เมาบ่อยๆ นะครับ”

   ผมซุกหน้ากับอกแน่นๆ หอมกลิ่นอาฟเตอร์เชฟของเขา

   “ใจเย็นกับผมหน่อย ผมงอแงไม่บ่อยหรอกครับ”


เรื่องอะไรเก่าๆ มักเป็นหัวข้อทะเลาะของคนพึ่งคบกันได้เลยนะเนี่ย

ไม่รู้ทำไมอยากเขียนให้หมอกับปั้นทะเลาะกันบ้าง

น้องยูเห็นเขารักกันเเล้วหมั่นไส้น่ะ

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

https://twitter.com/_SeenYu

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
พ่อแง่แม่งอนนิดหน่อย พออีกคนหึงก็รู้ว่าอีกคนรัก อีกคนก็อิ่มใจ
ว่าแต่หลังจากนั้น อย่าฉีดยาปั้นอีกนะหมอ สงสารปั้น อิอิอิ

ส่วนเฮียปุ้น คงจะไปเจอตีนกระต่ายอีกแต่ แบบว่าอยากไปซ้ำรอยเก่า
ยังไงเฮียก็อย่ารุนแรงกับพี่เจี้ยนมากนะเฮีย เป็นห่วงทั้ง 2 คน

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
แหมมีหึงกันด้วยยยยย

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ข้าวปั้นขี้เมาเอ้ย  เมาแล้วขี้หึงแบบนี้ หมอดีใจแย่   :hao3:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
หมอวาริศก็เกี่ยวด้วย

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 28

หมอครับ I’m Lost



   “ไอ้ข้าว”

   “ครับพี่”

   ผมที่กำลังทำการ composite ชอตอยู่หันมาตามเสียงเรียก คนที่นั่งอยู่ข้างๆ ผมหน้าแทบจะมุดลงไปในจอ เป็นนิสัยไม่ดีที่ผมก็เป็นเวลาเพ่งสมาธิมากๆ พี่เจี้ยนก็กำลังค้อมพ์เหมือนกับผมอยู่นั่นแหละ

   “เปล่า ไม่มีอะไร”

   ผมหรี่ตามองพี่เจี้ยนที่นับวันยิ่งทำตัวแปลก เงียบผิดปกติทั้งที่เมื่อก่อนวันๆ เอาแต่พูดไม่หยุด ไหนจะก่อนหน้านั้นที่จู่ๆ ก็ประกาศกร้าวว่าจะไม่ไปเที่ยวข้าวสารอีกแล้วจนผมพยักหน้าเออออตามไป เพราะต่อให้พี่มันจะไม่ไปข้าวสาร มันก็ไปทองหล่อ ไม่ก็ที่อื่นอยู่ดี พี่เจี้ยนเลิกเที่ยวไม่ได้หรอกผมรู้

   “ดิน อยู่เปล่าวะ” พี่อัฐเดินออกจากห้องมาชะโงกถามหาพี่ดิน ผมหันกลับไปมองแล้วตะโกนบอกแทน

   “พี่ดินไปซื้อกาแฟครับพี่อัฐ”

   “เออ ถ้ามันขึ้นมาบอกให้เข้าประชุมกับพี่ด้วยนะ”

   “ได้ครับ”

   แล้วพี่อัฐก็เดินเข้าห้องไป พี่เจี้ยนไถลเก้าอี้มาหาอย่างสงสัย

   “ช่วงนี้เขามีโปรเจคลับอะไรกันรึเปล่าวะ เห็นพี่อัฐเรียกประชุมกับพี่ดินยิกๆ” สุดท้ายแล้วพี่แกก็ขี้เสือกอยู่วันยันค่ำ

   “ไม่รู้ อยากรู้ถามเองดิ”

   “น่าจะเป็นโปรเจคจากอเมริกา คราวนี้ไอ้เชี่ยดินได้โชว์ฝีมือครั้งยิ่งใหญ่แน่ เห็นว่าไม่ใช่งานแอนิเมชัน แต่เป็นงาน VFX ”

   คนที่ตอบข้อสงสัยคือพี่โรม หนึ่งในเทพค้อมพ์เปอร์ของแผนก CG ได้เวลาที่เนกับฟางเข้ามาเสือกด้วยพอดี

   “โห! จริงดิพี่โรม งานวิชวลเลยนะ ละเอียดยิบเป็นเย็บขนแมวเลย” ฟางตื่นตาตื่นใจ เพราะเคยเห็นพี่ดินทำงานวิชวลแค่ไม่กี่ครั้ง ความจริงพี่ดินมาสาย visual effect มากกว่า lighting ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่แค่เบื่อๆ เลยขอทำงานง่าย คราวนี้พี่อัฐคงไม่ปล่อยให้พี่ดินเอาความสบายเข้าตัวอีกแล้ว เลยจับเข้าโปรเจคใหม่แบบขู่บังคับกันไปซะเลยล่ะมั้ง

   “แบบนี้พี่ดินจะยังไปเที่ยวสิ้นปีกับเราได้มั้ยเนี่ย” เนห่วงเรื่องจองตั๋วเที่ยวต่างประเทศสิ้นปีนี้มากกว่าห่วงว่าพี่ดินจะตายรึเปล่า

   “นั่นสิ สงสัยวันนี้ต้องถาม โปรตั๋วเครื่องบินจะมาแล้ว” ฟางว่าบ้าง

   ผมหัวเราะ ปลื้มแทนพี่ดินก็ปลื้ม เพราะพี่แกก็ไม่ได้ทำงานใหญ่มานานแล้ว มัวแต่มาเป็นลีดเดอร์ช่วยน้องๆ อยู่แบบนี้ พวกผมเองก็ต้องพัฒนาฝีมือตัวเองให้ตามพี่ดินให้ทันเหมือนกัน



   ข้อความในมือถือทำให้ผมยืนขมวดคิ้วอยู่หน้าบริษัท หลังจากเฮียปุ้นกลับไป ผมก็ไปกลับตามปกติ ไม่มีเหตุการณ์อะไรชวนให้เป็นห่วง ไม่มีข้อความแปลกๆ หรืออะไรส่งมาอีกเลย ผมคิดว่าอีกฝ่ายคงยอมเลิกราแค่นั้น อาจเป็นเพราะเขาทำในสิ่งที่อยากทำไปแล้ว และผมก็หาตัวคนคนนั้นไม่เจอ ไม่ว่าเขาจะเป็นน้องชายคุณพอร์ช หรือคนคนนั้นคือหมอวาริศ แต่ถ้าเขาหยุดแค่นั้น ผมก็ว่าจะเลิกตามให้มันแล้วกันไป

   แต่วันนี้ คุณพอร์ชกลับส่งข้อความมาหาผม เป็นข้อความสั้นๆ ผ่านทางไลน์ เพราะเขามีเบอร์มือถือของผมเพื่อใช้ติดต่องาน การจะมีไลน์ผมไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะปกติเราติดต่อกันผ่านไลน์กลุ่มที่ตั้งขึ้นมาอยู่แล้ว แต่วันนี้เขาส่งมาทางแชทส่วนตัว

   P.: ผมอยากคุยกับคุณ ตอนนี้รออยู่ที่ร้าน MT café ใกล้สถานีนะครับ



   ผมเข้าไปเช็คแอคเคาน์ ว่าใช่อันเดียวกับที่เราใช้ติดต่อกันในกลุ่มหรือเปล่า ปรากฏว่าเป็นอันเดียวกัน ผมชั่งใจอยู่สักพักก็ลองกดโทรหาหมอดูเพื่อจะได้บอกเขาว่าผมจะไปเจอคุณพอร์ชวันนี้

   ... ตรู๊ด...

   หมอไม่รับสาย ผมจึงส่งข้อความบอกเวลากับสถานที่ไปแทนเพื่อความชัวร์ จะโทรบอกให้เฮียปุ้นขึ้นเครื่องมาตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้ว ผมลองเช็คร้านที่เขานัด มันอยู่ใกล้สถานีบีทีเอสและคนก็พลุกพล่าน คงจะปลอดภัยอยู่

   ผมโทรกลับไปหาคุณพอร์ชเพื่อยืนยันว่าใช่เขาส่งมาแน่ๆ ใช่มั้ย ไม่นานเขาก็รับสาย

   “สวัสดีครับ ผมข้าวปั้นนะครับ”

   [“อา... สวัสดีครับคุณข้าว ไม่ทราบว่าสะดวกมั้ยครับ ขอโทษที่นัดกะทันหัน ผมมีเวลาวันแค่วันนี้ก่อนจะบินไปฮ่องกงน่ะครับ”]

   “ครับ อีกหนึ่งชั่วโมงเจอกันนะครับ ไม่นานกว่านั้น”

   [“ได้ครับ”]

   ผมเรียกแท็กซี่ก่อนจะบอกปลายทาง ระหว่างนั้นก็ส่งข้อความหาเฮียปุ้นไปด้วย

   หวังว่าเรื่องต่างๆ มันจะเคลียร์หลังจากที่ผมไปหาคุณพอร์ชครั้งนี้นะ

   

   - Akin Part -   

   “จบการผ่าตัด ขอบคุณทุกคนครับ”

   ผมออกจากห้องผ่าตัด มองดูนาฬิกา เวลาตอนนี้สี่ทุ่มกว่าแล้ว เคสนี้ยากพอดู ผมผ่าตัดมาหกชั่วโมงติดไม่ได้พัก ก่อนจะรับรายงานของเคสต่อไปที่ต้องผ่าต่อในอีกสองชั่วโมง

   ผมกะจะเดินกลับห้องพักแพทย์ของตัวเองเพื่อเขียนรายงานต่ออีกนิดหน่อยในตอนที่ยังพอจะมีเวลา แต่เมื่อเข้าไปในห้อง ก็เจอร่างเพรียวบางในชุดผ่าตัดสีเขียวนั่งไขว่ห้างรอตรงโซฟารับแขก เขาทำหน้าเรียบนิ่ง คิ้วย่นลง เหลือบมองมาทางผมที่เพิ่งเข้ามา

   “เดี๋ยวพี่หมอมีผ่าต่อใช่มั้ยครับ”

   “ใช่”

   ผมเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะทำงาน ทำท่าจะหยิบมือถือที่วางทิ้งไว้มาเปิดเช็คข้อความเหมือนปกติ แต่วาริศกลับลุกขึ้นแล้วเดินมานั่งตรงข้ามกับผมพลางเอ่ยในสิ่งที่ผมเคยถามเขาไปก่อนหน้านั้น

   “ที่พี่หมอถามผมมาวันก่อน ว่าผมใช่ วาริศ ในข่าวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนรึเปล่า”

   ผมเงยหน้าขึ้น ไม่พูดอะไร นัยน์ตาคู่โตหรี่ลงก่อนจะกระตุกยิ้มข้างเดียว

   “ใช่ครับ ผมคือเด็กคนนั้นที่โดนเอาไตออกไปเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน”

   “แล้ว...”

   “แล้วผมก็จำข้าวปั้นได้ จำเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันที่หน้าห้องของพี่หมอ”

   “วาริศ”

   เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ผมจ้องเขาด้วยสายตาดุมาก ต้องการคำอธิบายที่มากกว่านี้



   - KaowPun Part -

   ผมลงจากแท็กซี่ที่หน้าสถานี เดินผ่านฝูงชนตอนสองทุ่มไปยังร้านคาเฟ่ที่นัดกันไว้ คุณพอร์ชนั่งรออยู่ในร้านแล้ว ผมเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับยกมือสวัสดีตามปกติ ชายหนุ่มผงกหัวรับก่อนจะบอกให้ผมสั่งอะไรกินตามสบาย ผมขอบคุณเขาแล้วสั่งโกโก้ปั่นมา

   “ขอบคุณที่มานะครับ” คุณพอร์ชยิ้มให้

   “ไม่หรอกครับ ผมก็อยากจะคุยกับคุณพอร์ชเรื่องนี้พอดี”

   ลูกค้าแสนดีของผมยกถ้วยลาเต้ขึ้นมาจิบก่อนจะวางลง เขาเริ่มเกริ่นหัวข้อสนทนาแทนผมที่กำมือถือแน่น ตลอดทางที่นั่งรถมา หมอไม่ได้อ่านข้อความและไม่โทรกลับ เช่นเดียวกับเฮียปุ้น ผมคิดว่าพวกเขาสองคนน่าจะกำลังยุ่งกับงานของตัวเอง อีกใจหนึ่งก็รู้สึกกลัวว่าพวกเขาจะด่าผมเปิดเปิงที่ไม่ฟังสิ่งที่พวกเขาสั่งไว้หรือเปล่า

   แต่ก็ช่างเถอะ ผมมาแล้วนี่นา

   “เรื่องที่เราคุยค้างกันไว้ ที่คุณถามผมว่าน้องชายของผม เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวรึเปล่า” คุณพอร์ชประสานมือไว้ใต้คางก่อนจะยิ้มให้ “ใช่ครับ น้องชายของผมเคยถูกลักพาตัวไป”

   “คุณพอร์ช คุณรู้อยู่แล้วเหรอครับ ว่าผมก็เป็นหนึ่งในเด็กที่ถูกลักพาตัวไป”

   “รู้ครับ”

   “นั่นเป็นเหตุผลที่คุณจ้างผมทำงานใช่รึเปล่า?”

   “เป็นแค่ส่วนหนึ่งครับ งานผมก็อยากได้ ผมได้รับคำแนะนำมาจากเพื่อนที่รู้จักว่าพวกคุณเป็นฟรีแลนซ์งานโฆษณาที่มีฝีมือ แต่ที่ผมสะดุดใจคือชื่อของคุณ ผมเลยตัดสินใจจ้างโดยมีความสงสัยเป็นตัวตัดสินใจเลือกจ้างพวกคุณครับ”

   คุณพอร์ชเล่าไปเรื่อยๆ เหมือนไม่ได้ใส่อะไร ทั้งที่ผมเครียดตัวเกร็งจนมือเย็นเหงื่อหมดแล้ว

   “ผม... ขอถามอะไรหน่อยได้มั้ยครับ”

   “ครับ?”

   “น้องชายของคุณ เขา... เขาสบายดีใช่มั้ยครับ”

   คุณพอร์ชหุบยิ้มไป

   “ไม่ครับ เขาไม่ค่อยสบาย”

   พอเขาตอบแบบนี้ผมเลยไปไม่ถูกเลยทีเดียว คุณพอร์ชเบือนหน้าออกไปมองข้างๆ สีหน้าเขาดูเศร้า ก่อนที่ผมจะสะดุดใจ... เอ๊ะ... ยังไง?

   หมอวาริศไม่สบายเหรอ?

   “วันนั้นผมต้องเป็นคนไปรับน้องชายที่โรงเรียนเป็นปกติ แต่ผมไปช้าเพราะมัวแต่เล่น... จนกระทั่งเขาถูกจับไป ผมโทษตัวเองมาตลอดว่าเป็นเพราะผมถึงทำให้เขาต้องมีความหลังฝังใจจนไม่สบายมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ผมทำได้คือดูแลเขาและปกป้องเขาไปเรื่อยๆ แบบนี้”

   คุณพอร์ชกำมือแน่น ส่วนผมนั้นเริ่มงง... และสับสน... อะไรหลายๆ อย่างมันผิดไปจากที่คิด

   คำพูดของคุณพอร์ชไม่ได้สอดคล้องอะไรกับหมอวาริศเลย

   “ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาต้องการเป็นสิ่งที่ผิด ผมไม่สามารถห้ามเขาได้... ดังนั้นจึงต้องทำในสิ่งที่ควรทำแทน”

   “คุณพอร์ชครับ คุณพูดอะไรของคุณอยู่น่ะ”

   ผมถามออกไปตรงๆ สีหน้าของผมทั้งประหลาดใจ สับสน และมึนงงจนคิดตามไม่ทัน

   คุณพอร์ชหันกลับมาเลิกคิ้วเป็นเชิงบอกว่า ทำไมเรื่องแค่นี้คุณไม่เข้าใจ...

   กูจะไปเข้าใจได้ยังไงวะ???

   “คุณพอร์ชครับ น้องชายของคุณ ใช่หมอวาริศรึเปล่าครับ”

   ผมกอดกระเป๋าแน่น ผมไม่รู้จะคาดหวังคำตอบอะไรจากเขา สิ่งที่เขาพูดมันทำให้สิ่งที่ผมคิดผิดแผกไปหมด และดูเหมือนคุณพอร์ชจะประหลาดใจกับคำถามของผม เขาขมวดคิ้วแน่น ยกมือมาลูบคางตัวเอง

   “วาริศ วรุณรัศมิ์ น่ะเหรอครับ”

   เขาพูดชื่อและนามสกุลของหมอวาริศออกมา มันทำให้ผมมั่นใจแล้วว่า สิ่งที่ผมเดาอยู่ มันผิดทั้งหมด

   “หมอวาริศคนนั้นเขาอายุเท่าคุณนะครับ เขาโดนจับไปตอนป.4 เท่ากับคุณ แต่ผมเคยบอกไปแล้วนะว่า น้องชายของผม มีปัญหาจนทำให้ต้องย้ายโรงเรียนไปตอนป.5”

   “คุณพอร์ช คุณหมายความว่ายังไง?” มือถือผมสั่น... มันไม่ใช่ข้อความของหมอ หรือข้อความของใครที่ผมรู้จัก

   “คุณจำได้แค่วาริศหรอครับ คุณลืมไปแล้วเหรอว่าเด็กโรงเรียนคุณที่ถูกจับไปน่ะ มีทั้งหมดสามคน”

   ผมใจกระตุกวูบ...

   ผมจำได้... แต่ผมไม่ได้สนใจเรื่องเด็กอีกคน เพราะคนที่ผมสนใจคือเพื่อนร่วมชั้นที่ไม่รู้จักชื่อคนนั้น เพราะเขาเรียกชื่อผมและอยู่ใกล้ผมที่สุดตอนโดนจับไป

   “ผมอุตส่าห์ส่งข่าวเก่าที่เก็บมานานให้คุณดู เผื่อคุณจะนึกออก... แต่สิ่งที่คุณโฟกัสกลับเป็นเด็กที่ชื่อวาริศคนนั้น”

   คุณพอร์ชหลุบตาลง ทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ได้พูดออกมา ส่วนผมเอาแต่กำมือถือแน่น มันสั่นมานานมากแล้ว สั่นเป็นข้อความเดิมๆ จนผมไม่อยากอ่าน... ผมอยากออกไปจากตรงนี้ ผมอยากโทรหาหมอ... แต่ไม่ว่าจะโทรยังไง มันก็ไม่มีคนรับสาย ไม่มีเลย... โทรหาพี่ดิน โทรหาใคร ก็ไม่มีใครรับทั้งนั้น มันถึงทำให้ผมรู้ตัวว่า...

   โทรศัพท์ผมถูกแฮก

   “ที่ผมนัดเจอคุณวันนี้ เพราะอยากจะมาเตือนคุณ”

   “ผม... ผมอยากกลับบ้านแล้ว”

   ผมขัดเขาขึ้น ไม่อยากฟังอะไรอีก ผมรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกจากร้านไปเลยเหมือนคนเสียมารยาท ผมได้ยินเสียงคุณพอร์ชเรียกไล่หลังมา แต่ตอนนี้ผมไม่มีสติจะหันกลับไปสนทนากับใครทั้งนั้น ผมพยายามกดมือถือรัวๆ แต่ก็ติดต่อใครไม่ได้เลย ผมหลีกเลี่ยงการใช้ขนส่งสาธารณะเพราะเข็ดจากเหตุการณ์คราวที่แล้ว ตัดสินใจเดินเร็วไปเรียกแท็กซี่แทน

   ยังไม่ทันจะโบกมือเรียกแท็กซี่... ผมรู้สึกได้เลยสติเริ่มหลุดลอย...

   หนังตาที่อยู่ๆ ก็เหมือนโดนหินถ่วง สองขาประคองตัวไม่ไหว

   โกโก้นั่น...

   ฟุ่บ!!!

   ท่ามกลางฝูงชนแถวป้ายรถเมล์ ร่างของผมที่หนักอึ้งทรุดลงกองอยู่ตรงนั้น ผมรับรู้ได้ถึงไทยมุงรอบที่สามในชีวิต ก่อนหน้านั้นก็เกือบโดนรถชน ต่อมาก็ตกบันได มาตอนนี้ก็กลายเป็นคนร่างไร้กระดูกไปซะงั้น

   ท่ามกลางฝูงคนที่เข้ามาพัดวีให้คนที่ทำท่าเหมือนเป็นลม คนที่ผมไม่รู้จักคนนึงก็เข้ามาแล้วพูดกับคนแถวนั้นว่าเขารู้จักผม จะพาผมไปโรงพยาบาลเอง ผมได้ยินว่าเขาเรียกชื่อผมด้วย แต่ผมไม่รู้จักเขา...

   “I found you ข้าวปั้น”

   ร่างผมโดนหิ้ว... หิ้วไปไหนไม่รู้ จากนั้นสติผมก็ดับวูบไป









   - Akin Part -

   ผมกดโทรศัพท์รัวๆ ไม่มีใครรับสาย ไม่มีข้อความใดๆ ตอบกลับมา... เหงื่อเย็นซึมชื้น มือกำแน่นด้วยความกลัวจับใจ

   “รับสิข้าวปั้น”

   ผมกดโทรย้ำใหม่อีกครั้ง แต่คนที่ผมคิดว่าตอนนี้ควรนอนตีพุงหวีขนแมวจนป่านนี้ก็ยังไม่รับ

   ผมนึกย้อนไปถึงเรื่องที่คุยกับวาริศเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่เขาจะออกไป

   …

   “ผมคือวาริศคนนั้น แต่ผมไม่ได้แค้นอะไรเขา เอาจริงๆ ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำ”

   วาริศกอดอกทำหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์กับสิ่งที่ผมถาม

   “ผมจำข้าวปั้นได้ แต่ก็ไม่ได้อยากจะนึกถึงเหตุการณ์นั่น ตอนนั้นมันเป็นแค่ความโชคร้าย ยังดีที่ผมเสียไตไปแค่ข้างเดียว มันยังอุตส่าห์เหลืออีกข้างไว้ให้เพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่ได้ตอนส่งออกของให้มัน อาจเป็นเพราะว่าผมเป็นเด็กโตที่สามารถทนบาดแผลผ่าตัดได้ก็ได้มั้ง พวกมันเลยเก็บพวกผมไว้ขายตอนท้ายๆ”

   “แล้วคุณมีพี่ชายหรือเปล่า?”

   หมอวาริศหันหน้าขวับ

   “ผมจะไปมีพี่ชายได้ยังไง พี่หมอ คุณก็รู้จักผมมานานอยู่นะ” เขาสะบัดหน้ากลับไปก่อนจะลุกขึ้น “ลืมไปครับ ว่านอกจากคนที่คุณสนใจ คนอื่นมันแค่ตัวไร้ค่า คนอย่างผมไม่เคยอยู่ในสายตาพี่หมอ ผมรู้ตัว”

   ร่างเพรียวเดินเหวี่ยงจะออกไปนอกห้อง ก่อนไปเขาหันกลับมาเหมือนทำหน้านึกได้

   “จริงสิ วันก่อนมีข้อความแปลกๆ ส่งมาหาผมด้วยแหละ”

   ผมขมวดคิ้วแน่น

   “ว่าอะไร?”

   นานๆ ทีผมจะเป็นฝ่ายถามเขา วาริศคงแปลกใจที่จู่ๆ ผมก็สนใจสิ่งที่เขาพูดบ้าง มือบางล้วงมือถือขึ้นมาเพื่อเช็คข้อความในมือถือก่อนจะอ่านให้ฟัง

   “Finally found”

   ผมเบิกตากว้าง ก่อนจะลุกเดินไปขอมือถือจากเขามาอ่าน ผมเช็คอีเมลที่เป็นเมลประหลาดคล้ายๆ กับของข้าวปั้น

   “ส่งมาเยอะมั้ย”

   “ประมาณวันละฉบับ ผมนึกว่าเป็นสแปมจากเว็บโป๊ที่ผมไปสมัครไว้”

   ผมเหลือบตามองเด็กทุนที่ทำตัวเหลวแหลกเข้าไปทุกวัน ก่อนจะส่งคืน วาริศโบกมือให้ไม่วายส่งท้ายตามฉบับ

   “ถ้าเบื่อเขามาหาผมนะ ผมจะทำให้พี่หมอเปิดโลกมากกว่าเดิม”

   ประตูปิดลง ผมกลับมานั่งที่โต๊ะ รู้สึกสงสัยและเป็นห่วงคนที่วันนี้ต้องกลับบ้านคนเดียวจนต้องกดโทรหา แต่โทรเป็นสิบๆ รอบแล้วก็ยังไม่มีวี่แววว่าปลายสายจะรับ

...   

   “รับสิข้าวปั้น”

   ผมเดินวนอยู่ในห้องเป็นหนูติดจั่น มองนาฬิกาไปด้วย อีกชั่วโมงนึงจะมีผ่าตัดรอบสอง ผมยังสามารถหาคนมาผ่าแทนได้ทันอยู่ เพราะเคสต่อไปไม่ยากและหมอนนท์ที่เป็นหัวหน้าศัลยแพทย์ก็ขึ้นเวรวันนี้พอดี ผมอาจจะขอให้เขาช่วยดูเคสของผมแทน

   ไม่มีคนรับเหมือนเดิม ผมตัดสินใจต่อสายภายในหาพยาบาลผู้ช่วยของหัวหน้าศัลยแพทย์เพื่อขอเปลี่ยนตัวหมอผ่าตัด ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ดูไม่รับผิดชอบ แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงคนที่จู่ๆ ก็หายไปมากกว่า

   หมอนนท์ไม่มีปัญหา แต่เขาตำหนิผมเรื่องความรับผิดชอบเล็กน้อย ซึ่งผมก็ก้มหน้ารับไป ก่อนที่จะมีสายเรียกเข้าจากข้าวปุ้น ผมกดรับหลังจากวางสายจากหมอนนท์แล้ว

   [“ไอ้คิน มึงอยู่กับปั้นรึเปล่า”] เสียงข้าวปุ้นดูร้อนรนมาก เขาไม่ถามไม่ไถ่อะไรผมสักนิด แต่กลับถามหาคนที่ผมพยายามโทรตามอยู่

   “เปล่ากูอยู่โรง’บาล”

   [“กูโทรหามันเป็นร้อยสายแต่มันไม่รับ”]

   “กูก็โทรหา กูเพิ่งคุยกับวาริศมา”

   ข้าวปุ้นเงียบไป ก่อนจะถามกลับ น้ำเสียงเครียด

   [“ยังไง?”]

   “เขาบอกว่าเขาจำข้าวปั้นได้ แต่เขาไม่ได้แค้นอะไร แถมยังลืมเหตุการณ์นั้นไปแล้วด้วย และอีกอย่าง วาริศไม่มีพี่ชาย เขาเป็นลูกคนเดียว” ผมตอบตามที่วาริศบอก

   “และก็... มีอีเมลแปลกส่งมาถึงวาริศ ข้อความคล้ายๆ กับของข้าวปั้น”

   [“เชี่ย! จริงเหรอวะเนี่ย?”] ข้าวปุ้นสบถหยาบคาย

   “อะไรมึง”   

   [“กูจะโทรมาบอกไอ้ปั้นเรื่องนี้แหละ”] ข้าวปุ้นเสียงดังขึ้น [“ไอ้ตุลย์มันสงสัยเรื่องที่กูขอไป มันเลยไปตามสืบมาอีกนิดหน่อย คราวนี้เลยไปเจอเหตุการณ์แปลกๆ ที่ถูกลงบันทึกประจำวันไว้แต่ไม่ใช่ข่าวใหญ่อะไร เพราะกำลังตามสืบกันอยู่ในหน่วยสืบสวนอีกทีม”]

   “ได้อะไรมา”

   [“วัยรุ่นสี่คนเสียชีวิตในสาเหตุที่ต่างกันแต่เวลาไล่เลี่ยกัน คดีมันจะไม่ถูกจับมาเชื่อมโยงกันเลยถ้าไม่ใช่ว่า ทั้งสี่คนมีของบางอย่างที่หายไปและถูกยัดใส่แทนที่ไว้เหมือนกัน”]

   “อย่าบอกว่า” ใจผมเริ่มกระตุกรัวๆ คว้ากุญแจรถแล้วเดินออกจากห้องไปเลย

   [“ใช่ ไตของเด็กสี่คนหายไปคนละข้าง และถูกยัดแทนที่ด้วยแป้งสาลีห่อด้วยถุงพลาสติก”]

   ผมปิดประตูรถแล้วสตาร์ทอย่างรวดเร็ว คุยกับข้าวปุ้นผ่านบลูทูธ

   [“ในรายชื่อของเด็กสิบเจ็ดคนที่ถูกจับไป รายชื่อคนที่รอดเก้าคน มีชื่อเด็กโรงเรียนเดียวกับข้าวปั้นอยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือวาริศที่อยู่ ป.4 แต่เราลืมไปเลยว่าเด็กโรงเรียนข้าวปั้นที่ถูกจับไปมีทั้งหมดสามคน อีกหนึ่งคนที่อยู่ ป.5 เขาไม่ได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเดียวกัน แต่เขาหายไป... เขาหนีไปเองระหว่างการช่วยเหลือจากตำรวจเลยไม่มีประวัติการรักษา เราได้ชื่อเขามาจากโรงเรียน เขาไม่ได้เข้าไปให้ปากคำกับตำรวจด้วยซ้ำ”]

   “หมายความว่า ในรายชื่อของเด็กเก้าคนที่รอดชีวิต ไม่มีชื่อเขาอยู่?”

   [“ใช่ กูลองเช็คแล้ว เด็กทุกคนมีประวัติการรักษาชัดเจนและมาให้ปากคำกับตำรวจทุกคน แต่รายชื่อผู้เสียชีวิตมีแค่เจ็ดคน และสูญหายหนึ่งคน”]

   “เด็กคนนั้น เป็นเด็กคนที่สิบที่รอดสินะ”

   ผมหักพวงมาลัยจอดไว้ที่หน้าคอนโด เดินเร็วไปยังลิฟต์แล้วกดที่ชั้น 9  ภาวนาให้คนที่ผมเป็นห่วงจับใจนอนตีพุงอยู่บนโซฟาเหมือนเคย

   [“ถ้าเขายังอยู่ ก็คือใช่... ในทะเบียน เขาเป็นลูกนอกสมรสของผู้มีอิทธิพลของฮ่องกงที่ถูกส่งมาอยู่ประเทศไทย ประวัติคลุมเคลือแต่เท่าที่รู้มา คือเขามีพี่ชายอยู่หนึ่งคน เคยเรียนโรงเรียนเดียวกับกูสมัยมอปลาย เขาเข้ามาไม่นานก็ย้ายออกไป กูไม่รู้จักหรอก ได้แค่ชื่อมาจากระเบียนประวัติของโรงเรียน”]

   “คุณพอร์ชนั่นใช่มั้ย”

   ผมออกจากลิฟต์ ล้วงคีย์การ์ดห้องข้าวปั้นขึ้นมาด้วยมือที่สั่น

   [“ใช่”]

   “ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร ตอนนี้ข้าวปั้นอยู่ในอันตราย”

   ผมผลักประตูห้องเข้าไป... ในห้องมืดสนิทเช่นเดียวสมองของผม

   “ไอ้ปุ้น ข้าวปั้นยังไม่กลับ”

   ข้าวปุ้นเงียบไป เขาวางสายเช่นเดียวกับผมที่ปล่อยมือลงข้างตัว นัยน์ตาเครียดเขม็ง... ผมยกมือถือขึ้นมากดโทรหาใครบางคน

   “ขุน หาคนให้หน่อย”

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ข้าวปั้น อย่าเป็นอะไรนะลูก ขอให้เฮียปุ้นหรือพี่หมอตามไปช่วยทันนะ.  :m15:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ลุ้นด้วยใจระทึก ขอให้ปลอดภัยนะข้าวปั้น

ออฟไลน์ กุหลาบเดียวดาย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
ระุทึก มาแค้นกันเองทำไม ข้าวปั้นมีส่วนอะไร

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ไม่ใช่วาริศช่วยวางแผนด้วยหรอ??

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
อ้าวๆๆๆ
โอ๊ยลุ้นไปอีก หาข้าวปั้นให้ทันนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 29
หมอครับ ตามหาผมที


   เสียงต๊อกแต๊กที่ผมได้ยินอยู่ทุกวันทำให้ผมเริ่มรู้สึกตัว มันเป็นเสียงรัวคีย์บอร์ดที่เร็วกว่าที่พวกผมทำ ผมเคยได้ยินตอนที่พี่กรเอางานกลับมาทำที่บ้านตอนอยู่เชียงราย ผมงัวเงียครางถามเสียงแหบแห้ง

   “พะ... พี่กรเหรอ”

   เสียงรัวแป้นหยุดไป ผมกระพริบตา ห้องมืดสลัวที่มีเพียงแสงจอคอมพิวเตอร์ลอดผ่านมาทำให้ผมประหลาดใจ แม้ห้องนี้จะสลัวไปหน่อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมเกิดอาการแพนิค

   เดี๋ยวสิ... ไม่ใช่

   ผมสะบัดหัวไล่ความมึน อาการปวดหัวแล่นจี๊ด แว่นตาหายไปจนทำให้ผมมองอะไรไม่ชัดเจน

   ผมพยายามลุกขึ้น แต่พอขยับ ความเจ็บแถวๆ ท้องก็แล่นเข้ามา ผมหลุบตามองสาเหตุความเจ็บแล้วแทบจะร้องครางไม่เป็นภาษา

   “ฟื้นแล้วเหรอ”

   “ใครน่ะ?”

   ร่างที่นั่งบนเก้าอี้หมุนหน้าคอมพิวเตอร์หันมาทั้งเก้าอี้ ผมมองหน้าเขาไม่ชัด รู้แค่ว่าสภาพผมตอนนี้ถูกจับให้กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงที่ยกพนักขึ้นมาสูงเหมือนเตียงในโรงพยาบาล สายเลือด สายน้ำเกลือระโยงระยาง ผมอยู่ในสภาพนี้มากี่ครั้งแล้วนะ...

   “ยาชาน่าจะกำลังหมดฤทธิ์ อาจจะเจ็บนิดหน่อย”

   เสียงนั้นใกล้เข้ามา ผมพยายามควานหาแว่นตาของผม แต่มือกลับขยับไปไหนไม่ได้เพราะถูกมัดติดอยู่กับเตียง

   “แกเป็นใคร?”

   “จำผมไม่ได้จริงๆ ด้วยข้าวปั้น”

   ร่างนั้นทิ้งตัวนั่งลงข้างผมบนเตียงที่พยายามขยับออกห่าง นัยน์ตาผมเลิ่กลั่ก หวาดกลัวจับใจ เขาเอาแว่นตามาสวมให้ผม ทำให้ความสามารถในการมองชัดเจนขึ้น

   คนตรงหน้าผมเป็นชายอายุไล่เลี่ยกับผม รอยยิ้มใจดีของเขาส่งมาให้ผม แต่แววตาของเขาทำให้ผมรู้สึกจิตตก

   “ผมชื่อเหลียนครับ”

   “จับผมมาทำไม?”

   ผมครางถาม เริ่มนิ่วหน้า เมื่อฤทธิ์ยาชาเริ่มหมด ความเจ็บปวดระบมแล่นไปทั่วร่าง ผมหลุบตามองท้องตัวเองอีกรอบ เสื้อผ้าของผมถูกถอดออกจนหมด... มีเพียงผ้าสีเขียวคลุมไว้หมิ่นเหม่แถวๆ สะโพก ผมหอบหายใจถี่

   “ผมตามหาคุณมาตั้งนานแน่ะ พี่ชายผมเขาซ่อนพวกคุณเนียนมากเลยนะ”

   มือใหญ่ยกขึ้นมาลูบหน้าผมที่สะบัดหนีอย่างรังเกียจ น้ำตาคลอเบ้า เสียงเครื่องวัดชีพจรดังติ๊ดๆ ทำให้ผมรู้ว่าหัวใจตัวเองตอนนี้เต้นเร็วขนาดไหน เหงื่อเย็นเม็ดเป้งผุดออกมาตามหน้าผาก

   “ซ่อน?”

   “ใช่ครับ ไม่สิ... ต้องบอกว่าเขาซ่อนผมจากพวกคุณด้วยแหละ”

   ร่างสูงโปร่งลุกขึ้นแล้วเดินไปหยิบมือถือของผมมาชูตรงหน้า

   “สนุกกับเกมของผมมั้ย”

   “เกมเหี้ยไร!”

   “อ้าวแหม? ไม่สุภาพซะแล้ว” ไอ้บ้านั่นทำหน้าผิดหวัง

   ผมตาพร่ามัว มันปวดหนึบที่แผล แถมเหมือนกับอะไรบางอย่างมันหายไปด้วย ผม... ไม่อยากจะคิด

   “จับกูมาทำไม!”

   ผมเสียงแข็งถามเขาดังขึ้น ความหงุดหงิดจากความเจ็บปวดและฤทธิ์ยามันทำให้ผมอยากจะแผดเสียงร้อง แผลที่ถูกเย็บอย่างไม่ถูกต้องส่งผลให้เลือดค่อยๆ ไหลซึมออกมา

   “ชู่ว! ไม่เอา ไม่เสียงดังสิครับ เดี๋ยวแผลเปิดเยอะกว่าเดิมนะ”

   คนที่บอกว่าตัวเองชื่อเหลียนยกนิ้วชี้มาส่ายตรงหน้าผม เขาส่งยิ้มมาให้

   “ผมคิดถึงคุณมากเลยนะ ใช้เวลาตามหาคุณตั้งนานแน่ะ”

   “มึงเป็นใคร” ผมหยาบคายด้วยโทสะ ผมไม่รู้จักเขา... มั่นใจว่าไม่รู้จัก...

   เหลียนทำหน้าผิดหวัง

   “ผมคือเพื่อนของคุณไง เราอยู่ในรถคันเดียวกันวันนั้น คุณจำได้มั้ยครับ”

   ไม่... ผมจำไม่ได้

   ไอ้โรคจิตเอาสองแขนคร่อมหัวผมไว้

   “คุณอยากรู้มั้ยว่าทำไมพวกมันต้องเสี่ยงมาจับเด็กในเมืองอย่างเรา ทั้งๆ ที่พวกมันไม่จำเป็นต้องเสี่ยงมาจับเราที่โรงเรียนเลยด้วยซ้ำ เขาจะเอาใครก็ได้ เด็กที่ไม่มีสัญชาติเยอะแยะไป อยากรู้รึเปล่า?”

   มือใหญ่เลิกผ้าที่คลุมช่วงล่างผมไว้เล็กน้อย เผยให้เห็นแผลผ่าใหญ่ประมาณฝ่ามือถูกเย็บลวกๆ ผมหอบหายใจถี่ ตาเหลือกมองรอยแผลน่ากลัวก่อนจะเบือนสายตาหนี ไม่พูดและไม่ตอบอะไร จนไอ้คนที่พยายามจะชวนผมคุยพ่นลมหายใจเฮือก

   “ทีอย่างนี้ล่ะทำไมไม่อยากรู้”

   “รู้ไปจะได้อะไร”

   ผมถามกลับก่อนจะร้องลั่นเมื่อเขาใช้นิ้วจิ้มลงไปที่แผล

   “คุณนี่มันน่ารำคาญจริงๆ” เขาละมือออกไป ผมน้ำตาไหลพราก ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ไอ้เหลียนอะไรนั่นลูบหัวผมที่ตอนนี้ไม่มีแรงแม้แต่จะสะบัดหนี “แต่ก็น่ารักเหมือนเดิม”

   เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินไปหยิบเข็มฉีดยาจากถาดข้างๆ ขึ้นมาถือไว้พลางดูยาในหลอด

   “เราสิบเจ็ดคนเป็นเรื่องที่คนพวกนั้นตั้งใจ”

   ผมเหลือบตามองเขาอย่างไม่รู้จะพูดอะไร

   “เด็กสิบเจ็ดคนที่ถูกลักพาตัวไปมีอะไรบางอย่างคล้ายๆ กัน อะไรรู้มั้ย? ผมว่าคุณน่าจะจำได้นะ ว่าตัวเองน่ะมีอะไรบางอย่างที่พิเศษกว่าเด็กคนอื่น”

   “พิเศษ?... หรือว่า...” คำพูดของพวกผู้ใหญ่ในตอนนั้นเริ่มกลับเข้ามาในความทรงจำ เหตุผลที่ผมสามคนถูกลากออกไปเป็นพวกสุดท้าย

   “เพราะกรุ๊ปเลือดของเรา เป็น Rh- ยังไงล่ะ”

   “...”

   “เอเยนต์ค้ามนุษย์พวกนั้น รับข้อเสนอของใครบางคนมา เขาขอให้หาเด็กที่มีอวัยวะครบถ้วนและเป็นกรุ๊ปเลือดพิเศษที่หายากมากในตลาดมืดของเอเชีย เพื่อซื้อไตและหัวใจของเราไป เราไม่ใช่เด็กล็อตแรกที่ถูกส่งข้ามฝั่งไปพม่า เด็กที่มีราคาพิเศษอย่างเรา แม้แต่เลือดสักหยดยังขายได้ ดังนั้นมูลค่าของเราในตอนนั้นถึงสูงมากจนไม่มีใครกล้าแตะต้องยังไงล่ะ”

   เขาเดินกลับมาแล้วฉีดยาลงไปในหลอดสายน้ำเกลือที่ปักอยู่บนแขนผม

   “พวกเขาตรวจสอบเรามาก่อนเราก่อนจะจับเราไป ด้วยอำนาจของเงิน ไม่ว่าอะไรก็สามารถซื้อได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งชีวิตคน”

   เหลียนยิ้ม เขาถลกเสื้อของตัวเองขึ้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นหลายรอยบนตัวเขา

   “ผมถูกผ่าในขณะที่ยังมีสติ พวกมันพูดเรื่องพวกนี้ไม่หยุด เสียงหัวเราะของพวกมันยังดังวนเวียนอยู่ในหัว”

   เขากระซิบชิดหูผม

   “ผมไม่เข้าใจ ทำไมผมถึงไม่ตาย พวกมันทิ้งผมไว้ให้เป็นส่วนแหว่งส่วนขาดทำไม” เขากดมือลงมาทับแผลผมอีกครั้ง คราวนี้ผมไม่เจ็บเลยสักนิด ยาที่เขาฉีดให้คงเป็นยาชา

   “ผมเกลียดพวกคุณที่สามารถมีชีวิตได้อย่างสุขสบายต่อได้ ในขณะที่ผมนอนไม่หลับเลยสักคืน”

   “ไอ้โรคจิต”

   “ใช่ๆ พี่ชายก็พูดกับผมแบบนั้น แต่ทำไงได้ล่ะ พอผมได้ยินเสียงร้องของพวกคุณ มันทำให้ผมสามารถนอนได้โดยไม่ต้องพึ่งยา”

   เขาโน้มตัวลงมากอดผมที่ร่างกายไม่สามารถขัดขืนอะไรได้

   “แต่ผมรู้นะข้าวปั้น ว่าคุณก็เป็นเหมือนผม คุณเองก็ยังจำฝังใจกับเหตุการณ์นั้น”

   ผมรู้สึกขยะแขยงเขาขึ้นมา โดยเฉพาะรอยยิ้มที่ผมเห็นตรงหางตา

   “ผมจะค่อยๆ เอาแต่ละส่วนของคุณออกมาแทนคนพวกนั้นเองนะ”

   มีดผ่าตัดคมกริบถูกยกขึ้นมา ผมเข้าใจกับความรู้สึกสิ้นหวังของเขาแล้วล่ะ

   ใครก็ได้... ตามหาผมที   

   

   - Akin Part -

   ผมติดต่อหาคุณพอร์ชอะไรนั่นได้ไม่ยากเพราะข้าวปั้นทิ้งเบอร์โทรของเขาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน ถ้าหากว่าเขาเป็นคนร้าย ผมอาจจะติดต่อเขาไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะผมมีปัญญาจะหาตัวเขาเจอได้ไม่ยากอยู่แล้ว

   แต่เขากลับรับสาย

   “สวัสดีครับคุณพอร์ช ผมอคิน ที่เราเจอกันวันนั้น ผมเป็นเพื่อนพี่ชายของข้าวปั้น”

   ผมถามขณะที่กำลังขับรถไปยังจุดหมายที่ขึ้นในจีพีเอส

   [“สวัสดีครับคุณอคิน คุณมีอะไรรึเปล่า”]

   น้ำเสียงของอีกฝ่ายดูไม่ปกติ ผมขมวดคิ้ว

   “ข้าวปั้นอยู่ไหน?”

   ผมถามไปตรงๆ อีกฝ่ายเงียบ ก่อนจะถามกลับ

   [“คุณถามผมทำไมครับ วันนี้ผมยังไม่ได้เจอเขาเลย”]

   “น้องชายของคุณ คือ อี้ เหลียน ใช่มั้ย?” ผมเลี้ยวไปยังซอยลึกในหมู่บ้านหนึ่งแถบชานเมือง ก่อนจะจอดที่หน้าคฤหาสน์หลังใหญ่หลังหนึ่ง

   “ผมอยู่หน้าบ้านคุณ”

   อีกฝ่ายตัดสายไป ผมจึงกดโทรหาคนที่น่าจะซ่อนอยู่แถวนี้ ไม่นาน... แทนที่มันจะรับสาย เจ้าของร่างกำยำสมส่วนในชุดเสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์ขาดๆ ไม่สมกับตำแหน่งก็เดินออกมาจากมุมหนึ่ง ปากคาบบุหรี่ติดมาด้วย ผมเหลือบตามองเขา

   “หน้าตาดุอย่างกับหมาบ้า” คนที่ผมขอให้ช่วยแสยะยิ้มให้ แต่ผมไม่มีอารมณ์จะมาถกเถียงอะไรกับมันตอนนี้

   “มึงสั่งคนไว้รึยัง”

   “ก็ล้อมบ้านไว้หมดแล้ว เหลืออย่างเดียวคือยิง”

   “...”

   มันพูดจริง ไม่ได้พูดเล่น

   ขุนทัพ ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเจ้าสัวตระกูล หริเจียรวัฒน์ ผู้มีอำนาจมืดซุกซ่อนอยู่ทุกซอกทุกมุมของไทยรวมถึงแถบเอเชีย ไม่มีใครในวงการมืดไม่รู้จักนามสกุลนี้ ถ้าไม่จำเป็น ผมก็ไม่อยากขอให้มันช่วยนักหรอก

   ชายผู้มีรอยสักบนแขนทั้งสองข้างหัวเราะก่อนจะเอาแขนมาคล้องคอผม

   “จะเอายังไง จะเก็บ จะเผา จะระเบิด เลือกมา” มันยื่นข้อเสนอให้

   “เอาคนของกูคืนมาก็พอ”

   “แหม สั่งเป็นเมียเลย”

   ผมตวัดตามองมันอย่างไม่พอใจ ขุนทัพยกมือยอมแพ้ เดินเข้าไปกดกริ่งหน้าบ้านแล้วคุยผ่านอินเตอร์คอม ผมมองการกระทำเรื่อยเปื่อยแล้วอยากชักปืนออกมายิงมันแทนจริงๆ

   “สวัสดีคร้าบ มารบกวนดึกไปหน่อย แต่ยังไงช่วยเปิดประตูหน่อยได้มั้ยครับ”

   ภายในไม่มีเสียงตอบรับ ผมล้วงกระเป๋ากางเกง ขุนทัพหันมามองผมที่เริ่มหมดความอดทนก่อนจะถอนหายใจ ใบหน้าคมเข้มคร้ามแดดยกมือสั่งให้ลูกน้องที่อยู่ไกลๆ สตาร์ทรถได้ ขุนทัพลากผมกลับไปในรถของตัวเองโดยที่เขาเป็นคนเข้าไปนั่งฝั่งคนขับแล้วยื่นมือถือของตัวเองให้ดูแทน

   “เด็กมึงยังโอเคน่า คนของกูแฮกระบบมือถือคืนให้ละ เจอสัญญาณจีพีเอส อยู่ในบ้านเนี่ยแหละ ใจเย็น”

   ผมไม่พูดอะไร มองสัญญาณในมือถือที่ยังกระพริบอยู่อย่างมีความหวัง

   ขณะที่ผมนั่งอยู่ในรถออดี้ของตัวเอง ก็มีรถบรรทุกหกล้อห้อตะบึงมาจากถนนด้านหลังด้วยความเร็วที่ไม่สามารถเบรกได้ในระยะนี้ ผมเหลือบตามองกระจกมองหลัง รถคันใหญ่ที่เหยียบคันเร่งจนมิดแล่นผ่านรถผมไป พุ่งชนโครมยังประตูอัลลอยด์สูงสามเมตรจนกระเด็น โชคดีที่บ้านหลังนี้อยู่ท้ายซอยพอดีจึงทำให้รถบรรทุกไม่ไปเสยกับบ้านหลังอื่นก่อน

   การกระทำเช่นผู้ก่อการร้ายไร้อารยธรรมแบบนี้ ถ้าไม่จำเป็นผมก็ไม่อยากเรียกใช้เท่าไหร่

   “เอ้า ประตูเปิดละ ไปกันเลยมั้ย”

   “ถ้ามึงถามกูอีกคำ กูชกคว่ำแน่”

   ขุนทัพหัวเราะลั่นก่อนจะเหยียบคันเร่งออดี้ของผมจนมิดแล้วพุ่งตัวเข้าไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แม้ไม่ต้อนรับ แต่ผมก็จะเข้าไปเอาตัวคนของผมคืน

   ทันทีที่รถหลายสิบคันจอดอยู่ที่หน้าตัวคฤหาสน์ ไฟในบ้านก็เปิดพรึ่บขึ้นพร้อมกัน ร่างสูงของคุณพอร์ชเดินออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด เขายังอยู่ในชุดไปรเวททั้งๆ ที่ตอนนี้ตีสี่กว่าแล้ว เหล่าชายฉกรรจ์ลูกน้องของขุนทัพพากันลงจากรถมายืนล้อมหน้าล้อมหลังลูกพี่ไว้ ส่วนคุณพอร์ชก็มีบอดี้การ์ดส่วนตัวที่จำนวนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดยืนคุมเจ้านายอยู่เช่นกัน

   ผมมองสถานการณ์ที่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วทำหน้าเครียดเขม็ง

   “มึง... เอ้ย ไม่ใช่... คุณคือคุณพอร์ชใช่มั้ย เพื่อนผมมันบอกว่าน้องมึง... เชี่ย... น้องคุณเอาตัวเด็กมันไป”

   ขุนทัพผู้ไม่คุ้นเคยกับคำสุภาพทักทายเจ้าของบ้านแทนผม

   “คุณจะมาบุกรุกทำลายข้าวของบ้านคนอื่นแบบนี้ไม่ได้นะครับ”

   เจ้าของบ้านล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเอง สายตาเย็นชา

   “ข้าวปั้นอยู่ไหน”

   ผมถามเสียงห้วน คุณพอร์ชหรี่ตา

   “เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ครับ คุณเข้าใจผิดแล้ว”

   “อี้ เหลียน คือน้องชายของคุณใช่มั้ย?”

   คุณพอร์ชเงียบไป ก่อนจะผายมือเชิญพวกผมเข้าไปในบ้าน

   “เข้ามาคุยกันก่อนสิครับ”

   

   คนที่เดินตามเข้ามาด้านในมีเพียงผม ขุนทัพ และลูกน้องอีกสองคน คุณพอร์ชเชิญพวกเราให้นั่งตรงโซฟารับแขกในห้องโถง เขาสั่งให้คนรับใช้เสิร์ฟน้ำให้ตามมารยาท แต่พวกผมไม่คิดจะแตะต้องมัน

   เจ้าของบ้านหลังใหญ่ยิ้มให้

   “ถ้าพวกคุณมาตามหาข้าวปั้นที่นี่ คุณหาเขาไม่เจอหรอกครับ”

   ผมขมวดคิ้วยุ่ง มองหน้าขุนทัพที่ยักไหล่ให้ เขายกมือถือขึ้นมากดส่งอะไรก็ไม่รู้

   “อี้ เหลียนคือน้องชายตามนิตินัยของผม เขาเป็นลูกนอกสมรสของผู้มีอิทธิพลของฮ่องกง เขาถูกส่งมาอยู่ไทยโดยแม่ของเขาเพราะไม่อยากให้ลูกชายถูกทารุณกรรมราวกับสัตว์แบบนั้น และแม่ของเขาก็คือพี่สาวของผมเอง เราเป็นอาหลานกันตามสายเลือด”

   เจ้าของบ้านล้วงโทรศัพท์มือถือของข้าวปั้นขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ ผมหยิบขึ้นมาดู เครื่องไม่ได้ดับแต่ผมติดต่อเขาไม่ได้ คงเป็นเพราะอีกฝ่ายแฮกมือถือของเขาแล้วตัดการเชื่อมต่อทั้งหมด

   “วันนี้ผมนัดคุยกับคุณข้าวก่อนที่ผมจะบินไปฮ่องกงวันนี้ กะจะเล่าความจริงให้ฟัง แต่เขากลับหนีออกมาก่อน ผมตามออกมาไม่ทัน เจอแค่โทรศัพท์มือถือที่ทำตกไว้ คนของผมบอกว่าอี้ เหลียนพาตัวคุณข้าวขึ้นรถไปแล้ว ผมสั่งให้คนของผมตามหาอยู่แต่ดูเหมือนอี้ เหลียนจะตัดการเชื่อมต่อทั้งหมดของเขาทิ้งจนผมตามหาไม่เจอ”

   ผมฟังแล้วกำมือที่ถือมือถือของข้าวปั้นไว้แน่น

   “อี้ เหลียน คือเด็กที่หายตัวไปก่อนที่ตำรวจจะเข้าทำการช่วยเหลือเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนใช่มั้ย” ผมถามด้วยแววตาเครียดเขม็ง คุณพอร์ชหลุบตาหนีก่อนจะพยักหน้ารับ

   คุณพอร์ชยกชาร้อนขึ้นมาจิบก่อนจะเล่าให้ฟัง   

   “เมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เขาหนีออกมาในวันที่ตำรวจเข้าไปช่วย ผมเองก็ให้คนของผมตามหาเขา... โชคดีที่เราเจอเขาในป่าติดกับชายแดน ร่างกายที่ถูกผ่าออกยังมีรอยเย็บชัดเจน เขาบอกผมว่า... ตำรวจไว้ใจไม่ได้ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาหนีออกมาจากการช่วยเหลือ”

   ขุนทัพหัวเราะเมื่อฟังเรื่องราวโศกนาฏกรรมของคนที่ตัวเองไม่รู้จัก

   “แหงสิวะ เด็กหายไปตั้งสิบเจ็ดคน ถ้าไม่มีพวกเบื้องบนรู้เห็นด้วย อะไรๆ ทำไมมันจะง่ายขนาดนั้น”

   คุณพอร์ชเว้นช่วงไปเล็กน้อย   

   “เหลียนเป็นเด็กที่ความจำดีเป็นเลิศมาตั้งแต่เด็ก เขาจำหน้า จำชื่อ จำลักษณะท่าทางของคนที่เกี่ยวข้องได้หมดทุกคน นั่นทำให้เขาจำเหตุการณ์นั้นฝังใจ ฝังทุกรายละเอียดจนกลายเป็นโรคทางจิตขึ้นมา”

   “เขาฆ่าเด็กทำไม”

   ผมถามถึงคดีที่ข้าวปุ้นเล่าให้ฟัง โดยมั่นใจด้วยว่าเด็กที่ถูกฆ่าเป็นฝีมืออี้ เหลียน เพราะเด็กสี่คนนั้นเป็นคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ลักพาตัวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน รวมถึงวิธีการฆ่าและเอาไตออกไปเหมือนคนมีความหลังฝังใจกับเรื่องนี้

   คุณพอร์ชเงียบไป ก่อนจะตัดสินใจพูดมันออกมา

   “เขากลับไปเชียงราย เขาบอกว่าเขาเจอวิธีที่ทำให้เขานอนหลับได้แล้ว”

   เท่านั้นก็เกินพอสำหรับคำตอบ

   “ตลอดสิบเจ็ดปี เด็กคนนั้นไม่เคยนอนหลับสนิท เขารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ ผมนึกว่าเขาจะดีขึ้นแล้วจึงพาเขากลับมาอยู่บ้านตั้งแต่สิบปีก่อน จนกระทั่งวันนึง ที่เขามาบอกผมว่าหมอให้ยาตัวใหม่กับเขา... มันทำให้เขาหลับได้ เขาไปๆ กลับๆ เชียงรายอยู่หลายปี จนกระทั่ง... มีข่าวนั่นออกมา ผมจึงรู้ว่ายาของเขาคืออะไร”

   ในกลุ่มคนมีอาการทางจิตจากบาดแผลทางใจนั้น มีการแสดงออกทางอาการไม่เหมือนกัน ผมเข้าใจเรื่องนั้น วาริศนั้นปกติ เขาไม่มีอาการฝังใจกับเหตุการณ์ในอดีตเพราะเขาละทิ้งมันไว้ด้านหลัง ในขณะที่ข้าวปั้น ยังคงฝันร้ายกับความรู้สึกผิดจนทำให้เกิดอาการโฟเบียที่แคบและที่มืด แต่ในกรณีของอี้ เหลียน เขาถูกทารุณกรรมมาตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังถูกผ่าเอาอวัยวะออกไป จากที่ข้าวปั้นเคยเล่า เขากับเด็กที่เหลือรอดไม่มีใครถูกเอาอะไรออกไปเหมือนคนอื่นๆ

   นั่นอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อี้ เหลียนเกิดคำถามว่า แล้วทำไมต้องเป็นเขาคนเดียวที่โดน

   เขาเอาความโชคร้ายมาลงที่คนอื่นเพื่อรักษาตัวเอง

   “ผมไม่ได้สนับสนุนให้เขาทำแบบนี้ แต่ผมก็ห้ามเขาไม่ได้ เหลียนฉลาดมาก ผมพยายามรื้อหาข้อมูลเก่าของเด็กที่รอด พบว่าเขาฆ่าไปแล้วหลายคน คุณไม่ทันรู้ตัวหรอกคุณหมอ ถ้าคุณจำได้... วันนั้นที่ร้านกาแฟใกล้โรงพยาบาลของคุณ วันที่คุณข้าวเขาไปปรึกษาหมอจิตแพทย์เกี่ยวกับโรคโฟเบีย วันนั้น ผมกับเหลียนก็อยู่ในร้านด้วย”

   “โคตรบังเอิญ” ขุนพลโพล่งขึ้นมา ผมหันไปมองหน้ามัน เขาเลิกคิ้วให้ก่อนจะก้มลงกดมือถืออีกรอบ

   “ผมพยายามกันเขาให้ออกห่างจากข้าวปั้นและวาริศ ผมใช้งานเป็นข้ออ้างในการติดต่อกับเขา ส่งข้อความไปเพื่อหวังให้เขาระวังตัว และไม่อยู่คนเดียว”

   “Watch your back” ผมทวนข้อความจากอีเมลของข้าวปั้น

   “ใช่ครับ แต่เหลียนแฮกเบอร์ข้าวปั้นได้และซ้อนข้อความขอตัวเองลงไปจนทำให้เขาสงสัย ผมจึงส่งจดหมายเตือนไปอ้อมๆ ให้เขารู้ตัว”

   “ทำไมคุณไม่บอกไปตรงๆ” ผมไม่เข้าใจการกระทำของเขา คุณพอร์ชยิ้มเศร้า

   “คุณรักข้าวปั้น ผมก็รักเหลียนเหมือนกันนะครับ”

   ผมเงียบไป

   “สิ่งที่ผมจะทำให้เขาได้ คือพยายามให้เขาไม่ทำผิดไปมากกว่านี้”

   “กูเจอแล้ว” อยู่ดีๆ ขุนทัพก็พูดขึ้นมา เขาส่งมือถือให้ผม มันเป็นพิกัดใหม่ที่อยู่แถวๆ ท่าเรือขนส่งไม่ไกลจากแถวนี้เท่าไหร่ ขุนทัพสั่งให้คนของตัวเองที่อยู่แถวนั้นทำการค้นหาทันที ส่วนผมลุกขึ้น หมดเรื่องจะสนทนากับเขา ต่อจากนี้ไปคงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

   คุณพอร์ชดูแปลกใจกับความรวดเร็วในการค้นหา เขาหัวเราะหึหนึ่งครั้ง

   “ขนาดผมยังไม่สามารถหาเขาได้เลย”

   ขุนทัพหันมามองเจ้าของบริษัทซอฟต์แวร์แล้วแสยะยิ้มใส่

   “ถ้าน้องมึงแฮกได้ ทำไมน้องกูจะแฮกไม่ได้ การหาคนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับกูเลย ต่อให้ CCTV ประเทศเราจะห่วยแตกแค่ไหนก็เถอะนะ”

   ผมกลับขึ้นรถของตัวเองโดยคราวนี้มีขุนทัพเป็นคนนั่ง เขาคาดเข็มขัดแน่นพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

   “อย่าเกินร้อยห้าสิบเลยนะมึง กูขอล่ะ”

   ผมไม่ตอบ เข้าเกียร์แล้วเหยียบมิดทันที



เพื่อนดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

**** เหตุการณ์ในเรื่องเป็นแค่เรื่องสมมติเท่านั้น ไม่ต้องตามหารายละเอียดใดๆ ดั่งเช่นเรื่องโคนันที่คดีไม่มีอยู่จริง ****

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น


ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ลุ้นไปอีก จากคนเข้าผ่าตัดกระเพาะ มันกลายเป็นหนังฆาตกรรมไปล่ะ :ruready

ออฟไลน์ กุหลาบเดียวดาย

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 812
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-2
ลุ้นระทึกจริงๆ

ออฟไลน์ Kelvin Degree

  • ถ้าวันนั้นเลือกที่จะเดินออกไป คงไม่เจ็บมาจนถึงทุกวันนี้...
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-2
ขอให้ข้าวปั้นอย่าเป็นอะไรมากเลย,,,

ออฟไลน์ goosongta

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1521
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +94/-6

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
พูดได้คำเดียวว่าลุ้นนนนนนนน

ออฟไลน์ SeenYu

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 68
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-1
Chapter – 30

ข้าวปั้นครับ หาเจอแล้ว



   ลูกน้องของขุนทัพไปถึงโกดังท่าเรือก่อนพวกผมไม่กี่นาที ไอ้ขุนกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่น มันมองหน้าปัดความเร็วแค่แวบเดียวแล้วไม่มองอีก ได้ยินมันบ่นงึมงำว่า ‘พวกหมอผ่าตัดนี่ขับรถเหมือนจะรีบเข้าป่าช้ากันทุกคนรึไง’

   ผมจอดรถไว้หน้าโกดังหมายเลข 16 ที่มีรถประมาณห้าหกคันจอดอยู่ อีกไม่นานรถพยาบาลคงจะมา ผมไม่รู้ว่าข้าวปั้นจะถูกทำอะไรบ้างจึงเรียกมาเผื่อไว้ เขาหายตัวไปจะแปดชั่วโมงแล้ว เวลาแปดชั่วโมงนั้นผมไม่อยากจะคิดเลยเขาจะเป็นยังไง

   “นายน้อยครับ พบแล้วครับ”

   ลูกน้องของขุนทัพวิ่งเร็วๆ เข้ามารายงานก่อนจะเดินนำไป ผมวิ่งตรงไปยังจุดที่สว่าง ได้ยินเสียงร้องโวยวายของผู้ชายดังออกมาจากด้านใน

   ข้าวปั้น!

   “เชี่ย!” ไอ้ขุนสบถลั่น

   ผมเบิกตากว้าง มือไม้สั่นเทาเมื่อเห็นสภาพของห้องที่ถูกจัดเหมือนห้องผ่าตัดในโรงพยาบาล ข้างๆ มีผู้ชายที่ถูกลูกน้องของขุนทัพจับตัวไว้ เขากรีดร้องโวยวายโดยที่มือยังกำมีดผ่าตัดแน่น ผมมองไปยังร่างที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียง สองขาก้าวแทบไม่ออก...

   “ปั้น...”

   ร่างของข้าวปั้นที่มีเลือดอาบท้อง แผลผ่าตรงท้องด้านซ้ายและและขวายังเปิดอยู่ ตัวซีดจนแทบไม่มีสีของเลือด ชีพจรที่แสดงอยู่บนจออ่อนแรงจนแทบจะไม่ขยับ

   “ไอ้หมอ! เร็ว!”

   ผมรีบก้าวเข้าไป จับร่างของเขาด้วยมือสั่นๆ ข้าวปั้นยังมีสติ เขาไม่ได้ถูกทำให้หลับแต่ถูกทำให้ชาด้วยยา ดวงตาที่แทบจะไร้แววยังเปิดอยู่ ผมจับหน้าเขาให้หันมามอง ก่อนจะถ่างเปลือกตาเขาออกเพื่อเช็คการขยายของรูม่านตา

   เห็นสภาพเขาแล้วมันทำให้ขอบตาของผมร้อนผ่าวจนต้องเม้มริมฝีปากเพื่อสะกดอารมณ์ไว้ สติทั้งหลายที่เพียรจะคงไม่แทบจะไม่เหลือ ผมอยากจะร้องตะโกน อยากไปกระทืบไอ้คนที่มันทำอย่างนี้กับเขา แต่ตอนนี้ผมทำได้แค่หันไปค้นยาในตู้

   ที่นี่คงเป็นโกดังเก็บยาเถื่อน เพราะมันมียาที่ใช้ในการผ่าตัดและอื่นๆ อีกมากมายวางเรียงรายอยู่ ผมหายาที่ใช้ในการกระตุ้นการเต้นของหัวใจมาฉีดเพื่อรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันจากการเสียเลือด ผมผ่าตัดเขาตอนนี้ไม่ได้ เพราะไม่มีเลือดสำรอง เลือดของข้าวปั้นเป็นกรุ๊ปพิเศษ ทำได้แค่พยายามห้ามเลือดและปิดปากแผลชั่วคราว ผมหันไปคว้าเครื่องช่วยหายใจมาครอบปากเขาแล้วทำการ CPR เบื้องต้นเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเขากลับมาเต้นอีกครั้ง

   “อย่าหลับนะข้าวปั้น เฮียขอล่ะ!”

   เมื่อได้จังหวะหัวใจคืนมาเล็กน้อย แม้ช่องท้องจะเปิดอยู่ แต่คนที่ทำไม่มีความรู้มากพอจึงทำให้การผ่าลงไปจนถึงชั้นไขมันดี ยังไม่มีอะไรถูกเอาออกไป แค่กำลังจะเอาออกไปเท่านั้น อาการของข้าวปั้นตอนนี้คืออาการเสียเลือดขั้นรุนแรง ไอ้ขุนสั่งให้ลูกน้องช่วยกันเข็นเตียงออกไป พอดีกับที่รถพยาบาลมาถึง

   เมื่อมาถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ร่างของข้าวปั้นถูกเข็นเข้าห้อง ICU ทันที ผมยื่นบัตร MD Card เพื่อแสดงตนว่าเป็นแพทย์ศัลยกรรมเพื่อขอเข้าร่วมการผ่าเป็นกรณีฉุกเฉินเพราะโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดตอนนี้มีเพียงแพทย์เวรที่อยู่ประจำเท่านั้น

   “คุณหมอคะ! แย่แล้วค่ะ ตอนนี้โรงพยาบาลเรามีเลือดกรุ๊ปพิเศษไม่พอต่อการผ่าตัดค่ะ”

   ทันทีที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดผ่าตัดแล้วกำลังจะเดินเข้าห้องผ่า พยาบาลผู้ช่วยก็เดินเข้ามาบอกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ผมจึงสั่งให้ติดต่อไปที่โรงพยาบาลในเมืองหรือที่ใกล้ที่สุดเพื่อขอเลือดสำรองมา แต่ระยะทางก็ไกลจนผมคิดว่าเลือดน่าจะมาไม่ทัน

   ทำยังไงดี...

   “คุณหมอคะ มีญาติผู้ป่วยรออยู่ข้างนอกค่ะ”

   ผมที่ยืนสับสนอยู่ถูกพยาบาลอีกคนเรียกไว้ ไม่คิดว่าคนที่ผมเรียกไปจะมาทันด้วยไฟล์ตเช้า ผมสั่งให้พยาบาลเตรียมการให้เลือดเพื่อการผ่าตัดฉุกเฉินทันที

   

   การผ่าตัดใช้เวลาเกือบหกชั่วโมงเพราะอวัยวะภายในบางส่วนฉีกขาดจากการลงมีดที่ไม่ถูกวิธี ไตข้างซ้ายมีร่องรอยถูกผ่าออกมาหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้ทำการตัดมันออกมา ตอนนี้พ้นขีดอันตรายมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด เลือดได้รับจากคนที่ผมเรียกให้มาจากเชียงรายโดยด่วนหลังจากที่ผมหาตัวข้าวปั้นเจอแล้ว และไม่ได้มาแค่คนเดียว ครอบครัวเขาที่รู้เรื่องพากันมาครบทุกคน โดยไม่สนค่าตั๋วเครื่องบินใดๆ ทั้งสิ้น

   ครอบครัวของข้าวปั้นทุกคนมีเลือดกรุ๊ป O Rh- ทุกคน ยกเว้นแม่ของข้าวปั้นที่เป็น Rh+ ดังนั้นหลังจากที่เครื่องลงสุวรรณภูมิตอนตีสี่ พวกเขาก็รีบดิ่งมาโรงพยาบาลตามที่ผมส่งไปทันที และแน่นอนว่ามันเร็วกว่าการไปขอเลือดจากธนาคารแม้จะต้องผ่านกระบวนการก่อนให้เลือดก็ตาม

   แม่ของข้าวปั้นร้องไห้จะขาดใจเมื่อเห็นสภาพของลูกชายคนสุดท้องในห้องไอซียู เขายังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาจนกว่าจะพ้นภาวะฉุกเฉิน ต้องอยู่ในนั้นเพื่อระวังอาการและป้องกันการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นได้ สภาพสายระโยงระยางที่มากกว่าตอนที่เขาผ่าตัดกระเพาะ รวมถึงต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจนั้นทำให้ผมที่เป็นคนลงมือผ่าตัดเองถึงกับมือสั่นหลังจากการผ่าตัดจบ

   ผมกลัว...

   “ไอ้คิน”

   “ปุ้น”

   ข้าวปุ้นที่นั่งรออยู่หน้าห้องฉุกเฉินหลังจากทำการให้เลือดแล้วลุกพรวดอย่างเร็วจนเกือบเซ ผมเดินเข้าไปจับตัวมันไว้ ถึงจะแข็งแรงยังไง แต่เลือดที่เสียไปก็ทำให้คนตัวโตๆ อย่างมันหน้าซีดเป็นไก่ได้เหมือนกัน

   “ไอ้ปั้นล่ะ มัน... มันปลอดภัยแล้วใช่มั้ย”

   ผมหลุบตาลง

   “อืม”

   “อืมเหี้ยไรล่ะ!”

   มันจับแขนผมแน่น แต่ผมไม่กล้าที่จะตอบอะไรมัน แม้กระทั่งผมยังไม่ไว้ใจตัวเองเลย ข้าวปุ้นจ้องหน้าผมเขม็ง ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยมือออกแล้วทรุดตัวลงนั่งที่เดิม มันประสานมือแล้วก้มหน้าซบลงไปอย่างคนขวัญเสีย

   “กู... กูไม่น่ากลับเลย กูน่าจะอยู่กับมัน”

   “ไม่ใช่ความผิดมึง”

   ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ข้าวปุ้น พ่อและพี่สาวของข้าวปั้นคงพักอยู่ในห้องรับรองเพราะต่างคนต่างเสียเลือดไปเยอะพอสมควร รวมถึงแม่ของข้าวปั้นที่ร้องไห้จนเป็นลมไปแล้วเมื่อรู้ว่าลูกชายของตัวเองไปเจออะไรมา เหลือเพียงข้าวปุ้นที่ยังไม่ยอมออกห่างจากหน้าห้องผ่าตัดทั้งๆ ที่ตัวเองก็ดูท่าจะไม่ไหว แม้จะทานอะไรเข้าไปเพื่อชดเชยเลือดที่เสียไปแล้วก็ตาม

   ผมปล่อยให้ขุนทัพเป็นคนจัดการเรื่องคดีให้ แม้ว่ามันจะไม่ถูกโรคกับตำรวจก็ตาม หลังจากนี้สองพี่น้องนั่นจะโดนดำเนินคดียังไงก็คงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไป

   “คิน ปั้นปลอดภัยใช่มั้ย ตอบกูมาตรงๆ”

   ผมยกมือลูบหน้าตัวเองเมื่อได้ยินคำถามอีกครั้ง

   “ปลอดภัย... แต่ก็ต้องเฝ้าระวังอาการ ยังอยู่ในภาวะเสี่ยงอยู่”

   “งั้นเหรอ”

   ผมกับมันนั่งเงียบๆ อยู่ข้างกัน ผมไม่อยากมั่นใจอะไรทั้งนั้นในตอนนี้ ความมั่นใจของผมเหลือแค่น้อยนิดจนแทบจะไม่มีความเป็นมืออาชีพเหลืออยู่

   มิน่า... เขาถึงบอกว่า หมอไม่ควรลงมือผ่าคนในครอบครัวหรือคนรัก

   เพราะมันทำให้การตัดสินใจไม่เฉียบขาดพอ

   “มึงทำดีที่สุดแล้วเพื่อน”

   ข้าวปุ้นบีบบ่าผมหนักๆ ซึ่งผมทำได้แค่ตอบรับเบาๆ ในลำคอ

   “อืม”



   วันที่สองแล้ว แต่ข้าวปั้นยังไม่ฟื้น... ความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ ชีพจรเต้นช้าจนเกือบหยุดเต้นไปหลายครั้ง กังวลว่าจะเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือติดเชื้อในกระแสเลือด ผมอยากให้ทำการย้ายไปโรงพยาบาลที่มีอุปกรณ์ครบครันและทีมแพทย์ที่ดีกว่านี้ จึงติดต่อไปทางโรงพยาบาลของผมเพื่อทำการขอรถพยาบาลเพื่อย้ายผู้ป่วยฉุกเฉินไป โดยปรึกษากับพ่อแม่ของข้าวปั้น ซึ่งครอบครัวเขายินยอมให้ผมเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างให้

   ข้าวปั้นถูกย้ายมาโรงพยาบาลผมในคืนนั้น โดยมีผมเป็นแพทย์เจ้าของไข้ ข้าวปั้นถูกส่งเข้าห้องไอซียูอีกครั้งเพื่อเฝ้าระวังอาการ ตัวยาถูกเปลี่ยนใหม่ให้ดีกว่าเดิม จนอาการเริ่มคงตัว ความดันโลหิตกลับมาเป็นปกติ ไม่มีอาการติดเชื้อใดๆ จนกระทั่งไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอีก

   หลังจากนั้นสามวันข้าวปั้นถูกย้ายไปห้องพักผู้ป่วยธรรมดา ผมเห็นเขาเข้าๆ ออกๆ ห้องนี้มาหลายครั้งจนเหนื่อยแทน

   และแน่นอน ว่าคนที่อยู่เฝ้าข้าวปั้นก็ไม่พ้นแม่ของเขา

   และผม

   ผมอาศัยความเป็นเจ้าของไข้ในการเดินเข้าเดินออกห้องนี้บ่อยเสียจนแทบจะย้ายห้องทำงานมาที่นี่ แม่ของข้าวปั้นไม่ติดใจสงสัยอะไรเลย แถมยังดูยินดีที่ผมคอยดูแลอาการลูกชายอย่างใกล้ชิดอีกต่างหาก

   “อ้าว อคิน มาดูอาการน้องเหรอลูก”

   แม่ของข้าวปั้นที่ออกไปหาซื้ออะไรกินที่ชั้นล่างของโรงพยาบาลกลับเข้ามาเจอผมยืนอยู่ข้างเตียงเขา ผมหันกลับไปแล้วผงกหัวรับ หญิงวัยกลางคนยิ้มกว้างก่อนจะชวนให้ผมมาทานอะไรด้วยกัน

   “เมื่อไหร่เจ้าปั้นมันจะฟื้นสักทีนะ นี่ก็ปาไปห้าวันแล้ว ม๊าไม่อยากเห็นไอ้ตัวแสบมันนอนแบ็บอยู่แบบนี้เลย”

   ระหว่างที่กำลังนั่งทานขนมเพื่อฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ แม่ของข้าวปั้นก็พูดขึ้น เธอมองไปยังลูกชายที่อยู่ได้ด้วยน้ำเกลืออย่างเศร้าสร้อย แม้อาการจะไม่น่าเป็นห่วง แต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมฟื้นเสียที

   “ม๊ากลับไปพักบ้างก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมลงเวรแล้วจะดูน้องต่อให้”

   ตอนนี้คนที่สลับกันมาดูแลข้าวปั้นก็มีแม่ของเขากับข้าวหอม เพราะพ่อกับข้าวปุ้นไปดำเนินคดีที่เกิดขึ้นกับลูกชายคนเล็กอยู่ทำให้ไม่ค่อยมีเวลา ตอนนี้ข้าวหอมกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้านของกรวัชร์ คู่หมั้นของตัวเองก่อนจะมาสลับสับเปลี่ยนกันเฝ้าข้าวปั้นกับคนเป็นแม่

   “อคิน ใจดีกับข้าวปั้นตลอดเลยนะลูก”

   จู่ๆ คนเป็นแม่ก็พูดขึ้นยิ้มๆ เธอมองหน้าผมอย่างอ่อนโยน

   “รักน้องนานๆ นะ”

   ผมอึ้งไป ไม่คิดว่าจู่ๆ หญิงสูงวัยใจดีข้างๆ จะพูดขึ้นมาแบบนี้ ผมไม่คิดว่าข้าวปั้นจะบอกเรื่องนี้กับครอบครัว เพราะคบกับผมตั้งนาน เขายังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับข้าวปุ้นเลย อาจเป็นเพราะเขาห่วงความรู้สึกของคนเป็นแม่ด้วยล่ะมั้ง นั่นจึงทำให้ผมแปลกใจ มือนุ่มอวบยื่นมาแตะมือผมที่นั่งตัวแข็ง

   “ม๊ารู้ ม๊าดูออก” เธอหัวเราะ “ข้าวปั้นเป็นพวกไม่ยอมพูดเรื่องตัวเอง ไม่ว่าจะเศร้า จะเสียใจ เขาจะไม่ยอมให้ครอบครัวมาเป็นเดือดเป็นร้อนถ้าไม่จำเป็น ม๊าโกรธมากตอนที่รู้เรื่องที่ข้าวปั้นถูกผลักตกบันไดจากข้าวปุ้น ม๊าไม่เข้าใจว่าเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทำไมข้าวปั้นไม่เอามาปรึกษาป๊ากับม๊าสักคำ จนเรื่องมันบานปลายขนาดนี้”

   คนเป็นแม่ส่ายหัว

   “แม้กระทั่งเรื่องของอคิน ไม่รู้ว่าถ้าม๊าไม่รู้เอาเอง จนตายมันจะยอมบอกม๊ามั้ย”

   “คือ...”

   ผมอยากจะถามว่ารู้ได้ยังไง แต่สุดท้ายก็เงียบไป ปล่อยให้คนสูงวัยกว่าพูดต่อ

   “สีหน้าอคิน แค่ม๊าดูก็รู้แล้ว อย่าดูถูกคนแก่สิ ไม่รักไม่สำคัญจะมาเดินเข้าๆ ออกๆ ห้องคนไข้ทำไมวันละหลายๆ รอบ ม๊ารู้นะว่าหมอน่ะงานหนักมาก ขนาดตอนที่ปั้นผ่ากระเพาะ อคินยังไม่เข้าออกห้องบ่อยขนาดนี้เลย”

   ผมหลบสายตารู้ทันนั้น

   “ม๊าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยาก” เธอบีบมือผมแน่นก่อนจะปล่อยออกแล้วลุกไปหยุดยืนที่ข้างเตียง คนเป็นแม่ลูบหัวลูกชายคนเล็กอย่างอ่อนโยนก่อนจะจูบเบาๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนเดินกลับมาหยิบกระเป๋าถือของตัวเองขึ้นคล้องแขน เตรียมเดินออกไปยังประตู

   “ไม่ต้องบอกปั้นมันนะว่าม๊ารู้ ดัดนิสัยมันซะหน่อย ม๊าอยากเห็นหน้าตอนมันน้ำท่วมปาก ดูซิตื่นมาจะแก้ตัวยังไง”

   ผมอึ้งไปอีกรอบ ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา



   วันนี้ผมลงเวรตอนสี่โมง ไม่มีเคส ไม่มีราวด์เย็น ผมจึงใช้เวลาอยู่ในห้องพักผู้ป่วยนี้เพื่อตรวจงานและเฝ้าเขาไปด้วย

   ระหว่างที่ผมกำลังจะเข้ามาเช็คน้ำเกลือและยา คนที่นอนไม่ขยับมาห้าวันก็ได้เวลาขยับเสียที

   ร่างผอมขยับเล็กน้อย สีหน้าเริ่มยับย่น คงจะเมื่อยหรือไม่ก็ปวดแผล ผมจับมือเขาขึ้นมาพลางบีบเบาๆ

   “ปั้น”

   ดวงตาเรียวชั้นเดียวขยับลืมขึ้นอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะกระพริบถี่ๆ เพื่อปรับสายตา เขาเหลือบตามามองผมก่อนจะครางเสียงแผ่วในลำคอ

   “หมอ...”

   “ปั้น ปลอดภัยแล้วนะ”

   “ผม...”

   เขาเหมือนเริ่มจำเหตุการณ์ได้ ร่างทั้งร่างเกร็งไปชั่วขณะก่อนจะเบะปากแล้วร้องไห้โฮลั่นเหมือนคนเสียขวัญ ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูกนอกจากขยับตัวไปลูบหัวเขาที่นอนร้องไห้เหมือนเด็กเพิ่งตื่นจากฝันร้าย

   “ผมกลัวมากเลยหมอ ฮือ... เขา เขาจะฆ่าผม... เขา... เขาเอาไตผมออกไปด้วย”

   “ชู่ว ข้าวปั้น ไม่มีอะไรหายไป เฮียอยู่นี่แล้ว”

   “ผม... ผมทำอะไรไม่ได้เลย เขา... เขาผ่าผม ผ่าทั้งๆ ที่ผมยังรู้สึกตัว”

   ผมค่อยๆ ประคองเขาขึ้นมากอดไว้โดยไม่ให้แผลกระทบกระเทือนที่สุด ร่างบางๆ นั่นสั่นระริก ผมเข้าใจดีว่าเขาขวัญหายขนาดไหน และมันก็ทำให้ผมกลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้เกิดแผลใจขึ้นอีกแผลหนึ่งรึเปล่า

   เขาอาจจะกลัวการผ่าตัด กลัวของมีคมไปตลอดชีวิต

   เขาสะอึกสะอื้นสักพักก่อนจะสงบลง มือเรียวยกขึ้นปาดน้ำหูน้ำตาเพื่อดึงสติตัวเองกลับมา ผมประคองหน้าเขาไว้แล้วจัดการเช็ดน้ำมูกที่เปรอะเปื้อนซะ ข้าวปั้นมองหน้าผมเขม็ง จนผมอดถามไม่ได้

   “ครับ?”

   “ผมขอโทษครับ”

   “หืม??”

   จู่ๆ คนที่เพิ่งรู้สึกตัวก็เอ่ยขอโทษออกมาเสียงแหบแห้ง ผมไม่เข้าใจว่าเขาขอโทษอะไร

   ข้าวปั้นกัดปากตัวเอง กลืนน้ำลายที่แห้งผาก

   “ผมขอโทษที่ไปคนเดียว ขอโทษที่ดื้อ ขอโทษที่ไม่ฟังที่หมอเตือน”

   ผมเข้าใจละ...

   “มันจบแล้วข้าวปั้น เราจับคนร้ายได้แล้ว จะไม่มีอันตรายอีก”

   เขาพยักหน้ารับ

   “ผม... ผมหายไปนานแค่ไหนครับ แล้วนี่... หลับไปกี่วัน”

   ข้าวปั้นเริ่มถามวันเวลา ผมจึงเล่าเหตุการณ์คร่าวๆ ให้เขาฟัง ข้าวปั้นดูตกใจขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผมบอกเขาไปว่าครอบครัวเขารู้เรื่องหมดแล้ว และให้เลือดในการผ่าตัดเขาด้วย เพราะตอนนั้นโรงพยาบาลแรกไม่มีเลือดกรุ๊ปพิเศษมากพอ

   พอผมเล่าจบ เขาก็ครางเสียงแผ่วออกมาว่า “ชิบหายแล้ว”

   แกร๊ก...

   เสียงเปิดประตูเข้ามาทำให้เราสองคนผละออกจากกัน ตามมาด้วยเสียงทักอย่างดีใจสุดชีวิตของข้าวหอมที่คงจะมาเปลี่ยนเวรกับแม่ตัวเองที่กลับไปพักผ่อนที่คอนโดของข้าวปั้น

   “ไอ้ปั้น! ฟื้นแล้วเหรอ เจ้เป็นห่วงแกจะตายอยู่แล้ว”

   ร่างเล็กกระทัดรัดของข้าวหอมโถมตัวเข้าไปหมายจะกอดรับขวัญคนที่ลุกมานั่งพิงพนักเตียงที่ถูกปรับเอนขึ้น แต่โดนมือของคู่หมั้นหนุ่มที่ตามมาส่งรั้งคอเสื้อไว้เสียก่อน

   “น้องพึ่งฟื้น อย่าพุ่งเข้าไปแบบนั้นสิยัยโง่”

   “ไอ้กร!”

   ข้าวหอมเกือบขาดอากาศตายจากการรั้งคอเสื้อของแฟนหนุ่ม ก่อนจะหันมากรี๊ดกร๊าดใส่ผมที่ถอยออกมายืนห่างๆ

   “ว้าย คุณพี่หมออคินของหอมนี่เอง มาเฝ้าไอ้ปั้นอีกแล้วเหรอ เอ๊ะ... แล้วม๊าล่ะ ไปไหนแล้วคะ” ลูกสาวคนเล็กแห่งไร่อันนาถามหาแม่ตัวเอง

   “กลับคอนโดไปพักน่ะครับ ผมลงเวรแล้วเลยอยู่เฝ้าแทน”

   “งั้นเหรอคะ อิจฉาไอ้ปั้นจังเลย มีหมอส่วนตัว น่ารักจัง”

   “เจ้หอม! พูดอะไรน่ะ แค่กๆๆ” ข้าวปั้นเผลอตะโกนออกมาด้วยความอายก่อนจะไอโขลกเพราะคอแห้ง ผมจึงรีบหันไปรินน้ำใส่แก้วแล้วจับหลอดดูดป้อนถึงปากเขาอย่างเคยตัว ข้าวปั้นเองก็กระหายน้ำจนงับหลอดดูดน้ำโดยไม่คิดอะไร

   แต่การกระทำนี้... ทำให้คนอีกสองคนที่ร่วมห้องเงียบกริบแล้วมองตาปริบๆ

   ความเงียบโรยตัวทำให้ผมกับข้าวปั้นเริ่มรู้สึกตัว

   ...

   ข้าวหอมมองตาไม่กระพริบเช่นเดียวกับกรวัชร์ที่กระแอมไอขึ้นมาแก้เก้อ ข้าวปั้นแทบจะสำลักน้ำ เขารีบดึงแก้วออกจากมือผมเพื่อเอามาถือเอง หน้าขาวๆ ซีดๆ ตอนนี้แดงก่ำไปจนถึงใบหู ผมค่อยๆ ชักมือกลับมาล้วงกระเป๋ากางเกงแทน

   “อา... เอ่อ เอ้อ! เจ้ว่า เจ้... เจ้มีนัดคุยกับออแกไนซ์งานแต่งไว้ คงต้องเลื่อนงานเพราะแกดันป่วย น่าจะหายไม่ทันงานแต่ง” ข้าวหอมพยายามนึกประเด็นเพื่อจะไม่ทำให้ห้องนี้เงียบจนเกินไป ข้าวปั้นเลิกคิ้ว

   “ทำไมล่ะ ไม่เห็นต้องเลื่อนเลย ปั้นโอเค... เอ่อ อีกกี่วันผมจะออกจากโรงพยาบาลได้เหรอครับหมอ”

   ข้าวปั้นหันมาถามผมที่ยืนทำหน้านิ่งๆ อยู่ข้างๆ

   “ประมาณหนึ่งสัปดาห์น่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ก็พยายามอย่าขยับตัวมาก คล้ายกับตอนผ่ากระเพาะนั่นแหละครับ” เพราะเป็นการผัดตัดเพื่อรักษาอวัยวะที่ฉีกขาด ไม่ได้ปลูกถ่ายอวัยวะใหม่ แค่รอแผลแห้งและถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อนหรืออักเสบก็กลับบ้านได้

   “นั่นไง เจ้กับพี่กรไม่ต้องเลื่อนหรอก นะครับ”

   ข้าวปั้นบอกว่าที่เจ้าสาวกับเจ้าบ่าวที่ทำหน้าปั้นยาก พวกเขาคงต้องกลับไปปรึกษากันใหม่อีกรอบ ทั้งสองคนอยู่ไม่นาน สักพักก็กลับไปเพราะมีผมคอยเฝ้าข้าวปั้นแทนแล้ว

   ทันทีแขกผู้มาเยี่ยมกลับไป ข้าวปั้นถึงกับถอนหายใจเฮือกยาว เขาทิ้งตัวนอนลงก่อนจะทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมาใหม่ ทำเอาผมอยากจะตีเขา เพราะแผลอาจเปิดจากการขยับตัวแบบนั้นได้

   “หมอครับ! มือถือผมล่ะ”

   “อยู่ในกระเป๋าเฮีย”

   “ผม... ผมขอหน่อยได้มั้ยครับ ผมหายตัวไปตั้งหลายวัน งานที่ต้องไฟนอล กองเป็นภูเขานรกเลย”

   ผมคิ้วกระตุก รู้สึกหงุดหงิดและโมโหขึ้นมา ผมจับเขากดลงไปนอนบนเตียงอีกครั้ง สายตาดุจัดจนข้าวปั้นหุบปากเงียบ

   “ถ้ายังไม่เลิกห่วงงานมากกว่าห่วงตัวเอง เฮียจะยื่นใบลาออกให้พรุ่งนี้เลยครับ”

   “หมอออออออออออ”



ก็นะ... ไม่ถนัดเขียนความจริงจังเลยเเฮะ อาจจะขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง

แต่ก็พยายามหาข้อมูลให้มันพอจะสมเหตุ... มั้ง

ตอนนี้เขียนยากจริงๆ ค่ะ น้องยูผู้ไม่เซลฟ์กับฉากเเอคชันใดๆ

ไม่เครียดเเล้ว พอแล้ว ตอนต่อไปเเฮปปี้ไทม์เเน่นอน

ข้าวปั้นผู้มีชื่อรองว่าบุญรอด

#คุณหมอชอบกินข้าวปั้น

>https://twitter.com/_SeenYu

ออฟไลน์ LifePo-YuGu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 192
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
โอ๊ยยยย ลุ้นแทบตาย
น่าสงสารมากเลย ทำไมข้าวปั้นต้องมาเจออะไรเลวร้ายแบบนี้ด้วยนะลูก  :m31: :m31:

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
ปลอดภัยแล้วนะข้าวปั้น

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ปลอดภัยแล้วเน๊าะข้าวปั้น มีหมอมาเฝ้าไข้ใกล้ชิดขนาดคนที่บ้านเริ่มตะหงิดๆ แล้ว.  :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด