ปฏิญญาที่ ๑๙
อ้อนวอนขอให้กลับสู่แดนแม่
ไร้ข้อแม้ขอแค่เพียงกลับไป
สัญญาว่าจะไม่บีบบังคับใจ
ดวงจันทร์ให้ชอกช้ำเช่นกาลก่อน
วันคืนผ่านไปไม่ไหลย้อนกลับ เรื่องราวต่าง ๆ มากมายก็ผ่านพ้นเช่นกัน มีดีย่อมมีร้าย ปะปนกันไป ตามยถากรรมของแต่ละคน ทุกวันที่ผ่านพ้นย่อมมีเรื่องราวที่แตกต่างกันไป
อันดับแรก รานีนิศามณีและเจ้าชายองค์โตแห่งวสุนธราก็ต้องกลับสู่วังหลวงไปหลังจากที่ทินสิริถือกำเนิดได้ไม่นาน แม้จะไม่อยากจากลา แต่จะให้เจ้าหลวงรับรู้เรื่องราวต่าง ๆ มิได้... ทุกคนย่อมมีหน้าที่ของตน
เจ้าดาราที่พลัดถิ่นไปอยู่แดนไกลนั้นยังคงสุขสบายดี และคัดค้านการขึ้นเป็นพระชายาอีกคนของเจ้ารพีอย่างไม่ยอมลง แม้ว่าจะเป็นพระบัญชาจากองค์กษัตริย์โดยตรงก็ตามที... และแน่นอนว่าเจ้ารพีก็คัดค้านเช่นกัน ด้วยพระองค์เองก็มิอยากรับใครเข้ามาอยู่ข้างกายอีกแล้ว
พระชายานลินประไพได้ให้กำเนิดพระราชธิดาองค์น้อยแสนน่ารักเป็นองค์แรก แม้ว่าจะทรงผิดหวังไปสักหน่อย แต่องค์อินทัชก็ทรงรักใคร่พระราชนัดดาองค์น้อยเป็นอย่างยิ่ง ทรงพระราชทานพระนามองค์หญิงน้อยว่า ฤทัยกลินท์ ซึ่งมีความหมายว่า ดวงใจของพระอาทิตย์ องค์รัชทายาทเองก็ทรงรัก และเอ็นดูองค์หญิงไม่น้อย พระองค์ทรงทุ่มเทเวลาให้กับพระธิดาองค์แรกของพระองค์อย่างหมดใจเช่นกัน
ส่วนนพคุณ แม้ว่าจะได้รับอนุญาตให้มิต้องออกรบอีก แต่ด้วยสายเลือดความเป็นทหารที่เข้มข้นของตัวเขานั้น เขาเองก็อดที่จะจับดาบขึ้นมาพุ่งรบกับศัตรูมิได้ ยังคงวิ่งวนเวียนแถบเมืองหลวงและชายแดนอยู่เสมอ แต่ก็ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ตัวเขามิอยากที่จะอยู่ในวังหลวง
แม้ว่าคอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่าองค์รัชทายาทมิใช่ของเขา แต่ก็อดเจ็บปวดลึก ๆ ไม่ได้ ยอมที่ได้เห็นพระองค์อุ้มลูกน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน โดยมีพระชายาที่งดงามอยู่ข้างพระวรกาย... ยิ่งได้มอง ยิ่งนึกเปรียบเทียบกับตนเองที่เป็นแค่คนเดินดินคนหนึ่งที่เคยมีโอกาสได้รับความรักจากผู้สูงศักดิ์...
และคงถึงเวลาที่เขาจะต้องเจียมตัวเองเสียที
นพคุณค่อย ๆ เดินห่างออกมาจากพระวรกายขององค์ชายรพีธรณินน้อย ๆ อย่างมิให้พระองค์ได้รู้สึกตัว เขาค่อย ๆ ถอนตัวออกจากหัวใจรักที่ได้รับ แม้จะรู้สึกเจ็บปวด... แต่รั้นจะดึงดันต่อไปคงได้เจ็บมากกว่านี้เป็นทบทวี...
สิ่งที่ถูกต้อง... ก็มิใช่สิ่งที่ถูกใจเสมอไป
ความเหินห่างที่มากขึ้นเรื่อย ๆ นั้นเริ่มสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้เป็นองค์ชายที่ทรงเริ่มสังเกตได้ ดวงใจของพระองค์ยังคงรักมั่นอยู่ที่ราชองครักษ์ส่วนพระองค์มิเสื่อมคลาย แม้ว่าจะมิได้ใกล้ชิดกันเท่าไรนัก
เรื่องของทั้งสองดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางสายตาของคนใกล้ชิด ที่เริ่มเห็นรอยแยกของความสัมพันธ์ของทั้งคู่ และได้แต่ปรารถนาว่ามันจะจบลงด้วยดี...
แน่นอนว่าองค์อินทัชนั้นก็ยังทรงกดดันที่จะมีพระราชนัดดาที่เป็นบุรุษเพศเพื่อสืบราชบัลลังก์ของอุษณกรต่อไป และเป็นเรื่องที่องค์รพีเองก็มิอาจจะค้านขัด... ยังทรงต้องหลับนอนกับพระชายาของพระองค์ต่อไป แม้ว่าดวงหทัยจะทรงคะนึงหาเจ้านกน้อยที่ตั้งท่าจะโผบินออกไปในทุกวินาที
ศศินคคนานต์อุ้มเด็กน้อยที่อายุเกือบครบขวบแล้ว แต่ก็ยังไม่เริ่มเดิน และยังไม่สามารถพูดอะไรเป็นคำ ๆได้ เสียที พัฒนาการของเด็กน้อยเป็นไปอย่างเชื่องช้าทุก ๆ ด้าน... รวมทั้ง ด้านร่างกายด้วย สร้างความกังวลใจให้กับผู้เป็นมารดา และบิดาเป็นอย่างยิ่ง
สุริยมาศนั้นเจริญวันขึ้นมาอย่างภาคภูมิ ทั้งด้านสติปัญญา ความเฉลียวฉลาด ด้านร่างกายที่สมบูรณ์ แข็งแรง ใจตอนนี้เขาสามารถเดินได้อย่างมั่นคง พูดได้ถูกต้อง และเริ่มเรียนรู้การยิงธนูจากผู้เป็นพ่อแล้ว
“ทินสิริ ไหนให้พ่ออุ้มหน่อยเร็ว”แขนแกร่งรั้งเอาร่างเล็กของลูกเลี้ยงมาโอบกอดเอาไว้อย่างรักใคร “ไหน เรียกพ่อหน่อยสิลูก”
“แอ๊ แอ๊”ก็ยังเป็นเสียงอ้อออของเด็กอยู่ตามเคย ทั้งที่เวลาผ่านมาสิบเดือนแล้วแท้ ๆ
“กัลยา พาองค์ชายน้อยเข้าไปพักก่อน ตากแดดตากลมมากเข้าคงมิดีนัก”องค์ภาสวรส่งเด็กตัวน้อยให้กับพระพี่เลี้ยง ขณะเดียวกันก็ส่งสายตาให้กับคนรักอย่างมีความนัยน์
“เพคะ”หญิงสาวคลานเข่าเข้ามารับเอาองค์ชายเข้าไปในเรือนอย่างเงียบเชียบ
“ศศิน ทินสิริยังมียอมพูดเลย... เป็นเช่นนี้จะดีหรือ”เมื่อกัลยาลับสายตาไปแล้ว พระองค์ก็เอ่ยกับคู่ชีวิตอย่างเป็นกังวลนัก “ลูกยังไม่เติบใหญ่ขึ้นเลย เจ็บออด ๆ แอด ๆ มาหลายต่อหลายครั้ง อีกทั้งยังไม่เริ่มที่จะลุกเดิน ทั้งที่จะครบขวบในอีกไม่กี่เดือนนี้แล้วแท้ ๆ”
“ภาสวร ท่านอย่าเพิ่งกังวลไปเลย ลูกจะต้องพูดได้ จะต้องเติบใหญ่ขึ้นมาให้เราทั้งคู่ได้ชื่นใจแน่”ศศินเองก็เป็นกังวลที่ลูกน้อยนั้นไม่เติบโตอย่างที่ควร แต่จะให้พระองค์ซึ่งเป็นแม่รู้สึกหดหู่ ย่อท้อ คงใช่ที “ท่านต้องเชื่อว่าลูกจะต้องหาย ต้องเติบใหญ่ให้เราได้ภูมิใจ เรามีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูเขาให้ดี และต้องคอยประคองเขาให้รอดถึงฝั่งมิใช่หรือ”
“ศศิน ข้ามิเคยหวั่นเกรง ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ข้าก็พร้อมที่จะดูแลเขา แต่ข้าหวั่นใจ”อ้อมแขนแกร่งโอบรั้งร่างของคนข้างกายให้เข้ามาแนบชิด “ข้ากลัว กลัวว่าวันใด หากเราทั้งคู่เป็นอะไรไป ใครจะดูแลทินสิริ ใครจะเป็นหลักยึดให้ลูกก้าวเดินต่อไป เมื่อลูกยังมิอาจยืนด้วยขาทั้งสองของเขาได้”
คำพูดที่สะท้อนถึงความนัยน์อย่างไม่ปิดบัง มิใช่ว่ารังเกียจที่มิใช่บุตรของตน แต่ห่วงใยชีวิตในวันข้างหน้าของเด็กตัวน้อยที่ต้องก้าวเดินไป อนาคตที่ยังอีกยาวไกลนัก
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่...”เสียงเล็ก ๆ ของโอรสองค์โตดังขึ้นในภวังค์ เรียกให้บุคคลทั้งสองหันมาสนใจในร่างเล็กที่ยืนอยู่ไม่ไกล “มาศจะดูแลน้องเอง”
“มาศจะดูแลน้องยังไง หืม”องค์ภาสวรทรงแกล้งตรัสถามพระโอรสอย่างหยอกล้อ ด้วยเห็นว่าบุตรของตนนั้นยังเล็กนัก “มาศจะเอาอะไรไปปกป้องน้องล่ะ”
“มาศจะดูแลน้อง อยู่กับน้อง คอยเช็ดตัวยามน้องเป็นไข้ คอยป้อนข้าวยามน้องไม่มีแรง มาศจะสอนน้องให้น้องทำทุกอย่างได้เหมือนที่มาศทำ มาศจะดูแลน้องตลอดไป”เสียงของเด็กชายเอ่ยตอบพระบิดาอย่างมั่นคง เฉกเช่นเดียวกับดวงตาที่ฉายแววมั่น “มาศจะไม่มีวันทิ้งน้อง เพราะอย่างนั้น เสด็จพ่อ เสด็จแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ”
คำพูดที่เกินกว่าวัยไปโขใหญ่ทำเอาสุริยภาสวรและศศินคคนานต์นิ่งอึ่งไปครู่หนึ่ง ดวงเนตรของทั้งสองมองบุตรชายวัยสองขวบเศษอย่างตื่นตะลึง
“สุริยมาศ ลูกไปจำคำพวกนี้มาจากไหนลูก”องค์ศศินอดที่จะทรงเอ่ยถามกับลูกไม่ได้ กับคำพูดคำจาที่ได้รับฟังนั้น สร้างความแปลกใจให้พระองค์เป็นอย่างยิ่ง
“ลูกไม่ได้จำมาจากไหน นี่เป็นคำที่ดังอยู่ในหัวของลูกมาตลอด นับตั้งแต่วันที่น้องถือกำเนิดขึ้นมา”สุริยมาศตอบกลับด้วยรอยยิ้มกว้าง “มาศจะดูแลทินเอง เสด็จพ่อเสด็จแม่โปรดวางใจ”
จบคำเด็กน้อยก็เดินกลับเข้าไปในเรือน ไปยังห้องของผู้เป็นอนุชาด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจ ทิ้งให้พระบิดา และพระมารดาประทัยอยู่ด้วยกันสองพระองค์
“ภาสวร ที่มาศเล่านั่นคือ...”ศศินตรัสถามพระสวามีด้วยความมึนงง อะไรเป็นอะไรกันแน่ สุริยมาศของพระองค์นั้นโตเกินวัยเกินไปเช่นนั้นหรือ...
“คงเป็นฟ้าที่ลิขิตให้สุริยมาศคอยดูแลทินสิริกระมัง...”ทั้งที่ปกติพระองค์มิเคยชื่อในโชคชะตา ในสิ่งที่เรียกว่าฟ้าลิขิต แต่ครานี้... ก็อดที่จะเชื่อมิได้ “เอาเถอะ... ถ้าสุริยมาศคอยดูแล้วเจ้าตัวน้อยอยู่ ก็คงวางใจได้แล้ว”
“ท่านก็เลิกทำหน้าเคร่งเครียดได้แล้ว รู้ไหม”นิ้วเรียวยาวนวดคลึงที่ระหว่างคิ้วของเจ้าดวงอาทิตย์ที่รักเบา ๆ “วางใจเถอะ ลูกจะต้องมีชีวิตที่ดีแน่”
“นั่นสินะ”พระเนตรคมทอดมองร่างบางในอ้อมอก ก่อนจะคลี่รอยยิ้มกรุ่มกริ่ม “ถึงเรื่องของเราบ้างแล้ว... ข้าว่าเรามิได้... มานานแล้วนะ ศศิน”หัตถ์อุ่นลูบไล้เอวที่คอดลงอย่างนุ่มนวล “ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
“ฟ้ายังสางอยู่เลยนะ ภาสวร”ดวงตาสีฟ้าใสเหลือบมองไปบนท้องนภาที่สุกสว่าง “ลูกก็อยู่”
“ลูกมิได้เฝ้ามองเราเสียหน่อย... ฟ้ายังสว่างแล้วกระไร ข้ามิได้รักกับเจ้ากลางแจ้งเสียหน่อย”นาสิกโด่งสูดความหอบหวานจากแก้มเนียนอย่างฉกฉวย “มาเถอะ ที่รัก”
สุริยภาสวรไม่ว่าเปล่า อุ้มเอาร่างโปร่งเดินเข้าห้องนอนของทั้งคู่ไป โดนมิสนใจสายตาของสุริยมาศที่เหลือบมองมาจากห้องของตนและอนุชาเลยแม้แต่น้อย
หัตถ์หนาค่อย ๆ ปลดเอาอาภรณ์ของคนรักให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นไปทีละชิ้น ๆ ผิวขาวนวลของคนเมืองหนาวได้ประจักษ์สู่สายตาของผู้จ้องมองอีกครั้ง
หลังจากที่ห่างหายกันมาพักใหญ่ ด้วยกิจที่ไม่อยากหวนคิดถึง ร่างเพรียงบางของเจ้าจันทร์ก็ได้คืนสู่อ้อมกอดของคนรักอย่างสมบูรณ์...
หัตถ์อุ่นหนาลูบไล้เรือนกายที่นวลเนียนอย่างพึงใจ ไล้ขึ้นข้างบน วนลงข้างล่าง ฟ้อนเฟ้นเนื้อขาวเนียนให้ขึ้นสีเรื่อ ร่างของจันทราบิดน้อย ๆ ด้วยแรงอารมณ์ที่พัดโหมเข้ามา
ดวงเนตรอันฉ่ำเยิ้มสบกันอย่างหวานซึ้ง ก่อนที่องค์ชายผู้อยู่เหนื่อกว่าจะแทรกกายเข้าไปในร่างของผู้ที่อยู่ใต้ร่างอย่างเชื่องช้า
ด้วยเลิกร้างกับเรื่องเช่นนี้มาหลายโมงยามแล้ว ความเจ็บปวดที่ไม่อยากจะทนนั้นได้โถมกลับมาสู่เจ้าจันทราอยากสุดจะห้าม ร่างเพรียวผวาเข้าโอบคอของคนตรงหน้า ใบหน้าชื้นเหงื่อซบลงกับซอกคอแกร่ง
หยาดเหงื่อที่หลั่งไหลเคล้ากลิ่นกาม เสียงแห่งความรักของทั้งคู่ดังผะแผ่วออกจากห้องบรรทมจนถึงยามทิวากาล กว่าที่จะหยุดลง...
เพียงแค่ขยับก็รู้สึกว่าทั้งกายจะแตกร้าว ความรู้สึกที่มิได้พบเจอมานาน แต่ถึงกระนั้นในดวงหฤทัยก็เต็มไปด้วยความสุขเล็ก ๆ กับการที่ได้อยู่ในอ้อมแขนของคนรัก
ศศินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นช้า ๆ แสงสว่างพุ่งเข้าสู่ดวงตาจนต้องหรี่ลงพักหนึ่งถึงจะปรับสู่สภาพปกติได้ ภาพแรกที่เข้าสู่การรับรู้คือแผ่นหลังกว้างของผู้เป็นแสงสว่างในหัวใจของพระองค์... และสิ่งที่อยู่ในหัตถ์ของคนตรงหน้านั้นทำให้พระองค์ต้องเม้มโอษฐ์แน่นอย่างตริตรอง...
“ท่านอยากมีลูกอีกหรือ ภาสวร”ทรงอดที่จะส่งเสียงออกไปถามมิได้ ดวงพักตร์ที่หล่อเหลา แต้มรอยยิ้มบางหันมาหาพระองค์ “เราสา...”
“พอแล้วล่ะ ศศิน”นิ้วเรียวแตะที่ริมฝีปากแดงช้ำเบา ๆ เชิงให้หยุดที่จะพูดคำ ๆ นั้นออกมา “เรามีลูกกันสองคนแล้ว พอแล้วล่ะ”
“แต่...”ลูกของท่านมีเพียงคนเดียว... คำที่ไม่อยากจะพูด แต่คนที่ได้รับฟังนั้นเข้าใจเป็นอย่างดี สุริยภาสวรเอื้อมมือขึ้นลูบไล้กลุ่มเกศานุ่มเบา ๆ
“ทินสิริคือลูกของเรา เขาเป็นลูกของเราสองคน”องค์ภาสวรเอ่ยไป จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าใสไป ย้ำให้ฝังลึกสู่หัวใจของคนตรงหน้า “เท่านี้ก็พอแล้ว ข้ามิได้อยากมีโอรสธิดามากมาย... อีกทั้งมิอยากให้เจ้าต้องเจ็บแล้ว... เพียงเท่านี้ เจ้าก็น่าอดสูมากพอแล้ว ศศิน”
ศศินคคนานต์ก้มหน้าลงต่ำอย่างสลดใจ ใช่... พระองค์ถือกำเนิดเป็นบุรุษ รูปร่างก็บ่งบอกถึงความเป็นบุรุษ มิใช่สตรี กับการที่ต้องเป็นพระชายา กับการที่ต้องมีพระโอรส... มันก็น่าอดสูกับชะตากรรมที่ได้รับนัก
“เรามาเลี้ยงพวกเขาทั้งสองคนให้ดี ให้เติบใหญ่ขึ้นอย่างน่าภาคภูมิกันดีกว่า คนดีของข้า”นาสิกโด่งรั้นกดลงที่หน้าผากเกลี้ยงเกลาเบา ๆ
“อืม พวกเขาจะต้องเติบโตขึ้นมาอย่างที่พวกเราหวังแน่นอน”โอษฐ์อิ่มประทับจุมพิตที่จากสากเบา ๆ ก่อนที่ทั้งสองพระองค์จะมอบความรักให้กันอีกครั้ง... และอีกครั้ง
หลายปีพ้นผ่าน มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทั้งความสุขและความทุกข์ แต่ถึงกระนั้น องค์ชายพลัดถิ่นก็ยังคงใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
ในเรื่องแรกก็คงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าขององค์ชายรพีธรณิน ที่นพคุณนั้นหายตัวออกจากพระราชวังไป และมิติดต่อกลับไปเลย และแน่นอนว่าตัวนพคุณนั้นได้ย้ายถิ่นฐานของตัวเองมาอยู่ในอาณาจักรวสุนธรากับองค์ชายภาสวรแทน ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง...
ที่จากมามิใช่ว่าไม่รัก แต่จะให้องค์หญิงน้อง องค์ชายน้อยที่ถือกำเนิดมารู้ได้อย่างไร้ว่าพระบิดาของพวกเขานั้นมิได้รักใครในตัวพระมารดาเลย อีกทั้งยังรักกับองครักษ์ธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ไม่คู่ควร... เช่นนี้ขอจากมาเสียก่อนที่จะมีเรื่องร้าย ๆ อะไรเกิดขึ้นให้เป็นแผลภายในจิตใจของทุกคนเสียยังจะดีกว่า
ใช่แล้ว พระชายานลินประไพถือประสูติองค์ชายน้อยที่พระวรกายสมบูรณ์ แข็งแรงแก่องค์รัชทายาทแล้ว ท่ามกลางความสุขของอาณาประชาราษฎร์ และองค์กษัตริย์
องค์ชายสุริยมาส ยิ่งเจริญวัยยิ่งเห็นถึงความเฉลียวฉลาด ทรงมีพัฒนาการที่เลยวัยไปไม่น้อย และที่สำคัญคือพระองค์นั้นหวงและห่วงอนุชาคนเดียวของพระองค์ยิ่งชีพ... ส่วนองค์ชายทินสิรินั้น เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นเด็กที่โตช้า ทั้งร่างกายและสติปัญญา กว่าที่เด็กน้อยจะยอมเดินก็มีอายุได้สองขวบเศษแล้ว แต่ถึงกระนั้นผู้เป็นพระบิดาและพระมารดาก็ยังคงรัก และเอาใจใส่ลูกน้อยเป็นอย่างดี
รานีนิศามณีและองค์ชายสุริเยนทร์ไทวะทรงเสด็จมาหาพระราชนัดดาบ้างเป็นครั้งคราว อาจจะมิบ่อยครั้งนัก แต่ทุกคราที่มาก็จะมีของติดไม้ติดมือมาฝากทุกคนในตำหนักสวนหมอกแห่งนี้เสมอ
เมื่อได้อยู่กันพร้อมหน้า ทุกคนก็เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แม้ว่าจะยังมีเรื่องในใจอยู่บ้าง แต่นั่นก็มิสำคัญเท่าความสุขที่มีในวันนี้...
แต่ความสุขก็มิได้อยู่กับใครได้นานนักหนา ในปีที่องค์ชายสุริยมาสมีพระชนมายุได้ 6 ชันษา ถัดจากนั้นไม่นานนัก
ในวันที่ฝนพรำลงมา หลังจากที่นพคุณได้ติดตามสุริเยนทร์ไทวะไปเป็นทูตต่างเมืองไม่นาน ก็มีคนจำนวนมากวิ่งกรูกันเข้ามาในป่าหมอกแห่งนี้
ทหารที่อยู่ในชุดพร้อมรบแห่งอุษณกรตีวงโอบล้อมพระตำหนักสายหมอกเอาไว้แน่นหนา องค์ชายผู้อาศัยทั้งสองสบเนตรกันอย่างหวาดหวั่น ทั้งสองพระองค์ตัดสินพระทัยก้าวออกไป โดยให้น้องกำนัลทั้งหมดคอยดูแลองค์ชายน้อยเอาไว้... และหากมีอะไรเกิดขึ้น ให้พาองค์ชายน้อยทั้งสองหนีไปตามช่องทางลับที่ซุกซ่อนเอาไว้
“สุริยภาสวร เจ้ามาอยู่ที่นี่เองหรือ”สุรเสียงที่เคยคุ้น เสียงของบิดาผู้ให้กำเนิดพระองค์มาดังขึ้น ทำให้องค์ชายผู้หนีออกจากวังมาตกตะลึงมิใช่น้อย “พ่อตามหาเจ้ามา 5 ปี ในที่สุดก็ได้พบ”
“ถวายบังคมพะยะค่ะ เสด็จพ่อ”องค์สุริยภาสวรและศศินคคนานต์น้อมกายลงถวายคำนับแด่องค์กษัตริย์แห่งอุษณกรอย่างนอบน้อย “ทรงเสด็จมาได้อย่างไรหรือพะยะค่ะ”
“พ่อส่งคนตามหาเจ้าไปทั่วทุกสารทิศ จนเมื่อไม่นานมานี้มีคนได้พบเจ้าเข้าไปร่วมงานฉลองในเมืองหลวงของวสุนธรา พ่อจึงได้จัดทัพออกมาตามหาเจ้า”เสียงที่ตรัสออกมานั้นเต็มไปด้วยความคะนึงหา ความเป็นห่วงยิ่งนัก พระวรกายที่บึกบึนองอาจสมเป็นชายชาติทหารซูบผอมลงไปเล็กน้อย องค์อินทัชทรงขยับกายลงจากหลังอาชา ก้าวเข้ามาหาพระโอรสช้า ๆ “ภาสวร กลับบ้านของเรากันเถอะลูก กลับบ้านของเรา แม่ของเจ้า และพ่อคิดถึงเจ้ามากรู้ไหม”
“เสด็จพ่อ...”จ้าวสุริยาเอื้อมหัตถ์ไปกุมมือเรียวของคนข้างพระวรกาย เพื่อเรียกกำลังใจให้กลับมา... เพียงแค่ได้พบพระบิดา พระองค์ก็แทบจะถลาเข้าไปกอด และตอบรับที่จะกลับไป... แต่ถ้าต้องไปสู่วังวนที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดนั้นอีก อีกครึ่งชีวิตของพระองค์คงมิอาจที่จะทานทนไหว
“พ่อจะไม่บังคับอะไรอีกแล้วลูก ขอแต่พวกเจ้ายอมกลับไป กลับสู่บ้านของเรา กลับสู่นครของเรา แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ความเป็นใหญ่อะไรนั่น พ่อก็ไม่เอาแล้ว กลับกันเถอะนะลูกพ่อ”
องค์ชายสุริยภาสวรหันไปหาองค์ศศินด้วยความสับสน พระองค์ควรที่จะกลับ... หรือไม่กลับไปกัน
จะเลือกทางไหน ถึงจะไม่ต้องทนแบกรับความเจ็บปวดนั้นอีก...
###############################
อู้การอ่านหนังสือมาต่อนิยายค่ะ 555 เหลืออีก 3 วิชาถึงจะสอบเสร็จ (ชีทหนาปาหัวหมาแตก TT) ใครให้เอาสรีและแลปสรีรวมกันในข้อสอบเดียวคะอาจารย์ (บ่นนอกเรื่องค่ะ 555)
เหลืออีก 1 ตอนแล้วว พยายามไม่ดราม่า แต่ทำไมมันออกมาหน่วง ๆ ก็ไม่รู้ ฮือออ (แต่งตอนอารมณ์มันหน่วง ๆ มันเลยหน่วงตามอารมณ์เลยค่ะ แหะๆ)
ขอบคุณที่ยังติดตามอ่านกันมานะคะ >< คิดว่าเรื่องนี้เป็นแนว mpreg เรื่องสุดท้ายของคนเขียนแล้วล่ะค่ะ (ถ้าไม่คลอดแนวแฟนตาซีออกมานะคะ 555) จบเรื่องนี้จะเอาจ้าวหัวใจ จอมใจจักรพรรดิมาลงใหม่ (พร้อมกับการปรับเนื้อเรื่องใหม่ ให้โอเคขึ้น) แล้วก็อาจจะลงคู่กับนิยายที่เป็นแนวปัจจุบัน... ที่นั่งแต่งง๊อง ๆ แง๊ง ๆ อยู่ 2 เรื่อง สลับไปสลับมา ยังไม่รู้จะเอาเรื่องไหนลงก่อนดีระหว่าง
weeeek series เรื่องของหนุ่ม ๆ ในกลุ่ม 7night ที่มีวันเกิดเป็นแต่ละวันของสัปดาห์ แบ่งเป็น 7 ตอนใหญ่ ของ 7 คู่
กับ
The four boys เรื่องของคนสี่คนที่มีชีวิตต่างสไตร์กันต้องมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน (เรื่องนี้มี 2 คู่หลัก กี่คู่ย่อยยังไม่ได้วาง 555)
เฮ้ออ จ้ำจี้ต่อไปค่ะ 555
//เวิ่นยาว บ่งบอกความเครียดในสมอง... ออกพรรษาแล้ว อย่าลืมไปทำบุญกันนะคะ พบกันตอนหน้า ตอนสุดท้ายค้า
ปล. มีใครไปคอมมิคอเวนิวกับฟิคชั่นมาร์เก็ตไหมคะ