“เฮ้อออออออออออออ” ผมถอนหายใจยาวเมื่อเดินมาหลังบ้านแล้วเจอสวนดอกไม้สวยงาม รู้สึกอึดอัดกับความคิดของตัวเองแถมนายดินที่ปกติเป็นคนพูดมากแต่กลับเดินตามมาเงียบๆ ไม่พูดอะไรซักคำ
“สบายใจขึ้นยัง” เขาเดินขึ้นมาเทียบ
“ก็ไม่ได้ไม่สบายใจตรงไหนนี่” เดินมาอีกไม่กี่ก้าว ผมก็หยุดแล้วนั่งลงบนขอนไม้ใหญ่ที่อยู่ริมบ่อปลาคราฟ
“ออร่านางมารออกซะขนาดนั้นยังจะปากแข็ง” ร่างสูงยืนล้วงกระเป๋ามองปลาว่ายไปมาด้วยสีหน้าเหมือนรู้ทัน
“เฮ้อ ฉันทิ้งนิสัยเดิมไม่ได้หรือไงก็ไม่รู้ อุตส่าห์จะทำใจให้ญาติดีกับผู้หญิงของป๋าแต่ก็ทำไม่ได้อีกแล้วอะ” ในที่สุดก็ต้องสารภาพเพราะคงปิดบังคนรู้มากไม่ได้อีก
ร่างสูงหันมายิ้มหล่อแล้วก้มลงหยิบหินเล็กๆ มายื่นให้ “ลองปาลงน้ำสิ”
“หืม?” ผมเลิกคิ้วแต่ก็รับหินก้อนนั้นแล้วปาลงน้ำ
“ความรู้สึกแย่ๆ ก็ปาออกไปเหมือนหินก้อนนั้นให้มันจมลงน้ำ ดีกว่าเก็บไว้ให้มันจมลงในใจเรา” ดินแดนเดินมานั่งใกล้ๆ “เป็นอย่างที่พี่เป็นนั่นแหละ ใครดีด้วยก็ดี ใครไม่ดีก็ไม่ต้องฝืน”
“แล้วมันจะต่างอะไรกับเมื่อก่อนล่ะ ที่สุดแล้วก็ร้ายๆ แรงๆ เหมือนเดิม EQไม่มีพัฒนาเลย” ผมตัดพ้อตัวเองกลายๆ
“ต่างสิ ต่างมาก” ดินแดนหันมาจับไหล่สองข้างให้ยืดขึ้นเพราะตอนนี้ไหล่ห่อจนไม่เหลือมาดอะไรอีก “เมื่อก่อนพี่ร้ายเพราะฟังเรื่องราวจากแม่ใหญ่แต่พี่ไม่เคยคิดอยากพิสูจน์ว่าเรื่องที่ได้ฟังมันจริงหรือไม่จริง พี่ไม่เคยคิดอยากเข้ามาสัมผัสว่าผมกับแม่นิสัยเป็นยังไงแต่ก็ตัดสินใจเกลียดไปแล้ว แต่ครั้งนี้พี่ยอมลดอีโก้ลงแล้วมาพิสูจน์ด้วยตัวเองซึ่งมันคนละเรื่องเลยกับเมื่อก่อน EQพี่พัฒนาไปเยอะแล้วครับอย่าคิดมาก”
“แต่คนดีๆ ก็ควรเก็บอารมณ์ได้ไม่ใช่เหรอ” ผมช้อนตามองอ้อนน้องชายเพราะดินแดนในโหมดนี้ละมุนจนอบอุ่นไปทั้งใจ
“ใครบอกพี่” มือหนาละจากไหล่มาเชยคาง “เป็นคนดีก็ต้องฉลาดด้วย ใครร้ายมาจะให้ดีกลับเหรอ ไม่เข้าท่าหรอก”
“แทนที่จะสอนให้ใจเย็น กลับมาสอนให้ร้ายขึ้นซะงั้นแหละ” ผมยิ้มขำแต่แล้วกลับถูกนิ้วแกร่งลูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก
“ก็ถ้าร้ายแล้วยิ้มได้แบบนี้ แรงๆ ร้ายๆ ไปโลด”
“สรุปเธออนุญาตให้ร้ายได้นะ” ผมดันมือเขาออกเบาๆ เพราะอาการเริ่มไม่ค่อยดี
“เต็มที่เลย ไม่ว่าพี่จะดีหรือจะร้าย ผมก็อยู่ข้างพี่” รอยยิ้มของดินแดนดูจริงใจและอบอุ่น ผมเคยเกลียดเขาได้ยังไงกันนะ
“แล้วเธอล่ะ คิดยังไงกับผู้หญิงคนนั้น”
“คิดว่า.. เขาอยากจะกินผมอะ”
“หืออ? นึกว่าฉันคิดอยู่คนเดียว”
“เซ้นส์ดีเหมือนกันนะคุณชนม์แดน” ดินแดนโอบแล้วเขย่าไหล่เบาๆ “ผู้หญิงแบบนี้ต้องเจอแบบผม หึๆ”
“อย่าไปทำอะไรเขานะ คนท้องคนไส้”
“ผมไม่ได้จะใช้กำลังหรอกน่า แต่ดูจากนิสัย ลูกในท้องจะใช่ลูกป๋ารึเปล่าหรือจริงๆ จะท้องจริงไหมงี้ดีกว่า ดีแล้วที่ป๋าไม่โอนบ้านให้ เดี๋ยวเด็กคลอดก็รู้อะว่าอะไรเป็นอะไร หรือบางที..”
“บางที?” ผมลุ้นรอฟัง
“บางที.. ไม่บอก”
“อะไรอ่า บอกมาเลยอย่าทำให้อยากแล้วจากไปแบบนี้นะ”
“ฮ่าๆๆ เห็นทำตัวหยิ่งๆ แต่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านด้วยเหรอเรา” ร่างสูงก้มลงมาส่งสายตาวิบวับล้อเลียนโดยที่ใบหน้าอยู่ใกล้แค่คืบ
“เดี๋ยวจะโดน” ดันหน้าเขาออกห่างแล้วลุกไปยืนดูปลาว่ายไปว่ายมา
“ตอนเขินโคตรน่ารักอะ เวลาโดนแกล้งก็ดูเหมือนพี่จะรู้สึกอะไรมากกว่าพี่น้อง แต่เอาเถอะ ผมมีหน้าที่ต้องทน”
“พูดบ้าอะไรของเธอ ฟังยากเลอะเทอะ”
“มาอยู่ตรงนี้เอง ป๋าเรียกถึงไม่ได้ยิน” ป๋าเข้ามาแทรกความรู้สึกปั่นป่วนในอารมณ์ได้ทันเวลาพอดี
“ป๋าก็จังหวะดีเกิ๊น” ดินแดนบ่นแล้วยิ้มร้าย เห็นแล้วต้องกัดฟันข่มความรู้สึกหมั่นไส้ปนสับสน
“ดอทหิวแล้วครับ ไปทานข้าวกันเถอะ” วิ่งเข้าไปคล้องแขนป๋าเพื่อให้พาหนีจากนายดินที่ท่าทางไม่น่าไว้ใจขึ้นทุกที
“ไปสิ ป๋าให้เด็กมันตั้งโต๊ะแล้ว” ป๋าพาเดินไป
หันไปมองดินแดนที่เดินตามมาห่างๆ เขายิ้มแล้วส่ายหัวเบาๆ เหมือนเห็นผมเป็นเด็กไม่รู้ประสีประสาอย่างนั้นแหละ
เราสามคนทานข้าวเย็นด้วยกันโดยไม่มีผู้หญิงคนใหม่มาขวางหูขวางตา ป๋าบอกว่าเธอบ่นเพลียเลยขอพัก ก็ดีแล้วที่ไม่มาไม่งั้นจะเกิดสงครามให้ป๋าปวดหัว
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารของเราสามคนเป็นไปด้วยความชื่นมื่น ป๋าหน้าบานตลอดเวลาและพูดอวดความเก่งกาจของผมให้ดินแดนฟังไม่ขาดปากว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ภูมิใจที่ผมทำในสิ่งที่รักจนประสบความสำเร็จ ซึ่งก็ได้แต่เขินแล้วเปลี่ยนเรื่องอยู่บ่อยๆ
ตลอดมื้ออาหารดินแดนตักกับข้าวให้ป๋า ส่วนป๋าตักกับข้าวให้ผม และผมก็ตักกับข้าวให้นายดิน
“เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืนนะจะได้ไม่ปวดท้องอีก” ผมยิ้มให้น้องชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยมีป๋านั่งหัวโต๊ะ
“ใส่ใจเก่ง เอาใจเก่ง น่ารักเก่ง” ดินแดนทำเสียงล้อจนผมต้องทำหน้าดุ “เอ้าๆ ดุเก่ง ขู่เก่ง ดูดิป๋าพี่ดอททำหน้าเหมือนตัวนากโดนแย่งปลาอะ น่ากลัวสุดๆ”
“ตีเก่งด้วย อยากลองไหม” ชูกำปั้นใส่แต่เขานั่งตรงข้ามจึงได้แต่ส่งสายตาคาดโทษไป
“แกก็ชอบแกล้งพี่เจ้าดิน” ป๋าหันไปดุเขา ผมจึงได้ทียักคิ้วสมน้ำหน้าไป “แล้วเดี๋ยวพี่โกรธอย่ามาขอให้ป๋าช่วยง้อให้นะ พี่แกยิ่ง.. งอนเก่ง น้อยใจเก่ง งอแงเก่ง..”
“งื้ออ ป๋าอะ แกล้งดอทอีกคนแล้ว” ผมทำหน้างอน โดนรุมสองแบบนี้ไม่โอเคเลยนะ
“ฮ่าๆๆ ก็แกมันน่าแกล้งนี่ตาดอท” ป๋าหัวเราะร่วน “เอาล่ะๆ ป๋าไม่แกล้งแล้ว กินข้าวเยอะๆ จะได้อ้วนกว่านี้อีกหน่อย”
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มรับผัดผักรวมกับกุ้งตัวโตที่ป๋าตักให้
อาหารวันนี้ถึงจะเป็นอาหารธรรมดาๆ ไม่ได้หรูหราเพราะป๋าลงมือเข้าครัวเอง แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอร่อยจนไม่อยากอิ่ม อยากให้คุณแม่มาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้บ้าง คุณแม่คงจะมีความสุขมากกว่านี้
เมื่อใช้เวลาร่วมกันพอสมควรแล้ว พวกเราก็ลากลับ
“เราโอเคนะตาดอท” ป๋าเดินออกมาส่งแล้วโอบไหล่ผมไว้เหมือนกลัวว่าผมจะนอยด์
“โอเคสิครับ เดี๋ยวนี้เป็นนิวดอทนะ” ผมยิ้มกว้างให้ป๋าดู
“ป๋าดีใจมากนะที่เราเข้าใจกันได้ ที่ผ่านมาป๋าเป็นคนผิดเอง ป๋าขอโทษนะลูก” น้ำตารื้นขึ้นบนดวงตาคู่คมของป๋า เรื่องของผมคงสะเทือนใจป๋ามาก ตลอดเวลาป๋าคงไม่มีความสุขเลย เราทั้งหมดไม่มีใครมีความสุขแค่เพียงเพราะความรู้สึกยึดติดกับความรักที่มากเกินไป
“ไม่ต้องขอโทษแล้วนะครับ ดอทเข้าใจป๋าหมดแล้ว ดอทต่างหากที่ต้องขอโทษ ดอทรักป๋านะ” ผมกอดป๋าอีกครั้งแน่นๆ และผละออกมา
“ถ้าน้องคลอด ดอทจะรักน้องจะมาเลี้ยงน้องช่วยป๋าหรือเปล่า” ป๋าถามอย่างไม่มั่นใจนัก
ผมเม้มปากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง หน้าของป๋าก็หงอยลงเรื่อยๆ
“ถ้าน้องไม่อึใส่ ดอทก็จะรักน้องครับ” ผมแกล้งแหย่แล้วป๋าก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“แหมๆๆ รักกันมีความสุขกันจังเลยน้า สองแดน” ดินแดนขับรถออกมาจากโรงรถแล้วมาจอดเทียบข้างๆ
“แกก็แดนเหมือนกันแหละเจ้าดิน” ป๋าสวนเข้าให้
“งั้นเราไปตั้งคณะตลกไหมป๋า คณะสามแดน ฮ่าๆๆ” แล้วเราก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“แล้วน้องจะแดนด้วยไหมครับ” ผมถามถึงชื่อน้องคนต่อไป
“ถ้าเป็นผู้หญิงป๋าจะให้ชื่อ แดนสนธยา ถ้าเป็นผู้ชายจะชื่อ แดนมหัศจรรย์” ป๋าพูดติดตลก
“ตลกละป๋า ไม่ต้องคุมโทนขนาดนั้นก็ได้ แยกไปเป็นสรวงนั่นสรวงนี่มั่งเหอะ” ชื่อป๋าคือแดนสรวง ความคิดนายดินก็เข้าท่าดีนะ ใช้คำว่า สรวงเป็นเจนเนอร์เรชั่นใหม่
“ทำแฝดชายหญิงเลยครับจะได้ตั้งทีเดียว” ผมเสนอ
“จะเลี้ยงไหวไหมล่ะ” ป๋าท้วง
“เลี้ยงไม่ไหวเดี๋ยวให้ลูกใภ้มาช่วยเลี้ยงให้” ดินแดนเสนอ
“จริงด้วยครับป๋า ไม่ต้องกลัวว่าจะเลี้ยงไม่ไหวเพราะถ้ากำราบคนอย่างนายดินได้ไม่ว่าใครในโลกนี้สกายก็คงชนะหมดล่ะ” ผมแซว
“นั่นสินะ” ป๋าเห็นด้วย
“โหยย รุมกันเฉยเลย มาขึ้นรถได้แล้ว เดี๋ยวอยู่คนเดียวไม่มีพวกก่อนเถอะจะแกล้งให้เข็ดเลย” ดินแดนคาดโทษ
จากนั้นผมก็ไหว้ลาป๋าแล้วกอดแน่นๆ อีกครั้ง ป๋าเองก็กอดผมแน่นและหอมขมับอีกหนึ่งที เป็นสัมผัสที่อบอุ่นจนคิดว่าคงตราตรึงในความรู้สึกไปอีกนานแสนนาน
“แวะไปส่งที่ทำงานนะ ขอทำงานอีกนิดแล้วค่อยกลับ” ผมพยายามเลี่ยงการโกหกเพราะไม่อยากบอกความจริงว่าสี่ทุ่มครึ่งแล้วแต่ยังจะไปทำแผลที่คลินิกหมอวรรตอยู่อีก
“หืมม ไหนบอกช่วงนี้งานน้อย” ดินแดนเริ่มซัก
“ก..ก็ไม่เยอะหรอกแต่มันก็มีเรื่องที่ต้องทำแต่ลืมทำไง” พยายามแถไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะแนบเนียนหรือเปล่า
“หืมมม เสียงตะกุกตะกัก” ดวงตาเจ้าเล่ห์หรี่มองผมอย่างจับผิด
“หาเรื่อง”
“ทำตัวเหมือนแอบมีกิ๊ก” ดินแดนยังคงคาดคั้น
“บ้าเหรอ!” เผลอปฏิเสธเสียงดังลั่นจนเหมือนร้อนตัวจึงพยายามควบคุมน้ำเสียง “มีกิ๊กอะไร ถ้าเธอไม่เชื่อเดี๋ยวจะให้น้าเวชมารอก่อนเลยก็ได้” ผมบ่นแล้วกดโทรศัพท์หาน้าเวชเพื่อแก้ไขสถานการณ์ “น้าเวชครับ มารอรับดอทที่ออฟฟิศหน่อยนะ มาเร็วๆ นะครับ เจ้าดินมันหาเรื่องดอทอยู่เนี่ย” ผมกำชับ พอน้าเวชรับคำก็วางสายแล้วหันไปหาดินแดน “พอใจยัง”
“พอใจเหรอ อืมๆ พอผมเห็นน้าเวชแล้วจะได้ไม่ต้องสงสัยว่าพี่แอบไปมีกิ๊ก งี้เนาะ” ดินแดนเบ้ปากทำเหมือนรู้ทัน “ที่จริงน้าเวชอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดก็ได้ใครจะไปรู้”
“เธอนี่มันขวางโลกซะจริงนะ ไม่คุยด้วยแล้ว” ผมหันหน้าหนีไปอีกทางเพราะเถียงไปก็มีแต่จะเข้าตัว
ดินแดนไม่ได้พูดอะไรต่อแต่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอหึหึไปตลอดทาง
กวนประสาทชะมัด!
เมื่อดินแดนขับรถจากไปแล้ว ผมก็เผ่นขึ้นรถน้าเวชทันที
“กลับบ้านเลยหรือเปล่าครับคุณหนู” น้าเวชถาม
“เอ่อ.. คือ วันนี้ดอทยังไม่ได้ล้างแผลเลยครับ” ผมอ้าง
“งั้นไปคลินิกหาหมอวรรตก่อนนะครับ เมื่อกี้น้าออกมาเห็นแกยังนั่งเขียนงานอะไรอยู่เลย บอกว่าจะอยู่รอคุณหนูด้วย”
ได้ยินแบบนี้แล้วแอบยิ้มออกมาทันที
“ที่จริงไปโรงพยาบาลน่าจะดีกว่า เกรงใจหมอวรรต” แกล้งพูดไปอย่างนั้นน้าเวชจะได้ไม่คิดว่าผมอยากไป
“ไปหาหมอวรรตเถอะครับ เห็นแกนั่งมองนาฬิกาทุกห้านาที น้าว่าน่าจะเป็นห่วงคุณหนูนั่นแหละ ไปให้แกเห็นให้แกล้างแผลหน่อยแกจะได้วางใจ”
“เอางั้นก็ได้ครับ นี่เห็นแก่น้าเวชนะเนี่ย” ผมบอกแล้วแอบหันไปยิ้มกริ่มกับวิวข้างทาง
ดูแลดีแบบนี้เดี๋ยวจะจ้างให้เป็นหมอประจำตัวก็ได้
ไม่นานนักก็มาถึง ไฟหน้าคลินิกยังไม่ได้ปิดแต่ด้านในค่อนข้างมืด
“น้าเวชจะรออยู่ในรถนะครับ” น้าเวชบอก
“ครับ ดอทไปไม่นานหรอก”
จากนั้นก็เดินเข้าไป เห็นประตูเปิดอยู่จึงผลักเข้าไปเลย ค่อยๆ เดินคลำทางไปเพราะมันมืด มีแค่ไฟด้านในสุดที่เป็นห้องน้ำอยู่ดวงเดียว
“จะเปิดไฟไว้หน่อยก็ไม่ได้ ไม่รู้เคยมีใครทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้วเดธคาคลินิกมั่งรึเปล่าก็ไม่รู้” ผมบ่น
ผลุ่บบบ!!
เดินผ่านเค้าน์เตอร์มาไม่ทันไรก็มีเสียงดังอยู่ด้านหลัง ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปที่ห้องตรวจสามแบบไม่คิดชีวิตทันที แต่พอเข้าไปแล้วไม่เห็นใครก็ยิ่งวังเวง
“ไปไหนของเค้านะ ฮือออ” ผมย่ำเท้าอยู่กับที่รัวๆ เพื่อคิดว่าควรทำยังไง
“แฮร่~”
“อ้ากกกกกกกกก!!!” อยู่ๆ ก็มีเสียงแฮร่ดังอยู่ข้างหลัง พอหันไปก็เจอเงาสูงใหญ่อยู่ตรงนั้นจึงร้องลั่นแล้วตั้งใจจะวิ่งสุดชีวิตแต่แล้วก็โดนรวบตัวไว้
“ฮ่าๆๆๆ ผมเองๆ” ไอ้ผีหัวเราะร่า
“ปล่อย!!!!!” ผมร้องและดิ้นพล่านไม่สนใจจะรับฟังอะไรทั้งนั้น
“ผมเองๆ ฮ่าๆๆ ชู่วๆๆ ฮ่าๆๆ” เขารวบตัวผมแล้วลากกึ่งอุ้มกลับเข้าไปในห้อง “นี่ไง ผมเอง” ได้ยินเสียงกดสวิสต์ไฟแป้กแล้วทุกอย่างก็สว่างขึ้น
ตาที่หลับปี๋จึงค่อยๆ ลืมขึ้น หรี่มองว่าใช่คนหรือผีกันแน่
“คุณ! ฮือออ ไอ้หมอบ้า ไอ้คนบ้า ไอ้ผีบ้า!!” รัวหมัดทุบเขาแบบไม่นับ น้ำตาก็ทะลักออกมาแบบทั้งกลัวทั้งโกรธ
“โอ้ยๆๆ คุณ มือหนัก คุณ โอ๊ยย” เขาพยายามหลบแต่ก็ไม่ทันเพราะผมรัวแบบไม่สนใจว่าจะโดนตรงไหน
“ขนหัวผมลุกซู่เลยไอ้หมอผีบ้า!!!” ยังคงทุบเขาอยู่แบบนั้นจนเขารวบมือผมไว้ได้
“โอ๋ๆๆๆ ขอโทษๆ ไม่นึกว่าจะกลัวขนาดนี้” ถึงจะขอโทษแต่เสียงก็ยังเหมือนกลั้นหัวเราะ
“ฉี่ผมเล็ดออกมาด้วยอะ บ้าบอที่สุดเลย”
“ฮ่าๆๆ หน้าตาก็ดีแต่ฉี่เล็ด” เขาล้อ
“ยังไม่สำนึกอีก” ผมถลึงตาใส่ “นิสัยไม่ดี” ผมทำหน้างอนั่งยองลงไปกอดเข่าตัวเองไว้แน่น บอกตรงๆ ว่ากลัวผีแบบขึ้นสมอง
“โอยยน่าสงสาร” เขานั่งตามแล้วกอดเข้ามาจากด้านหลัง “ขอโทษน้า ต่อไปไม่แกล้งหลอกผีแล้ว นะครับนะ” เขากอดปลอบแล้วโยกตัวไปมาเหมือนกล่อมเด็ก สักพักผมก็รู้สึกหัวใจกระตุกและวูบวาบไปพร้อมกัน
ทั้งอาการของโรคเก่าและโรคใหม่ผสมผสาน ลมหายใจเริ่มขาดห้วง
“..น..เหน็บกิน ลุกเถอะ” พยายามควบคุมสติและในที่สุดก็ทำได้
เขาปล่อยแล้วพยุงตัวให้ลุกขึ้นจากนั้นก็อุ้มไปนั่งบนเตียงตรวจ
“อุ้มทำไมเล่า” ผมบ่น พยายามควบคุมอารมณ์อยู่นะ
“ก็คุณบอกเหน็บกิน ผมก็อุ้มสิ ขี้เกียจรอให้ย่องๆ กว่าจะไปถึงเตียงก็เช้าพอดี” มันใช่ข้ออ้างมั้ยน่ะ
“ผมจะลงโทษคุณสถานหนักกับสิ่งที่คุณทำวันนี้” ผมคาดโทษ
“น้อมรับทุกสถานเลยเจ้านาย นี่รู้สึกผิดจริงๆ นะ ไม่คิดว่าคุณจะกลัวขนาดนี้ ไหนดูซิฉี่เล็ดจริงรึเปล่า” เขาก้มลงพยายามจะดูเป้ากางเกงของผม
เพี๊ยะ!!
ผมตบลงหลังเขาเต็มๆ จนร้องลั่น
“โอ๊ยคุณ มือหนักเป็นบ้าเลย” เขาบ่น “ไหนดูซิ มือก็เล็กแค่นี้ทำไมเวลาตบแล้วถึงหนักนักล่ะ” เขาดึงมือผมไปจับแล้วพลิกไปมา
ตัวผมสะท้านสั่น เริ่มมีอาการผิดปกติมากขึ้นทุกทีจนต้องรีบดึงมือกลับ “ท..ทำแผลได้แล้ว น้าเวชรออยู่ข้างนอก”
“คร้าบๆ” เขาตอบรับแล้วเริ่มทำแผล
ตลอดเวลาผมหลับตาหันหน้าหนี ดูเหมือนเขาจะทำแผลช้ากว่าเดิมจนใกล้จะทนไม่ไหว
“นอนไหม” เขากระซิบแต่ผมส่ายหน้า “งั้นทนหน่อยนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว” เริ่มแปะผ้าก๊อซและปิดเทปทับลงไป “เรียบร้อย ลืมตาได้”
ผมลืมตาขึ้นเห็นเขายิ้มเหนื่อยๆ ทำแผลแค่นี้ทำไมต้องเหงื่อออกขนาดนั้นนะ แต่ยังไม่ทันจะได้ถามอะไร เสียงเรียกเข้าแปลกหูก็ดังขึ้น “รับโทรศัพท์แป๊บนึงนะ อย่าเพิ่งไปไหนนะ” เขากำชับ
จากนั้นก็ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์แว่วๆ แต่ไม่รู้ว่าคุยกับใคร
“ฮัลโหล..ใกล้เสร็จแล้วน่าแต่ขอส่งแค่แบบไปก่อนนะผมยังไม่ไปได้ไหม...ทำไมไม่ได้ล่ะผมยังเคลียร์งานไม่เสร็จ...โอเคๆ งั้นก็ได้ อืมๆ ไม่เบี้ยว โอเคแล้วเจอกัน......เฮ้อ เอาไงดีวะ รวบรัดเลยไหม โอ้ยไม่ได้เดี๋ยวโดนโกรธ”
เขาคุยโทรศัพท์สักพักก็กลับมา อาการของผมตอนนี้ก็เริ่มเป็นปกติแล้ว
“ผมขอกลับก่อนนะ ดึกแล้วคุณจะได้พัก” ผมลงจากเตียงตรวจแล้วบอกเขา
“งั้นเดี๋ยวไปส่ง” ผมพยักหน้าจากนั้นเขาก็กดปิดสวิชต์ไฟเฉพาะที่ห้องตรวจ แว้บหนึ่งผมเห็นใบหน้าเขาตอนไฟดับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาจึงเดินเข้าไปหา
“คุณอยู่นิ่งๆ นะ” ผมจ้องเขานิ่งแล้วเอื้อมมือไปกดสวิสต์ไฟ ปิดเปิดอยู่หลายครั้ง “..ใครกันนะ เหมือนใคร” ผมมองหน้าเขาแล้วครุ่นคิดอย่างหนัก แต่แล้วก็ถูกเขาจับมือเอาไว้แล้วเปิดไฟขึ้น
“ขอแค่หนึ่งนาที” ใบหน้าของเขาดูเจ็บปวด “แค่หนึ่งนาทีที่คุณจะไม่มองผมเป็นคนอื่น” แววตาเขาสะท้อนความรู้สึกอึดอัดออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ผมนิ่งอึ้งไป ไม่รู้ว่าทำอะไรผิดแต่ต้องทำแน่ไม่งั้นเขาไม่เป็นแบบนี้หรอก
“ผมไม่ได้มองคุณให้เป็นคนอื่นนะ” ผมบอกเสียงแผ่ว
“งั้นบอกหน่อยว่าคุณเคยเห็นหัวไอ้หมอจนๆ คนธรรมดาคนนี้บ้างไหม อาจจะไม่เคยมีอดีตร่วมกับคุณมากเท่าคนอื่นแต่ความจริงใจก็ไม่แพ้ใครหรอก ไอ้หมอวรรตคนนี้ คุณเคยจดจำผมได้บ้างไหม” เขาพรั่งพรูออกมาจนผมตกใจ
อยู่ดีดีก็เป็นอะไรขึ้นมา ดราม่าขนาดนี้ใส่ผมทำไมกันล่ะ
“หมอวรรต..” ผมเรียกเขา “หมอวรรต..” ผมเรียกซ้ำอีก “หมอวรรต..” มองตาเขาแล้วเรียกชื่อซ้ำอยู่อย่างนั้น ส่งความรู้สึกจริงใจไปให้
ผมไม่เคยมองว่าเขาจนหรือกระจอกอะไร ไม่เคยเอาเขาไปเปรียบเทียบกับใคร ผมมีความสุขดวยซ้ำที่อยู่กับเขา คนที่ชื่อวรรต หมอประสาทที่ทำให้ผมยิ้มและหัวเราะได้เต็มหน้า แล้วทำไมผมจะจำชื่อเขาไม่ได้ล่ะ
“..หมอวรรต” ผมเรียกเขาอีกครั้ง จะเรียกจนกว่าแววตาของเขาจะเปลี่ยนไปเป็นเหมือนเดิม
“เรียกผมอีกทีสิ” เขาขยับเข้ามาใกล้
“..หมอวรรต อุ๊บ!!!” ร่างสูงโฉบเข้ามาจูบทันที ผมชะงักค้าง เรี่ยวแรงหดหาย ร่างกายเกิดอาการสั่นสะท้านและหัวใจกระตุกผิดจังหวะ
“อื้อๆๆ” เมื่อได้สติจึงดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของเขา พยายามดันตัวเขาออกแต่ก็ไม่สำเร็จ ริมฝีปากถูกเสียดสีอย่างหนัก เขาบดบี้ลงมาพยายามจะสอดลิ้นแต่ผมก็พยายามหันหนี
แล้วในที่สุดก็ผลักเขาออกได้
“จูบทำไม! เราเป็นเพื่อนกันนะ!” ผมหอบหายใจพลางลูบต้นแขนของตนเองเพื่อลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัว
“เป็นเพื่อนแล้วจูบไม่ได้เหรอ!” เขากัดฟันทำหน้าหงุดหงิดแล้วจับเข้าไปจูบใหม่อีกครั้ง
“อื้อ!!” นี่มันบ้าอะไรกัน!
เพื่อนที่ไหนเขาจูบกันจะบ้าเหรอ!
ผมใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักออกแต่ไม่สำเร็จ ร่างกายมันวูบวาบหนักขึ้นทุกที ผมต้องทำยังไงเรื่องนี้ถึงจะยุติลงได้นะ
“ด..เดี๋ยว คุณ..เดี๋ยว” พยายามเบี่ยงหน้าหลบแล้วกล่อมเขา และดูเหมือนครั้งนี้เขาจะรับฟังและดึงหน้ากลับไปแต่ก็ยังคงกอดร่างผมแน่นไม่ให้ขยับ
“อะไร” ยังมีหน้ามาทำเสียงไม่พอใจ ผมต่างหากที่ต้องโกรธ
“ย..หยุด..เถอะ” ผมพยายามควบคุมลมหายใจแล้วบอกออกไป
“ไม่หยุด ไม่หยุดจนกว่าคุณจะเลิกดิ้นนั่นแหละ” แล้วเขาก็ก้มหน้าเข้ามาหาอีกครั้ง ผมจ้องเขม็งหวังจะปรามให้เขาได้สติและหยุดการกระทำ
ร่างสูงชะงักมองเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“ไม่รู้ไม่สนอะไรทั้งนั้น”
“อื้อออ อื้ออออ” พูดเอาแต่ใจแบบนั้นแล้วฉกวูบลงมาระดมจูบผมอีกครั้ง
“..หยุดดิ้นแล้วจูบผม” เขาจูบไปพูดไป
“อื้อๆ” ผมพยายายามส่ายหน้าพร้อมกับต่อยหลังเขาเพื่อบอกปฏิเสธ
“..จูบผมที” เสียงเขาอ่อนลงจนหัวใจผมหล่นวูบ “จูบไอ้คนชื่อวรรตคนนี้” เขาพูดชิดริมฝีปาก ดวงตาหม่นแสงไม่สดใสอย่างเคย
ถึงจะรู้สึกเห็นใจแต่แบบนี้มันไม่ถูก ผมค่อยๆ หยุดดิ้นแล้วเงยหน้ามอง
“กับใครผมก็จูบไม่ได้...ผมมีแฟนแล้ว”
“ผมรู้” สีหน้าเขาหม่นลงอีก
เขารู้เหรอ รู้ได้ยังไงกัน?
“ก็คุณสวยขนาดนี้จะโสดได้ยังไง”
ปลายจมูกของเขาคลอเคลียไปตามสันจมูก นุ่มนวลและแผ่วเบาจนหัวใจกระตุกหนักขึ้น แต่อาการสั่นสะท้านเริ่มทุเลาลง
แปลกที่อาการเดิมไม่รุนแรง ขนาดใกล้ชิดกันแบบนี้แต่ผมสามารถควบคุมลมหายใจได้ มีเพียงแค่ความรู้สึกที่มีต่อเขาเท่านั้นที่ชัดเจน แต่ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเพราะผสมปนเปไปหมด ทั้งเห็นใจ เข้าใจ และอาจจะ..มีใจ
“ผมไม่อยากรู้สึกผิดกับคนรัก” ผมบอกเสียงอ้อนเพราะไม่อยากหักหาญน้ำใจ
เขามองผมครู่หนึ่งแล้วยอมแพ้ในที่สุด “ก็ได้”
“อย่าทำแบบนี้อีกนะ ผมขอร้อง” เมื่อได้เป็นอิสระผมก็มองเขานิ่ง
“อืม” เขาหลุบตาลงแล้วพูดกับผมโดยไม่มองตา
ได้แต่มองเขาอย่างเอ็นดู เขารู้สึกพิเศษกับผม ไม่รู้หรอกว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ทว่าในตอนนี้เขากำลังเจ็บปวดเพราะผม ส่วนผมเองก็อาจจะมีใจกับเขาอยู่บ้างแต่พยายามไม่คิดเยอะเพราะผมมีเฮียเผ่าจึงไม่สามารถตอบรับความรู้สึกของเขาได้
“อย่าคิดมาก” ผมลูบไหล่หนาเบาๆ เพื่อให้เขาสบายใจ
“คุณไม่โกรธเหรอ” เขาเงยหน้าขึ้นมองผมทันที
“ถ้าจะโกรธคุณ ผมก็ต้องโกรธตัวเองด้วยที่ไม่ชัดเจน ขอโทษที่ทำให้คิดไปไกลกว่าคำว่าเพื่อน แต่หวังว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก” ผมยิ้มให้บางๆ “กลับก่อนนะ”
“งั้นเดี๋ยวไปส่ง” เขาบอกเสียงเบา
“อืม” แล้วเราสองคนเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับความเงียบ
และก่อนที่จะถึงเคาน์เตอร์ด้านหน้า มือผมก็ถูกดึงไว้
“จะมาที่นี่อีกไหม” ดวงตาคู่สวยจ้องมองมาอย่างมีความหวัง
ผมนิ่งคิดแล้วบอกเขาไปตามความจริง
“ผมก็ยังไม่แน่ใจ ไม่อยากทำร้ายคุณอีก ไม่อยากทำร้ายคนรักของผมด้วย”
“งั้น..”
เขาพูดค้างไว้แค่นั้นก่อนจะประชิดตัวเขามาอย่างรวดเร็วแล้วประกบปากทันที ผมที่ไม่ทันตั้งตัวได้แต่อ้าปากค้างจนทำให้เขาสอดลิ้นเข้ามาอย่างง่ายดาย เขาดูดกลืนริมฝีปากผมหนักหน่วงทว่านุ่มนวล ตั้งใจไม่ให้ผมเจ็บแต่ไม่ปล่อยให้ปฏิเสธได้อีก
ผิวเนื้อที่ถูกสัมผัสร้อนวูบวาบขึ้นอีกครั้ง ร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว ลมหายใจหอบถี่กระชั้นขึ้นอย่างไม่อาจห้าม ครั้งนี้เหมือนเขาเอาจริง และผมเองก็เหนื่อยแล้วจะจะต่อต้าน
“อืออ” ผมเริ่มอ่อนแรงและหมดความอดทนกับความเอาแต่ใจ “อืออ” เลิกดิ้นรนและปล่อยให้เขากอดจูบตามใจเพียงแต่ไม่ได้ตอบรับอะไรมากมาย
แต่ไม่นับตอนที่เผลอตัวตวัดลิ้นตอบรับเขาเป็นบางครั้งนะ อันนั้นมันเป็นเอฟเฟคจากอาการโดยปกติของผมอยู่แล้วที่จะตอบรับการเล้าโลมอย่างง่ายดาย
ไม่นานนักผมก็เริ่มอ่อนแรง และทุบหลังเขาเพื่อให้สัญญาณว่าควรพอได้แล้ว ซึ่งเขาก็ไม่ได้ดื้อด้านมากนักและปล่อยผมในที่สุด
“..จูบทำไมอีก ก็บอกเหตุผลไปแล้ว แฮ่กๆๆ” ผมหอบหายใจปรับอารมณ์ให้เป็นปกติอย่างยากลำบาก บอกตามตรงว่าค่อนข้างหวั่นไหวไปกับสัมผัสของเขามากจนรู้สึกหงุดหงิดตัวเอง
หน้าหมอประสาทไม่ได้มีความสำนึกอะไรเลยและตอบออกมาแบบน่าฆ่าที่สุด
“เผื่อคุณไม่มาอีก คงเสียดายแย่ถ้าไม่ได้จูบ”
ได้ยินแล้วโมโหปรี๊ดในทันที
“คุณนี่มัน..หึ้ยยย!!” ผมเงื้อหมัดขึ้นจะตบหน้าเขาแต่เห็นหน้าหล่อที่ย่นหน้าเตรียมพร้อมรับแรงมือก็เลิกล้มความตั้งใจ “ดื้อที่สุดเลย!”
ต่อว่าเขาอีกครั้งแล้ววิ่งออกจากคลินิกทันทีไม่ทันได้ยินเสียงพึมพำจากด้านหลัง
“ถ้าโดนตบจริงก็คุ้มอยู่ดีวะ..แต่ก็ไม่โดน น่าจะพอมีลุ้นแฮะ”
ขณะที่น้าเวชออกรถผมหันกลับเข้าไปเห็นเขาอยู่ที่หน้าคลินิกยืนไขว้ขาเท้าศอกกับกรอบประตูแบบสบายใจ แต่ที่ทำให้หน้าร้อนวูบขึ้นทันทีก็เพราะเขากัดปากล่างแล้วลูบบริเวณนั้นด้วยนิ้วหัวแม่มือพร้อมกับยิ้มในสีหน้าแสดงความพึงพอใจ
คนบ้าอะไรแบบนี้กันนะ!!
แต่ที่น่าหงุดหงิดก็ตรงหัวใจของผมเองที่เต้นไม่เป็นส่ำ หวั่นไหวกับหมอประสาทแล้วหรือไงนะ..
“ทะเลาะกับคุณหมอเหรอครับ” น้าเวชถามขึ้นคงเพราะเห็นผมนั่งเงียบมาตลอดทาง
“ก..ก็นิดหน่อยครับ คุณหมอของน้าเวชดื้อมาก”
“น้าว่าแกคงมีเหตุผลที่ดื้อนะครับ แกเป็นคนเก่งและฉลาด น้าว่าถ้าแกจะทำอะไรลงไปแต่ละอย่าง แกคงคิดคำนวณดีแล้วล่ะ” น้าเวชก็เข้าข้างเขาอยู่ดี
คิดคำนวณแล้วว่าจะจูบเพราะผมอาจจะไม่กลับไปหาอีกเนี่ยนะ เหตุผลเอาแต่ใจตัวเองน่ะสิไม่ว่า
พอกลับถึงบ้านก็เช็คตารางงานอีกครั้ง พรุ่งนี้ช่วงบ่ายมีนัดกับเฮียและพี่เวย์ นี่ชีวิตผมจะสงบสุขสักวันได้ไหมนะ
ครืด ~~
Dr.WRRT : โกรธยังไงก็อย่าลืมกินยา
ผมถอนหายใจเมื่อเห็นข้อความผ่านหน้าจอมือถือ ชีวิตนี้จะเจอเรื่องธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องหวือหวาวุ่นวายบ้างได้ไหม ถ้าพรุ่งนี้เจอเฮียแล้วเฮียจะจับได้หรือเปล่าว่าผมโดนคนอื่นจูบ
“โอ๊ยยย ชนม์แดนๆๆ โลกนี้มันอยู่ยากเกินไปแล้วนะ!”
.•:*´¨`*:•.☆ ► รู้ เ ท่ า ไ ม่ ถึ ง . . รั ก ◄ ☆•:*´¨`*:•.
รอบนี้มีความเห็นหนึ่งเดียวเองง่ะ..
Janemera : ที่ผ่านมาดอทกันตัวเองออกจากผู้คนเพื่อตัดปัญหาเรื่องอาการที่เป็นอยู่ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนหมอวรรตจะตั้งใจฝ่ากำแพงเข้ามาก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ส่วนเผ่าพงศ์โดยปกติไว้ใจดอทมาก มากจนเกินไปด้วยซ้ำ เมียสวยขนาดนี้ปล่อยให้หลงหูหลงตาได้ยังไง ชิ
ขอบคุณที่ติดตามนะคะ ทุกความเห็นมีคุณค่าและเป็นกำลังใจที่ดีมากๆ ของนายน้อยเลยค่ะ