โรงเรียนนาชาติช่วงพักกลางวันจ้อกแจ้กจอแจอยู่เป็นนิจ จะมีก็เพียงฝั่งเด็กอนุบาลเท่านั้นที่เงียบสงบเพราะเด็กเล็ก เข้านอนกลางวัน ทุกวันพุธ เด็ก ๆ ห้องอนุบาลหนึ่งทับหนึ่งจะต้องเตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเรียนว่ายน้ำ
“It’ s time to get dress. Do you know where are we going?” หลังจากคุณครูประจำชั้นพาเด็ก ๆ ทำกายบริหารหลังตื่นนอน ชุดว่ายน้ำของแต่ละคนก็ถูกวางเรียงตามเลขที่ แยกชายหญิงไว้เรียบร้อย
“Going to swim!” เสียงกรี๊ดกร๊าด ของเด็ก ๆ ทำให้บรรยากาศในห้องคึกคักขึ้นเป็นกอง เด็ก ๆ ถูกจัดให้เข้าแถวเรียงตามเลขที่ เพื่อที่ชุดว่ายน้ำจะไม่สลับกันแม้ว่าจะมีป้ายชื่ออยู่บนอกเสื้อ
“I can wear it.. my own” ภาษาอังกฤษไม่เป็นประโยคของเด็กอนุบาล ทำให้คุณครูประจำชั้นยิ้มกว้าง เธอส่งบอดี้สูทแขนสั้นสีดำให้เด็กชาย ในขณะที่ช่วยเด็กคนอื่น ๆ แต่งตัว
น้องคีนถอดเสื้อผ้าโชว์พุงกลม ๆ สะบัดชุดหาหน้าหาหลัง พอหาเจอแล้วก็เริ่มสวมขาทีละข้าง สองมือป้อมช่วยกันดึงชุดยืดได้ พอสวมชุดได้ น้องคีนก็ใส่แขน ดึงซิปรูดขึ้นจนถึงคอ
“excellent!” คุณครูยกนิ้วโป้งให้เด็กชาย ขยับเข้ามาช่วยจัดชุดให้เข้าทรง
“Thank you.” น้องคีนยกมือขึ้นแท็กกับคุณครู ใบหน้าเปื้อนยิ้มเพราะคำชม
“Then get in line please. We’ re gonna go to swim.” เสียงเริงร่าของคุณครูประจำชั้นยิ่งเรียกให้เด็ก ๆ ร้องเสียงดัง
คุณครูสาวปล่อยให้พี่เลี้ยงเดินนำเด็ก ๆ ทั้งยี่สิบคนขึ้นไปบนชั้นสอง ส่วนตัวเธอเดินตามอยู่ท้ายแถว พอส่งนักเรียนถึงสระ เธอจะได้มีเวลาแวบลงมาเตรียมการบ้านและส่งแจ้งเตือนให้กับเหล่าผู้ปกครองผ่านแอพพลิเคชั่น
เมื่อแน่ใจว่าไม่มีอะไรแล้ว เธอจึงเดินกลับไปที่ห้องเรียน ปล่อยเด็ก ๆ ไว้กับคุณครูวิชาพละศึกษา และทิ้งพี่เลี้ยงไว้ให้ช่วยดูแลอีกหนึ่งคนตามกฎระเบียบ
สระว่ายสำหรับเด็กเล็กน้ำบนชั้นสองมีหลังคาโดมโปร่งแสงคลุมจนมิด ขนาดไม่กว้างขวางหรือลึกมากมายนักหากเทียบกับสัดส่วนผู้ใหญ่ เด็ก ๆ ตั้งแถวอยู่ริมสระ รอฟังคุณครูตัวใหญ่ทักทายและพาเคลื่อนไหวเพื่ออบอุ่นร่างกายก่อนลงสระ
“ว่ายน้ำง่ายจะตาย เราว่ายเป็น” เสียงเล็ก ๆ ดังจากหัวแถว คุยโวถึงความเก่งกาจของตัวเอง
“ไม่ เราไม่ชอบโดนน้ำ” เด็กผู้ชายตัวผอมขยับตัวให้ห่างจากสระน้ำความลึกเมตรครึ่ง ขณะที่ยืดแขนขึ้นเหนือศีรษะตามที่คุณครูสาธิตอยู่ด้านหน้า
“ร็อคกี้ไม่อาบน้ำเหรอ” ต้นเสียงยังคงถามเหมือนเคย
“อาบซี่!” เด็กน้อยเถียงเสียงดัง
“ร็อคกี้ไม่ชอบโดนน้ำ ร็อคกี้ไม่อาบน้ำ ร็อคกี้ฉกปรก” เจ้าเด็กต้นเสียงล้อเพื่อนเสียงดัง “ร็อคกี้ฉกปรก! ร็อคกี้ม่ายอาบน้าม!”
กลายเป็นวงวิวาทย่อม ๆ เมื่อร็อคกี้สู้เสียงล้อของเพื่อนไม่ได้ สุดท้ายมือน้อย ๆ จึงผลักคนล้อเสียเซเกือบล้มด้วยหมายจะให้อีกฝ่ายหยุดปาก ส่วนอีกคนเมื่อมีแรงมาถึงตัวก็สวนกลับโดยพลัน ผลักจนเด็กตัวจิ๋วกระเด็นไปกระแทกเพื่อน ๆ อีกหลายคน
วงวิวาทของเด็กเล็กทำให้คุณครูและพี่เลี้ยงต้องมาช่วยกันแยก เสียงเป่านกหวีดจากคุณครูพละไม่ได้เรียกให้เด็ก ๆ เท่านั้นที่สนใจ แต่ยังทำให้ผู้ใหญ่อีกสองคนที่เพิ่งจะมาเดินดูเรื่องระบบทำความสะอาดสระกับผู้บริหารหนุ่มชะงักไปด้วย
ถึงเด็ก ๆ จะตั้งแถวอยู่ห่างจากสระเกินหนึ่งช่วงตัวผู้ใหญ่ แต่เมื่อเกิดการโรมรันพันตู หางแถวก็สะบัดจนดูไม่เป็นแถวอย่างเคย พี่เลี้ยงอุ้มเด็กคนหนึ่ง คุณครูพละอุ้มเด็กอีกคนหนึ่งออกห่างกัน จังหวะการเหวี่ยงแขนเหวี่ยงขาทำให้หลายคนหลบวืด เบียดกันจนเด็กท้ายแถวคนหนึ่งลื่นเสียหลัก
เสียงตูมจากสระน้ำทำให้ทุกคนอยู่ในอารามตกใจ คุณครูพละปล่อยเด็กที่ตนเพิ่งจะแยกออกจากวงเตรียมจะกระโจนลงน้ำ แต่ไม่ทันผู้บริหารหนุ่มที่สะบัดรองเท้าได้เขาก็กระโดดลงมาทันที
เด็กวัยสี่ขวบยกมือกระพุ่มน้ำ สองขาป่ายปัด เพราะไม่ทันตั้งตัวจึงกลืนน้ำสระไปหลายอึก เมื่อจะหายใจน้ำก็ไหลโกรกเข้าทางปากทางจมูก ผู้บริหารหนุ่มยกตัวเด็กขึ้นมานั่งที่ขอบสระ มือใหญ่ยกขึ้นลูบหน้าลูบตาเด็ก เขาชะงักเมื่อเห็นดวงตากลมโศกซึ้งเหมือนคนเป็นบิดา
...ลูกชายของคราม...
“ไม่เป็นไรแล้วครับ” มือใหญ่ลูบหลังน้องคีนเบา ๆ เมื่อเด็กน้อยสำลักจนไอออกมาหลายที น้องคีนตาแดงแจ๋ พอเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นหลักได้ก็ร้องไห้โถมตัวกอดธาริตทันที
“ชู่ว์ ไม่เป็นไรแล้วลูก” ผู้บริหารหนุ่มกดศีรษะเด็กลงกับอก เขาขึ้นจากสระอย่างทุลักทุเลเมื่อน้องคีนกอดไม่ปล่อย น้ำตาเม็ดโตไหลอาบแก้มกลม ริมฝีปากเบะจนโค้งคว่ำ
พี่เลี้ยงตั้งท่าจะรับเด็กนักเรียนคืน หากธาริตกำชับว่าให้ดูเด็กคนอื่นให้ดี ปล่อยให้คุณครูดำเนินการสอนต่อไป และขอเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวสำหรับเด็กน้อยเท่านั้น เขาขยับไปมุมหนึ่งของสระให้ห่างจากพวกเด็ก ๆ กล่าวขอโทษเวนเดอร์ที่มาเสนอขายงานว่าวันนี้คงไม่สะดวกแล้ว
ร่างสูงใหญ่นั่งลงกับเก้าอี้ ประคองให้เด็กสี่ขวบนั่งบนต้นขา เอาผ้าขนหนูที่พาดไหล่มาห่อร่างกลมป้อมให้อบอุ่น
“น้องคีน..อึก กลัว” ตอนนี้ธาริตเพิ่งรู้ ลูกชายของครามชื่อน้องคีน เป็นชื่อที่ดีทีเดียว
“ตกใจมากเลยใช่ไหมคนเก่ง” ธาริตใช้ปลายผ้าขนหนูซับน้ำใบใบหน้าและศีรษะทุย แม้เสียงร้องจะสงบลง แต่น้ำตาเม็ดโตยังไหลไม่หยุด
“น้องคีนกลัว ไม่เอาน้ำแล้ว” พูดถึงน้ำแล้วน้องคีนก็กำชายเสื้อผู้บริหารหนุ่มแน่นขึ้นอีก
“ไม่ต้องกลัวครับ ทีชเชอร์อยู่นี่แล้ว” อ้อมแขนใหญ่กอดรัดเด็กน้อยไว้แนบอก เขานึกเอ็นดูแก้วตาดวงใจของครามสุดหัวใจ
อะไรที่เป็นส่วนหนึ่งของคนที่ธาริตรัก เขาก็จะรักโดยไม่มีข้อยกเว้น
“น้องคีนหายใจไม่ออก... กินน้ำเต็มท้องเลย” มือป้อมตบพุงตัวเองปุ ๆ คนฟังยิ้มรับ ตะล่อมให้เด็กน้อยคลายมือจากเสื้อได้สำเร็จ
“น้องคีนอยากไปเรียนต่อมั้ยครับ หรือว่าเราจะไปเปลี่ยนชุดแล้วรอเพื่อน ๆ กัน”
“ไม่เอาแล้ว ไม่เอาน้ำ” ใบหน้ากลมช้อนตามองทีชเชอร์ ตาแดง ๆ กับอ้อมแขนที่ผวากอดทำธาริตใจอ่อนยวบ
“โอเค เดี๋ยวเราจะไปอาบน้ำ เสร็จแล้วทีชเชอร์จะให้น้องคีนกลับบ้านก่อนตกลงไหมครับ” เด็กน้อยพยักหน้าหงึกหงัก รู้แค่เพียงว่าไม่ต้องลงน้ำแล้วก็รู้สึกปลอดภัย
เลขาของธาริตมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัว เธอได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ดูแลสระว่าธาริตลงไปช่วยเด็กตกน้ำทำเอาใจหายใจคว่ำ คุณเลขาจัดการเลื่อนประชุมแล้วจึงนำผ้าเช็ดตัวกับเสื้อผ้ามาให้เจ้านาย
“คุณธาริตเปลี่ยนชุดก่อนไหมคะ ส่วนเด็กจะรอคุณครูประจำชั้นสักครู่ก็ได้ค่ะ เธอกำลังตามขึ้นมา” ผู้บริหารหนุ่มตวัดตามองเลขาส่วนตัว ไม่อยากจะดุเพราะเขาเพิ่งย้ายมาที่นี่ และเธอก็เพิ่งทำงานให้เขาได้ไม่ถึงสองสัปดาห์ดีด้วยซ้ำ
“เด็กมาก่อนเสมอ..” เขาเอ่ย “บอกคุณครูประจำชั้นด้วยว่าถ้าผู้ปกครองไม่สบายใจ ให้พาเด็กไปตรวจที่โรงพยาบาลได้ ค่าใช้จ่ายทางโรงเรียนจะออกให้ทั้งหมด” เลขานุการรับคำ เธอหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยเมื่อเห็นความเอาจริงเอาจังของเขา
“มาแล้วค่ะ” คุณครูประจำชั้นของน้องคีนหอบข้าวของตามมา สีหน้าตกอกตกใจน่าดู
“คุณไปแจ้งผู้ปกครองเด็กให้มารับเลย เอาเสื้อผ้าเด็กมาด้วย เดี๋ยวผมจะเปลี่ยนให้” ธาริตรู้ว่าตกใจขนาดนี้ เด็กสี่ขวบคงไม่อยู่ในสมาธิจะทำกิจกรรมอื่น ๆ ต่อไป
ความใส่ใจของผู้อำนวยการโรงเรียนทำให้คุณครูสาวนึกนิยม ทว่าอีกใจก็เป็นห่วงเงินโบนัสปลายปีของตัวเองว่าจะยังมีเหลืออยู่หรือไม่
ใคร ๆ ก็ทราบกันดีว่าธาริตคือบุตรชายคนโตของผู้ก่อตั้งสถานศึกษาเอกชนที่จับมือกับสถานศึกษาชั้นนำจากประเทศอังกฤษ สาขาหัวหินเป็นหนึ่งในสี่ของโรงเรียนนานาชาติในเครือ อันที่จริงเขาเพียงแต่จะนั่งโต๊ะคอยดูตัวเลขแล้วบริหารจากด้านบนก็ได้ เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดคุณธาริตมีผู้บริบูรณ์พร้อมถึงย้ายตัวเองมาควบตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนในสาขาต่างจังหวัด
“ไปอาบน้ำกันดีกว่า” ธาริตอุ้มน้องคีนหมือหนึ่ง อีกมือรับผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าแห้งของน้องคีนมาถือ
ประตูห้องอาบน้ำสำหรับคุณครูถูกปิดลง ร่างสูงใหญ่แขวนอุปกรณ์อาบน้ำและเสื้อผ้าของน้องคีนไว้ที่ราว เขารูดซิปที่หน้าชุดของเด็กสี่ขวบออก
“ทีชเชอร์ครับ” น้องคีนเอื้อมมือมาเกาะไหล่คุณครูเป็นหลักยึด ขยับสองขาออกจากบอดี้สูทให้ธาริตโยนชุดใส่ถุงซิปล็อคประจำตัว ปากน้อย ๆ เอื้อนเอ่ยคำขอ “น้องคีนไม่ว่ายน้ำแล้ว”
“หืม ทำไมล่ะครับ” เขารู้ว่าเด็กวัยนี้คงผวา แต่ยิ่งแตกตื่นไปด้วยเด็กยิ่งกลัว
“ในน้ำหายใจไม่ออก”
“เป็นเพราะว่าน้องคีนยังว่ายน้ำไม่เป็นครับ เอาไว้ถ้าน้องคีนว่ายน้ำเป็นจะสนุกมากเลยนะ” ธาริตเปิดน้ำฝักบัว บอกเด็กชายให้เงยหน้า เขาตั้งใจจะสระผมและล้างตัวให้เรียบร้อย
“ทีชเชอร์ว่ายน้ำเป็นเหรอฮะ” น้องคีนลืมตามองคุณครู แต่อีกฝ่ายกลับยื่นมือมาบังหน้าผาก กลัวว่าแชมพูสระผมจะเข้าตา
“เป็นครับ หัดว่ายตอนอายุเท่าน้องคีนนี่ล่ะ” ธาริตพยักหน้า เติมในใจด้วยซ้ำว่าคนที่สอนพ่อของน้องคีนให้ว่ายน้ำได้ก็เป็นเขาเอง ไม่รู้ว่าป่านนี้จะว่ายแข็งขึ้นหรือยัง
“ถ้าว่ายกับทีชเชอร์ น้องคีนว่าย” เสียงใสแจ๋วของเด็กชายพูดจริงจัง มั่นใจว่าถ้าน้องคีนตกน้ำ ทีชเชอร์จะช่วยได้แน่
“หลอกทีชเชอร์ให้ดีใจหรือเปล่าเนี่ย” ผู้บริหารหนุ่มยิ้ม เขาใช้น้ำจากฝักบัวไล่ฟองออกจากผิวอ่อนบาง รู้สึกคลายใจเมื่อน้องคีนพูดเยอะขึ้น คงหายตกใจบ้างแล้ว
“ไม่โกหก เด็กดีไม่โกหก ปะป๊าบอกว่าน้องคีนเป็นเด็กดี” คนฟังคิดถึง ‘ปะป๊า’ ตามไปด้วย เขานึกอยากรู้ว่าเวลาครามสอนลูกจะเป็นอย่างไร เวลาอยู่กับน้องคีนจะเหมือนแม่เป็ดเดินนำลูกเป็ดหรือเปล่า
“เอาล่ะเด็กดี มาเช็ดตัวแล้วเราจะไปแต่งตัวกัน” คุณครูใหญ่ใช้ผ้าเช็ดตัวห่อเด็ก เขาเห็นมีแป้งอยู่ในกระเป๋าจึงจัดการโรยตัวจนเด็กอนุบาลตรงหน้าหอมฟุ้ง
“ทีชเชอร์อาบน้ำ น้องคีนรอ” เด็กน้อยในชุดพละบอกคุณครูเมื่อแต่งตัวเสร็จ ตากลมมองคุณครูที่เปียกมะล่อกมะแล่ก ด้านนอกไม่มีใครคอยอยู่ มีเพียงถุงพลาสติกสำหรับใส่ผ้าเปียกและเสื้อผ้าที่เธอตระเตรียมไว้ให้
“โอเคครับ น้องคีนนับหนึ่งได้ถึงเท่าไหร่” ธาริตย่อตัวคุยกับน้องคีน ถึงจะมั่นใจว่าน้องคีนคงไม่เฉียดใกล้สระน้ำ แต่ก็ไม่อยากหละหลวม
“น้องคีนนับถึงหนึ่งร้อย”
“งั้นนับแค่ห้าสิบพอ นับดัง ๆ หน้าประตูเลยนะ เรามาแข่งกันว่าทีชเชอร์จะเปลี่ยนชุดเสร็จก่อนหรือน้องคีนจะนับเสร็จก่อน”
ผู้ใหญ่ออกอุบาย การส่งเสียงของน้องคีนจะช่วยบอกตำแหน่งว่าเด็กคนนี้จะอยู่เพียงหน้าประตู ไม่ขยับไปไหนไกลระหว่างที่ไม่อยู่ในสายตาเขา
“โอเคฮะ หนึ่ง.. สอง..” พอน้องคีนเริ่มนับ ธาริตก็ปิดประตู เขาปลดเสื้อผ้าเปียกออก เช็ดตัวลวก ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อโปโลโลโก้โรงเรียนกับกางเกงวอร์มสำหรับคุณครูที่เลขาเขาไปหามาให้
“สี่สิบแปด.. สี่สิบเก้า.. ห้าสิบ!” พอครบห้าสิบประตูห้องน้ำก็เปิดออก น้องคีนหัวเราะชอบใจที่คุณครูมีผมชี้โด่ชี้เด่ แม้แต่ปกเสื้อก็ยังม้วนเข้าด้านใน
“เสมอกันพอดีเลย” ธาริตไม่ได้ส่องกระจกและเด็กก็ไม่ได้บอก สองมือเขารวบเอารองเท้าหนังของตัวเองขึ้นถือพร้อมหิ้วถุงพลาสติกใส่ผ้าเปียกไปด้วย ส่วนกระเป๋าพลาสติกใส่ของของน้องคีนก็ให้เจ้าตัวสะพายขึ้นหลัง
“ทีชเชอร์เก่ง” น้องคีนปรบมือให้เขาสองสามทีแล้วยกมือขวาให้ธาริตจูง มันออกจะทุลักทุเลอยู่บ้างเมื่อธาริตตัวสูงโย่ง แต่น้องคีนเพิ่งจะสูงเลยเข่าเขามานิดเดียว
“วันนี้น้องคีนกลับบ้านก่อนนะ เอาไว้เจอกันใหม่นะครับ” ธาริตโบกมือบ๊ายบายน้องคีนเมื่อพาลงมาส่งถึงห้องเรียน
“บ๊ายบายฮะ น้องคีนว่ายน้ำกับทีชเชอร์นะ” เด็กน้อยย้ำคำ หากธาริตนึกเสียใจว่าคงไม่มีโอกาส ในโรงเรียนเขาเป็นผู้บริหาร นอกโรงเรียนเขาเป็นคนรักเก่าของพ่อน้องคีนที่แม้แต่หน้าครามยังไม่อยากมอง
สุดท้ายธาริตจึงไม่รับคำ เขาเพียงแต่ยิ้มและเดินจากมาทั้งที่รู้ว่าหากอยู่ต่อคงได้พบคราม แค่ลูกตกน้ำอีกฝ่ายคงใจเสียมากพอแล้ว อย่าให้เสียอารมณ์เพิ่มเพราะเห็นหน้าเขาคงดีกว่า
ครามมาถึงโรงเรียนในสิบห้านาทีหลังจากที่คุณครูโทรแจ้ง เขาละมือจากทุกอย่างที่ทำค้างไว้ ฝากแวววรรณให้ช่วยดูร้าน
“ผู้ปกครองน้องคีนครับ” ครามยกมือเคาะประตูกระจก มองเห็นว่าในห้องเรียนมีเพียงน้องคีน
ลูกชายเขาอยู่ในชุดพละเรียบร้อย กระเป๋าเป้นักเรียนและกระเป๋าอุปกรณ์สำหรับเรียนว่ายน้ำตั้งอยู่ข้างกัน เจ้าตัวกลมเปิดหนังสือนิทานอ่านกับคุณครูประจำชั้นเพียงสองคน
“ปะป๊า!” น้องคีนยกมือขึ้นสองข้างเป็นสัญญาณว่าให้คุณพ่ออุ้ม ดูร่าเริงราวกับไม่ได้ประสบอะไรมาเลยสักนิด
“คุณครูต้องขอโทษในความบกพร่องด้วยนะคะคุณพ่อ มันบังเอิญเกิดเหตุไม่คาดคิด” คุณครูประจำชั้นอธิบายสถานการณ์อีกครั้งทั้งที่คุยกันเบื้องต้นผ่านโทรศัพท์แล้ว โชคดีที่ผู้ปกครองของน้องคีนใจเย็น ไม่อย่างนั้นเธอคงโดนร้องเรียนแน่
“ทางคุณครูใหญ่ก็ย้ำมานะคะว่าถ้าคุณพ่อไม่สบายใจ ต้องการจะพาน้องคีนไปหาหมอ ทางโรงเรียนจะช่วยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดเลยค่ะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจดี” ครามยิ้ม เขาเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอแม้ไม่มีใครอยากให้เกิด และทางโรงเรียนก็รับผิดชอบมากที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
“คุณครูอนันต์เป็นคนลงไปช่วยเองเลยเหรอครับเนี่ย” น้ำเสียงไพเราะถามไถ่ เขาประหลาดใจนิดหน่อยที่คุณครูอนันต์อายุไม่น้อยแล้วยังมีแรงกระโจนลงน้ำอีก
“คุณครูอนันต์เกษียณไปเมื่อเทอมที่แล้วค่ะ ตอนนี้มีคุณครูใหญ่คนใหม่มาแทนค่ะคุณพ่อ” คุณครูตอบอย่างนุ่มนวล
“อ้อ... ยังไงผมขอบคุณมาก ๆ นะครับที่ช่วยดูแลน้องคีน” ครามยิ้ม มือหนึ่งอุ้มลูกมือหนึ่งถือกระเป๋าอีกสองใบ
ระหว่างทางกลับบ้าน ครามมองกระจกหลังเห็นน้องคีนมองข้างทางไปเล่าเรื่องคุณฉลามในทะเลที่เรียนเมื่อเช้าไปก็เบาใจได้ว่าลูกคงสบายดี
“คุณครูเล่าให้ปะป๊าฟังว่าวันนี้น้องคีนลงน้ำเหรอลูก” ครามเปรย หลีกเลี่ยงการใช้คำรุนแรงเพื่อไม่ให้ลูกจำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์เลวร้าย
“น้องคีนลื่น หล่นลงน้ำดังตู้ม” เด็กชายเล่า เสียงเล็ก ๆ ไม่ได้ฟังดูหวาดกลัวเขาก็สบายใจไปครึ่งหนึ่ง “หายใจไม่ออกเลย ในน้ำหายใจไม่ได้”
“แล้วน้องคีนทำยังไงครับ” ครามแตะเบรก พ้นแยกไฟแดงหน้าก็ถึงบ้านแล้ว
“น้องคีนร้องไห้” คำตอบซื่อ ๆ ของลูกทำให้ปะป๊าอมยิ้ม
“แล้วยังไงอีก”
“ทีชเชอร์มาอุ้ม อาบน้ำให้ด้วย” คนฟังพยักหน้า คิดในใจแล้วว่าเขาจะต้องหาของไปขอบคุณคุณครูใหญ่ของน้องคีน
“น้องคีนได้ขอบคุณทีชเชอร์หรือเปล่าครับ” ครามหักพวงมาลัย จอดรถในซอยข้างอาคารพาณิชย์
“อุ้ย น้องคืนลืม” เจ้าลูกชายส่ายหน้า สองมือช่วยกันปลดเข็มขัดคาร์ซีท
“โอเค งั้นวันนี้เราต้องเขียนจดหมายขอบคุณคุณครูกันนะครับ” ครามปลดเบลท์ เขาช่วยน้องคีนถือกระเป๋าใบหนึ่ง ส่วนอีกใบให้ลูกสะพายขึ้นหลัง เพราะน้องคีนอยู่ในวัยที่จะดูแลรับผิดชอบของใช้ของตัวเองได้แล้ว
ครามพาลูกชายขึ้นไปเปลี่ยนชุด ตอนนี้เกือบจะบ่ายสองโมงครึ่ง ในครัวขนมอบไม่มีใครใช้งานแล้ว เขาจึงพาลูกชายเข้าไปช่วยกันทำขนมเพื่อขอบคุณคุณครูใหญ่
เจ้าของร้านจัดการเก็บของมีคมใกล้มือทุกชนิดขึ้นชั้นวาง เขาหยิบกระปุกแป้งเอนกประสงค์ โกโก้ ไข่ไก่ น้ำตาล เกลือ และผงฟู ขึ้นมาวาง ให้น้องคีนเป็นคนช่วยตักใส่ชามบนเครื่องชั่งดิจิตอล
ในอ่างผสมมีเนยใส่ไว้ เขาให้ลูกช่วยเทน้ำตาลและเกลือทีละน้อย ใช้ตะกร้อมือตีจนน้ำตาลละลายและเนยขึ้นฟู เขาใส่ไข่ไก่ลงไปผสม ตามด้วยให้น้องคีนช่วยคว่ำถ้วยส่วนผสมที่เหลือตามมา
ครามเอาส่วนผสมในอ่างไปแช่ตู้เย็นพอให้จับตัวราว ๆ สิบห้านาทีแล้วจึงพาน้องคีนล้างมืออีกหน เขาเป็นคนตักเนื้อคุกกี้มาแบออก แล้วลูกก็ช่วยยัดไส้ด้วยช็อกโกแลตชิ้นสี่เหลี่ยม แล้วจึงใช้มือเล็ก ๆ สองข้างช่วยกันปั้นเป็นลูกกลมวางเรียงบนถาดอบขนม
ครามเหลือบมองเจ้าตัวกลม ตั้งใจปั้นจนหน้าดำหน้าแดง น้องคีนไม่หยุดขยับมือถ้าเขาไม่หยุด ไม่ปริปากบ่นเลยสักคำทั้งที่ไม่ใช่นิสัยตามวัย ครามไม่รู้ว่าจะต้องขอบคุณอะไรที่ลูกชายเขาไม่ใช่เด็กเลี้ยงยากอย่างที่นึกหวั่น
“เสร็จแล้ว” น้องคีนยิ้มกว้าง พวงแก้มขึ้นสีแดงเพราะเริ่มจะร้อน “ปะป๊า รางวัลน้องคีน”
เด็กวัยสี่ขวบใช้มือสะกิดปะป๊า แขนเสื้อยืดเขาเลอะคราบโกโก้ไปเป็นแถบ ครามยิ้มกว้าง ดวงตากลมหรี่ลงเป็นจนรูปจันทร์เสี้ยว เขาเอียงหน้าจูบแก้มลูกชายไปหนหนึ่ง ก่อนจะพาน้องคีนไปล้างมือ
จากนี้จะเป็นหน้าที่ของครามทั้งหมด สำหรับคุกกี้แบบกรอบเขาจะอบสองครั้งก่อนบรรจุถุงเพื่อให้กรอบทน บ่ายสามโมงครึ่งในร้านเริ่มยุ่ง ครามจึงเอาลูกขึ้นบ้าน ดูแลร้านผ่านกล้องวงจรปิดในมุมต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดภาพเคลื่อนไหวอยู่บนหน้าจอแท็บเล็ต
น้องคีนไม่เคยดูการ์ตูนผ่านอุปกรณ์พวกนี้หรือโทรศัพท์ เนื่องจากครามจะให้ดูผ่านโทรทัศน์เท่านั้น และเขาเองก็ไม่เล่นโทรศัพท์ให้ลูกเห็น จึงทำให้น้องคีนเข้าใจว่าโทรศัพท์มีไว้โทร และแท็บเล็ตมีไว้เพื่อใช้ทำงานเท่านั้น
รดิศโทรมาหาคราม บอกว่ามีขนมจากคนไข้มาแบ่งให้ครามกับน้องคีนด้วย ทว่าคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวกลับมองเห็นสิ่งซ่อนเร้นชัดเจนโดยที่ไม่มีใครต้องเอ่ย
แค่รักครั้งเดียว ครามก็เจียนตายแล้ว ต่อแต่นี้รักเดียวที่ครามจะยึดไว้ก็คงมีแต่ลูกชายเท่านั้นเอง
“จะมาฝากท้องก็มาเถอะครับ ไม่ต้องมีของฝากก็ได้”
“ถ้ามาทุกวันกลัวเจ้าของบ้านจะเบื่อแย่” น้ำเสียงของรดิศอบอุ่นเกินกว่าจะฟังดูเป็นพวกเจ้าชู้ไก่แจ้ หากเป็นคนไม่ประสีประสาอย่างเมื่อก่อนครามอาจจะเผลอใจไปกับเขาบ้างเหมือนกัน
“วันนี้มีสปาเกตตี้ซอสมะเขือเทศหมูสับนะคุณดิศ” น้ำเสียงไพเราะเลี่ยงด้วยการเปลี่ยนเรื่อง รดิศฉลาดพอที่จะไม่เซ้าซี้และข้ามเส้นจนเขาอึดอัด
“เอาไว้เคลียร์เคสเสร็จแล้วจะรีบไปครับ”
พอหกโมงเป๊ะรดิศก็มาถึงร้าน เขาช่วยเด็ก ๆ ในร้านยกเก้าอี้ขึ้นให้พร้อมสำหรับการทำความสะอาด ครามกำลังช่วยเด็ก ๆ เคลียร์เงินที่แคชเชียร์ ส่วนน้องคีนคงทำการบ้านอยู่กับพี่แววบนบ้าน
“ขยันแบบนี้ผมจะมีค่าแรงพอจ่ายไหมเนี่ย” ครามกระเซ้านายแพทย์หนุ่ม เมื่อส่งลูกน้องกลับกันหมดเขาก็ดับไฟบางส่วนและล็อกประตูกระจกเป็นสัญญาณว่าร้านนี้ปิดบริการแล้ว
“ขอแลกเป็นอาหารเย็นฝีมือเจ้านายก็พอครับ” รดิศเดินขึ้นมาบนชั้นสอง ถอดรองเท้าไว้มุมหนึ่งบนชั้นวาง
อย่างหนึ่งที่เขาชื่นชมในตัวครามคือรสนิยมการตกแต่งบ้าน เขาเห็นบ้านหลังนี้มาตั้งแต่มันยังเป็นตึกแถวเก่า ๆ ครามจัดการรีโนเวทเองกับช่างไม่กี่คนโดยไม่ต้องปรึกษามัณฑนากรด้วยซ้ำ
ชั้นสองแบ่งพื้นที่กันคนละครึ่งกับร้านกาแฟ ครามให้ช่างทำเป็นยกพื้นสูงขึ้นมาจากที่เปลี่ยนรองเท้า ห้องนั่งเล่น โต๊ะรับประทานอาหาร และห้องครัวถูกกั้นออกจากกันด้วยผนังกระจกบานเฟี้ยม ง่ายต่อการเปิดให้เชื่อมถึงกันเพื่อระบายอากาศ เรียกได้ว่าจัดสรรพื้นที่ได้ชาญฉลาดคล้ายกันกับพื้นที่บนคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่
บ้านของเจ้าของร้านกาแฟมีของน้อยชิ้น ส่วนมากจะหนักไปทางตู้บิลด์อินสีน้ำตาลอ่อนรับกันกับผนังสีครีมและกรอบไม้สีโอ๊คเหมือนบ้านญี่ปุ่น เขาเคยถามว่าเพราะเหตุใดบ้านของครามจึงแทบไม่มีของตกแต่ง คำตอบคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวทำให้นายแพทย์นึกนิยม ครามบอกว่าเจ้าตัวกำลังจะมีลูก คงไม่ดีแน่ถ้าเด็กวัยกำลังหัดเดินจะปีนคว้าโน่นคว้านี่เข้าปาก อีกอย่างยิ่งมีของน้อยยิ่งทำความสะอาดง่าย จัดเก็บก็ง่าย รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน อย่างนี้ช่วยประหยัดเวลา
“ทำอะไรอยู่ครับคนเก่งของอา” รดิศนั่งลงที่โต๊ะรับประทานอาหาร เห็นว่าด้านหน้าของน้องคีนมีกระดาษเอสี่หนึ่งแผ่น มีข้อความถูกเขียนด้วยตัวหนังสือโย้เย้
“น้องคีนเขียนจดหมายฮะ”
แค่หัวเรื่องว่า ‘ถึง ทีดเช่อ’ ก็ทำให้คนอ่านยิ้มได้ ครามไม่ได้กะเกณฑ์ว่าเด็กสี่ขวบจะต้องเขียนถูกต้องทุกตัวอักษร เขาเพียงแต่ต้องการให้ลูกรู้จักการแสดงความขอบคุณต่อบุคคลอื่นด้วยความจริงใจเท่านั้น ส่วนประสบการณ์การเขียนคงต้องใช้เวลาสะสมไปเรื่อย ๆ
“วันนี้น้องคีนลื่นลงน้ำ ทีชเชอร์เลยมาอุ้มเลย” เด็กอนุบาลหนึ่ง เล่าให้คุณอาฟัง พอจบเรื่องกุมารแพทย์หนุ่มก็กระวีกระวาดลงไปเอาหูฟังในรถ บอกครามว่าขอตรวจไว้เพื่อความสบายใจ
“หายใจเข้าลึก ฮึบ... หายใจออกยาว อีกทีนะลูก” ปลายหูฟังถูกทาบลงบนหน้าอกน้องคีน เด็กน้อยชินเสียแล้วกับการให้คุณอาฟังปอด แต่ถ้าเห็นเข็มเข้าล่ะก็ ร้องไห้โกรธอาหมอไปเป็นอาทิตย์
“เก่งมากครับ” รดิศเก็บหูฟัง เขาวัดไข้ ฟังเสียงปอดแล้วทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ดี แต่หากมีไข้ขึ้นตอนกลางคืนเขาก็ทิ้งยาน้ำสำหรับเด็กเอาไว้ให้แล้ว
กว่าจะได้กินมื้อเย็นกันเวลาก็ล่วงไปจนเกือบทุ่ม รดิศเอื้อมมือมาเช็ดปากน้องคีนหลังจากเห็นว่าเส้นสปาเกตตี้ดีดซอสจนเลอะไปหมด มื้อเย็นวันนั้นเขาอยู่สอนการบ้านน้องคีนอีกนิดหน่อยแล้วกลับคอนโดไปพร้อมกับคุกกี้ช็อกโกแลตที่ครามเพิ่งอบใหม่
สุขภาพของน้องคีนแข็งแรงดีจนคุณพ่อคลายใจ ที่คิดว่าเมื่อคืนอาจจะมีไข้ขึ้นก็ไม่มี ครามเอาขนมใส่ถุงกระดาษ ปิดแล้วเขียนชื่อผู้รับชัดเจนว่าถุงไหนของคุณครูใหญ่ และถุงไหนเป็นของคุณครูประจำชั้น นำมามอบให้เธอพร้อมกับมาส่งลูกชายที่โรงเรียน
“อันนี้ของคุณครูครับ น้องคีนช่วยทำเมื่อคืน เอามาขอบคุณคุณครูที่ช่วยดูแล” ครามยื่นถุงกระดาษพิมพ์โลโก้ร้านคราม คาเฟ่ให้เธอ
“ขอบคุณมากค่ะคุณพ่อ เกรงใจจังเลย”
“ผมไม่แน่ใจว่าถ้ามีของคุณครูใหญ่ด้วย จะต้องฝากไว้ที่ไหนนะครับ” ชายหนุ่มถาม
“คุณพ่อต้องเดินไปที่ตึกใหญ่นะคะ ฝากไว้ที่ห้องธุรการได้เลยค่ะ” คุณครูประจำชั้นของน้องคีนแนะนำ ยังไม่ทันคุยกันให้จบดีเธอก็ต้องผละไปรับเด็กคนอื่น
ครามเดินถือถุงไปยังอาคารใหญ่ซึ่งเป็นส่วนของเด็กประถมและมัธยม ชั้นล่างสุดเป็นแผนกธุรการที่เขามักจะมาจ่ายค่าเทอมของน้องคีน
“รบกวนฝากอันนี้ให้คุณครูใหญ่หน่อยนะครับ” พนักงานธุรการยิ้มให้เขา หล่อนรับถุงไปและบอกว่าจะนำไปให้ทันทีที่คุณครูใหญ่เข้ามาทำงาน
“ขอบคุณมากครับ” ครามเดินออกมาจากหน้าห้องธุรการ สายตาเหลือบไปเห็นร่างสูงใหญ่คุ้นเคยของใครบางคนเดินผ่านเลยไป
ธาริต?
เขาเลี้ยวไปยังหัวมุมตึกที่เห็นว่าคนรักเก่าเดินผ่าน ตลอดทางเดินมีเพียงผู้ปกครองเด็กและคุณครูเท่านั้น ครามคิดว่าเขาคงจะตาฝาด อีกฝ่ายไม่ได้โผล่มาให้เห็นที่ร้านได้สองสามวัน
...ป่านนี้ธาริตคงกลับกรุงเทพไปเรียบร้อยแล้ว...
------------------------
ตอนนี้มีทวิตเตอร์แล้วนะคะ ที่มีคำแนะนำว่าน่าจะมี # คนเขียนขอใช้เป็น #ปะป๊าคราม ค่ะ
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจเล้ยยยย