บทที่ 6 @ต้นลำพู - รู้สึกวิบวับ
“เป็นกระไรหรือขอรับคุณหนูกาล”
คนถูกทักเบือนหน้ามามองนิดหนึ่ง แล้วหันกลับไปมองแสงสีอมส้มยามพระอาทิตย์ตกดินต่อ ปากขยับตอบเบาๆ เพียงว่า
“เบื่อ”
ท่าทางจะเบื่อถึงขีดสุดละกระมัง พุดคิดขณะเคลื่อนตัวเข้าไปยืนด้านข้างของคนที่นั่งห้อยเท้าตรงนอกชานเล่น ท่านั่งหลังค้อมไหล่ตกดูซึมเซาอย่างเห็นได้ชัด
“จะรับขนมข้าวต้มไหมขอรับ เดี๋ยวพี่ไปถามในเรือนครัวให้”
“ไม่ล่ะพี่พุด วันๆ ตื่นมาแล้วก็นอน จะทำอะไรก็มีคนคอยแย่งทำไปหมด พี่พุดไม่ต้องแปลกใจเลยนะ ถ้าพรุ่งนี้ตื่นมาแล้วเห็นหนูขยับตัวไม่ได้เพราะว่าง่อยกินเนี่ย” กาลส่ายหน้าจนผมกระจาย พลางระบายความอึดอัดให้พุดฟัง
นึกย้อนไปถึงกิจวัตรประจำวันแล้วได้แต่ปลง เป็นคุณหนูกาลก็ดีตรงกินก็อิ่ม นอนก็อุ่น แต่เสียตรงที่ถูกยกไว้ขึ้นหิ้ง จะหยิบจะจับอะไรก็มีคนถลาเข้ามาทำแทนทุกอย่าง ยิ่งตอนนี้ไม่ได้ไปโรงเรียนด้วยแล้วก็ยิ่งไม่มีอะไรทำ
ส่วนสาเหตุที่ไม่ต้องไปโรงเรียนแล้วน่ะเหรอ แน่นอนว่าเป็นเพราะไอ้เจ้าอัลเบิร์ตอะไรนั่นแหละ ดันไปขอรับผิดกับพ่อของตัวเองเพราะกลัวจะถูกตัดออกจากกองมรดก ทางนั้นเลยมีการขอขมาลาโทษกันเป็นการใหญ่ ทีนี้ด้วยความเป็นห่วง ‘หนูกาล’ ทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลจะโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจ จึงงดเว้นไม่ต้องไปโรงเรียนด้วยประการฉะนี้
พุดทรุดตัวลงนั่งข้างๆ คนที่เอนตัวลงนอนกับพื้นไม้กระดานไม้สักขัดมันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใบหน้าที่เริ่มมีเลือดฝาดถูกอาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ทอประกายเศร้าซึมจนพุดนึกสงสาร
“คืนนี้ข้างแรม”
หือ... กาลพลิกตะแคงตัวมามองหน้าคนพูดทันที อะไร ยังไง ข้างแรมแล้วมันเป็นยังไงล่ะ จ้องหน้าคนที่เอ่ยปากแล้วอยู่ก็หยุดพูดไปซะเฉยๆ แล้วก็ขัดใจ
“อ้าวพี่พุด ไอ้พูดลอยๆ งี้หมายความว่าไงล่ะ ให้ไวพี่อย่ามัวมาอมพะนำ วัยรุ่นใจร้อน บอกมาๆ ข้างแรมทำไมล่ะพี่”
ก็แล้วมานอนจ้องเขาตาแป๋วแบบนี้จะให้พี่ชวนเยี่ยงไรเล่าเจ้า พุดได้แต่นึกขัดเขิน ใบหน้าคร้ามคมเริ่มปรากฏริ้วสีแดงที่ข้างแก้มอย่างทนเก็บอาการไม่อยู่ นั่งอึกๆ อักๆ อยู่เป็นนานพุดก็ไม่ยอมบอกสักที จนกาลต้องลุกมานั่งจ้องหน้าอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ
“พูด... มา... พี่... พุด!”
“กะ... ก็ ก็คืนนี้เป็นคืนข้างแรม หากคุณหนูรู้สึกเบื่อหรือมิมีสิ่งใดทำ พี่ก็อยากจะชวนคุณหนูไปพายเรือชมหิ่งห้อยที่แถวโค้งน้ำท้ายคลองน่ะขอรับ”
พอโดนกดดันมากๆ เข้า จากที่กลัวดอกพิกุลจะร่วงจากปาก พุดก็รัวคำตอบเป็นข้าวตอกแตกทันที หลังสิ้นสุดคำพูด กาลก็ส่ายหน้าบ่นทันที
“ก็เท่านั้นล่ะ กว่าจะพูดได้... เดี๋ยว! พี่ว่าอะไรนะ”
อาการเกาะแขนเขย่าแล้วมองหน้าด้วยตาเป็นประกายอย่างคนมีความหวัง ทำให้พุดอมยิ้ม พลางคิดว่าช่างน่าเอ็นดูเสียจริง เหมือนเด็กเล็กๆ ขอลูกกวาดก็มิปาน
“พี่ว่าจักชวนคุณหนูไปดูหิ่งห้อยกันคืนนี้ คุณหนูจักได้หายเบื่อ ดีไหมขอรับ”
“ดีสิพี่พุด ว่าแต่ไปตอนไหน หนูจะได้เตรียมตัว”
เสียงทุ้มหัวเราะแผ่วๆ ก่อนบอก
“มิต้องเตรียมตัวกระไรดอกหนา เตรียมแต่ใจไปสนุกแค่นั้นก็พอแล้ว ส่วนที่ว่าจะไปเพลาใดดีนั้น พี่ว่ารับสำรับเย็นเสร็จ รอย่อยสักครู่ แล้วค่อยออกเดินทางดีหรือไม่ คุณหนูคิดเห็นเป็นประการใดขอรับ”
“จะคิดเห็นอะไรได้ล่ะพี่พุด หนูน่ะผู้ตาม พี่น่ะผู้นำ พี่พุดมีหน้าที่คิดก็คิดไปเถอะ”
“ก็แล้วถ้าหากสิ่งที่พี่ ‘เฝ้าคิด’ เป็นสิ่งที่คุณหนูมิได้คิดเห็นตรงกันเล่า จะให้พี่ทำเยี่ยงไร”
“หา... “ กาลทำหน้างุนงง
“พี่พุดพูดอะไรวกไปวนมา คิดไม่คิดอะไรหนูไม่รู้ล่ะ หนูรู้แต่คืนนี้หนูจะได้ไปเที่ยว ชะเอิงเอย...”
อาการกระดี๊กระด๊าผิดกับเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคนทำให้พุดส่ายหัว เออหนอเด็กน้อยของพี่ ใจง่ายแบบนี้ ใครเอาของกินของเล่นมาล่อ เจ้ามิแล่นตามเขาไปหมดหรอกรึ เมื่อก่อนพุดเคยบูชาในความหยิ่งยโสของคุณหนูกาลเธอนัก แต่มาเดี๋ยวนี้ กลับนึกหลงใหลในความเดียงสาแบบนี้ของเธอมากกว่า
ด้วยความดีใจที่จะได้เที่ยวเล่น ทำให้กาลรีบลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องเซเกือบล้มหน้าคะมำ ดีที่พุดตาไวคว้าประคองเอวไว้ได้ทันท่วงที
“หน้ามืดหรือขอรับ นั่งลงก่อนเถิด อย่าลืมสิว่าร่างกายของคุณหนูมิใคร่แข็งแรงมากนัก”
กาลพยักหน้ารับ ฝืนยิ้มขอโทษส่งให้พร้อมกับหลับตาลงเมื่อเริ่มรู้สึกเหมือนเห็นจุดสีขาวดำพร่าเต็มไปหมดทั้งสองตา ขาทั้งคู่ย่อลงอย่างอ่อนแรง โดยมีพุดช่วยพยุงให้ค่อยนั่งลงพิงซบบ่าของตนไว้
********************************************************************************
“ลูกกำพร้าเยี่ยงเอ็ง ข้าให้เข้ามาร่วมเป็นสมัครพรรคพวกก็ดีถมไปละ ใช้ให้ไปซื้อยาสูบแค่นี้ ทำเป็นมามองตาขวาง หากเอ็งไม่พอใจ เอ็งก็ไสหัวไปเสีย อย่ามายืนเกะกะขวางทางข้า”
พุด เด็กหนุ่มในวัย ๑๕ ปี ยืนจ้องพวกกลุ่มเด็กรุ่นๆ ที่มีอายุไล่เรียงกันด้วยความโมโห มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดขึ้นเป็นริ้ว ในชีวิตของพุดเกลียดนักก็คือการโดนว่าว่าเป็นลูกกำพร้า ซึ่งข้อนี้ต่อให้เจ็บใจแค่ไหน ตัวเขาก็กลับไปแก้ไขไม่ให้พ่อแม่ตายไม่ได้ ส่วนอีกข้อที่จะเกลียดที่สุดก็คือการเป็นขี้ข้า ด้วยเกิดมาก็ต้องถูกสถานะบ่าวในเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลครอบหัวอยู่ ไม่รู้จะต้องจงรักภักดีกระไรกันหนักหนา แต่ละคนก็มีวิชาความรู้ติดตัว ทำไมไม่ออกจากเรือน จากเมืองบ้าๆ นี่ไปมีชีวิตของตัวเองกันก็ไม่รู้
ตัวเขาอยากจะเป็นตัวของตัวเอง อยากได้รับการยกย่องชมเชยในฐานะของไอ้พุดเอง หาใช่ถูกชื่นชมบูชาในเรื่องที่ตนเป็นบ่าวในเรือนเศรษฐฯ ไม่ การเป็นบ่าวก็เหมือนกับการเป็นข้อด้อยของเขาไม่ใช่ข้อดีอย่างที่ใครๆ ในชาวเมืองคิด พุดจึงไม่เคยปริปากบอกผู้ใดว่าเป็นคนของเรือนเศรษฐฯ
แล้วดูไอ้พวกเด็กเหลือขอพวกนี้สิเล่า มันมาตีถูกขนดหางเขาด้วยการใช้กันเป็นขี้ข้าให้ไปซื้อข้าวของ ซ้ำด้วยการชี้หน้าด่าว่าเป็นลูกกำพร้าอีกคำรบ ถ้าวันนี้ไม่ได้ฟาดปากเอาเลือดชั่วมันออกมาก็อย่ามาเรียกกันว่าไอ้พุดเลย ไอ้ที่ยอมมาอยู่กับพวกมันก็เพราะต้องการให้ตนเองโดดเด่น ทั้งเรื่องเหล้ายา การพนัน ตีรันฟันแทงใดๆ ไอ้พุดล้วนเป็นเอกทั้งสิ้น ถึงจะรู้ว่าเป็นสิ่งมิใคร่ดีงาม แต่ทิฐิในใจของการอยากถูกยอมรับก็ทำให้พุดตัดความรู้สึกผิดชอบชั่วดีทิ้งไป
“ใช่ว่าข้าอยากอยู่ร่วมกับพวกเอ็งนัก หลายหนที่พวกเอ็งเอาเปรียบข้า คนเหมือนกันแท้ๆ ดันมาแบ่งชนชั้นวรรณะ ข้าไม่ใช่ลูกกระจ๊อกให้พวกเอ็งจิกหัวใช้นะโว้ย มาไอ้ยักษ์ วันนี้ข้าจะดวลกับเอ็งให้รู้ดำรู้แดงกันไป จะตัดเพื่อนกันก็ยอมล่ะวะ”
“ฮ่าๆๆๆ” เสียงหัวเราะของไอ้ยักษ์ เด็กหัวโจกร่างใหญ่สมชื่อยักษ์ที่ยืนแหกปากฟังดูน่าโมโห เพราะนอกจากจะหัวเราะเยาะแล้วยังยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนอีกด้วย
“เฮอะ แล้วใครคิดว่าเอ็งเป็นเพื่อนกันเล่าไอ้พุด ทุด!! ตัวเท่าเมี่ยงยังมาทำกร่าง เอาเว้ยพวกเรา วันนี้รุมเตะเด็กเล่นแก้เหงากันโว้ย” จบคำพูดของหัวโจก เด็กลูกน้องอีกสามสี่คนก็สะบัดคอหักข้อนิ้วค่อยๆ ย่างสามขุมเข้ามา
“ไอ้พวกหมาหมู่... เข้ามาพร้อมๆ กันเลยก็ดี ข้าจะได้จัดการเสียทีเดียว”
“ปากดีนักนะเอ็ง”
ผลัวะ!! หมัด เท้า เข่า ศอกของทั้งหกคนผลัดกันประเคนใส่กันอย่างหนักหน่วง ข้างฝ่ายพุดต่อให้เก่งแค่ไหนก็มีเพียงคนเดียว ไหนเลยจะปัดป้องได้ตลอดรอดฝั่ง ทั้งร่างไม่มีที่รอดจากการปะทะกันไปได้สักจุด ขณะที่กำลังพัวพันกันอย่างดุเดือดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงคล้ายคำว่าอย่าหรือหยุดอย่างใดสักอย่าง หากมิมีใครคิดสนใจฟังให้เสียเวลา
ซ่า!!
น้ำเย็นจัดถูกสาดราดรดกันถ้วนหน้า วูบแรกคือตกตะลึง วูบถัดมาคือความโกรธเกรี้ยวที่ดันมีคนมาขัดจังหวะ และอารมณ์ในวูบสุดท้ายคือความตะลึงลาน เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาคือคุณหนูของเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาล
คนอื่นอาจกลัวในอำนาจบารมีและบุญคุณที่ท่วมหัวท่วมหูของเรือนเศรษฐฯ แต่ไอ้พุดไม่เคยเกรงเลยแม้แต่นิดเดียว ได้แต่มองผ่านคุณหนูกาลของบ้านที่อายุราว ๗ – ๘ ปี ที่อยู่ในชุดโจงกระเบนสีแดง เสื้อคอกลมสีขาวเกล้าจุกร้อยมาลัยประดับปิ่นทองฝังเพชรล้อแสงอาทิตย์แพรวพราว ใบหน้าอ่อนใสของเด็กน้อยเชิดขึ้นมองมาอย่างสนใจในเหตุการณ์ตรงหน้า พุดมองเมินอย่างไม่สนใจ แต่ที่ทำเอาต้องหลบสายตาแทบไม่ทันก็คือผู้ที่ตามคุณหนูมาทางเบื้องหลังนั่นต่างหาก
“ตา... ตาชด” พุดครางเสียงสั่น ตาหรุบลงต่ำ จึงได้เห็นถังน้ำขนาดใหญ่ในมือของผู้เป็นตา นี่สินะความเปียกชื้นที่มาเยือนอย่างไม่ทันตั้งตัว
ผู้เป็นตาโมโหจนแทบจะกรากไปลากตัวหลานมาสั่งสอนให้เข็ดหลาบ หากก็ได้แต่ระงับอารมณ์โดยการบีบถังน้ำในมือจนเกิดเสียงปริแตกดัง เปรี๊ยะ! เบาๆ เพราะต้องคอยยืนทำหน้าที่อารักขาคุณหนูกาลก่อน
“ทำกระไรกัน”
เสียงใสของเด็กน้อยเอ่ยถาม ผิดแต่ว่าเสียงของเด็กคนนี้มีความเย็นเยียบติดจะเฉยชาอย่างไรบอกไม่ใคร่ถูก กลุ่มเด็กหนุ่มรุ่นกระทงมองหน้ากันไปมาแล้วได้แต่ก้มหน้าลง สองมือประสานไว้ด้านหน้าอย่างเรียบร้อยหากแต่ไม่กล้าพูดอะไรกันสักคน
“คุณหนูถาม ไม่ได้ยินรึ” เสียงห้าวของตาชดก้องกังวาน ทำให้กลุ่มนักเลงตัวร้ายเมื่อสักครู่ยิ่งก้มหน้าชิดจรดอกตัวสั่นพั่บๆ กันเป็นการใหญ่ อย่าไปถามหาความเก่งอย่างเมื่อครู่เลย แม้กระทั่งจะอ้าปาก ยังไม่มีความสามารถแม้แต่น้อย ใครก็รู้ว่าคุณชดแห่งเรือนเศรษฐฯ เป็นทหารมือ ๑ ของหน่วยซีล ผ่านการฝึกแบบบ้าระห่ำขนาดนั้นมาแล้ว รับรองได้ถึงความสามารถที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างดี แล้วกะอีแค่กลุ่มวัยรุ่นเหลือขออย่างพวกเขา จะครณามือของคุณชดกระนั้นหรือ เมื่อไม่ได้รับคำตอบ ชดจึงเบนสายตาไปที่หลานชายคนเดียวแล้วจ้องเขม็ง
“ก็แค่ชกต่อยกัน... เพียงเท่านั้น”
“หนูเห็นอยู่ว่ามีเรื่องชกต่อยกัน ตามิได้บอดเสียหน่อย แต่ที่อยากรู้น่ะคือสาเหตุว่าชกกันทำไมต่างหาก”
“ก็พวกมันเห็นกระผมเป็นขี้ข้า ไม่ได้เห็นเป็นพวกพ้องก็เลยฟาดปากกันก็แค่นั้น”
“ไม่ชอบเป็นบ่าวรึ” คุณหนูกาลทำหน้าสงสัย พลางหันไปเอียงคอถามตาชด
“คนนี้มิใช่หลานตาชดหรอกหรือ” พอเห็นตาชดพยักหน้ารับคุณหนูกาลก็รีบพูดต่อ
“ในเมื่อเป็นลูกหลานของชดก็แสดงว่าเป็นบ่าวไพร่ของเรือนเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลมาตั้งแต่เกิดแล้ว จะมาบอกว่าพี่มิได้เป็นบ่าว ไม่ชอบเป็นบ่าวได้เยี่ยงไร”
จบคำพูดของคุณหนูกาล พวกนักเลงหัวไม้ที่มีเรื่องกันกับพุดต่างตาเบิกค้าง ได้แต่อุทาน ฉิบหายแล้ว อยู่ในใจ คนทั้งกลุ่มมองหน้ากันไปกันมา ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาถอยหลังทีละก้าวสองก้าวอย่างช้าๆ เมื่อเห็นคนทางเรือนเศรษฐฯ มิได้สนใจพวกตนก็ทยอยวิ่งโกยอ้าวกันอย่างไม่คิดชีวิต
ส่วนพุดส่งประกายตาดุดันขึงใส่เจ้าตัวเล็กที่พูดเจื้อยแจ้วประกาศเรื่องตนเป็นบ่าวในเรือนออกมาหน้าตาเฉย อุตส่าห์ปิดบังมาได้ตั้งนาน ไอ้คุณหนูผิวบางนี่ทำเสียเรื่องหมด ยิ่งคิดพุดก็ยิ่งหงุดหงิด
“ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ได้อยากจะไปรับใช้เจ้านายทั้งหลายบนเรือนแม้แต่น้อย”
“ไอ้หลานไม่รักดี” เสียงของชดตวาดด้วยความเดือดดาล
“ใครมันสั่งมันสอนให้เอ็งคิดเยี่ยงนี้ วันนี้ถ้าไม่เอาเลือดหัวเอ็งออกก็คงผิดต่อคุณท่านทุกรุ่นของเศรษฐทรัพย์อนันต์ไพศาลแล้ว”
ชดย่างสามขุมเข้าหาหลานในไส้ด้วยหน้าตาถมึงทึง ฝ่ายเจ้าหลานตัวดีก็เงยหน้าขึ้นจ้องสบตาผู้เป็นตาอย่างท้าทาย เท่านั้นเองเส้นประสาทของชดก็ขาดผึงกระโจนเข้าหาพร้อมด้วยกำปั้นทันที
“เดี๋ยวตาชด!”
คุณหนูกาลกระโดดเข้าขวางเบื้องหน้าของพุดพร้อมกับคำตะโกนห้ามปราม หยุดยั้งไม่ให้หมัดผู้เป็นตากระทบโดนตัวหลานในไส้ได้ทัน แต่ทว่าแขนขาวผ่องเล็กจ้อยของเด็กน้อยกลับเป็นฝ่ายรับเคราะห์แทน ดีที่ตาชดยังออมแรงได้ทัน แต่กระนั้นก็ยังเกิดรอยช้ำเป็นปื้นวงใหญ่บนต้นแขนของร่างเล็กทันที
“คุณหนูกาล!”
สองเสียงประสานเรียกคุณหนูของบ้านด้วยความตกใจ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ชดรีบถลาเข้ามาประคองเตรียมอุ้มกาลกลับเรือนทันที แต่เด็กน้อยกลับห้ามไว้ พยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอจวนเจียนจะหยดจนหน้าตาแดงก่ำไปหมด ก่อนจะฝืนพูดกับพุดที่ยืนนิ่งมองมาตาค้าง
“มิอยากรับใช้เจ้านายหลายคนใช่หรือไม่ เยี่ยงนั้นจงมาเป็นคนของหนู รับใช้หนูเพียงแต่หนู พี่คิดว่ากระไร?”
พุดมองเด็กน้อยตรงหน้าด้วยความมึนงง ความเป็นคนของเรือนเศรษฐฯ จะให้เยี่ยงไรก็หนีไม่พ้นอยู่แล้ว เหตุใดคุณหนูกาลจึงเอาร่างมาบังไว้ด้วย ตัวเธอก็น้อยเพียงเท่านี้ คงเจ็บยิ่งกระมัง ยังจะฝืนมากล่าววาจาจะรับตนไว้ให้มีนายเพียงคนเดียวอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตาชดโกรธหรือเพราะคนตรงหน้าต้องเจ็บตัวในเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ทำให้พุดค่อยๆ คลายทิฐิลง
“เอ็ง... เอ็ง กลับเรือนไปข้าจะเฆี่ยนให้หลังยับเลยคอยดูเถอะ” ตาชดชี้นิ้วอันสั่นระริกใส่พุด
“ได้เยี่ยงไร พี่เขาทำหนูเจ็บ ต้องเป็นหนูเป็นคนทำโทษถึงจะถูก ตาชดจะมาแย่งหนูทำโทษไม่ได้หนา”
น้ำเสียงกระเง้ากระงอดมาพร้อมกับท่าทางออดอ้อน เล่นเอาชดใจอ่อนยวบ ยอมให้คุณหนูกาลเป็นคนทำโทษเอง
“คุณหนูตีแรงๆ นะขอรับ ตัวคุณหนูมีนิดเดียว ตีไม่หนักกะเดี๋ยวมันไม่หลาบจำ แหม่... พูดแล้วคันเขี้ยว อยากจะฟาดมันเองสักหลายๆ ที”
เพี๊ยะ!
ริ้วแดงเป็นรอยฝ่ามือขนาดเล็กขึ้นสีบนแก้มข้างซ้ายของพุดทันทีที่เสียงเนื้อถูกกระทบสิ้นสุดลง จะว่ามิเจ็บเลยก็คงไม่ใช่ แต่หากเปลี่ยนเป็นตามาเป็นผู้ลงมือแล้ว ความเจ็บระดับนี้เรียกว่าเล็กน้อยนักเทียว พุดยกมือขึ้นกุมซีกหน้าด้านซ้ายไว้พลางมองคุณหนูกาลตรงหน้าที่ยิ้มแฉ่งแล้วเอ่ยเสียงใส
“หนูเป็นนายของพี่พุดได้คนเดียว เพราะฉะนั้นหนูเลยมีสิทธิ์ทำโทษพี่พุดได้คนเดียวใช่ไหมจ๊ะ”
พูดจบก็หันไปหัวเราะคิกคักกับตาชดแล้วออดอ้อนให้พาไปใส่ยาบนเรือนที เพราะรู้สึกเริ่มระบมที่ต้นแขนขึ้นมาตงิดๆ แล้ว
พุดยืนมองร่างเล็กที่เดินจากไป ในหัวอกมีความรู้สึกพลุ่งพล่านแปลกๆ หัวใจเต้นระทึกอึงอล ภายใต้ฝ่ามือที่กุมใบหน้าไว้เริ่มรับรู้ได้ถึงความร้อนผ่าวของตราประทับของเจ้านายตัวน้อยที่ลวกอยู่บนผิวแก้ม และถึงแม้รอยฝ่ามือนี้จะจางและหายไปภายในเวลาไม่กี่วัน แต่กลับประทับแน่นในความทรงจำไม่รู้ลืม
********************************************************************************
“คุณหนูกาล คุณหนูขอรับเป็นเยี่ยงไรบ้าง คุณหนูอยู่คนเดียวสักครู่ได้ฤาไม่ ประเดี๋ยวพี่จะไปตามบ่าวคนอื่นให้โทรหาคุณหมอให้นะขอรับ เพลานี้น่าจะยุ่งอยู่ในเรือนครัวทำสำรับเย็นกันอยู่”
เสียงร้อนรนของพุดทำให้กาลกระพริบตาปริบ พลางมองหน้าคนที่ดูจะกังวลจนเสียกิริยา พยายามสะบัดหัวไล่ความมึนงงจากความทรงจำของไอ้คุณหนูกาลที่มักจะฉายพาดผ่านมาให้เห็นเป็นระยะๆ อยู่เสมอ ก่อนจะแกล้งหัวเราะ แล้วพูดสัพยอกให้พุดคลายกังวล
“พี่พุดลืมไปแล้วหรือเปล่าจ๊ะ ว่าพี่ก็พกโทรศัพท์ติดตัวไว้กับเขาเหมือนกัน ถ้าจะโทรจริงๆ พี่ก็โทรเองได้ แต่ไม่ต้องตามหมอหรอกจ้ะ หนูแค่หน้ามืดนิดเดียวเอง นั่งพักอีกแป๊บนึงก็หายแล้วล่ะ”
กาลนั่งนิ่งๆ อยู่สักครู่ คิดทบทวนความหลังก็ให้ยิ่งแปลกใจ ตอนเด็กๆ ไอ้เจ้าคุณหนูกาลก็ดูนิสัยดีนี่หว่า แต่ทำไมโตขึ้นถึงได้เอาแต่ใจจนน่าเตะ จึงแอบเลียบๆ เคียงๆ ถามเอากะแหล่งพักพิงข้างตัว
“นั่งเฉยๆ ก็เบื่อเนอะพี่พุด เอาอย่างนี้ดีกว่าอยู่ว่างๆ พอดี พี่เล่าเรื่องตอนที่ได้เจอหนูครั้งแรกให้ฟังหน่อยสิจ๊ะว่าหนูเป็นยังไงบ้าง”
พุดมีท่าทางงุนงง แต่ก็อมยิ้มยอมเล่าให้ฟังแต่โดยดี สีหน้ายามระลึกถึงเรื่องราวแต่หนหลังนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“อืม... ตอนที่พี่เจอกับคุณหนูคราแรกนั้น คุณหนูยังเล็กอยู่เลย น่าจะราว ๗-๘ ขวบได้กระมัง ส่วนตัวพี่นั้นไม่อยากจะพูดถึงเลย”
“ทำไมล่ะ พี่พุดเป็นยังไงจ๊ะตอนนั้น”
“ก็เป็นประเภทยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลน่ะขอรับ ถ้าให้ว่ากันตามหลักวิชาการก็เพราะฮอร์โมนวัยรุ่นมันพลุ่งพล่าน ชอบทำตัวประชดชีวิต ท้าตีท้าต่อยกับคนอื่นเขาไปทั่ว ตอนคุณหนูมาเจอพี่ เอ่อ... พี่ก็กำลังมีเรื่องทะเลาะต่อยตีอยู่นั่นแหละขอรับ”
กาลแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ย้อนถามเสียงสูง
“พี่พุดเนี่ยนะ”
ใบหน้าคมหรุบตาลงทำเป็นไม่กล้ามองสบตา แต่ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวคงเขินอายอยู่ไม่น้อย เมื่อพูดถึงข้อเสียของตนเองเมื่อสมัยยังเป็นวัยรุ่น ถ้าเป็นโลกที่กาลอยู่ใบเดิมนี่ต้องเรียก ‘พุด ฮอร์โมน’ กันเลยทีเดียว (อย่าไปบอกพี่พุดนะ... หนูว่าพี่พุดหล่อกว่า ต่อ ฮอร์โมนอีก - กาล)
“พี่ว่าข้ามเรื่องของพี่ไปเรื่องของคุณหนูดีกว่าขอรับ คุณหนูตอนเด็กๆ น่ารักมาก อย่างกับตุ๊กตา นิสัยก็น่ารักนะขอรับ รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ช่างพูดช่างเจรจานักเทียว”
“แล้วทำไมพอโตมาถึงได้ชอบทำตัวเหินห่างกับคนอื่นในบ้านล่ะจ๊ะ แถมยังชอบใช้กำลังทุบตีบ่าวในบ้านอีก ได้ข่าวว่าที่สลบไปสามวันจนความจำเสื่อมนี่ก็เพราะไปเล่นงานพี่ปริกแล้วแย่งชิงมะยมแช่อิ่มมากินใช่ไหมจ๊ะ”
พุดรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก ที่เห็นคุณหนูกาลพูดถึงตนเอง แต่ทำเหมือนพูดถึงคนอื่น ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าก็เธอความจำเสื่อมนี่นา จะให้วิจารณ์นิสัยของคุณหนูต่อหน้าคุณหนูตัวเป็นๆ พุดก็เริ่มติดอ่างอึกๆ อักๆ ขึ้นมาเหมือนกัน
“พูดมาเถอะจ้ะพี่พุด นะๆ เล่าให้ฟังหน่อย หนูไม่โกรธหรอกจ้ะ ก็หนูจำไม่ได้นี่นา นะ นะ... น้า”
เฮ้อ... พุดได้แต่ลอบถอนหายใจในอก ก็เป็นเสียเยี่ยงนี้ ช่างออดอ้อนนักแล จะให้พี่ปฏิเสธได้กระไร
“ก็ความที่คุณหนูน่ารักมากนี่แหละขอรับ ไม่ว่าจะทำอะไรใครๆ ก็เห็นดีเห็นงามไปหมด ไม่ว่าเรื่องนั้นจะผิดหรือจะถูกก็กลายเป็นถูกต้องที่สุดเสมอถ้าเป็นความคิดเป็นการกระทำของคุณหนูกาล พอโดนตามใจมากๆ เข้าก็เลย... ก็เลยเป็นอย่างที่รู้ๆ กันน่ะขอรับ”
เข้าข่ายเรือนเศรษฐฯ รังแกฉันเลยนะเนี่ย!
********************************************************************************
(มีต่อ)