หมายเหตุตัวโตๆ เนื่องจากเรื่องนี้มันมีสถานที่จริงอยู่ เลยต้องระวังกันนิดนึง
เป็นลูกบ้าของคนเขียนเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องจริงๆใดๆกับสถาบัน สาขาวิชา หรือบุคคลนะครับ
Chapter 8 : Almost..
ผมยืนกลับหน้าหัน กลับหลังหันเป็นลูกเสือสำรองอยู่หลังมอ ประมาณวันละสองสามรอบตั้งแต่อยู่หอมา
ทำไมน่ะเหรอครับ.. ผมกำลังตัดสินใจอยู่
ผมมองซอยเล็กๆที่ออกมาเมื่อวันก่อนอย่างชั่งใจ
คือ..ผมอยากไปหอไอ้ทัศน์
โอ้ว yes, sir ! ผมจะเข้าถ้ำเสือ
ผมลืมของล้ำค่าไว้น่ะสิ.. เสื้อ กางเกงผมไง ผมซักแขวนตากไว้ที่ระเบียง
เสื้อแม่ซื้อ เกงพ่อซื้อ มันของรักผมนะ.. ใส่ตั้งแต่สมัยยังเอ๊าะๆเชียวนา
ฮึ่ย แต่ปัญหาคือผมไม่กล้าเอาชีวิตไปเสี่ยงเจอมัน
ผมทำใจกล้าปีนระเบียงทางเดินข้ามไปเอาเสื้อผ้าที่ระเบียงมันได้แน่
ถ้าเพียงแต่..หนึ่ง เสื้อผ้าผมยังไม่ได้ไปจบลงในถังขยะไหนซักแห่ง และสองไอ้ทัศน์ไม่ได้อยู่ในห้อง
แต่ผมไม่ได้มีตาทิพย์นี่ จะได้รู้ว่ามันอยู่หรือไม่อยู่ตอนไหน
แล้วผมก็อยากคืนให้มัน..
คืนเสื้อผ้ากับตังค์ค่าขนมนั่นไง เก็บเสื้อผ้าแม่งไว้แล้วหลอนชะมัด และผมก็ไม่ชอบติดเงินใครด้วย
แต่ รอใจกล้ากว่านี้ก่อนแล้วกันนะ.. คือครั้งสุดท้ายผมเหยียบติงมัน แล้วบอกมันว่าไปเอากะหมูเห็ดเป็ดไก่ดีกว่า
ผมขอบอกผ่าน จากสถานการณ์เสี่ยงไปเจอมันอีกรอบละกันนะ ถ้าคุณไม่ว่าอะไร -_-
.
.
เช้าวันต่อมา ผมแต่งหล่ออยู่ครับ และจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดเมื่อแต่งยังไงก็ไม่หล่อ [--]
ผมยืนมองกระจกอย่างอารมณ์เสีย ภาพที่สะท้อนออกมาคือผมยุ่งๆชี้โด่ชี้เด่ลงมาปรกหน้าซีดๆ เสื้อยีนส์สีจางๆยับๆ ที่สวมทับเสื้อกล้ามข้างในไว้ กับเกงยีนส์เก่าเก็บ และสะพายเป้ด่างๆดำๆพาดบ่าไว้ใบนึง ไม่หล่อตรงไหน ??
“ตื่นแต่เช้าเลยวะ เกรย์”
นั่นเสียงรูมเมทผมครับ ไอ้แอร์
หลังจากทำความรู้จักแล้ว มันจึงบอกผมว่าเรียนวิศวะ
ผมจำได้ว่าเบ้หน้า มันเป็นคณะกรีนน่ะครับ และพ่อก็อยากให้ผมเรียนซะเหลือเกิน
ก็ถ้ามีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาปรัชญา ผมก็จะลงให้นะ -_-
ส่วนเมทอีกคนยังนอนกรนอยู่ มันชื่อไอ้นน เรียนไบโอครับ
ผมหยุดคุยกับมันไปพักหนึ่ง เพราะทำใจไม่ได้ หลังมันบอกว่างานอดิเรกคือผ่าท้องกบ
o_O’’
.
.
ผมอยู่หอมาได้สองสามวันแล้ว เท่าที่เห็น เมทสองคนนี้เป็นใช้ได้
แอร์ค่อนข้างฮาร์ดคอร์ ผมเลยตั้งนิคเนมมันว่า เหียกวิดวะ
ส่วนไอ้นน เอิ่ม.. จะว่าไปมันเป็นเด็กเรียน งั้นขอเรียกมันว่า ไบโอเนิร์ด ละกัน
“ชาติละหนตื่นเช้า”
ผมตอบแอร์เรื่อยๆ หันซ้ายหันขวา “วันนี้มีประชุมผู้ปกครองปีหนึ่งกันที่หอประชุมนี่หว่า กูกะจะไปแอบดูพ่อหน่อย”
“แอบดูเนี่ยนะ ทำไมต้องแอบวะ?”
ไอ้แอร์แปลกใจ
เออว่ะ ใครๆก็คงแปลกใจสถานการณ์ของผมกับพ่อ
ผมได้แต่เฉยเสียไม่ยอมตอบ
เรื่องของเรื่องก็คือผมจะไม่ได้เห็นพ่ออีกนานนะครับ มีโอกาสน้อยนิดแค่ไหนผมก็ต้องคว้าไว้
“แล้ว’ไมมึงไม่นอนต่อล่ะแอร์”
ผมเบี่ยงประเด็น
“รุ่นพี่นัดไปหาว่ะ เหมือนทำความรู้จัก”
ไอ้แอร์ตอบ
ผมเลิกคิ้ว
“ยังไม่เปิดเรียนเลยเนี่ยนะ”
“โอ้ย คณะกูเค้ารับน้องกันแล้ว ว่าแต่เค้าให้กูไปหาที่หอประชุมพอดี มึงจะติดรถกูไปมั๊ยล่ะถ้าจะไปหาพ่อ”
“ดีๆ ไปๆ แต่ไม่ใช่ไปหาพ่อ ไปแอบดูพ่อ มันต่างกันนะเว้ย”
ผมอธิบาย อย่างคิดว่ามันเป็นความแตกต่างธรรมดาๆที่ใครก็เห็นได้ชัด
“เออๆ จะยังไงก็ช่างเถอะ”
ไอ้แอร์ตัดบท
.
.
ผมซ้อนมอเตอร์ไซค์ไอ้แอร์มาถึงหอประชุมอย่างซึ้งในน้ำใจมัน เพราะผมเพิ่งค้นพบความจริงว่าหอผมกับหอประชุมนี่มันไกลกันสัดๆเลย
“ทำไมมึงมาหารุ่นพี่ที่นี่วะ กูหมายถึงแดกเหล้ากันได้เหรอ”
ผมแปลกใจ แต่ไอ้แอร์หัวเราะหึอย่างรู้ชะตาชีวิตตัวเอง
“กูจะโดนแกล้งอ่ะดิไม่ว่า รุ่นพี่ให้กูมาช่วยเสิร์ฟน้ำ แจกหนมให้พ่อๆแม่ๆแหงๆ”
แล้วผมก็หัวเราะร่วนกับชะตาชีวิตมัน เออดี ทำตัวมีประโยชน์
ผมแยกกับไอ้แอร์ที่มันบอกจะรอรุ่นพี่อยู่ด้านหน้าก่อน แล้วค่อยๆเดินเข้าไปในหอประชุม
และสำเหนียกตอนนั้นเองว่า……. ผู้ปกครองมันเยอะนะเฮ้ย!!
แต่เอาน่า พ่อไว้ผมทรงบรูซ วิลลิส สะท้อนแสงอาทิตย์ได้ หาไม่ยากหรอก
ผมค่อยๆซัดสายตาไปทั่วบริเวณ
มันเป็นช่วงที่ผู้ปกครองเพิ่งทยอยๆกันมา
ผมแอบซ่อนตามสุมทุมพุ่มไม้ใกล้ทางเข้าเหมือนจะมาปล้นหอประชุม
เมียงมองกะไม่ให้รอดสายตา รออยู่เป็นนานก็ไม่เห็นพ่อ จึงละออกมาดูรอบๆ
มันมีทางเข้าสองทาง --!
เยี่ยมไปเลย ป่านนี้พ่ออาจเข้าไปข้างในด้วยอีกประตูหนึ่งแล้ว
ผมถอนหายใจเฮือก กำลังจะยอมแพ้กลับหอ
แต่แล้วผมก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันของคนสองคนใกล้ประตูทางเข้า..
ไม่หรอก ผมบอกตัวเองว่า หูฝาดไป..
และขนลุกชันเมื่อตระหนักว่าทั้งสองเสียงช่างคุ้นเคยเหลือเกิน..
ไม่หรอกน่า..
“คุณคิดว่าคุณมีสิทธิ์ทุกอย่างคนเดียวเหรอ ตาแก่งี่เง่าเอ้ย”
เธอ,,อยู่ในเสื้อเชิ๊ตกางเกงยีนส์ทะมัดทะแมงรวบผมหางม้าเถียงอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ถ้าผมงี่เง่า คุณก็ยิ่งกว่าล่ะ”
แสงอาทิตย์สาดสะท้อนศีรษะ,,เขา และน้ำเสียงนิ่งเข้มก็เต็มไปด้วยพลังอำนาจ
“เฮอะ ตามกฎหมายแล้ว มารดาเป็นผู้ปกครองที่ถูกต้องตามกฎหมายของบุตรตายตัวอยู่แล้วด้วยซ้ำ”
หน้าเธอเชิดขึ้น
“แย่หน่อยนะ เพราะคนที่เลี้ยงเขามาไม่ใช่กฎหมายนั่น แต่เป็นผม!”
.
.
เฮ่อ,,
หน้าตาผมตอนนี้คงเหยเกสุดๆ
คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มมองชายและหญิงคู่นั้น บางคนถึงกับยืนดูอย่างเปิดเผยเลยเอ้า !
ผมอยากใส่เกียร์หมาวิ่งกลับหอเดี๋ยวนี้เลย ถ้าไม่ติดว่าสายตาแหลมคมของผู้หญิงคนนั้นตวัดมาเห็นผมแล้ว
“เอ่อ”
??อะไร ผมควรทำไงดี ผมไม่อยากเดินไปหากระทิงกำลังโกรธและหมีดุมีเขี้ยว งื้อ!!
แต่ผมก็เดินไป
“ไม่อายคนเหรอครับเนี่ย?”
ผมกลอกตาไปมา พูดกับคนทั้งคู่
ต่างคนต่างเม้มปากมองไปในทางตรงข้าม
เฮ่อ! ใช่ครับ ผัว-เมีย คู่นี้น่าเบื่อจริงๆ –พ่อกับแม่ผมเอง
“เกรย์”
แม่ผมเรียกเบาๆ แล้วเข้ามาสวมกอดผมเอาไว้
เอิ่ม..หน้าหอประชุม คนเยอะแยะ
แต่ใช่ฮะ ผมบ้าจี้กอดตอบ
“มาได้ไงเนี่ยแม่?”
“แม่มาเชียงใหม่มากกว่าจังหวัดอื่นในประเทศด้วยซ้ำตอนทำงาน จะมาประชุมให้ลูกด้วย ถึงแม้จะมีบางคนไม่ยอมบอกเรื่องประชุมก็เถอะ”
เธอตวัดสายตาแหลมคมไปทางพ่อ
“มันไม่ใช่หน้าที่คุณแล้ว”
พ่อผมเฉย
“คุณต่างหากไม่ใช่หน้าที่ชั้นแล้ว แต่เกรย์ยังเป็น แล้วคุณก็ประชุมของกรีนแล้วสี่ปีก่อน คุณไปซะ”
“นี่คุณ-”
พ่อผมเริ่มโมโห
จนผมต้องห้ามทัพ
“เฮ้ๆ ใจเย็นๆฮะ”
..ผมลอบถอนหายใจ
พ่อกับแม่ผมเลิกกันนานแล้วละ
และถ้าคุณสงสัยว่าทำไมละก็.. ก็เพราะอย่างนี้ไง ==!
“เข้าไปทั้งสองคนก็ได้นี่ฮะ แบบว่า มาทั้งพ่อทั้งแม่เค้าก็ไม่ว่าหรอก”
ผมเสนอแผนปรองดองแห่งชาติ
.
.
“ไม่”
“บ้าแล้ว”
เสียงคัดค้านดังมาจากทั้งคู่อย่างพร้อมเพรียง ผมกลอกตาไปมาอีกครั้ง
“ถ้าจะให้นั่งข้างผู้ชายคนนี้เป็นชั่วโมงๆละก็ เอาไฟมาลนก้นชั้นเถอะ”
แม่เชิดศีรษะขึ้น หางม้าสะบัดน้อยๆ
พ่อทำหน้าให้รู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกต่างกัน
ฮ่อก..
“คุณทั้งสองครับ คุณมีลูกด้วยกันตั้งสามคน ผมว่ามันคงใช้เวลามากกว่าชั่วโมงนะในการทำทั้งหมดนั่น”
……
และแล้วผมก็รู้สึกว่าอะไรซักอย่างไหลท่วมทุ่งข้าวสาลี แล้วบุ้งงง กลายเป็นระเบิดนิวเคลียร์
โอ๊ยย !
ทั้งแม่ทั้งพ่อร่วมใจประเคนฝ่ามือมาให้ผมเต็มๆ
โอย กุไม่น่าพูดเลย ฮือ!!
“ก็เพราะว่าเวลาหน้ามืดตามัวทั้งหมดนั่นมันมากพอแล้วน่ะสิ!”
พ่อว่า แล้วเดิมดุ่มๆเข้าข้างในไปเลย
แม่สะบัดหางม้าอีกครั้ง
“เป็นเจ็ดปีที่ห่วยแตกของชั้นเหมือนกันแหละย่ะ!”
ผมถอนหายใจเฮือก เอามือกุมหัว มองคนทั้งคู่ชนหลังชนไหล่เข้าประตูไป
ถ้าใครบอกคุณว่า ยิ่งทะเลาะยิ่งลูกดก เชื่อเขาเถอะว่าจริง!
เท่าที่จำได้ แม่เลิกกับพ่อขาดตอนผมสองขวบ ไอ้กรขวบเดียว
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็ทำท่าว่าจะเลิกกันมาได้ซักร้อยหนแล้ว ..ตามที่พี่กรีนเล่าให้ฟัง
แม่จะพาลูกทุกคนไปด้วย แต่เมื่อพ่อชี้ให้เห็นความจริงว่านักถ่ายทำสารคดีที่ต้องเดินทางไปนู่นมานี่ตลอด
เวลากับสามียังไม่มีให้ จะดูแลลูกได้ยังไง แม่ก็ออกจากบ้านไปทำงานที่แม่รักโดยไม่มีน้ำตาซักหยด
แต่ผมรู้ว่าแม่คิดถึงผม และพี่ชายน้องชายผม
แต่เธอก็ทิฐิและเกลียดพ่อมากเกินไปจนไม่ยอมเข้าใกล้ได้เกินห้านาทีโดยไม่เถียงกัน
เอิ่ม ครอบครัวนี้ มัน.. [โปรดเติมคำในช่องว่าง]
.
.
แม่บอกว่าไม่ชอบผม เพราะผมเกรียนเหมือนพ่อ
พ่อก็ดันบอกว่าไม่ชอบผม เพราะผมเกรียนเหมือนแม่
คุณไม่เชื่อหรอก ว่าผมใช้เวลาครึ่งชีวิตในการบอกคนคู่นั้นว่า ผมไม่ได้เกรียน!!
ผมส่ายหน้าเหนื่อยๆ แต่ก็คุ้มวะที่ถ่อมาถึงนี่ ได้เจอทั้งพ่อทั้งแม่เลยแฮะ
สงสัยว่าพี่กรีนกับเจ้ากรก็คงไม่โชคดีเท่าผมหรอกวันนี้ ฮิ้วว
.
.
“นะ..นั่น นั่นพ่อกับแม่มึงเหรอวะ”
เสียงคุ้นดังมาข้างหลังผม สายตามองไปทางประตูอย่างไม่อยากเชื่อ ไอ้แอร์นั่นเองครับ
“เฮ้ย มาอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ”
ผมสะดุ้งน้อยๆ
“กูเดินเข้ามากับรุ่นพี่นานแล้ว ยังคุยกับพี่เค้าอยู่เลย ว่าคู่นี้เถียงกันเมามันส์มาก จนกระทั่งมึงเดินมา แล้วเอ่อ..”
แอร์ทำท่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกขึ้นมาทันที คาดว่ามันอาจไม่เคยเห็นสามีภรรยาคู่ไหนพิสดารเท่านี้
แต่ผมหัวเราะน้อยๆ และพยักหน้า
บ้านผมไม่ใช่ครอบครัวอันแสนสุขแน่ละ..
และแน่นอนเราแทบไม่ได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้รักพวกเขาทุกคนนี่ครับ
ไอ้แอร์ที่ตอนแรกดูกังวลว่าผมเป็นเด็กมีปัญหารึเปล่าก็เริ่มหัวเราะตามด้วย
“เออ งั้นกูไปละ ไว้เจอกันที่หอนะมึง”
ผมบอกลามัน
“อ้าว รอก่อนไหม กลับพร้อมกัน กูรอพี่คนนึงอยู่ สงสัยพี่รหัสกูแหง แกล้งกูดีจัง รอกูเจอพี่ก่อน เดี๋ยวค่อยกลับ”
“เฮ้ย ไม่ต้องหรอก กูว่าจะไปที่นึงก่อน ค่อยกลับหอ”
ว่าแล้วผมก็เดินดุ่มๆออกจากหอประชุม เรื่องอะไรจะต้องรอเจอรุ่นพี่ไอ้แอร์ ใช่ว่าผมจะรู้จัก
อีกอย่างวันนี้ผมเป็นทอม ครูซ ต้องปฏิบัติการมิชชั่น อิมพอสสิเบิ้ล
นั่นคือ ..ผมจะไปหอไอ้ทัศน์!
ผมคุ้ยหมวกแก๊บในเป้ออกมาสวม
หยิบถุงพลาสติกที่ข้างในมีเสื้อผ้าไอ้ทัศน์ แบงค์ร้อย และกระดาษใบนึงที่ผมบรรจงเขียนเมื่อคืน มาหิ้วไว้
หน้าตาผมมุ่งมั่นราวกับหน่วยกล้าตาย พยายามเดินอย่างที่คิดว่าจะทำให้ตัวเองดูเท่ที่สุด
.
.
แต่แล้วความเท่ก็หมดไปเรื่อยๆ
..ผมเดินจนติงล้า มันไกลกว่าที่คิด จากที่เป็นทอม ครูซ
อยู่ดีๆผมเลยกลายเป็นมิสเตอร์บีน
ถึงหลังมอ ผมก็เข้าซอยเดิมที่จำได้ว่าโผล่ออกมาเมื่อสองสามวันก่อน เดินระแวงหน้าระแวงหลังไปเรื่อยๆ
จนมาหยุดกึกที่หอพักคุ้นตาที่สุด แน่นอน ที่นี่แหละไม่ผิดแน่ๆ ผมยังเห็นร้านขนมที่ผมนั่งแดกป็อกกี้วันนั้นอยู่ไกลๆ
ผมเดินเข้าไป ระมัดระวังทุกฝีก้าว เตรียมพร้อมก้มหน้าอำพรางตัวได้ทุกเมื่อถ้าเกิดเหี้ยทัศน์เสือกโผล่มา
แล้วผมก็ปลอดภัยมาจนถึงลิฟต์.. ผมกดชั้นห้าไม่รีรอเมื่อเข้าข้างใน
ก่อนจะนึกได้ว่าเกิดลิฟต์เปิดผลุงชั้นห้า แล้วบังเอิญไอ้ทัศน์รอลิฟต์อยู่พอดีนี่ ผมกลายเป็นตำนานศพในลิฟต์เลยนะ
ผมจึงกดออกที่ชั้นสี่ ใช้บันได ยังไงซะก็มีทางหนีทีไล่
แหม่ รอบคอบจริงๆเลยกู
ผมค่อยๆโผล่หัวดูลาดเลา แต่มันก็เงียบ ไม่ค่อยมีคน
ผมวางถุงใส่ชุดมันไว้ข้างประตูห้อง
แล้วค่อยๆเดินผ่านห้อง ตรงไปที่ระเบียงทางเดิน และมองไปที่ระเบียงมัน
บิงโก !
ไม่เสียแรงอุตส่าห์ถ่อมาถึงนี่ ยังแขวนอยู่นั่น !
ไอ้ทัศน์แม่งไม่ได้ใช้สามัญสำนึกอะไรเก็บชุดไว้ให้ผมเลย
เออ สรุปมันดีหรือไม่ดีวะเนี่ย
ช่างเหอะ ก็ดีสำหรับผมแล้วละ มันง่ายขึ้นที่จะได้เสื้อผ้านำโชคสมัยผมยังลั้ลลากลับสู่อ้อมอก ฮา!
ผมพอมองเห็นว่าไอ้ทัศน์ไม่อยู่แหงๆ ม่านไม่ได้ปิด แต่ในห้องแทบมืดสนิทและเงียบฉี่
เอาละ ผมจะปีนแล้ว วันนี้ฝนยังไม่ตก ตรงหลังคาปูนด้านล่างแห้งสนิท..
ฮึบ..
มือผมเกาะราวระเบียงแน่นกันตาย นอกจากไม่อยากกลายเป็นศพในลิฟต์แล้วก็ไม่อยากเป็นตำนานศพบนระเบียงเช่นกัน
จากนั้นผมค่อยๆขยับเท้า
ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง..
เสร็จโจร ! ผมจับราวระเบียงห้องมันไว้แล้ว
ภาพตอนผมเกาะอยู่ตรงนี้กลางฝนอย่างสั่นๆเปียกๆและหนาวๆแว่บเข้ามาในความคิด
ผมยักไหล่
สำหรับผม มันแตกต่างกันมาก ระหว่างแดดออกกับฝนตก และมีแม่ไอ้ทัศน์อยู่ในห้องกับไม่มี
ตอนนี้ผมรู้สึกเฉยๆกับการปีนระเบียง อย่างที่บอก ผมไม่เคยกลัวความสูง
พี่กรีนหัดให้วิ่งบนกำแพงที่ความกว้างแค่ฝ่าตีนเดียวตั้งแต่ผมอยู่อนุบาลนู่น
ถ้าพี่กรีนมันบอกว่ามันแมนละก็ คุณเชื่อมันเถอะ เพราะว่าจริง
เอาละ มาสู่สถานการณ์ปัจจุบันดีกว่า ผมกำลังจะเหนี่ยวตัวขึ้นไป
แหม่ ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม
ผมเตรียมปีนพร้อมกับได้ยินเสียงที่ประตูห้อง..
เฮ้ย! ไม่มั้ง
ไม่ใช่ห้องนี้หรอก ผมไม่ซวยปานนั้นแน่
แล้วต่อหน้าต่อตาผม ประตูห้องไอ้ทัศน์ค่อยๆถูกผลักเข้ามาข้างใน
“สัด..เอ้ย”
ผมสบถเบาๆ ถอยกลับสองก้าวชิดหน้าต่าง
วินาทีต่อมาก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าเข้ามาในห้อง ถ้าอยู่ในรัศมียังไม่ถึงเตียง คนในห้องจะไม่เห็นผมหรอก
แต่ถ้ามาถึงระหว่างเตียงกับห้องน้ำละก็ จะมองเห็นภาพที่พิสดารมาก
คือตูดผมเด่นหราอยู่ชั้นห้านี้ และหน้าก็เอี้ยวมองเข้าไปในห้อง
และผมจะไม่รอให้ภาพน่าตื่นเต้นเร้าใจแบบนั้นปรากฏแก่สายตาไอ้ทัศน์แน่
ที่ผ่านมาผมคิดว่าอับอายต่อมันเพียงพอกับทั้งชีวิตนี้แล้ว no more , no more
ผมจึงปีนหน้าต่างเข้ากลับไป
หยุดอยู่ตรงนั้นแป๊ปหนึ่ง และค่อยๆ เดิน ภาวนาให้เดินผ่านห้องมันไปอย่างสวัสดิภาพปลอดภัย
ฮึ่ย ไม่น่ากลับมาตอนนี้เลย เอาซะ กุเกือบซวย!
เอาน่า โอกาสภายภาคหน้ายังมี ผมปลอบใจตัวเอง
เฮ่อ หวังว่าผมคงไม่เจอมันอีกหรอกนะ คลาดแคล้วมาขนาดนี้แล้ว
ก่อนผ่านไป ผมเหลือบมองที่ประตูปิดสนิทหน้าห้องมัน..
..ถุงที่ผมวางไว้ถูกหยิบไปแล้ว
…………………………………………………………….