ใจยักษ์ 3
แกร๊ก ต็อกแต็ก ต็อกแต็ก
หลังจากกลับถึงห้องพัก ผมก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สบายตัว ตอนนี้ผมกำลังนั่งเสิร์ชข้อมูลข่าวสารด้านเศรษฐกิจของโลกอยู่ ถึงแม้จะเพิ่งเปิดเทอมมาได้แค่เดือนกว่าๆ แต่ด้วยคณะเศรษฐศาสตร์ที่ผมเรียนทำให้ผมต้องติดตามข่าวเศรษฐกิจอยู่ตลอด ผมเรียนเศรษฐศาสตร์ธุรกิจครับ ตอนนี้ผมก็ขึ้นปี2 แล้ว ดูข่าวไปเพลินๆก็เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้เช็คอีเมลล์จากป้าพิมพ์เลย
ป้าพิมพ์เป็นญาติเพียงคนเดียวที่ผมติดต่อด้วยอย่างสม่ำเสมอ เธออาศัยอยู่ที่อเมริกากับสามีชาวต่างชาติชื่อแดเนียล ปกติป้าพิมพ์จะส่งเมลล์หาผมทุกอาทิตย์นะ แต่สัปดาห์นี้ยังไม่เห็นอีเมลล์จากเธอเลยแฮะ ว่าแล้วก็เข้าไปดูอีกรอบดีกว่า
อ๊ะ เธอส่งมาแล้วล่ะ
Pimnapa
ถึง ฉัน
สวัสดีครับน้องรันต์ของป้า เป็นยังไงบ้างเอ่ย สบายดีไหมลูกเปิดเทอมแล้วเรียนหนักไหม อย่าอดข้าวนะลูก ช่วงนี้ป้าอาจจะไม่ค่อยได้ติดต่อน้องรันต์ พอดีที่นี่มีเรื่องยุ่งๆน่ะลูก อืม...น้องรันต์ครับป้ามีเรื่องจะขอให้หนูช่วยป้าสักเรื่องได้หรือเปล่า ป้าอยากให้หนูไปช่วยดูแลคนๆหนึ่งให้หน่อยน่ะจ้ะ เขาเป็นลูกของเจ้านายแดน ซึ่งตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองไทยแล้วมีปัญหาอยู่นิดหน่อย ป้าก็ค่อนข้างลำบากใจ แต่คนนี้เขาพิเศษปฏิเสธไม่ได้จริงๆ จะรบกวนน้องรันต์ไปไหม ถ้าป้าอยากให้หนูช่วยเรื่องนี้ น้องรันต์ว่ายังไงตอบเมลล์หาป้าด่วนนะครับ วันนี้ป้าต้องเดินทางไปรัสเซียกับแดน สัญญาณโทรศัพท์อาจจะใช้ไม่ได้ ส่งเมลล์มาแทนนะลูก
รักเสมอ ป้าพิมพ์
หืม ดูแลคนอย่างนั้นหรอ ผมเนี่ยนะ?
มันแปลกมากๆ ปกติป้าพิมพ์แทบจะไม่เคยขอร้องให้ผมทำอะไรให้หรอกครับ ติดจะตามใจผมมากด้วยซ้ำ จากข้อความที่ส่งมาป้าพิมพ์คงหมดหนทางแล้วจริงๆถึงได้ถึงขั้นขอร้องให้ผมช่วย แล้วถ้าผมไม่ช่วย ลุงแดเนียลสามีป้าพิมพ์จะเดือดร้อนรึเปล่า
เอาเถอะ!มันคงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไรมากมาย ถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยถอยออกมาทีหลังก็แล้วกัน
ผมตอบตกลงแล้วส่งเมลล์ตอบกลับป้าพิมพ์ จากนั้นผมนั่งเล่นอะไรเรื่อยเปื่อยไปสักพัก เมลล์ก็แจ้งเตือนขึ้นบนหน้าจอโน๊ตบุ๊ค
Pimnapa
ถึง ฉัน
XYZ Condominium , Room 4001
Start tomorrow.!!!
PS. He’s name Thossakan
หืม...ทำไมคราวนี้ตอบกลับเป็นภาษาอังกฤษล่ะ แถมยังเป็นประโยคสั้นห้วนๆด้วย
มันดูแปลกๆ แม้ว่าความสงสัยมันจะเต็มล้นในอกแต่ผมก็สามารถเข้าใจความหมายในอีเมลล์ได้ น่าจะหมายถึงให้เริ่มทำอะไรสักอย่างในวันพรุ่งนี้ ซึ่งป้าพิมพ์ก็บอกผมแล้วว่าดูแลลูกเจ้านายแดนก็เลยไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มสินะ
และสถานที่ที่ระบุมาก็มีอยู่ที่เดียวในกรุงเทพฯ คอนโดฯนี้อยู่ถัดไปจากหอผมสองซอยมั้ง คอนโดฯหรู สูงเสียดฟ้าขนาดนั้น อยู่แถวนี้ไม่รู้ก็ตาบอดละ
ว่าแต่ ไอ้คนๆนี้ชื่ออะไรวะ
ทด-สา-กาน หรอ…วะ
เอ๊ะ...
ทศกัณฐ์! หรอ!
แม่งแค่ชื่อก็บอกความร้ายแล้วว่ะ
เฮ้ออ…เอาน่า อย่าพึ่งตัดสินคนแค่ชื่อเลยไอ้รันต์ เขาอาจจะเป็นคนน่ารัก นิสัยน่าคบก็ได้
โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าพอได้เจอเขา คำพูดที่ผมพยายามปลอบใจตัวเองนั้น ผมจะไม่มีทางพูดหรือคิดออกมาให้เปลืองน้ำลายและสมองอย่างเด็ดขาดเลยล่ะ
++++++++++++++++++++
วันต่อมา...
“ว่าไงไอ้รันต์ ตกลงมึงจะไปเป็นสตาฟดูแลปี1 งานเฟรชชี่แทนไอ้หยกป่ะเนี่ย กูรอคำตอบมึงมาหลายวันแล้วนะ” ไอ้เก่งเฮดภาคฯ วิ่งปรี่ตรงมาหาผมทันทีที่เห็นผมเดินเข้าตึกคณะ
“เอ่อ กูลืมไปเลย” ผมบอกมันอย่างนึกขึ้นได้
“แสรดดด มึงช่วยใส่ใจบ้างได้ไหมเนี่ย”เก่งทำหน้าเซ็งปนเอือมระอาใส่
“แล้วมึงจะไปบีบบังคับมันทำไมไอ้เก่ง ไม่มีก็หาคนอื่นแทนสิวะ” เสียงไอ้เมฆดังขึ้นจากด้านหลัง พร้อมแขนมันที่พาดมาบนบ่าผม
“มึงก็เข้าข้างมันตลอด กูอยากให้มันทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นบ้างป่ะวะ ชั่วโมงกิจกรรมมันก็เท่าขี้เล็บมด จะจบไหมสัส”
“เออน่ะ กูเป็นก็ได้จะเถียงกันทำไมวะ” ผมพูดขึ้นพร้อมยิ้มอ่อนๆให้เก่งเพื่อยุติการเถียงกันของมันสองตัว
จริงๆแล้วเก่งมันก็เป็นคนดีคนหนึ่งเลยนะ มันเห็นผมไม่ค่อยทำกิจกรรมก็พยายามทั้งลากทั้งบังคับขู่เข็ญให้ผมไปให้ได้ ผมก็ไปบ้างไม่ไปบ้างแล้วแต่อารมณ์
ส่วนเมฆ มันต้องไปเข้าร่วมตลอดแทบทุกกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นแหละ ก็มันเป็นเดือนคณะนี่
“เออดีมาก แล้วถ้ากูเรียกประชุมกรุณาโผล่ศีรษะของมึงมาด้วยนะครับ กูไปล่ะ” มันว่าแล้วก็หันตัวจะเดินไปอีกทางแต่ก็มิวายส่งสายตามาถลึงใส่ไอ้เมฆ เมฆก็กระตุกยิ้มมุมปากส่งให้อย่างกวนๆ ผมได้แต่ส่ายหัว ตีกันดีจริงๆไอ้พวกนี้
“กูว่ามึงไม่ต้องไปก็ได้นะถ้ามึงไม่อยากไป ชั่วโมงกิจกรรมก็ค่อยไปทำอย่างอื่นเอาก็ได้ งานนี้คนมันเยอะมึงจะไหวหรอ”เมฆพูดขึ้นขณะที่เรากำลังเดินไปรอลิฟท์
“กูโอเค ไม่เป็นไรหรอก”ผมบอกเมฆไม่ให้เป็นห่วง ก็อย่างที่เมฆว่า งานนี้คนเยอะผมจึงลังเลที่จะตอบตกลงกับหนึ่ง ผมเป็นโรคไม่ค่อยถูกกับคนเยอะๆน่ะครับ
“เออตามใจ”เมฆบอกพร้อมๆกับที่เราเดินเข้าลิฟท์กันสองคน
“รอด้วยค่ะๆ มึงรีบวิ่งเร็ว”ขณะที่ลิฟท์กำลังปิด ก็มีผู้หญิงสองคนวิ่งกระหืดกระหอบตรงมาที่ลิฟท์ เมฆรีบกดปุ่มให้ประตูเปิดค้างไว้
“ขอบคุณค่ะ” ผู้หญิงทั้งสองรีบเข้ามาในลิฟท์แล้วขอบคุณเมฆ พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเมฆเท่านั้นแหละ ยิ้มค้างเลยครับ เพื่อนผมก็ดังพอตัวนะครับ
“ไม่เป็นไรครับ” เมฆตอบรับแล้วยิ้มให้พวกเธอบางๆ
“กรี๊ด!มึ๊งงง เมฆเศรษฐศาสตร์!”หนึ่งในผู้หญิงกรี๊ดขึ้นเบาๆ
“เออ กูเห็นแล้วอิเหี้ย”เอิ่ม ผู้หญิงสวยๆสมัยนี้พูดกันเพราะมากครับ กูยอมเลย-_-
พวกเธอกดชั้น 11 ส่วนผมกับเมฆชั้น 12 ระหว่าง ที่ลิฟท์กำลังขึ้น ผู้หญิงสองคนในลิฟท์ก็เริ่มปฏิบัติการซุบซิบระยะเผาขนกันทันที ถามว่าทำไมผมถึงได้ยินก็ในลิฟท์มีกันแค่สี่คนนี่ครับ ผมกับเมฆก็ไม่ได้คุยอะไรกันเธอสองคนนั้นซุบซิบกัน ถึงจะไม่สนใจฟังมันก็ได้ยินอยู่ดี
“พอเห็นเมฆเศรษฐศาสตร์ กูก็นึกถึงคนหนึ่งที่อยู่เศรษฐศาสตร์เหมือนกันว่ะ” ผู้หญิงผมบ็อบสั้นกล่าวกับเพื่อนเธอ
“ใครวะ…อย่าบอกนะว่า…”ผู้หญิงผมยาวดัดลอนเอ่ยถามเพื่อนด้วยความสงสัย ก่อนจะทำท่าเหมือนนึกอะไรสักอย่าออกแล้วอุทานออกมาหันไปสบตาเพื่อน
“เออคนนั้นแหละ นี่ตั้งแต่เปิดเทอมมาเป็นเดือนละ อิเจที่คลั่งๆพี่แกไปเดินส่องที่ตึกเรียนเขาทุกวันยังไม่เห็นเลย”
“ใช่ๆ เพื่อนกูที่เรียนภาคอินเตอร์เหมือนพี่แกก็บ่นๆให้ฟังว่าตั้งแต่เปิดเทอมมา ยังไม่เจอพี่ทศสุดหล่อพ่อของลูกเลย”
เอิ่ม….
“แต่แก็งค์พี่แกมาครบนะมึง ทั้งพี่สมิธ พี่เซนท์ แล้วก็พี่ใจดี นี่ถ้าพี่ทศพ่อยักษ์รูปหล่อมาครบแก็งค์นะมึง อร๊ายยยยแค่คิดดก็ฟินแล้ว ถ้าได้สักคนนะ กูจะลูบเช้าไล้เย็นอยู่อย่างนั้นอ่ะมึง”ผู้หญิงผมบ็อบบิดตัวไปมา ทำหน้าเพ้อๆปนเขินอาย
เธอลืมว่ามีพวกผมอยู่ตรงนี้รึเปล่าวะ
“อิจัญไร...แต่ถ้าเป็นกูนะ กูจะเลียเช้าเลียเย็นไม่ให้ไปไหนเลย ฮ่าๆๆ”
กูเริ่มกลัวผู้หญิงสมัยนี้แล้วนะโว้ยยยย
อย่างที่บอกว่าผมใส่แว่น บุคลิกธรรมดาๆ สูง 180 เซนติเมตร เป๊ะๆ การแต่งตัวออกจะราบเรียบค่อนไปทางเฉิ่มนิดๆ ไม่มีอะไรให้น่าสนใจหรือดึดดูดเพศตรงข้ามเลยสักนิด จึงไม่มีผู้หญิงเข้าหาผมก่อน และตัวผมก็ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นนัก ตอนมอปลายก็อยู่โรงเรียนชายล้วน ประสบการณ์ด้านความรักผมจึงแทบจะเป็นศูนย์ผิดกับไอ้คนหน้าหล่อข้างๆผมลิบลับ
“ดีออก จัญไรกว่ากูอีก”
แล้วพวกเธอก็คุยเรื่องผู้ชายอีก2-3ประโยค
ติ้ง! ลิฟท์ก็มาถึงชั้น 11
“อุ๊ย!” หนึ่งในผู้หญิงสองคนอุทานเหมือนพึ่งนึกขึ้นได้ว่ามีพวกผมอยู่ด้วย พวกเธอหันมายิ้มแหะๆให้ผมกับไอ้เมฆ เมื่อลิฟท์เปิดก็พากันวิ่งอายๆออกไปอย่างรวดเร็ว แต่อายตอนนี้กูว่าไม่ทันแล้วล่ะครับ
“หึๆๆๆ” ไอ้เมฆหัวเราะในลำคอเบาๆ หลังประตูลิฟท์ปิด
“ขำ ขำไปสัส ระวังมึงจะโดนเลียเช้าเลียเย็นไม่ได้ไปไหนนะมึง” ผมแกล้งงพูดอำเมฆ พลางยกมือขึ้นลูบแขนตัวเองที่อยู่ๆก็รู้สึกขนลุกขึ้นมา
“ฮ่าๆๆๆ ไอ้รันต์ มึงจะพูดทำไมวะ กูแม่งจี้ว่ะ” แล้วมันก็หัวเราะเสียงดังลั่น จนลิฟท์มาถึงชั้น 12 มันก็ยังไม่หยุดหัวเราะ
ขำไปเถอะมึง ระวังโดนจริงๆแล้วจะขำไม่ออก เหอะๆ
+++++++++++++++
“วันนี้เราจบกันที่สไลด์นี้นะคะ ถ้าใครมีอะไรสงสัยก็หลังไมค์กับอาจารย์ตอนนี้ได้เลยค่ะ ส่วนคนที่ไม่มีอะไรก็กลับได้เลย” อาจารย์ประจำวิชาบอกหลังสอนจบ
“เฮ้ยเมฆ วันนี้สี่โมงครึ่งอย่าลืมนะมึง” อ๋องเพื่อนในภาควิชาตะโกนบอกเมฆที่กำลังเก็บอุปกรณ์การเรียนใส่กระเป๋าก่อนเดินออกจากห้องไปเมื่อได้ยินเมฆรับคำ
“เออๆไม่ลืมโว้ยยย ย้ำจริงๆ” เมฆตะโกนกลับแบบไม่เกรงใจอาจารย์ที่ยังอยู่ในห้องเลยสักนิด
“ไปไหนวะ” ผมถามพลางเก็บของชิ้นสุดท้ายลงกระเป๋า
“เตะบอลอ่ะดิ กูเบี้ยวมันเมื่อวาน วันนี้มันคงกลัวกูเบี้ยวอีกมั้งมึงจะไปดูป่ะ”
คุณอาจสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีใครชวนผมไปเล่นด้วย เขาชวนผมนะ ชวนจนขี้เกียจจะชวนแล้วไง แต่ผมก็ไม่ไปอ่ะชอบไปนั่งดูมากกว่า หลังๆนี่เลยชวนแต่ไอ้เมฆ
ตัวเมฆมันก็คบเพื่อนคนอื่นนะครับไม่เหมือนผมที่ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับเพื่อนคนอื่นๆ แค่มันชอบทำตัวติดกับผม แต่เวลาไปกินเหล้าไรงี้มันก็ไปได้กับทุกคนแหละ เข้ากับคนง่ายจะตายเมฆอ่ะ
“ไม่ว่ะ มีธุระ” ผมส่ายหัว
“ธุระอะไร” เมฆหรี่ตาลงมองผมเหมือนจับผิด
“ธุระให้ป้าพิมพ์ อะไรของมึงเนี่ยจะมาจับผิดกูทำไม” ผมแกล้งทำเสียงงอนๆใส่มันเล็กน้อย
“ก็เปล่า…แต่กูไม่อยากให้มึงไปทำอะไรแผลงๆอีกแล้วนี่ กูเป็นห่วง”
“เออน่า กูไม่ทำอะไรใครหรอก…ถ้าเขาไม่ทำกูก่อน” ผมตบบ่าเมฆเบาๆ
“มึงก็เป็นซะแบบนี้ มีอะไรก็ไม่ค่อยบอกกูให้กูรู้เองตลอด เกิดมึงเป็นอะไรขึ้นมากูจะช่วยมึงทันไหมน้อง” เมฆตัดพ้อในเสียงติดจะงอนๆหน่อย
“ฮ่าๆๆ งอนเหี้ยไรเนี่ย หน้างอเหมือนหนอนโดนรถทับเชียวอย่าคิดว่าหล่อแล้วจะไม่น่าเกลียดนะ ไปๆจะสี่โมงครึ่งละ เดี๋ยวไอ้อ๋องก็ตามไปถึงป๊ามึงหรอก” ผมว่าอย่างขำๆ ไม่อยากให้เพื่อนคิดมาก
“จิ๊” มันสบถในคออย่างทำอะไรไม่ได้ แล้วเดินกอดคอผมออกจากห้องไป
มันก็เป็นซะอย่างนี้จะโกรธหรืองอนอะไร ก็ไม่กล้าทิ้งผมไปอยู่ดี
+++++++++++++++++++++
XYZ Condominium
ในที่สุดผมก็มาตามที่ป้าพิมพ์ขอร้องแล้วครับ คอนโดฯหรูสูงตระหง่านตรงหน้า บ่งบอกฐานะของผู้อยู่อาศัยได้เป็นอย่างดี
ผมประหม่าเล็กน้อย สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในตัวตึก
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะก้าวเข้าไป รปภ.หน้าตึกก็เดินมาดักผมทันที เขามองผมเล็กน้อย...ตั้งแต่หัวจรดเท้าอ่ะนะ
“ไม่ทราบว่ามาติดต่อเรื่องอะไรครับ” เขาถาม
“เอ่อ…ผมมาหาเพื่อนน่ะครับ” ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มอ่อนประจำตัว
“ได้นัดไว้ไหมครับ เจ้าของห้องสามารถเปิดประตูเข้าไปให้ได้จากบนห้องนะครับ” เขาบอก
“คือ…ผมลืมนัดน่ะครับ” ผมยิ้มซื่อๆแก้ตัวไป คือลืมไปเลยว่ะ ว่าคอนโดหรูขนาดนี้ระบบรักษาความปลอดภัยต้องแน่หนาตามราคาไปด้วย แล้วถ้าเจ้าของห้องไม่อนุญาตผมจะเข้าไปยังไงวะข้อมูลติดต่ออะไรก็ไม่มี
ไอ้รันต์เครียดดดดด ผมทำหน้าเศร้าๆจนดูน่าสงสาร รปภ.จึงเหมือนจะใจอ่อนลง
“อ่า งั้นต้องแลกบัตรนะครับแล้วเข้าไปติดต่อด้านใน”
“ได้ครับๆ” ผมรีบหยิบบัตรประชาชนยื่นให้เขา
รปภ.นำบัตรผมไปเสียบไว้ เขียนยุกยิกแปปนึงแล้วเดินไปกดรหัสเปิดประตูเพื่อให้ผมเข้าล็อบบี้ด้านในได้
“เชิญครับ”
“ขอบคุณครับ” ผมก้มหัวแล้วยิ้มขอบคุณให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไป
โห! หรูไปไหนวะ การตกแต่งอย่างหรูหราอลังการโทนสีทองของล็อบบี้ทำเอาผมประหม่าขึ้นไปอีก
ผมเดินตัวลีบไปที่เคาน์เตอร์ที่พยักงานนั่งประจำการอยู่ ไม่มีคนพลุ่งพล่านนักเห็นเพียงต่างชาติสองคนนั่งจิบกาแฟคุยกันที่โซฟา และผู้หญิงท่าทางสวยจัดคนหนึ่งเดินออกคอนโดฯไป
“ติดต่อเรื่องอะไรคะ” พอผมเดินไปถึงก็โดนพนักงานสาวสวยสาดคำถามทันที เธอพูดดีนะครับติดจะเสียงแข็งไปนิด ยิ้มให้ผมด้วย ถึงจะมองผมตั้งแต่เท้าจรดถึงหัวก็เถอะแต่ก็เป็นมืออาชีพดี
“ผมมาหาเพื่อนน่ะครับ” ผมบอกเธอพร้อมรอยยิ้ม
“ได้นัดไว้รึเปล่าคะ” คำถามเดียวกับยามเป๊ะ
“เอ่อ…เปล่าครับ” ผมตอบไปตามตรง
“ถ้าอย่างนั้นคงจะไม่ได้นะคะ”ใบหน้าสวยหวานที่ถูกแต่งมาอย่างดีเริ่มตึงขึ้น
“คือช่วยติดต่อให้หน่อยได้ไหมครับ ห้อง 4001 น่ะครับ” ผมรีบพูดแกมขอร้อง
“เอ๊ะ…เมื่อกี้พูดว่าห้องอะไรนะคะ” เธอถามทวนอีกรอบ
“ห้อง 4001”
“สักครู่นะคะ” เธอเสียงอ่อนลง ยกหูโทรศัพท์ขึ้น พูดภาษาอังกฤษ4-5ประโยคเบาๆแล้วก็วางสายก่อนจะหันหน้ามายิ้มหวานให้กับผม
“เชิญนั่งรอที่โซฟาสักครู่นะคะ จะรับเครื่องดื่มอะไรดีคะ” ท่าทีเธอเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาผมตั้งตัวแทบไม่ทัน
“ผมขอแค่น้ำเปล่าก็พอครับ” เธอรับคำยิ้มหวาน แล้วเดินไปอีกด้าน
ผมนั่งรอไม่ถึง5 นาที พนักงานอีกคนก็ยกน้ำเปล่ามาเสิร์ฟผม ผมขอบคุณเธอก่อนจะยกขึ้นจิบจนเกือบหมดแก้ว...ก็มันคอแห้ง
กึก!
รองเท้าหนังขัดมันปลาบหยุดอยู่ตรงหน้าผม ผมค่อยๆเงยหน้าจากการองหยดน้ำข้างแก้วขึ้นมองช้าๆ
สูงมาก เงยขึ้นมองคอแทบเคล็ด น่าจะสูงสัก190 เซนติเมตรได้แถมเป็นชาวต่างชาติด้วย
ผมยิ้มให้เขาบางๆอย่างไม่รู้จะพูดอะไร คือผมพูดภาษาอังกฤษพอได้นะแต่ผมไม่รู้จักเขาก็ไม่รู้พูดอะไร ถึงแม้หน้าเขาจะดูคุ้นๆก็ตามที
“คุนเหรันต์ใช่ไหม” ฝรั่งตรงหน้าผมพูดภาษาไทยครับ ถือว่าชัดมากแม้สำเนียงจะแปร่งๆนิดหน่อย
“ใช่ครับ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก
“ช่วยตามผมมาด้วยครับ” เขาพูดเสียงนิ่งๆแล้วเดินนำไปอีกด้าน ผมจึงรีบผุดตัวลุกขึ้นจากโซฟาตามเขาไปติดๆ อาจจะดูแปลกที่ผมตามเขาโดยไม่ถามอะไรเลย ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกันแต่ความรู้สึกมันบอกว่าตามๆเขาไปเถอะ
เขาพาผมเดินไปที่หน้าลิฟท์ แตะคีย์การ์ดแล้วประตูลิฟท์ก็เปิดออก กดเลขที่ชั้น 29
บรรยากาศภายในลิฟท์เงียบสงัดจนแทบได้ยินเสียงหัวใจเต้น ผมมองตรงดูเลขลิฟท์ค่อยๆเปลี่ยนทีละชั้นๆอย่าสงบ
ติ้ง! ถึงซะที
เขาเดินนำออกไปก่อน ผมเดินตามจนไปหยุดอยู่หน้าห้อง 2910
คนข้างหน้าผมแตะคีย์การ์ด กดรหัสสี่ตัวแล้วเปิดประตูเข้าไป
ห้องนี้ตกแต่งเรียบๆแต่ดูมีราคา เน้นโทนสีน้ำตาลสบายตา พอเดินเข้าไปถึงห้องนั่งเล่น เฟอร์นิเจอร์ก็โทนสีเดียวกับห้องดูราคาแพงๆทั้งนั้น
เขาผายมือให้ผมนั่งโซฟาเดี่ยวตรงข้ามกับเขา
“ผมจะไม่พูดอ้อมค้อมอะไรมาก คุณมาที่นี่คงเข้าใจหน้าที่ตัวเองดีแล้วใช่ไหมครับ” เขาพูดขึ้นทันทีหลังผมนั่งลง ผมงงเล็กน้อยก่อนจะประมวลคำพูดของเขาในสมอง คิดว่าเขาคงเป็นคนของเจ้านายลุงผม
“ผมรู้แค่ว่าผมต้องมาดูแลลูกชายเจ้านายลุงผม แต่ผมไม่รู้รายละเอียดมากนัก” ผมตอบกลับไป
“ใช่ คุณต้องดูแลเขา...ในทุกเรื่อง”
“หมายความว่ายังไงที่ว่าดูแลทุกเรื่อง”
“ในที่นี้ คุณต้องดูแลคุณทศกัณฐ์ ตั้งแต่ทำอาหาร ทำความสะอาด ดูแลห้อง ความจริงเรื่องทำความสะอาดห้องเรามีแม่บ้านคอยดูแล แต่ช่วงนี้คุณทศกัฐ์เธออารมณ์ไม่ดี คนอื่นเข้าหน้าเธอไม่ติดหน้าที่นี้คุณจึงต้องทำแทน แล้วอีกอย่างถ้าคุณทศกัณฐ์ให้ทำอะไรก็ทำๆไปซะ เพียงแต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่นายท่านกำหนดไว้ แล้วที่สำคัญคุณจะทำยังไงก็ได้แต่ต้องทำให้เธอไปเรียนให้ได้เร็วที่สุด” เขาร่ายยาวด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ทำผมอึ้งค้างไปแล้ว
“เหี้ยไรวะ กูไม่ได้มาเป็นคนขี้ข้านะเว้ย” ผมพึมพำในลำคอเสียงเบา แต่เหมือนฝรั่งตรงหน้าผมจะหูดีเกินไป จึงได้ตอบกลับมาเรียบๆ
“นั่นเป็นความรับผิดชอบของคุณ”
“มันจะไม่มากไปหน่อยหรอครับ ผมมาที่นี่เพราะถูกขอให้ช่วยเหลือเพียงเล็กน้อย ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณจะบังคับผมยังไงก็ได้ ผมมีสิทธิ์ปฏิเสธว่าจะทำหรือไม่ทำส่วนไหนก็ได้” ผมพูดเสียงนิ่งอย่างเก็บอารมณ์
“ครับ คุณมีสิทธิ์ปฏิเสธ แล้วป้ากับลุงของคุณล่ะเขาจะปฏิเสธได้ไหม”
“คุณหมายความว่ายังไง”ผมถามเสียงเครียด
เขาไม่ได้ตอบผม แต่วางรูป3-4ใบ ลงบนโต๊ะตรงหน้าผมแทน ภาพที่ปรากฏทำผมยิ้มเครียดเลยครับ รูปป้าพิมพ์กับแดเนียลนั่งบนโซฟาในห้องๆหนึ่ง แม้ไม่ได้โดนมัดมือมัดเท้า แต่สายตาและท่าทางพวกเขากลับดูหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“คำตอบของคุณมีผลต่อความปลอดภัยของพวกเขา” ไอ้ฝรั่งเอ่ยเสียงนิ่ง
“พวกคุณทำแบบนี้ทำไม ต้องการอะไรกันแน่” ผมถามเสียงเข้ม
“คำตอบผมบอกคุณไปแล้ว” เขาบอกกลับเสียงนิ่ง
“ต้องทำขนาดนี้เลยหรอ แค่ดูแลคนๆเดียวยังไม่มีปัญญา ถึงขนาดต้องมาบังคับขู่เข็ญให้คนอื่นเขาดูแล พวกคุณควรพิจารณาตัวเองด้วยนะ คิดว่าการทำแบบนี้มันถูกต้องแล้วหรอ” ผมเหยียดยิ้มมุมปาก แม้จะโกรธจนตัวสั่นแต่ก็รู้ว่าไม่ควรทำอะไรผลีผลาม
“เราไม่สนใจความถูกต้องอะไรนั่นอยู่แล้ว ผมจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่าต้องเป็นคุณเท่านั้นครับ ผมคงบอกอะไรมากกว่านี้ไม่ได้”
ผมกำมือทั้งสองข้างแน่นจนขึ้นข้อขาว สมองคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว มันแปลกๆตั้งแต่เมลล์ที่ป้าพิมพ์ส่งมาแล้ว ไหนจะเมลล์ตอบกลับนั่นอีก
บ้าเอ้ย!!! ตอนนี้ผมจะทำอะไรได้ มีแต่ต้องตามน้ำไปก่อน ผมไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใครถ้าขัดขืนมันจะทำยังไงกับป้าและลุงผม
“ผมจะทำก็ได้ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าลุงกับป้าผมจะปลอดภัย”
“Mr. และ Mrs. Grande จะอยู่ในความดูแลของเราสักพัก บอกตามตรงคุณก็ไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ทางเรารับรองว่าถ้าคุณทำตามเงื่อนไข พวกเขาก็จะปลอดภัย” เขายังพูดอย่างสบายๆ
“ได้ แต่อย่างน้อยขอผมคุยกับพวกเขาก่อน” ผมต่อรอง
เขานิ่งคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา
“รอสักครู่…@#£#€@*[^$@%” เขาบอกผม แล้วคุยโทรศัพท์เป็นภาษาอะไรไม่รู้ผมฟังไม่ออก ไม่ใช่ภาษาอังกฤษและภาษาไทย ไม่นานจากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์มาทางผมพร้อมกดเปิดลำโพง
“มิสซิสแกรนด์”เขาบอก พร้อมใช้สายตากดดันให้ผมพูดตรงนี้
“ครับ” ผมกรอกเสียงใส่โทรศัพท์
(น้องรันต์ ไม่เป็นอะไรใช่ไหมลูก) เสียงป้าพิมพ์พูดขึ้นอย่างสั่นเครือ
“น้องรันต์ไม่เป็นไรครับ ป้าพิมพ์เป็นยังไงบ้า เขาได้ทำอะไรป้าพิมพ์กับลุงแดนรึเปล่า” ผมถามเรียบๆ พยายามไม่พูดให้ทางนั้นกังวล
(เขา…ไม่ได้ทำอะไรพวกเรา แค่…ไม่ให้พวกเราไปไหน น้องรันต์ป้าขอโทษนะลูก ฮึก…เพราะป้า ฮือออ) ป้าพูดไปสะอื้นไป ทำเอาผมเจ็บที่ใจแปลบๆได้แต่กัดฟันจนเจ็บกรามไปหมด
“ป้าพิมพ์ ไม่ต้องห่วงนะครับ น้องรันต์เอาตัวรอดได้ และน้องรันต์จะไม่ให้ใครมาทำอะไรลุงกับป้าของน้องรันต์แน่” ผมบอกป้าและย้ำกับตัวเองไปในตัว
(ฮึก ดูแลตัวเองดีๆนะลูก ไม่ต้องห่วงป้ากับแดน ฮึก)
“ครับ ป้ากับลุงแดนไม่ต้องเป็นห่วง ดูแลตัวเองดีๆก็พอแค่นี้นะครับ คราวหลังถ้ามีโอกาสเดี๋ยวน้องรันต์โทรหาใหม่” พูดจบผมก็กดวางสาย ไม่อยากได้ยินเสียงป้าร้องไห้อีก
ผมเดินเอาโทรศัพท์ไปวางตรงหน้าฝรั่งคนนี้ ก่อนจะพูดกับเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ
“พาผมไปหาเขาสิครับ คุณ…” ผมเว้นจังหวะหยุดชื่อไว้
“ผมชื่อ โจเซฟ บราวน”
“ครับ คุณบราวน ”ผมพยักหน้ารับรู้
เขาพาผมออกจากห้อง เดินไปที่ลิฟท์ ใช้คีย์การ์ดสีทองคนละอันกับตอนแรกแนบลงไป เราเดินเข้าไปจุดหมายคือชั้น 40
“นี่นามบัตรผม สงสัยหรือมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับคุณทศกัณฐ์โทรมาได้ ถ้าตอบได้ก็จะตอบ” เขายื่นนามบัตรแล้วเอ่ยนิ่งๆ
ผมรับมาแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ
“แล้ววันนี้ผมต้องทำอะไรบ้าง”
“ทำให้เขายอมรับคุณ” บราวนเอ่ย
ติ้ง! 40
ทางเดินที่ปูพรมสีแดงเลือดหมู ทั้งชั้นเงียบมาก สังเกตดูมีห้องเพียงฝั่งละสองห้องเท่านั้น
เขาพาผมเดินมาห้องริมซ้ายสุด
4001
กริ๊งๆๆๆๆ
แกร็ก! แอ๊ดดด!
“กวนตีนนะเจฟ” รออยู่เกือบห้านาทีคนในห้องจึงเปิดประตูออกมา พร้อมคำทักทายด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆติดจะหงุดหงิด ผมไม่เห็นหน้าเขาหรอกครับ นายบราวนยืนบังผมซะมิดได้ยินแค่เสียง แต่น้ำเสียงคุ้นหูจังวะ
“ถ้าไม่ทำอย่างนี้ คุณจะไม่ตื่นน่ะครับ” บราวนบอกนิ่งๆ
“แล้วมีอะไร” น้ำเสียงทุ้มแหบเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
“ผมพาผู้ช่วยคุณมาส่ง” หึ!ผู้ช่วยหรือขี้ข้า พูดให้มันตรงหน้าที่หน่อยเถอะ
“บอกว่าไม่เอาไงวะ มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยไปผมดูแลตัวเองได้” เสียงเข้มขึ้นอีกระดับ
“ยังไม่เจอเลยนะครับ บางทีเขาอาจจะช่วยคุณได้ก็ได้” พูดจบนายบราวนก็เบี่ยงตัวไปอีกด้าน ทำให้ผมเผชิญหน้ากับเจ้าของห้องโดยตรง
วินาทีแรกที่สบตากัน ผมเผลอกั้นหายใจจนเกือบลืมสูดอากาศเข้าปอด เหมือนภาพเดจาวูซ้อนกันกับวันนั้น
ผู้ชายตรงหน้าผมหรี่ตามองผม แล้วนิ่งไปเหมือนนึกอะไรสักอย่าง
ผมทรงLAYERED UNDERCUT ยุ่งๆที่ยังไม่เซ็ต แต่ก็เห็นหน้าหล่อๆชัดเจน ส่วนสูงที่น่าจะสูง สัก 185-187 เซนติเมตรได้ ใส่กางเกงผ้ายืดขายาวสีดำตัวเดียว หน้าท้องมีผ้าพันแผลพันไว้ ซิกแพ็คเป็นลอนเรียงกันสวยงาม ผิวที่แขนเป็น2สี ยืนค้ำประตูไว้
แล้วที่สำคัญ ดวงตาสีเขียวหม่นนั่น
เขาคือผู้ชายในซอกตึกคนนั้น!
แม่งโลกกลมไปไหนวะ...เป็นสี่เหลี่ยมบ้างก็ได้ กูไม่ว่าหรอก
“สวัสดีครับ”ผมเอ่ยทักเขา พร้อมรอยยิ้มอ่อนๆกดความประหลาดใจไว้ในใจ สังเกตเห็นดวงตาเขาไหววูบไปแวบหนึ่ง
“พามันกลับไป” ทศกัณฐ์เอ่ยเสียงเย็นชาใส่ สีหน้าเขานิ่งเรียบจนดูน่ากลัว
“ทำมะ…”ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค
“กูเกลียดผู้ชายตอแหล” เขาเอ่ยตัดบทด้วยน้ำเสียงเย็นๆ หรี่ตามองผมเหยียดๆ
รอยยิ้มที่ใบหน้าผมค้างเติ่ง
เกิดมาไม่เคยมีใครทำให้ผมหน้าชาได้มากขนาดนี้มาก่อน
ครับคุณทศกัณฐ์...
มึงเจอกูแน่! ไอ้ยักษ์เหี้ย!!!
+++++++++++++++++++++++++
***แก้คำผิดและrewrite บางจุด(เนื้อหายังคงเดิม)