-19-
เช้าวันใหม่ ผมลงจากห้องมาช้ากว่าปกติ คนในบ้านเลยออกไปกันหมด ดีที่ป้าแม่บ้านเก็บข้าวเช้าไว้ให้ ทุกวันนี้ คนในบ้านที่ผมคุยด้วยมากที่สุดก็คงเป็นป้าแม่บ้านนี่แหละ
“แม่ออกไปไหนเหรอครับ ป้ารู้ไหม”
“คุณหญิงไปทำเล็บค่ะ แล้วคงไปสปาต่อ”
ผมเบ้ปากหลังจากได้ยิน ทำไมแม่ใช้ชีวิตสุขสบายไร้เรื่องกังวลใจได้ขนาดนี้ ทั้งที่มีเรื่องเกิดขึ้นมากมายแต่กลับไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อเรื่องพวกนั้น
“วันนี้ผมอาจกลับช้านะครับ” บอกหลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จ ป้าแม่บ้านก็ยิ้มรับ ก่อนจะร้องทักขณะผมลุกจากเก้าอี้ “ครับ?”
“เมื่อวาน ป้าแอบเห็นคุณหญิงคุยกับคุณขิงที่รั้วข้างบ้านด้วยค่ะ แม้จะปิดหน้าปิดตา แต่ป้ามั่นใจว่าเป็นคุณขิง”
“ป้าพูดจริงเหรอครับ พี่ขิงมาหาแม่เหรอ” ผมว่า ทั้งคู่ต้องมีเรื่องอะไรแน่ “ขอบคุณนะครับป้า”
ผมยกมือไหว้ก่อนจะออกมาควบมอเตอร์ไซค์ตัวเอง ที่จริงวันนี้มีเรียนช่วงเช้า แต่ออกตอนนี้คือเข้าเรียนไม่ทันแน่นอน พอรถพ้นประตูรั้ว ความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้น เหล่ตาดูกระจกมองหลังก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันที่เคยคิดจะทำร้ายผมในมหาลัยขี่ตามหลังมาติดๆ นี่ถึงขั้นตามมาดักที่หน้าบ้านเลยเหรอวะ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว
ผมบิดเร่งความเร็วเพื่อจะหลบ โชคดีที่มอเตอร์ไซค์ KSR สีดำของผมคันเล็ก เลยซิกแซกไปมาตามช่องว่างของรถได้ แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี เมื่อยังเห็นหมวกดำๆ ขี่ตามมา ผมจำได้ว่า ซอยข้างหน้าจะมีทางแคบเล็กๆ ระหว่างตึกอยู่ คิดปุ๊บผมก็เลี้ยวปั๊บ ทางแคบที่ว่านั้นรถผมสามารถเข้าไปจอดได้พอดิบพอดี ดับเครื่องจอดรอดู ไม่นานมอเตอร์ไซค์คันที่ตามก็ผ่านผมไป นี่พวกมันคิดจะฆ่าผมหรือเปล่าวะ ถึงตามขนาดนี้ หรือต้องการอะไรจากผม โคตรสับสน เมื่อวานหากไม่มีเจมส์อยู่ด้วยผมก็คงลุยไปแล้ว แต่เพราะมีเพื่อนรักข้างๆ ผมไม่อยากให้มันต้องมาเจ็บตัวด้วย ที่สำคัญ ฝั่งนั้นมีปืน ขืนทำอะไรบุ่มบ่าม มีหวังลงหลุมอย่างเดียว
จอดรออยู่นานให้แน่ใจว่าพวกมันจะไม่ย้อนกลับมาอีก ผมก็รีบสตาร์ทรถแล้วบิดไปมหาลัยทันที คนที่สามารถพกพาปืนมาในที่สาธารณะแบบนี้ได้ ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่มือปืนก็พวกนักเลงที่มีคนใหญ่คนโตคุ้มครอง ผมไม่เคยมีเรื่องด้วยไม่ว่าจะพวกไหน แต่ทำไมต้องมาจ้องหาเรื่องผมด้วยวะ
ตึกคณะที่เคยแปลกตาในวันแรก ตอนนี้ผมจำได้แม้แต่ซอกเล็กๆ ที่เดินลัดเลาะไปยังโต๊ะประจำ ซึ่งวันนี้โต๊ะประจำแปลกไปกว่าทุกครั้ง เมื่อผมเห็นตัวเองนั่งอยู่ที่โต๊ะนั่น เดี๋ยวสิ ผมอยู่นี่ แล้วที่นั่งอยู่นั่น... ผมแอบเดินเข้าไปเงียบๆ เพื่อให้อยู่ใกล้กลุ่มนั้นที่สุด เพราะอยากได้ยินเสียงพวกเขาคุยกัน สุดท้ายก็ได้มุมถังขยะที่โชคดีไม่มีกลิ่นเหม็นรบกวนจมูก
“มึงให้กูกินขนาดนี้ เดี๋ยวกูเป็นเบาหวานพอดี” แม้เจมส์จะบ่น แต่ผมก็เห็นมันหยิบขนมใส่ปากอยู่ดี “ไม่กินเหรอวะขมิ้น” ขำค้างเมื่อได้ยิน นี่ผมหูเพี้ยนไปหรือเปล่า เมื่อกี้เจมส์มันเรียกคนข้างๆ มันว่าไงนะ ขมิ้นเหรอ อ่าว แล้วผมล่ะ ผมเป็นใคร
“แค่กูเห็นมึงกิน กูก็อิ่มแล้วไอ้ห่า” คนตอบหัวเราะร่าอย่างไม่เคยเป็น น้ำเสียงก็ดูทุ้มกว่าเดิม “พี่ไฮท์ไม่กินเหรอ ขมิ้นไปต่อแถวซื้อมาเลยนะ ร้านดังด้วย”
ชื่อคนที่ทำให้ผมใจเต้นหลุดออกมา โคตรลุ้นเลย อยากรู้พี่ไฮท์จะรู้ไหม ว่านั่นไม่ใช่ขมิ้นตัวจริง
“ใส่ใจกูจริงนะ รู้ด้วยว่ากูชอบกินขนมหม้อแกง” ว่าแล้วพี่ไฮท์ก็ยิ้มออกมา หัวใจผมกระตุกทันที ไม่ได้โกรธหรอกนะครับ แค่เสียใจเล็กๆ
“ก็อยากใส่ใจมากกว่านี้ด้วย” ตอนนี้ถังขยะตรงหน้าสั่นมาก ผมแทบอยากจับทุ่มใส่คนที่ปลอมตัวมาเป็นผม “ขนมพี่บิ๊กก็มีนะ หวานน้อยแต่อร่อย”
“ขอบใจ” เสียงตอบแข็งกระด้างแต่ก็ไม่ทำให้คนชวนหุบยิ้ม “มึงนี่รู้เก่งจังนะ ว่ากูไม่ชอบกินหวาน”
“ก็ต้องรู้สิ คนพิเศษของเพื่อนนี่น่า”
“ทั้งที่กูไม่เคยบอกน่ะเหรอ”
สิ้นเสียงพี่บิ๊ก คนที่ยิ้มร่าก็ค่อยๆ นิ่ง แต่ก็ยังพยายามยิ้มอยู่
“แหม ก็เจมส์บอก”
“มึงต้องการอะไรกันแน่”
“พี่บิ๊กหมายความว่ายังไง ขมิ้นไม่เข้าใจ”
“มึงไม่ใช่ไอ้ขมิ้น”
อยู่ๆ พี่ไฮท์ก็โพล่งออกมา คนที่ฉีกยิ้มหวานเมื่อกี้ตอนนี้หน้าเฉยชาที่สุด
“พี่ไฮท์ นี่ขมิ้น...”
“เลิกหลอกลวงได้แล้วไอ้ขิง กูรู้จักกับมึงมากี่ปี ทำไมกูจะดูไม่ออกวะ” เจมส์พูดแทรก ก่อนมันขยับตัวลุกขึ้นยืนแล้วจ้องหน้าพี่ขิงนิ่ง
“เจมส์ ทำไมมึงพูดแบบนั้นล่ะ กูขมิ้นไง” พี่ขิงยื่นมือไปจับข้อมือเจมส์ แต่ก็ถูกสะบัดออกแทบจะทันทีที่สัมผัส “เจมส์ กู”
“ถึงกูจะเพิ่งรู้จักกับน้องมึง แต่ก็รู้ว่ามันไม่มีทางไปซื้อขนมแพงๆ แบบนี้มาให้ แล้วมันก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับทุกคนเลย ขนมหม้อแกงมันก็ไม่รู้ ว่าพี่ไฮท์ชอบ กูไม่เคยบอกอะไรมันสักอย่าง”
จริงที่สุด ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าพี่ไฮท์ชอบกินขนมหม้อแกง
“คือแบบว่า...”
“มึงทำแบบนี้ ต้องการอะไรกันแน่ คิดจะมาก็มา ไม่อยากมาก็หายไปเลย ไหนจะเรื่องไอ้ขมิ้นน้องมึงอีก ไม่สงสารมันเหรอ ชีวิตมันหายไปช่วงหนึ่งเพราะมึงเลยนะ” แทบอยากจะเข้าไปกอดเจมส์แน่นๆ ผมโคตรรักมันว่ะ “อย่าทำให้กูผิดหวังกับมึงไปมากกว่านี้เลย”
“มึงท่าจะเพี้ยน กูขมิ้นไง”
“เลิกโกหกได้แล้วพี่”
เมื่อพี่ขิงยังปากแข็งไม่เลิก ผมเลยเดินเข้าไปหา พอพี่ขิงหันมาเห็นผมก็ดูตกใจแต่ยังนิ่งเก็บอาการ ปากแดงคลี่ยิ้มบางๆ ส่งมาให้
“อ่าว พี่ขิง หายไปไหนมา”
“พี่คิดว่านี่มันคือละครเหรอ พวกเขาไม่ได้โง่ที่จะดูไม่ออกว่าพี่กำลังโกหกเขาอยู่ เลิกทำตัวเหี้ยๆ แบบนี้ได้แล้ว ถามจริงๆ เถอะ พี่ไม่เหนื่อยเหรอวะ”
คำพูดของผมอาจจะรุนแรงไป แต่เมื่อเทียบกับเรื่องที่ผมเจอ มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ พี่ขิงที่ได้ยินปุ๊บหน้าก็เปลี่ยนทันที รอยยิ้มที่มีก็หดหายหลงเหลือแค่เพียงใบหน้าเรียบเฉย
“งั้นเหรอ พอดีพี่มีธุระต้องไปก่อน” พี่ขิงยักไหล่ไม่รู้สึกผิดพลางจะเดินหนี แต่ผมรีบคว้าแขนไว้ซะก่อน
“พี่จะหนี จะทิ้งปัญหาพวกนี้ไปถึงเมื่อไหร่ แล้วที่พี่ไปขโมยเงินลุงเจ้าของบ้านนั่น พี่ทำได้ยังไง เขารักพี่จะตาย”
“ขมิ้นรู้ได้ไง” พี่ขิงตกใจจนเบิกตาโต หน้าขาวซีดเผือด “ขมิ้นรู้ได้ยังไง ตอบพี่มาสิ!”
“ผมเห็น”
“เห็น? เห็นอะไร!”
“ลุงเจ้าของบ้านเอาคลิปให้ดู เขาติดกล้องในห้องทำงาน”
“เมื่อไหร่ พี่ถามว่าเขาติดตั้งแต่เมื่อไหร่” พี่ขิงตะคอกเสียงดังทำเอาคนแถวนั้นหันมามอง บ้างก็ตกใจเมื่อเห็นเราสองคนหน้าเหมือนกันราวกับอีกด้านเป็นกระจกเงา “ขมิ้น! พี่ถามว่าเขาติดกล้องนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่!”
“ไม่รู้ ผมไม่รู้” พยายามดึงตัวเองให้ออกจากการเขย่าของพี่ขิง มือสองข้างที่จับแขนผมบีบรัดจนปวดไปหมด “พี่ขิงปล่อย!”
“มันจะจับพี่ไหม มันบอกขมิ้นว่ายังไง แล้วคลิปนั่นมันได้ให้ตำรวจไปหรือยัง คลิปอยู่ที่ไหน ขมิ้นตอบมาสิ!”
“ไม่รู้เว้ย!”
“มึงไม่รู้ได้ยังไงวะ ก็มึงอยู่บ้านหลังนั้น แล้วทำไมแม่ไม่บอกกู หรือแม่จะไม่รู้ เชี่ยเอ๊ย”
ตอนนี้พี่ขิงเหมือนคนบ้าที่ควบคุมสติตัวเองไม่ได้ ผมพยายามพูดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมฟัง เลยต้องใช้หมัดเรียกสติ ผมชกเข้าโหนกแก้มพี่ชายไปเต็มแรงจนร่างผอมนั่นปลิวไปชนกับขอบโต๊ะทำให้ขนมตกเกลื่อนเต็มพื้น ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของคนในเหตุการณ์ พี่ขิงก็ปรี่เข้ามาหาผม หากไม่ได้พี่ไฮท์ที่คว้าตัวไว้ ผมอาจถูกต่อยคืนไปแล้ว
“ปล่อยกูไอ้เหี้ยไฮท์!” พี่ขิงโวยวายพยายามดึงตัวเองออก แต่ดิ้นยังไงก็ไม่หลุด
“มึงเลิกบ้าได้แล้ว!” แม้จะถูกตะคอกข้างหู แต่ความบ้าของพี่ขิงก็ไม่ลดลงเลย ทั้งมือ ทั้งขาพยายามจะพุ่งมาหาผมซะให้ได้ “ไอ้เชี่ยขิง ถ้ามึงไม่หยุด กูกระทืบมึงตรงนี้แน่!”
พูดจบ คนดิ้นก็ค่อยๆ สงบ พี่ขิงหันหน้าไปมองพี่ไฮท์พร้อมน้ำตาคลอเต็มเบ้าตา
“ทำไม...ทำไมมึงไม่ปกป้องกูแบบไอ้นั่นบ้าง”
“เพราะมึงไม่ใช่ขมิ้น และกูเกลียดมึง”
เป็นคำพูดที่โคตรจะรุนแรงในความรู้สึก แต่มันตรงและดีที่สุดในการตัดปัญหา พี่ขิงมองหน้าพี่ไฮท์ด้วยแววตาตัดพ้อพร้อมปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาอาบแก้ม
“แล้วมึงจะเสียใจที่พูดออกมาแบบนี้”
“กูไม่มีวันเสียใจกับสิ่งที่กูพูดและกูรู้สึก”
พอพี่ไฮท์พูดจบ ดวงตาชุ่มน้ำก็ตวัดกลับมามองผมด้วยความวาวโรจน์ ก่อนที่ผมหรือใครจะพูดอะไรต่อ ก็มีวัตถุบางอย่างปลิวผ่านหน้าไปกระแทกเข้ากับกำแพง เสียงคล้ายกับแก้วแตกดังลั่นจนทุกคนพากันหาที่หลบ และผมก็ถูกพี่ไฮท์ที่พุ่งมาจับตัวตอนไหนไม่รู้ดึงให้ก้ม เพราะกลัวว่าจะมีอะไรถูกขว้างเข้ามาอีก
“แล้วเจอกัน น้องรัก”
ผมเงยหน้ามองพี่ชายตัวเองที่จ้องมองอยู่ก่อนแล้ว สายตาพี่ขิงดูน่ากลัวจนผมต้องกระพริบตาถี่ ยิ่งรอยยิ้มมุมปากที่ยกให้ มันช่างดูไม่น่าไว้วางใจเลย หลังจากพูดจบ พี่ขิงก็เดินเข้าไปหารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดรออยู่ ก่อนขึ้นซ้อนด้านหลัง รถนั่นที่ขี่ตามผมตอนออกจากบ้านนี่หว่า
“ไอ้ขมิ้น รถคันนั้น” เจมส์สะกิดข้อศอกผมยิกๆ มันก็คงจำได้
“อืม” ตอบโดยไม่มองหน้าเพื่อนตัวเอง
เป็นแบบที่คิดไว้จริงๆ
****
“พี่จะจ้องหน้าผมทำไมเนี่ย” ถามไปหลายรอบ แต่พี่ไฮท์ก็ไม่มีคำตอบใดๆ แถมยังจ้องหนักกว่าเดิม และใกล้กว่าเดิม “พี่ไฮท์ จะสิงผมหรือไงเนี่ย” ยกมือดันหน้าที่แทบจะชิดกับหน้าตัวเองออก จนได้ยินเสียงฮึดฮัดพร้อมเจ้าตัวจะขยับไปนั่งตามเดิม
“วันนี้ไปนอนบ้านกูไหม” คำชวนเรียบๆ แต่ก็ทำผมยิ้มออกมา
“คิดไงถึงชวน” ทำตาล้อเลียนเลยถูกตีหน้าผากดังป๊าบ
“กูเป็นห่วง”
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
“อย่าอวดเก่ง” ผมยิ้มประจบพี่ไฮท์ที่ดูเป็นห่วงผมจริงๆ ก็นะ เรื่องที่เกิดขึ้นกับผม มันเกิดติดๆ กัน ก็ต้องน่ากังวลเป็นธรรมดา “เอาไง”
“ต้องกลับไปเอาเสื้อผ้าก่อน”
“ปกติก็ใส่ของกู จะกลับไปเอาทำไม”
“คนเราก็ต้องมีความเกรงใจเป็นธรรมดา”
“มึงสะกดเป็นด้วยเหรอ คำว่าเกรงใจ”
โอ้โห ความปากร้ายของพี่เขายังเสมอต้นเสมอปลาย แต่ถึงจะปากร้ายก็ใจดี แม้กับผม จะร้ายมากกว่าดีก็เถอะ กับคนอื่นพี่ไฮท์คือเทพบุตรสุดหล่อเชียวนะ ได้ยินคำชมนี้มากับหู
หลังจากฟังคำด่า คำบ่นของพี่ไฮท์มาพอสมควร ก็ถึงเวลาขึ้นเรียน เจมส์ไปนอนอืดรออยู่ในห้องแล้ว นี่ก็โทรตามยิ่งกว่าเมียอีก แต่พอมาเรียนก็กลับไม่ได้เรียน ตาสองคู่ดูบอร์ดด้านหน้าก็จริง แต่หูได้ยินแต่คำบ่นของเจมส์อยู่ตลอด มันบ่นเรื่องของพี่ขิงตั้งแต่ผมโผล่หน้ามาให้เห็น สงสัยจะเก็บกดมาตั้งแต่เช้า เห็นว่าพี่ขิงพูดจาดีด้วยทั้งคาบ ฟังจนขนลุก ต้องออกไปขี้อยู่หลายรอบ พูดดีก็บ่น พูดร้ายก็ว่า อะไรของมัน เอาใจยากฉิบ
“มึงจะเอาไงต่อ กูว่าพี่มึงไม่ธรรมดาแล้วว่ะ คบนักเลงด้วย”
“ก็ต้องระวังตัวมากกว่าเดิม”
“ในมหาลัยมันยังกล้ามาหาเรื่อง มึงต้องระวังตัวเองดีๆ นะเว้ย กูเป็นห่วง”
“ขอบใจ มึงก็ด้วย”
“มึงหนักกว่า กูเห็นไอ้ขิงมองมึงก่อนไปแล้วกลัวแทน โคตรเกรี้ยวกราด” เผลอหลุดขำออกมาหลังจากได้ยิน แต่คนพูดยังทำสีหน้าจริงจังจนผมต้องหยุดขำ “เรื่องนี้ไม่ตลกนะเว้ย กูซีเรียล”
“ซีเรียสหรือเปล่าวะ ซีเรียลนั่นเอาไว้ใส่นมแล้วกินตอนเช้า”
“ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละ”
คราวนี้ผมหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อได้ยินคำแถของเพื่อน อยากคิดว่าเป็นมุกนะ แต่สีหน้าจริงจังตอนพูด มันคิดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ก่อนเสียงกระแอมหน้าห้องจะดังเตือนว่าเรากำลังเรียนอยู่ ผมรีบยกมือขอโทษอาจารย์หน้าห้องแล้วหันกลับมาถลึงตาใส่เจมส์ มันยักไหล่ทำไม่รู้ไม่ชี้ คนแบบนี้ก็มีครับ
กว่าจะเลิกเรียนก็ค่ำ ผมรีบกลับบ้านเพื่อไปเก็บเสื้อผ้า ใส่ชุดของพี่ไฮท์มานานจนเจ้าของชุดบ่น เลยต้องมาเอาชุดนอนตัวเองบ้าง แต่พอมาถึง ทุกคนในบ้านต่างก็ดูกระวนกระวายแปลกๆ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” ลองถามป้าแม่บ้านที่เดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ที่เชิงบันได ป้าแกไม่ตอบเอาแต่ทำหน้าตาเป็นกังวล “ป้า...” ยังไม่ทันได้พูดอะไร ลุงเจ้าของบ้านก็เดินลงมาจากด้านบนพร้อมกระเป๋าเดินทาง “ลุงจะไปไหนครับ”
“ฉันมีธุระ จะไม่อยู่สักพักนะ” ลุงเจ้าของบ้านไม่ได้บอกผม เพราะสายตากำลังมองไปยังป้าแม่บ้าน แต่ก่อนจะเดินไป ลุงแกก็หันมามองผมพร้อมยื่นซองเอกสารมาให้สองซอง “เอกสารซองสีน้ำตาลเป็นสิ่งที่เธอสมควรรู้จะได้ระวังตัว ส่วนอีกซอง ฉันให้”
“ครับ?”
“กลับบ้านเธอไปซะ”
พูดสั้นๆ แค่นั้นโดยไม่มีคำอธิบายเพิ่ม ก่อนลุงเจ้าของบ้านจะรีบไปขึ้นรถ และไม่นานรถตู้ก็ออก ผมมองซองเอกสารสองซองในมือแบบงงๆ แต่ก็ไม่ได้สนใจมากเพราะต้องรีบขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า ใช้เวลาไม่นานก็แบกเป้ลงมา ด้านล่างป้าแม่บ้านก็ยังคงอยู่
“ป้ามีอะไรกับผมหรือเปล่า”
“คุณก็จะออกไปไหนหรือคะ”
“ผมแค่ไปนอนบ้านเพื่อน พอดีต้องทำรายงาน ป้ามีอะไรหรือเปล่า”
ท่าทางของป้าดูแปลกๆ ไป เหมือนมีอะไรในใจ
“ป้ามีอะไรจะให้ดูค่ะ”
ผมเดินตามป้าแม่บ้านไปห้องครัว คนเดินนำหันซ้าย หันขวาก่อนหยิบโทรศัพท์ออกมา ผมชะโงกหน้าไปดูตอนป้าบอก สิ่งที่เห็นคือรูปของพี่ขิงที่สวมชุดนักศึกษายืนคุยกับแม่หน้าบ้าน
“นี่มัน”
“พอดีป้าเห็นก็เลยแอบถ่ายไว้ค่ะ ท่าทางดูไม่ค่อยน่าไว้ใจ พอคุยกันจบคุณหญิงก็ออกจากบ้าน แล้วคุณท่านก็กลับมาเก็บของ”
“แล้วป้าเอาให้ใครดูหรือยัง” พอป้าส่ายหน้าผมก็ถอนหายใจ ไม่ใช่อะไรนะครับ แค่เป็นห่วงป้ากลัวจะเป็นอันตรายหากมีคนรู้ “ป้าลบเลยก็ได้นะครับ มันดูไม่ปลอดภัย แล้วก็ ขอบคุณที่บอกผม”
“ป้าแค่เป็นห่วงคุณ แล้วตอนนี้คุณท่านก็ไม่อยู่ด้วย”
“ลุงเจ้าของบ้านไปไหนหรือครับ เกิดอะไรขึ้น”
“ดูเหมือนจะถูกข่มขู่ค่ะ แต่ป้าก็ไม่ค่อยรู้อะไรมาก”
ได้ยินปุ๊บ คิ้วผมก็ขมวดปั๊บ ลุงเจ้าของบ้านมีอำนาจ มีมือปืน แล้วใครมันกล้าข่มขู่วะ หรือจะมีใครใหญ่กว่านี้
“ป้าดูแลตัวเองดีๆ นะครับ บางเรื่องเห็นหรือรู้อะไรก็เงียบๆ ไว้ ผมว่า เรื่องนี้มันอันตราย”
“ค่ะ คุณก็ต้องระวังตัวนะคะ”
ผมยกมือไหว้ป้าแม่บ้านที่ดูจะรักผมมากกว่าแม่ซะอีก พอออกจากบ้านมาผมก็ตรงไปยังคลินิกพ่อพี่ไฮท์ ซึ่งตอนนี้อยู่ตรงหน้าไม่ถึงห้าสิบเมตร แต่จู่ๆ ก็มีรถกระบะยกสูงวิ่งเข้ามาปาดหน้าจนรถผมแทบเสียหลัก ดีที่ผมมีสติพอเลยเบรกไว้ได้ทัน ตอนแรกคิดว่าพวกขับรถกวนโมโห แต่พอคนนั่งข้างชะโงกหน้าออกมามองพร้อมรอยยิ้ม รู้ได้ทันทีว่าจงใจทำให้ผมรถล้ม คนโผล่หน้ามาจำได้ว่ามันคือคนที่ยกปืนเล็งตัวเงินตัวทองในสวนวันนั้น และก่อนที่รถจะขับออกไป มันโบกมือให้ผมส่งท้ายด้วย
ผมไปฆ่าพ่อ ฆ่าแม่มันมาหรือเปล่าถึงตามกันขนาดนี้ ถ้าหนักกว่าผมคงต้องแจ้งความแล้วล่ะ
วันนี้คลินิกปิดเร็ว พอผมมาถึงทุกคนก็กำลังช่วยกันปิดประตูด้านหน้าแล้ว พอหันมาเห็นผมต่างก็ส่งยิ้มมาให้ แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ตีหน้าบึ้งใส่ ถ้าให้ผมเดาคงจะโมโหที่ผมมาช้า และที่เดาแบบนี้ก็เพราะแรงสั่นรัวในกระเป๋ากางเกงเป็นมาตั้งแต่ออกจากหน้าบ้านไม่ถึงห้าสิบเมตรแล้ว ถ้าไม่เสียเวลาเรื่องที่บ้านนั่น ผมก็คงมาทันตอนคลินิกยังเปิดอยู่
“กว่าจะมาถึงนะเรา” คุณหมอพ่อพี่ไฮท์ทักหลังจากลากป้ายคลินิกเก็บไว้ข้างร้าน “คนแถวนี้เป็นห่วงจนหมาแมวกลัวไปหมด” พูดจบก็มีเสียงหัวเราะจากพี่ๆ ผู้ช่วยพร้อมกับผม แต่คนถูกพาดพิงส่งเสียงฮึดฮัดขัดใจ “ไปๆ กลับกัน”
“อ่าว” ผมร้องออกมาเมื่อถูกแย่งกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ และคนแย่งก็เดินสะบัดตูดไปควบรถรอแล้ว “พี่ไฮท์เขาเป็นอะไรเหรอครับ หรือโกรธที่ผมมาช้า”
“ไม่ได้โกรธหรอก แค่งอน”
“งอน?”
ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม คุณหมอเดินหัวเราะไปที่รถของตัวเอง ปล่อยให้ผมมองตามตาปริบๆ หากไม่ถูกคนงอนตะโกนเรียกก็คงยืนอยู่ตรงนั้นอีกหลายนาที
ทันทีที่รถออกตัว ผมก็แทบหงายหลัง พี่ไฮท์แกล้งยกล้อหน้าจนผมต้องรีบคว้าเอวเขาไว้ แม่งแกล้งผมชัดๆ แถมยังมีหน้าหัวเราะอีก
“พี่ทำอะไรของพี่วะ” ถามทั้งที่หน้ายังแนบหลังกว้าง
“ยกล้อไง หรือมึงเห็นกูซักผ้า” เป็นคำตอบที่กวนอวัยวะเบื้องล่างมากที่สุด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะกลัวตก พี่ไฮท์บิดเร่งความเร็วปาดซ้ายปาดขวาจนผมต้องหลับตาอยู่ตลอด เพิ่งรู้ว่าขี่แบบนี้มันน่ากลัวสำหรับคนซ้อน ต่อไปผมจะไม่ขี่ปาดใครแล้ว “ทำไมมึงมาถึงช้า กูโทรไปก็ไม่รับ” เสียงที่โต้ลมเข้าหูทุกคำ แต่ผมไม่ได้ตอบไป “ไอ้ขมิ้น กูถาม”
“จะให้ตอบยังไง ลมตีปากผมเนี่ย”
ถ้าใครเคยดูคลิปที่ลมตีปากแล้วมันกระพือได้ ตอนนี้ปากของผมก็เป็นแบบนั้นเลย เห็นผ่านกระจกยังอดขำตัวเองไม่ได้ จนความเร็วของรถค่อยๆ ชะลอผมถึงขยับมานั่งตัวตรงหลังจากกอดเอวพี่ไฮท์แน่นมาตลอดทาง
“หนาวว่ะ” ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินพี่ไฮท์พูด มันหนาวตรงไหนวะ ร้อนจนเหงื่อไหลเป็นน้ำตกขนาดนี้
“พี่ไม่สบายเหรอ” ยื่นหน้าผ่านไหล่ไปถาม
“เปล่า”
“ก็พี่บอกว่าหนาว”
“ที่กูหนาวเพราะมึงปล่อยมือจากเอวกู”
“พี่ว่าอะไรนะ”
ไม่รู้เพราะลมมันตีปากพี่ไฮท์กระเพื่อมหรือเพราะหูผมฝาดถึงได้ยินประโยคแบบนั้น และคราวนี้ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากมือผมถูกดึงให้ไปกอดที่เอวตามเดิม
“จบนะ”
“อืม”
เขาว่ากันว่า คำพูดไม่สำคัญเท่าการกระทำ ผมว่าจริง โดยเฉพาะกับพี่ไฮท์ด้วยแล้ว ปากเสียก็ที่หนึ่ง กวนโมโหก็ที่สอง แต่การกระทำทุกอย่างมันชัดเจน โดยเฉพาะสิ่งที่กำลังเต้นเร็วภายใต้ฝ่ามือของผม
“รู้สึกไหม?”
คำถามจากพี่ไฮท์ทำให้ผมเลิกสนใจกลิ่นน้ำหอมอ่อนที่ติดจมูก
“รู้สึก”
“รู้สึกว่า?”
“นมพี่แน่นมาก”
“ไอ้เหี้ยขมิ้น”
“ล้อเล่น หัวใจของพี่เต้นโคตรแรง”
“ถ้าไม่เต้น กูก็ตายสิวะ” ก็จริงของพี่ไฮท์ “แต่ที่มันเต้นแรงก็เพราะมึง”
เจอประโยคแบบนี้ผมควรทำยังไงดีครับ ควรเขินไหม หรือทำเป็นไม่ได้ยินดี แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน หัวใจผมก็เต้นแรงเหมือนเดิมและดูจะมากขึ้นซะด้วยซ้ำ
****
“อาว่า ขมิ้นกลับไปอยู่กับพ่อเถอะ จากที่ฟังมา เรื่องมันชักจะบานปลายจนน่ากลัวนะ” คุณหมอตีหน้าเครียดบอกผม หลังจากพี่ไฮท์ให้ผมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง คราแรกผมไม่อยากเอาเรื่องพวกนี้มารบกวน แต่ถูกคะยั้นคะยอแถมบอกว่ามีผู้ใหญ่รับรู้จะปลอดภัยและดีกว่า ผมก็เลยตกลง
“ผมก็บอกมันแบบนั้นแหละ” พี่ไฮท์รีบเสริมขึ้นมา หลังจากเมื่อคืนบ่นเรื่องที่ผมถูกรถปาดหน้าจนไม่ได้หลับได้นอน ขนาดหลับแล้วยังละเมอบ่น โคตรนับถือ “มึงน่ะ อย่าเอาแต่ห่วงคนอื่น เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อน”
“ถูก”
“หรือไม่ก็แจ้งความไปเลย”
“ใช่”
“พ่อ”
“ว่าไง?”
ผมมองพ่อลูกที่พูดสลับกันไปมาด้วยความขำ หน้าตาว่าคล้าย นิสัยยิ่งคล้าย ไม่เหมือนผมกับพ่อ มีแต่คนบอกไม่เหมือนกันสักนิด ทุกคนมักจะบอกผมหล่อกว่าพ่อตั้งเยอะ
“แล้วนี่พ่อมึงรู้เรื่องชั่วๆ ของไอ้ขิงไหม”
“ผมไม่ได้บอก กลัวพ่อโวยวายแล้วเรื่องมันจะใหญ่กว่านี้” พ่อผมเป็นพวกไม่ค่อยยอมคน กลัวใจหากรู้เรื่องจะเข้ามาเอาเรื่องทุกคน “อีกอย่าง ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้าน”
“เมื่อไหร่” คำถามนี้แทรกเข้ามาแทบจะทันทีที่พูดจบ
“ก็เร็วๆ นี้แหละ ส่วนเรื่องเรียนผมก็คงปล่อยเลยตามเลย พี่ขิงจะมาเรียนหรือไม่มาก็อนาคตของเขา”
“แล้วอนาคตของมึงล่ะ จะเป็นไงต่อ”
“ก็...”
“กลัวไม่ได้เจอหน้าเขาก็พูดไปตรงๆ อ้อมไปอ้อมมาทำไมนะคนเรา”
ผมยังไม่ทันได้พูด คุณหมอก็แทรกขึ้นมา ทำเอาลูกชายที่กำลังจะจิ้มไข่ต้ม จิ้มพลาดจนไข่กระเด็นตกข้างจาน หน้าพี่ไฮท์ตอนนี้โคตรเหวอ ไม่รู้ที่หูแดงเพราะเขินเรื่องที่พ่อตัวเองพูดหรือเพราะจิ้มไข่ต้มพลาดก็ไม่รู้
“ผมต้องมาหาปุยเมฆอยู่แล้ว ไม่หายหน้าไปไหนหรอก”
“งั้นมึงก็นั่งกินข้าวกับหมาเลยไป”
“อ่าวไอ้นี่ ด่าพ่อมึงเป็นหมาเหรอ”
แล้วผมกับพี่ไฮท์มองหน้ากันอย่างงงๆ ก่อนที่พวกเราหลุดหัวเราะออกมาเพราะเข้าใจความหมายของคุณหมอ ผมว่า ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังใหญ่ หรืออาหารราคาแพงๆ แต่มันอยู่ที่คนข้างๆ มากกว่า ต่อให้มีเงินนับแสนล้านก็ซื้อความสุขที่แท้จริงไม่ได้
พ่อ...รอไอ้ขมิ้นอีกหน่อย ผมกำลังจะกลับไปหาแล้วนะ
...TBC
ขิงจะร้ายได้มากกว่านี้อีกไหมมมม ทำไมนิสัยเสียแบบนี้ (ด่าแทนทุกคน) ตอนนี้อาจหลากหลายในอารมณ์ไปสักหน่อย (ที่จริงก็เป็นทุกตอน) ต้องกราบขออภัยด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณทุกๆ คนที่สนใจและชอบทั้งพี่ไฮท์แล้วก็น้องขมิ้น ขอบคุณจริงๆ ค่ะ ยังไงแล้วก็จะพยายามพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ เพื่อให้มันดีมากขึ้น ขอบพระคุณค่ะ (กราบแทบอก)
ปล. อีกไม่กี่ตอนจะจบแล้วเด้อจ้าพี่ๆ จ๋าาา
ปลในปล. ความหวานของคู่แป้งเด็กมีแน่นอนค่า จะมีทั้งเสี่ยวและเลี่ยนแน่นอนค่ะ ฮิ้ววว
....
และวันนี้ก็ใกล้ปีใหม่ไทยแล้ว ขออวยพรล่วงหน้าให้เพื่อนๆ ทุกคนมีความสุขกับปีใหม่ไทย ขอให้ร่ำรวยเงินทองและความสุขค่า ใครเดินทางต่างจังหวัดขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ง่วงไม่ขับนะคะ สวัสดีวันสงกรานค่าาา >w<