Why'd we run away
Pretend to be chasedTrust Fall - Wallows8th drift - Strangers party
Nawhale -
กูกำลังเข้าไปเอารถนะ พวกมึงอยู่บ้านใช่ป้ะfarr” -
กูอยู่ ไอ้ปรินไปร้านรัก แต่กุญแจรถมึงอะอยู่กับกูด้วยความเมาค้างในวันนั้นทำให้นาวาฬลืมกุญแจรถไว้ที่บ้านเพื่อน
Nawhale -
เออฟาร์ กูมีเรื่องจะขอมึงนิดนึงว่ะนาวาฬเหลือบมองอนาคินที่ขับรถอยู่ พูดคุยกับจุนน์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปด้วย ทั้งสองคนดูเหมือนจะไม่ได้สนใจเขา
farr” -
ว่าNawhale -
หุ้นส่วนใหม่พี่กูอะ แม่งคือไอ้โคล แล้วกูอยู่ในรถกับมันเนี้ย มีเพื่อนพี่กูอีกคนมาด้วยfarr” -
แป้บ โคลลอนดอนอะนะNawhale -
เออ โคลนั่นแหละfarr” -
พีคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคคเขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฟาร์กรีดร้องผ่านตัวอักษร แหงสิ เป็นใครก็ต้องตกใจทั้งนั้นแหละ
farr” -
แต่ก็ดีแล้วนิ กูก็อยากเจอมันอยู่Nawhale -
นั่นแหละที่กูจะขอมึง คืออออออ กูไม่ค่อยอยากให้คนรู้เท่าไหร่ว่ากูรู้จักมันมาก่อนว่ะfarr” -
ไมอะNawhale -
โมโหแม่ง หลอกกูกับมึงมาเป็นชาติfarr” -
มันก็คงมีเหตุผลของมันป้ะฟาร์เป็นคนที่จิตใจดีเสมอ เขารู้ข้อนี้ดี
Nawhale -
กูไม่สนfarr” -
ตามใจ แล้วจะให้กูช่วยอะไรอะNawhale -
มึงช่วยทำเป็นเหมือนกูไม่เคยรู้จักกับแม่งต่อหน้าเพื่อนพี่กูหน่อยดิเขากลั้นหายใจรอคำตอบของเพื่อน
farr” -
เออ มึงบอกมันแล้วใช่มะNawhale -
มันบอกให้กูมาบอกมึงเองfarr” -
มึงรู้ป้ะว่ามึงชอบทำให้ชีวิตตัวเองยุ่งยากอะ“ถึงแล้วครับน้องวาฬ”
“อ่าาา เดี๋ยววาฬบอกเพื่อนแป้บ”
Nawhale -
เออๆ กูถึงละ มึงลงมาดิ๊“คุณจะไปไหน” ชายหนุ่มเรียกทันทีที่ผู้มีสถานะเป็นเลขาเปิดประตูรถ วาฬก้าวลงจากรถก่อนจะหันไปตอบ
“เดี๋ยวเพื่อนจะเอากุญแจรถลงมาให้ พอดีผมลืมไว้ กลับก่อนเลยก็ได้ครับ”
“ไม่เป็นไรครับน้องวาฬฬฬ พวกพี่รอเพื่อนน้องวาฬมาก่อนก็ได้ เนอะไอ้คิน” จุนน์หันไปสะกิดเพื่อนที่เปิดประตูรถออกเช่นกัน
“เดี๋ยวผมไปกับคุณ ไอ้จุนน์มึงรออยู่นี่แหละ”
“กูโดนทิ้งคนเดียวตลอดไอ้สัส” จุนน์บ่นเสียงดังแต่ไม่มีใครสนใจ อนาคินเดินตามหลังวาฬที่ตรงไปยังรถสีฟ้าที่สะดุดตาท่ามกลางรถหรูมากมาย สายตาสอดส่ายไปมาเหมือนจะหาใครสักคน
“คุณรอในรถเหมือนพี่จุนน์ก็ได้ ไม่เห็นต้องลงมากับผมเลย” วาฬบ่น
“ผมอยากเจอฟาร์น่ะ ไม่ได้เจอตั้งนาน”
“คุณรู้ได้ไงว่าเพื่อนผมคือฟาร์”
“เพราะมันคงไม่มีเหตุผลอื่นแล้วที่คุณจะพยายามไม่ให้ผมมาส่งที่นี่ ไม่ต้องห่วง ผมจำข้อตกลงของเราได้” เขารีบพูดเมื่อเห็นสีหน้าของคู่สนทนา “ผมเลยให้จุนน์รอในรถไงครับ”
แม่งจริงจังกับข้อตกลงมากกว่าที่คิด“ไอ้วาฬ” ฟาร์เดินออกมาจากลิฟต์ โบกมือแหยงๆ ให้เพื่อนที่โบกตอบ อนาคินหันไปตามเสียงก่อนจะยิ้มกว้างให้กับผู้มาใหม่
“ฟาร์ เป็นไงบ้าง”
“พูดไทยได้จริงด้วย ไม่ชินเลยอะ” ฟาร์ทำเสียงง้องแง้งก่อนจะส่งกุญแจให้วาฬที่กรอกตาขึ้นมองเพดานอย่างห้ามไม่ได้ “วาฬเล่าให้ฟังแล้ว ปล่อยให้คิดอยู่ตั้งนานว่าเป็นฮ่องกง บ้าบอออออ”
“เฮ้ย ขอโทษจริงๆ ก็เห็นเข้าใจไปแล้วเลยปล่อยไป” ชายหนุ่มหัวเราะให้เพื่อนที่ไม่เจอกันนาน “แล้วนี่เป็นไงบ้าง ว่างๆ กินข้าวกัน”
“ได้ๆ ขอไลน์หน่อย มีป้ะๆ”
วาฬกรอกตาขึ้นฟ้ารอบที่สอง
จะใจดีไปไหนวะฟาร์“ถ้าจะคุยกันนานกูขอกุญแจ”
“เอ้า จะกลับแล้วอ่อ”
“กูจะไปหาข้าวกิน หิวมาก พูดจริงๆ”
“ขึ้นไปกินห้องกูดิ โคลมาด้วยกันๆ”
“ทิ้งกูไว้ในรถแล้วก็มายืนคุยกัน แม่ง”
ก่อนที่มีใครได้ทันตอบรับหรือปฏิเสธคำชวนของฟาร์ จุนน์ที่ถูกทิ้งไว้ในรถก็ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นมาแต่ไกล ใบหน้าอ่อนกว่าวัยนั้นมุ่ยลงอย่างเห็นได้ชัด เขากวาดสายตามองเพื่อนและน้องชายเพื่อนที่ยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนที่จะหยุดลงที่ฟาร์ที่วาฬไม่เคยพามารู้จัก
“เอ่อ— ฟาร์ป้ะ?”
วาฬหันขวับไปมองเพื่อนตัวเองที่ก็ดูประหลาดใจไม่แพ้กัน
“พี่จุนน์หรอ”
“ใช่ๆ พี่เองๆ เฮ้ยยย ฟาร์จริงๆ ด้วยว่ะ!” ชายหนุ่มกระโดดโลดเต้นไปรอบๆ ขว้าคอฟาร์ที่ยังดูงงๆ อยู่เข้ามากอด อนาคินส่งสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามให้วาฬที่ส่งสายตาแบบเดียวกันกลับไป
“ไอ้พี่จุนน์ เจ็บว้อย ปล่อยฟารรรรรรรรรร์”
ฟาร์ดิ้นพราดๆ พยายามเอาตัวเองให้หลุดจากอ้อมแขนของชายที่แก่กว่า แต่สีหน้าของเขากลับดูดีใจไม่แพ้กัน
“โตขึ้นเยอะชิบหาย เจอสุดท้ายยังใส่แว่นอยู่เลย” จุนน์ปล่อยคอรุ่นน้องออก แต่ยังคงมีสีหน้าตื่นเต้น “ไม่ได้เจอกันกี่ปีละวะเนี้ย”
“ก็ตั้งแต่—เออ นั่นแหละ ซักห้าปีได้ละมั้ง” ฟาร์นับนิ้ว
“พี่จุนน์รู้จักมันอ่อ ไม่คิดว่าเคยแนะนำให้รู้จักนะไอ้ฟาร์เนี้ย” วาฬถามงงๆ
“เออ มันเป็น—เพื่อนญาติพี่ตั้งแต่เด็กๆ เลย พี่เลยเจอมันประจำ แต่พอมันจะเข้ามหาลัยก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย นี่คอนโดมึงอ่อฟาร์”
“ใช่ๆ ฟาร์อยู่กับเพื่อนอีกคน ก็เพื่อนๆ กันหมดนี่แหละ... ฟาร์ก็รู้จักโค—พี่คินตอนไปแลกเปลี่ยนสมัยปีหนึ่ง” ฟาร์รีบแก้อย่างรวดเร็ว เหลือบมองเพื่อนที่ส่งสายตาเตือนมาให้นึกถึงข้อความในไลน์ที่คุยกัน จุนน์อ้าปากค้าง
“พระเจ้า โลกกลมสัส”
วาฬมองไปที่เพื่อนตัวเองที่ดูดีใจแบบที่เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน มองกลับไปที่จุนน์ที่ยังดูช็อคกับความบังเอิญที่เกิดขึ้นตรงหน้า ก่อนจะหันไปยังอนาคินผู้ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
เหมือนกับรู้ว่าถูกจ้องอยู่ ชายหนุ่มหันกลับมาหลิ่วตาให้วาฬที่ก้มลงมองรองเท้าตัวเองด้วยความเร็วแสง
โลกมันกลมได้มากกว่าที่พี่คิดเยอะพี่จุนน์ วาฬคิดในใจ
......
“อร่อยมากเลยฟาร์” อนาคินชม ใช้ส้อมม้วนเส้นผัดไทยในช้อนตัวเองไปด้วย
“แต้งกิ้ววว พอดีเราทำให้เพื่อนอะ มันชอบรสแบบนี้เลยไม่แน่ใจว่าจะโอเคกันป่าว” ฟาร์ยิ้มรับ ก่อนจะหันไปดุเพื่อนที่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างหิวโหย “กินช้าๆ ติดคอตายแล้วเดี๋ยวลำบากกูอีก”
พวกเขากำลังอยู่กันในคอนโดที่ฟาร์แชร์ร่วมกับปรินที่ยังคงไม่กลับมา ชามผัดไทยขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงหน้านั้นถูกตักแจกให้วาฬ อนาคิน และจุนน์ที่หิวกันสุดขีดทาน จุนน์มองเพื่อนตัวเองที่กินผัดไทยด้วยท่าทางแปลกๆ ก่อนจะโวยวาย
“ไอ้ฝรั่ง ใครแดกผัดไทยกันแบบนั้น น้องวาฬสอนมันหน่อยครับ”
“ทำไมพี่จุนน์ไม่สอนเพื่อนพี่เองอะ”
“น้องวาฬนั่งใกล้มันก็สอนมันให้พี่หน่อย”
วาฬถอนหายใจใส่เพื่อนพี่ชายที่หันไปคุยกับฟาร์ต่อ ตั้งแต่ที่จุนน์เจอกับฟาร์ ทั้งสองคนก็นั่งคุยกันไม่หยุดแม้แต่นาทีเดียวตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน เท่าที่วาฬจับใจความได้ จุนน์กำลังโวยวายฟาร์ที่อยู่ๆ ก็หายตัวไปแล้วตัดการติดต่อทุกอย่างกับคนรู้จักตอนกำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย
“ก็รู้ไง แต่ไม่จำเป็นต้องตัดพี่นี่หว่า พี่ช่วยมึงอยู่แล้ว”
“ก็ฟาร์ไม่อยากให้พี่ลำบาก”
“นั่นข้ออ้างมึงหรอ สัส คนเค้าก็หากัน”
“สองสามวันนี้โลกกลมเนอะ คุณว่าไหม” อนาคินยิ้มให้วาฬที่ทำหน้ามุ่ยอยู่ข้างๆ มือถือส้อมที่หยุดค้างอยู่กลางอากาศ “ตกลงคุณต้องสอนผมกินไหม หรือไง”
“โลกคุณกับผมมันกลมมาตั้งแต่ตอนลอนดอนแล้วครับ แค่ผมเพิ่งมารู้ตอนนี้” วาฬบ่นพึมพำ อนาคินหัวเราะ
“ผมบอกคุณแล้วไงว่าตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
“ไม่รู้อะ ผมรู้แค่ว่าในโลกนี้ไม่มีใครกินผัดไทยแบบพาสต้า เอาส้อมโกยเส้นเข้าปากก็พอครับ” วาฬใช้ส้อมตักเส้นผัดไทยเข้าปากเป็นตัวอย่าง อนาคินเลิกคิ้ว
“ผมว่าเลอะเทอะ”
“นี่คือคุณบอกว่าผมเลอะเทอะหรือผมกินเลอะเทอะ”
“โห ใครจะกล้าไปว่าคุณเลอะเทอะครับคุณนาวาฬ แค่นี้คุณก็เกลียดผมจะตายอยู่แล้ว” ชายหนุ่มยกมือยอมแพ้ก่อนจะตักเส้นเข้าปากอย่างที่วาฬสอนด้วยท่าที่ไม่ชิน ด้วยความไม่ชินทำให้มีเศษอาหารกระเด็นออกมาเล็กน้อย
“กินเหมือนเด็ก” วาฬหลุดหัวเราะ โคลที่เขารู้จักมาโดยตลอดคือผู้ชายที่เนี้ยบไม่มีที่ติ การได้เห็นคนตรงหน้ากินอาหารด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ ทำให้ดูน่าขำชอบกล อนาคินขำตาม ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าท่าทางตัวเองนั้นคงดูตลกพิลึก เขาวางส้อมลง
“ผมทำอาหารกระเด็นใส่คุณ ขอโทษที” นิ้วมือเรียวยาวเอื้อมมาปัดที่ข้างแก้มของวาฬที่นั่งตัวแข็งก่อนจะถอนหายใจออกช้าๆ
“ไม่เห็นมีเลย” เขามองนิ้วที่ควรจะมีเศษอาหารติดอยู่ ชายหนุ่มหัวเราะ
“ไม่มีหรอก ผมแกล้งคุณเล่น”
ก่อนที่วาฬจะได้ทันโวยวาย ประตูคอนโดก็ถูกเปิดออก ตามมาด้วยเสียงของปรินที่ตะโกนเข้ามาก่อนตัว
“ฟาร์กูกลับมาละ อ้าว คนเยอะแยะเลย ว่าไงมึง พี่จุนน์สวัสดีครับ”
ปรินยกมือไหว้รุ่นพี่ที่รู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว ใบหน้าที่แดงน้อยๆ นั้นบ่งบอกให้รู้ว่าชายหนุ่มนั้นดื่มมาก่อนที่จะกลับมา ฟาร์ทำหน้าเซ็งทันที
“เมาแล้วขับรถกลับมาเนี้ยนะ”
“กูเป็นคนขับๆ” รีรักโผล่ตามหลังเข้ามา ในมือถือขนมพะรุงพะรังเข้ามาอย่างที่ทำให้วาฬรู้ว่าคงหนีไม่พ้นกะจะมานอนเล่นเกมส์ที่นี่อย่างเคย “ว่าจะโทรตามมึงมาเล่นเกมส์พอดี หวัดดีครับพี่ ฟาร์พวกกูโคตรหิว มีอะไรกินมั่ง”
“ทำผัดไทยไว้ให้ปรินแต่พวกนี้กินกันไปบ้างละ” ฟาร์บุ้ยใบ้ไปยังทั้งสามคนที่ยังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหาร อนาคินยิ้มให้ปรินและรีรักที่เพิ่งสังเกตุเห็นการมีตัวตนอยู่ของเขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก้าวเข้าห้องมา
ใครวะ ปรินทำปากถามวาฬที่ถอนหายใจ
“พวกมึง นี่คุณอนาคิน เป็นหุ้นส่วนใหม่พี่กู—“
“เป็นเพื่อนพี่ด้วย” จุนน์แทรก
“—เป็นเพื่อนพี่จุนน์ด้วย และตอนนี้เป็นเจ้านายกูเพราะมาแทนที่พี่เบน แล้วด้วยความโลกกลมพรหมลิขิตอะไรก็ไม่รู้ก็เป็นเพื่อนไอ้ฟาร์มาก่อนด้วย” ทำหน้าเฉยเข้าไว้วาฬ อย่าให้ปรินจับได้ว่ามึงพูดความจริงไม่หมด “ส่วนคนเสื้อดำนี่ปริน คนสูงๆ นั่นรีรักครับ”
“สวัสดีครับ” ผู้มาใหม่ทั้งสองยกมือไหว้ ชายหนุ่มยกมือรับไหว้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
วาฬตักผัดไทยที่เหลืออยู่ใส่จานตัวเองก่อนจะส่งให้ปริน ด้วยความที่สนิทกันมานาน การกินข้าวจานเดียวกันและใช้ช้อนส้อมคู่เดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทั้งคู่มองว่าเป็นเรื่องประหลาด ยิ่งปรินเป็นโรคกระเพราะอยู่ด้วยนั้น ทำให้วาฬเรียนรู้ที่จะหาอะไรให้ปรินกินทันทีที่อีกฝ่ายบ่นหิว จนกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวมาโดยตลอด อนาคินเลิกคิ้วเมื่อเห็นปรินที่ดูไม่สนใจเริ่มตักเส้นผัดไทยเข้าปากทักที
“ฟาร์ ไปเอาจานใหม่ให้เพื่อนดีกว่ามั้ย”
“สองคนนั้นมันก็อย่างนั้นตลอดแหละ เออฟาร์ มึงยังเล่นบาสอยู่ป้ะ เดี๋ยววันไหนไปเล่นกัน”
จุนน์กับฟาร์คุยกับเจื้อยแจ้ว ไม่สนใจวาฬที่เดินเก็บจานที่ใช้เสร็จแล้วเพื่อเอาไปล้าง
“ผมช่วย” อนาคินพับแขนเสื้อขึ้น ทำเอาวาฬที่ไม่ทันสังเกตุว่ามีคนเดินตามหลังเข้าครัวมาสะดุ้งสุดตัวด้วยความตกใจ ตัวต้นเหตุหัวเราะ
“ขวัญอ่อนจัง”
“ก็คุณเดินมาเงียบๆ ใครจะไปทันสังเกตุ” วาฬบ่น “ไม่ต้องช่วยหรอกครับ แค่สองสามใบ ผมล้างเองได้”
“งั้นผมเช็ดจานให้ละกัน” ชายหนุ่มคว้าผ้าเช็ดจานที่ตากอยู่ข้างๆ มาถือเอาไว้ “คุณสนิทกับปรินมากเลยหรอ”
“ก็ใช่ มีอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่า ผมแค่เห็นพวกคุณใช้จานเดียวกันเหมือนเป็นเรื่องปกติเลยสงสัยขึ้นมาแค่นั้น”
“มันกับผมสนิทกันมาตั้งแต่อนุบาล เลยชินๆ กันไปพวกเรื่องแบบนี้” วาฬอธิบาย “เหมือนพี่นนท์กับพี่เบน คล้ายๆ กัน”
“จริงสิ บางทีผมก็ลืมว่าสองคนนั่นสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก”
“สนิทยังน้อยไปครับ ตอนผมเด็กๆ พี่เบนกินนอนที่บ้านผมจนพ่อแม่พี่เบนเลิกตามให้กลับบ้าน” วาฬหัวเราะน้อยๆ เมื่อนึกถึงอดีตที่เบญจมินทร์มักจะแอบปีนรั้วเข้าบ้านเขาตอนดึกๆ เพื่อที่จะมานอนในห้องเขาบ้าง ห้องนั่งเล่นบ้าง เพราะนนท์สกุลมักจะไล่ให้เพื่อนกลับไปนอนบ้านตัวเองอยู่เรื่อยๆ แต่เขาไม่เคยฟัง จนในที่สุดพ่อแม่ของเขาต้องหาฟูกมาปูให้ถาวรในห้องของนาวาฬที่ตื่นเต้นทุกครั้งที่เบญจมินทร์แอบเข้ามา
“คุณกับเบนเลยเป็นเพื่อนกันด้วยสินะ”
“จะเรียกว่าเพื่อนก็ไม่ถูกครับ เหมือนเป็น—“
“ไอ้วาฬ”
“อ้าว มาไมวะ” วาฬหันคอไปถามปรินที่เดินเข้าห้องครัวมาด้วยสีหน้าที่เขาเองก็อ่านไม่ออก บทสนทนาที่เขากำลังมีกับอนาคินถูกขัดจังหวะลงทันที “กูล้างจานอยู่ เดี๋ยวกูก็ออกไปละ”
“ไอ้รักแม่งแดกหมดละผัดไทย กูจะต้มมาม่า แล้วคุณ—เอ่อ—“ เขามองอนาคินอย่างไม่แน่ใจ “คุณอนาคินไม่ต้องช่วยมันล้างหรอกครับ เดี๋ยวผมช่วยมันเอง”
“ไม่เป็นไรครับ”
“มึงเป็นไรวะ ทำหน้าแปลกๆ” นาวาฬทักเพื่อนที่ยืนรอน้ำที่เพิ่งต้มนั้นเดือด ปรินทำท่าอึกอัก
“เอ่อ—“
“คุยกันได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจผม” อนาคินยิ้มให้ปรินที่เหลือบมองเขาก่อนจะยิ้มอย่างเกรงใจน้อยๆ วาฬเลิกคิ้ว
“มีไรมึง”
“ไอ้ฟาร์กับพี่จุนน์ไปสนิทกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
“กูก็ไม่รู้ วันนี้กูก็งงเหมือนกัน คิดว่าต้องแนะนำให้รู้จักกลายเป็นว่าสนิทกันมาก่อนซะงั้น”
“หมายความว่าอะไรวะ สนิทกันมาก่อน?”
“เห็นพี่จุนน์บอกว่ามันเป็นเพื่อนญาติหรืออะไรซักอย่าง แต่เหมือนไม่ได้คุยกันเลยไรงี้”
“จะไม่ได้คุยกันเลยได้ไงวะถ้าสนิทกันมาก่อน” ปรินทำท่าไม่เชื่อ
“กูจะไปรู้หรอ แต่ที่เห็นคุยๆ กันเหมือนว่าฟาร์อยู่ดีๆ ก็ตัดการติดต่อกับคนที่รู้จักช่วงนั้นไปเลยไรงี้ เห็นพี่แม่งบ่นอยู่ว่าปล่อยให้หากันแทบตาย”
“พวกคุณนี่ชอบเล่นซ่อนแอบเนอะ” อนาคินบ่นค่อยๆ วาฬหันขวับทันที
“เมื่อกี้คุณพูดอะไรรึเปล่าครับ”
“เปล่าครับ เปล่าๆ" ชายหนุ่มไอ ปรินที่เหมือนไม่ได้ยินพูดต่ออย่างเคลือบแคลง
“หากันท่าไหนไม่เจอ ฟอลโลเวอร์ไอจีแม่งรวมกันเป็นแสน”
“กูต้องรู้หรอ แล้วมึงอะไปยุ่งอะไรฟาร์มัน”
“กูหมั่นไส้ แม่งยังไม่คุยกับกูซักคำเลย คุยแต่กับไอ้พี่จุนน์”
“เป็นเมียมันรึไงมาน้อยใจนู่นนี่ ถ้าว่างมึงไปทำมาม่าไป๊ น้ำเดือดแล้ว” วาฬไล่ ส่งจานใบสุดท้ายให้อนาคินที่ยืนเช็ดจานเงียบๆ นั้นเช็ดต่อ ปรินกอดคอเพื่อนเร็วๆ ก่อนจะหันไปแกะมาม่าใส่จาน
“แดกเสร็จตามกูออกไปนะ”
“เออๆ”
......
“ถ้ามึงหายไปอีกรอบนะเว้ยฟาร์ พี่จะไปแจ้งความคนหายให้มึงเห็นเลยคอยดู”
“โหหหห พี่แม่งพูดแบบนี้แล้วใครจะไปกล้าหายวะ”
ตีสอง ขวดเบียร์ที่วางอยู่เกลื่อนกลาดนั้นบ่งบอกได้ดีถึงจำนวนแอลกอฮอลที่ถูกดื่มไปในระหว่างนั้น จุนน์และฟาร์ยังคุยกันอยู่ไม่หยุด พร้อมกับถ่ายรูปคู่กันเป็นระยะๆ เพื่อหาภาพที่ดีที่สุดไปลงอินสตาแกรมของตัวเอง รีรักและปรินนั้นกำลังดวล FIFA กันอยู่ในท่าทางเมามาย โดยมีอนาคินผู้ซึ่งเป็นคนเดียวที่ไม่ดื่มนั่งเชียร์อยู่ข้างๆ นาวาฬที่กดมือถืออยู่อย่างไม่สนใจ
CeL~ -
หวัดดี เราจะไปเที่ยวไทยช่วงเดือนหน้าอะ ว่างมาเจอกันหน่อยมั้ย?เซลีนเป็นคนเดียวจากลอนดอนที่วาฬยังคงติดต่ออยู่อย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เคยคบกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเซลีนได้พัฒนาจนกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ต่อให้พวกเขาได้คุยกันแค่เดือนและครั้งสองครั้ง ข้อความแค่สองสามข้อความ เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้วาฬรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เซลีนจะเป็นหนึ่งในคนที่พร้อมช่วยอย่างสุดความสามารถแม้ว่าจะต้องเจอกับอะไรก็ตาม และเขาคงทำแบบเดียวกันเพื่อเธอ
Nawhale -
ได้ๆ มาแล้วบอกนะ เดี๋ยวจะพาเที่ยวให้ทั่วเลยCeL~ -
มีโรงแรมแนะนำป้ะNawhale -
ถ้าไม่มายด์ นอนคอนโดเราได้นะ มีห้องนอนเหลืออยู่ห้องนึงCeL~ -
จะรบกวนปล่าวNawhale -
ถ้ารบกวนเราก็คงไม่ชวนแล้ว คิดมากCeL~ -
5555 งั้นตามนั้นจ้ะ รบกวนด้วยนะ“กูกลับนะ” วาฬลุกขึ้นคว้ากระเป๋าท่ามกลางเสียงประท้วงของคนอื่นๆ
“มึงนอนนี่แหละะะะ แดกเบียร์ไปเยอะอย่างนั้นมึงจะขับรถกลับได้ไง”
“ไม่ กูอยากนอนเตียง ไม่อยากนอนโซฟา เดี๋ยวกูเรียกอูเบอร์กลับก็ได้ ส่วนรถค่อยมาเอาพรุ่งนี้ สัสรถกูไม่ได้กลับบ้านซักที” เขาบ่น อนาคินลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวผมไปส่ง”
วาฬที่เริ่มรู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงกับบุคคลตรงหน้าในเรื่องนี้ถอนหายใจ
“แล้วรถคุณล่ะ คุณจะเอารถคุณกลับยังไง”
“ก็ให้มันขับรถน้องวาฬไปส่งที่บ้าน แล้วให้มันเรียกอูเบอร์กลับ ส่วนรถมันเดี๋ยวพี่ขับไปให้มันที่บ้านพรุ่งนี้ ยังไงพี่ก็ต้องไปบ้านมันอยู่แล้ว” จุนน์อธิบาย
“ถ้าคุณโอเคกับการนั่งอูเบอร์กลับ—“
“ผมโอเค”
“งั้นตกลงครับ”
“เดินดีๆ คุณ” ชายหนุ่มพยุงนาวาฬที่เดินเซนิดๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล เขายิ้มกับตัวเองเมื่อมองไปยังคนที่ทำหน้าตาง่วงนอน พยายามเดินให้เป็นปกติไปด้วย เขาจัดท่างทางให้วาฬนั่งเรียบร้อยก่อนจะออกรถช้าๆ ไปยังความมืดของกรุงเทพในกลางดึก
“คุณฟังเพลงไหม”
“ไม่เอาเพลงคลาสสิกครับ” วาฬบอกพึมพำ อนาคินหัวเราะก่อนส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้
“งั้นคุณเลือกจากเครื่องผมเอาเองเลย”
วาฬรับมา สิ่งที่สะดุดตาเขาเป็นอย่างแรกคือภาพหน้าจอโทรศัพท์ที่เป็นรูปแสงไฟสีม่วงในห้องมืดสลัว อย่างที่สองคือจำนวนเพลงในเครื่องที่มีแค่ไม่กี่เพลงจนวาฬประหลาดใจ
“คุณมีเพลงแค่แปดเพลง?”
“ผมเก็บไว้แต่เพลงที่ผมฟังประจำครับ เลยมีอยู่แค่นั้น”
วาฬไล่ดูเพลงที่ชายหนุ่มมีอย่างสนใจ บางเพลงเขาเองก็จำได้ว่าเป็นเพลงที่เคยแลกกันฟังกันอนาคินสมัยที่อยู่ลอนดอน จนกระทั่งสายตาเขาไปสะดุดอยู่ที่เพลงสุดท้ายที่เขาเกือบจะลืมไปแล้ว
Symmetry
“ถ้าวาฬจะกินแบบนั้นอีก เราคงจะท้าทั้งวันแหละ”เขากัดริมฝีปากตัวเองที่เหมือนจะจำสัมผัสในคืนนั้นได้ดี
เขาไม่เคยฟังเพลงนี้อีกเลยหลังจากคอนเสิร์ตในคืนนั้น
“เลือกได้รึยังครับ”
“ด—ได้แล้วครับๆ” วาฬรีบกดเล่นเพลงที่อยู่ใกล้นิ้วของตัวเองที่สุด รู้สึกได้ถึงหัวใจของตัวเองที่เริ่มเต้นแรงเมื่อนึกถึงคืนนั้น โคลยังฟังเพลงนี้อยู่ เขาคิดในใจ มันยังฟังอยู่ สี่ปีมาแล้วยังฟังอยู่
หรือมันอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างคืนนั้น
และไม่รู้ทำไม ความคิดนั้นทำให้เขารู้สึกขัดใจอย่างแปลกๆ
บอกเธอเอาไว้ก่อน
ว่าตัวฉันนั้นเป็นคนอ่อนไหว
แต่ใจมันเหมือนว่าชินและชา
บอกเธอเอาไว้บ้าง
หากวันไหนฉันเองดูเปลี่ยนไป
อย่าไว้ใจฉันเหมือนวันผ่านมา
เสียงเพลงดังขึ้นเบาๆ เหมือนเป็นเสียงซาวด์แทรคประกอบฉากขับรถฝ่าความมืดในหนังเรื่องอะไรสักเรื่องที่ฉายในทีวีหลังเที่ยงคืน แสงสีส้มจากป่าคอนกรีตที่ส่องเข้ามาผ่านกระจกสะท้อนเสี้ยวใบหน้าของนาวาฬที่ยังคงหลงอยู่ในความคิดของตัวเองจนเหมือนไม่ได้ยินเสียงรอบตัว ต่างกับอนาคินที่เชยตามองคนข้างๆ เมื่อเสียงโน้ตตัวแรกของเพลงดังขึ้น
เพราะว่าฉันรู้ว่าเธอควรพบใครที่ดีกว่า
ส่วนตัวฉันแค่ผ่านมา จากวันนั้นไม่เหมือนเดิม
ดวงตาสีเขียวหม่นจับจ้องใบหน้านิ่งคิดของคนข้างๆ อย่างอ้อยอิ่งเหมือนจะเก็บทุกรายละเอียดเอาไว้ในความคิด ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น ปลายจมูกที่เชิดรั้น ใบหูที่เต็มไปด้วยรอยเจาะมากมาย ริมฝีปากอิ่มสีเรื่อที่คุ้นตา แม้แต่ผมหยักศกสีดำที่คลอเคลียอยู่ที่ต้นคอ
ชายหนุ่มยกยิ้มเบาๆ ให้กับตัวเอง
อย่าเลย อย่าไว้ใจฉันเลย
เพราะฉันไม่เหมือนที่เคยผ่านมา
ยิ่งนานสักเท่าไหร่ ฉันเองยิ่งรู้ว่า
คิดถึงเธอมากกว่าเดิม
“ไม่ว่าคุณจะคิดอะไรอยู่ ผมอยากให้คุณรู้ว่า ผมดีใจมากที่ได้เจอคุณที่นี่”
นาวาฬหันตามเสียงทุ้มนุ่มของคนข้างๆ ที่ดังขึ้นฝ่าเสียงเพลง เขาก้มลงมองมือตัวเอง
“แต่ผมไม่ดีใจ”
“ผมเข้าใจ คุณผ่านอะไรมาเยอะในช่วงที่เราไม่ได้เจอกัน มันคงจะฟังดูบ้าถ้าผมบอกว่าคุณไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธผมที่ผมทำเป็นไม่รู้จักพี่ชายคุณ”
“...”
“อย่างที่บอก ผมดีใจที่ได้กลับมาเจอคุณอีกครั้ง ผมคงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบอกให้คุณคิดแบบเดียวกัน หรือกลับมาเป็นเพื่อนกับผม สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือการเป็นเจ้านายที่ดีที่สุดของคุณ เพราะนั่นคือสิ่งที่คุณต้องการให้ผมเป็น”
อนาคินยิ้มให้นาวาฬที่หันมาสบตากับเขา
ไม่อยากให้ความไว้ใจ ทำร้ายเธอ
แต่ทุกครั้งที่เธอสบตา
มันทำฉันรู้สึก ลึกเกินไปกว่า
สิ่งที่เธอต้องการ ให้ฉันเป็น
ประโยคสุดท้ายของเพลงลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ วาฬหลบสายตาคนข้างๆ ก่อน เขากลับไปจ้องมือตัวเองเหมือนเดิม พยายามซ่อนความรู้สึกแปลกๆ ที่เขาไม่เข้าใจไว้ภายใต้ใบหน้านิ่ง
โคลไม่เปลี่ยนเลยความคิดของเขาถูกขัดจังหวะเมื่อรถจอดลงเร็วกว่าที่เขาคิดไว้
“ถึงแล้วครับ”
รถคันสวยจอดที่หน้าบ้านของเบญจมินทร์ ทำให้นาวาฬนึกขึ้นได้ถึงความจริงที่อนาคินไม่รู้ว่าเขาอาศัยอยู่ที่ไหน และคงคิดไปเองว่าเขาและเบญจมินทร์อาศัยอยู่ด้วยกัน บ้านที่ดูมืดมิดกว่าปกตินั้นบ่งบอกให้เขารู้ดีว่าเจ้าของบ้านนั้นคงนอนที่บ้านเพื่อนสนิทตามเคย เขาก้าวลงจากรถ ใช้รีโมตที่มีอยู่ให้ประตูเปิดออก
“เหมือนพี่เบนยังไม่กลับ” เขาพูดอย่างลังเลเมื่ออนาคินจอดรถของเขาในโรงรถเรียบร้อยแล้ว “คุณเข้ามาเรียกอูเบอร์ในบ้านก่อนก็ได้นะครับ”
“ผมกดเรียกไปแล้วครับ อีกแค่ไม่กี่นาทีเอง” อนาคินชูโทรศัพท์ให้เขาดู “ผมไม่เคยเข้ามาที่นี่เลย ครั้งสุดท้ายที่ผมกลับไทยเบนมันยังอยู่คอนโดอยู่เลย”
“พี่เบนย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะนี่ครับ” เขาชี้ไปยังเรือนหลังเล็กท้ายสวนที่โดนต้นไม้บดบังจนเกือบมิด อนาคินหัวเราะ
“เตาเผาเครื่องปั้นมันใช่ไหม”
“ครับ”
ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในเรือนที่ไม่ได้ล็อค เขากวาดสายตาไปรอบๆ อย่างสนใจ เครื่องปั้นทั้งแบบเซรามิคและดินเหนียวถูกตั้งไว้รอบๆ มีทั้งแบบแก้ว จาน ชาม โถ หรือแม้แต่รูปปั้นต่างๆ บนแป้นปั้นมีงานที่ยังไม่เสร็จคาไว้อยู่ วาฬก้มลงดู
“เพิ่งรู้ว่าพี่เบนปั้นรูปคนด้วย”
“มันอาจจะปั้นรูปคุณอยู่ก็ได้”
วาฬหัวเราะ “โห พี่เบนไม่ขนาดนั้นหรอก”
“คุณรู้ไหมว่าตอนสมัยที่พวกผมอยู่ไฮสคูล ผมได้ยินเรื่องคุณจากเบนเยอะมากเลยนะ” อนาคินเล่าเรื่อยๆ เดินดูเครื่องปั้นตามผนังไปด้วย “พาวาฬไปทะเลมา สอนวาฬขี่จักรยาน วาฬมีแฟนคนแรก พวกผมทุกคนยกเว้นนนท์ฟังชื่อคุณจนติดหู ปรินก็ด้วย วันนี้ที่เจอปรินเลยรู้สึกเหมือนจริงๆ แล้วรู้จักกันมาก่อน ตอนที่ผมเจอคุณก็เหมือนกัน”
“พี่เบนแม่งนินทา”
“มันชอบคุณตั้งแต่ตอนนั้นหน่า อย่าไปมองแบบนั้น” เขาก้มลงมือโทรศัพท์ที่สั่นขึ้น “อูเบอร์ผมมาแล้ว คุณไม่ต้องเดินไปส่งหรอก เข้าไปนอนเถอะครับ”
วาฬดูไม่แน่ใจ “แน่ใจหรอครับ”
“ครับ แค่อย่าลืมปิดประตูก็พอ” เขายิ้ม หันมาขยี้ผมวาฬเร็วๆ อย่างที่เคยทำ “เจอกันวันจันทร์นะ”
“ครับ”
นาวาฬมองหลังของคนที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปจนลับตาเมื่อออกประตูไป ก่อนจะยกมือขึ้นจับศีรษะตัวเองที่ผมยังคงยุ่งเหยิงจากการขยี้อยู่ มุมปากยกขึ้นน้อยๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ
ห่าร่างกาย อย่าเสือกยิ้มนะ“ไม่ยิ้มหรอก” เขาพูดออกมาดังๆ เสียงของเขาที่ลอยออกไปในความมืดมิดยามตีสามเหมือนจะทำให้ตัวเองแน่ใจในอะไรบางอย่างที่ยังคงมาไม่ถึง
......