ให้ตายเถอะ พี่โยจะโกรธนานไปแล้วนะ ผ่านมาอาทิตย์หนึ่งยังไม่ออนไลน์เลย จากที่เคยดีใจแต่ตอนนี้ผมชักที่จะเสียใจแล้วสิ ไม่ได้อยากให้เลิกเจอกันแบบนี้ซักหน่อย โอ๊ยอยากจะบ้าตาย บ้าเพราะความรู้สึกขึ้นๆลงๆของตัวเอง ทั้งๆที่อยากคุยต่อแต่อีกใจผมก็อยากหยุดความรู้สึกตัวเอง ตอนนี้ผมแทบรู้สึกเป็นบ้ากับความรู้สึกที่ตีกันอยู่ข้างใน
“พี่ทัพเป็นอะไรไปครับ”
“วา เจ้าลูกน้ำล่ะ” วันนี้เป็นวันหยุดผมเลยได้นอนกลิ้งเครียดๆที่โซฟาตั้งแต่เช้า วันหยุดก็ขอขี้เกียจหน่อยนะ
“น้ำไปกับพี่ลม วันนี้จะไปเล่นท้ายไร่กันพี่ทัพไปด้วยกันนะครับ แวะไปไร่ส้มด้วย”
“ไปสิ อยากฟัดเจ้าลูกน้ำจัง”
“พี่ทัพดูเครียดๆนะครับ”
“วา พี่ชายวาทำไมขี้งอนแบบนี้” ผมลุกขึ้นนั่งคว้าหมอนอิงมากอดแน่นก่อนที่จะระบายความอัดอั้นที่ติดต่อใครอีกคนไม่ได้ให้ฟัง
“พี่พยายามที่จะขอโทษแต่ว่าตั้งแต่ทะเลาะกันแต่พี่ชายวากลับไม่ยอมออน นี่พี่รู้สึกผิดจริงๆนะ” พอพูดจบวาก็ขำคิกคักแล้วคว้าเอาโทรศัพท์ออกมาโบกไปมาหน้าผม
“พี่ทัพลืมไปรึเปล่าว่าผมเป็นน้องชายพี่โย ก็ต้องมีเบอร์พี่โยอยู่แล้วนะครับ พี่ทัพจะคุยกับพี่โยไหมล่ะครับ” เออ ทำไมกูโง่ในโง่แบบนี้วะ แต่จะให้โทรไปก่อนผมก็ยังไม่กล้าอยู่ดี
“น้องวาคนดี คุยให้พี่หน่อยสิ” ผมยกมือมากุมกันไว้แล้วอ้อนให้วาโทรให้ วาส่ายหน้าแต่ก็ยอมกดโทรศัพท์โทรไปหาพี่ชาย
“สวัสดีครับพี่โย”
“(ว่าไงเจ้าแสบมีอะไรถึงโทรหาพี่)” เสียงที่ลอดลำโพงออกมา ทำให้ผมรู้สึกคิดถึงวาทำท่าจะให้ผมคุยต่อแต่ผมโบกมือห้ามแล้วซบหน้าลงกับหมอนอิงไม่กล้าคุยจริงๆ
“อ้อพี่ลมว่าจะพาผมกลับไปเยี่ยมบ้านตอนที่ลูกปิดเทอมก็ประมาณเดือนหน้า” อันนี้ผมก็พึ่งรู้ว่าจะไปกันเดือนหน้า น่าจะเหลือเวลาสองถึงสามอาทิตย์
“(หึๆ จะมาสู่ขอรึไง)”
“พี่โย!!” ผมหลุดขำเมื่อวาโวยวายหน้าแดงเอาจริงๆ ผมก็ว่าพี่ลมคงจะยกสินสอดไป
“(อยู่กับใครเหรอ)” เชี่ยแล้วไง ผมแค่หลุดครั้งเดียวเองผมรีบโบกมือห้ามไม่ให้วาบอก
“อ่าพี่ทัพครับ” วา ผมทำหน้าจนใจเมื่อวาบอกพี่โยไป
“(งั้นพี่กลับไปทำงานก่อนนะ)” อะไรกันจะไม่คุยกับผมเหรอ ชักจะโมโหแล้วนะจะงอนอะไรหนักหนาวะ ผมยืนมือไปคว้าโทรศัพท์มาก่อนที่จะตะโกนกรอกให้กระแทกหูคนอีกปลายฝั่งให้หูหนวกไปเลย
“จะงอนอะไรกันหนักหนาวะ คิดว่าผมไม่มีความรู้สึกหรือไงกัน คิดว่าผมอยากจะคิดมากแบบนี้รึไง อยากจะงอนต่อก็งอนไปเลยนะ ผมจะได้เลิกคิดมากแบบนี้ถ้าพี่ไม่อยากคุยกันอีกผมจะได้ตัดความรู้สึกบ้าๆนี่โยนทิ้งซะที แฮ่กๆ” ผมถึงกับหอบเมื่อพูดยาวๆรวดเดียวจนหายใจไม่ทัน อาทิตย์เดียวนั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไบโพล่า
“พี่จะเข้าไร่ ไม่คุยก็ไม่ต้องคุย” โยนโทรศัพท์ไปที่โซฟาไม่สนใจเรื่องมารยาทอะไรแล้ว ลุกเดินกระแทกเท้าออกจากบ้านหนีเข้าไร่ รู้ดีว่าอีกคนหนีหน้าแต่พอมาเจอโดนกระทำต่อหน้าผมก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ โยนทิ้งให้มันหมดเลยดีไหม เดินหน้าบึ้งเข้าไร่เดินผ่านไอ้ไม้และคนงานพิเศษ ไปที่ไร่ผักโดยการกระโดดเกาะท้ายไอ้ละออง
“มาลุงผมช่วย” ไปแย่งงานลุงที่กำลังถางหญ้าแปลงผัก แม่งกวนประสาทปล่อยให้ผมคิดมากแถมยังมาทำตัวเป็นเด็กๆอีก ย๊ากกกจะพ่นไฟไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนทำให้ผมรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เกิดมา
“คุณทัพครับ เบาๆดินมันหลุดตามไปหมดแล้วครับ” สงสัยว่าจะใส่อารมณ์มากไปจากการถางหญ้ากลายเป็นการขุดทั้งดินทั้งหญ้าออกจากแปลง
“ขอโทษครับลุง” รีบแก้ขุดถมที่เดิมแล้วช่วยงานถางหญ้าไปหลายแปลงเหงื่อชุ่มเต็มหลังความรู้สึกหงุดหงิดที่มีเริ่มจางหายเหลือเพียงความรู้สึกเฟลๆที่เกาะติดภายในใจตั้งหน้าตั้งตาทำจนกระทั่งวาเดินตามมาเรียกไปท้ายไร่ผมรีบวางอุปกรณ์วิ่งไปล้างมือแล้ววิ่งไปกระโดดขึ้นท้ายรถที่มีไอ้ไม้และคนงานกิตติมาศักดิ์ นั่งอยู่ข้างๆคอยเช็ดเหงื่อให้ เหม็นความรักเว้ย
“ดูมึงทำหน้าตาเข้าได้ข่าวว่าทะเลาะกับพี่โยเหรอวะ” ไอ้ไม้ถามผมพยักหน้าให้ พอมานั่งนึกดีๆเขาก็ไม่น่าไปอารมณ์ขึ้นใส่พี่โยเลยทั้งๆที่มันเป็นเพราะตัวเขาเอง เขาไม่มีสิทธิที่จะไปอารมณ์เสียและโทษพี่โยอย่างนั้นเพราะเราไม่ได้เป็นอะไรกัน
พอเคลียความรู้สึกตัวเองแล้ว ผมชอบพี่โย ชอบที่จะอยู่ด้วยชอบความกวนประสาทที่ทำให้เขาสบายใจความรู้สึกผมถล่ำลึกเกินไปเพราะความใจดีของอีกฝ่าย
“เลิกทำหมาหงอยซักที ไปเล่นน้ำคลายเครียดกัน” มันขยับมากอดคอผมจนไอ้คนหวงกระแอมปรามผมเลยกอดคอไอ้ไม้ใส่ซะเลย แกล้งจนมันมาดึงไม้กลับไปนั่งข้างพอดีกับที่เรามาถึงน้ำตกท้ายไร่
“เย้ๆๆน้ำจะเล่นน้ำ” ทันทีที่วิ่งลงจากรถแล้ววิ่งไปที่ลานหิน จนพี่ลมต้องร้องห้าม ผมไปช่วยวาขนของ
“พี่ทัพเรื่องพี่โย” วาพูดขึ้นเมื่อผมอยู่ด้วยกัน
“เรื่องนั้นพี่ฝากวาขอโทษพี่โยด้วยนะที่ตะคอกใส่อย่างเสียมารยาท อ่าจะว่าไงดี พี่อารมณ์ร้อนเองพี่ขอโทษวาด้วยนะไม่ต้องห่วงแล้วพี่ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก” ผมบอกวาพอได้ตะคอกใส่ได้ออกแรงได้จัดการความรู้สึกตัวเองที่หงุดหงิดสะสมมาตลอดสัปดาห์ทำให้เข้าใจความรู้สึกตัวเอง แล้วเรื่องก็คือเขาเป็นฝ่ายผิดแถมยังไปโมโหพี่โยไปอีก
“เดี๋ยวสิพี่ทัพไม่ชะ.”
“ฮ่าๆพี่ผิดเองล่ะวา ยังไงพี่ก็เป็นฝ่ายผิดอืม...จะว่าไงดี พี่ฝากวาขอโทษพี่โยด้วยกันนะ” ผมยกมือขึ้นโยกหัวทุยที่เหมือนจะพยายามพูดอธิบายแต่ผมยังไม่อยากฟัง
“พี่ทัพฟังวาก่อนสิ”
“พี่ยังไม่อยากฟังตอนนี้นะวา ไปกันเถอะพี่ลมชะเง้อคอมองจนคอจะยาวเป็นยีราฟแล้ว” ผมบอกปัดชวนวาไปรวมกลุ่มเขายังไม่อยากฟังตอนนี้จริงๆ กระโดดไปร่วมวงไอ้ไม้ที่ตอนนี้เล่นน้ำกับไอ้ไม้และเจ้าลูกน้ำ ขอความสนุกก่อนแล้วกัน
อีกฟากฝั่งทวีปคนที่โดนตะคอกใส่อย่างงงๆทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อยเอาจริงๆเขาก็แค่แกล้งเล่นแม้ว่าอยากจะคอลไปคุยด้วยแค่ไหนก็ตาม ทัพเริ่มที่จะเลิกออนแถมบางทียังเอาหลานมาบังหน้าหนีเข้าห้องน้ำออกมาก็บอกว่าง่วงยังไม่ทันได้คุยกันด้วยซ้ำ ผมก็เลยจัดให้ซะเลยไม่ออนคุยกลับ แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะโดนตะคอกใส่แบบจัดเต็มแถมไอ้คำลงท้ายนั่นยังชวนให้ผมคิดหนักซะอีก พอที่จะคุยวาก็บอกว่าทัพเดินหัวเสียออกจากบ้านไปแล้ว
เฮ้อ
“ถอนหายใจอะไรกันคะลูก”
“เปล่าครับ อ้อมัม น้องบอกเดือนหน้าจะพาครอบครัวกลับมาหานะ”
“อุ๊ยจริงเหรอคะ มากันกี่คนล่ะคะมัมจะได้เตรียมห้องไว้ให้” ไพล่คิดถึงคนที่พึ่งโมโหเขาเมื่อสักครู่ไม่รู้ว่าจะมาด้วยหรือเปล่าถ้าวาบอกไปคงจะยอมมา
“ก็มาประมาณห้า –หกคนล่ะครับมัม” มัมดูดีอกดีใจรีบไปบอกเมดแถมยังจะเดินไปบอกแด๊ดอีก มัมโทรคุยกับน้องบ่อยหลังจากที่ผมกลับมาและปัญหาที่บ้านมันจบไปแล้ว หวังว่าวาจะช่วยพูดให้ทัพเข้าใจ อยากจะแกล้งต่ออยู่หรอกนะแต่ผมเองก็ทนไม่ไหวที่ไม่ได้คุยกันเหมือนกัน
หนึ่งวัน
สองวัน
หนึ่งอาทิตย์
“Shit นี่มันอาทิตย์กว่าๆแล้วนะ” ผมบ่นอย่างหัวเสียเมื่อยังไม่มีวี่แววของใครที่ผมเฝ้ารอมาออนไลน์แต่เงียบหายไปแบบนี้หมายความว่าไงวะ แถมโทรไปถามไอ้แสบแล้วก็บอกว่าพี่ทัพสบายดีแต่ไม่ยอมคุยกับวาส่วนตัวแถมยังไม่ได้อธิบายไปอีก
“(พี่โย วาจะพูดเตือนอะไรหน่อยนะ พี่นะชอบแกล้งคนที่อยากสนิทด้วยแต่กับพี่ทัพ....สายตาพี่ทัพไม่เหมือนเดิมแล้วนะครับ)”
ผมยังจำได้ดีกับการโทรไปถามครั้งสุดท้ายแล้วเจ้าแสบมันวา เบอร์โทรสิบหลักที่อยู่ในมือมาได้สามสี่วันแล้วแต่ผมก็ยังไม่กล้าโทรไป ผมเพียงแค่สนใจทัพคนที่เหมือนจะเล่นๆแต่การใช้ชีวิตกลับตรงข้ามกับผม ตลอดเวลาที่อยู่ไทยทัพเป็นคนน่าสนใจ น่าสนใจมากจนผมหยุดตัวเองไม่ให้ทำความรู้จักไม่ได้ ผมควรโทรไปสินะ
ช่วงเวลารอสายเหมือนเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน เสียงรอสายดังขึ้นและตัดไป ผมกดโทรอีกรอบรอจนกระทั้งตัดสายไป ไม่ยอมรับสายกันเลยรึไง
“หึไม่ได้มีทางเดียวซักหน่อย” ผมมองนาฬิกาตอนนี้น่าจะยังอยู่ที่โรงงาน กดเบอร์โทรอีกเบอร์ที่เขาขอไว้อย่างรวดเร็วและโทรออก ยังไงคนนี้มันก็ต้องช่วยเขาอยู่แล้ว
“(สวัสดีครับ)”
“ไม้พี่ขอสายทัพที” ผมกรอกความต้องการของผมไปทันที ได้ยินเสียงทัพแว่วเข้ามาว่าไม่คุยเพราะไม่รู้เป็นใครแต่ไม้มันก็บังคับจนเห็นผล
“(ครับ)”
“อย่าคิดแม้แต่จะกดวางนะทัพ” ผมรีบบอกออกไปจะให้ไปสวัสดีมีหวังทัพได้วางทันทีที่ผมพูดจบ ผมรู้ดีว่าทัพจำเสียงผมได้
“(พี่โย)”
“ใช่พี่เอง โวยวายใส่พี่แล้วหายไปนี่หมายความครับ บอกพี่มาซิ หือ” น้ำเสียงติดจะขุ่นเคืองผิดกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ถ้าปลายสายมาเห็นคนจะโดนต่อยแน่ๆ
“(เฮ้อ ขอโทษด้วยแล้วกันนะครับ)” เขารู้สึกได้ถึงความอึกอัดและหนักใจของทัพแต่เขาไม่เข้าใจในเมื่อเราก็เหมือนจะเข้ากันดีแต่ทำไมทัพต้องเว้นระยะห่างไกลริบขนาดนั้น
“ทัพบอกพี่มาตรงๆ ทัพไม่อยากคุยกับพี่ใช่รึเปล่าแล้วที่ทัพหนีหน้าพี่ก็เหมือนกัน” ผมจี้จุดลงไป ทัพเงียบไปส่วนผมก็รอคนปากหนักตอบกลับมา
“(ใช่ผมหนีหน้าพี่)” พอได้ยินมันก็เจ็บเบาๆแหะ
“ทำไมต้องหลบหน้าพี่ด้วย เราก็เข้ากันดีไม่ใช่เหรอหรือทัพไม่ชอบอะไรพี่หรือเปล่า” ผมไม่รู้เลยว่าน้ำเสียงที่พูดออกไปมันเจือความน้อยใจที่อีกคนไม่คิดเหมือนกันกับเขา ผมได้ยินเสียงถอนหายใจหนักๆก่อนที่จะเงียบกันไปทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างจมกับความคิดตัวเอง
“(ผมไม่อยากถลำลึกกว่านี้ มันเร็วจนผมกลัวทั้งๆที่พึ่งเจอกันไม่นานมันเร็วจนผมกลัว)” ทั้งๆที่ทัพพูดเรื่องจริงจังแต่ทำไมผมกลับกลั้นยิ้มแทบไม่อยู่ที่ทัพพูดมานั่นหมายถึงทัพคิดเหมือนกันใช่ไหม
“นายจะกลัวอะไรกัน ปล่อยให้มันเป็นไปตามที่มันควรเป็น” ผมบอกเพราผมก็ทำตามที่ใจผมต้องการ
“(มันไม่เหมือนกันนะพี่กับความรู้สึกที่นานกว่านี้ผมยังต้องเสียใจเลยแล้วถ้าผมคิดไปไกลกว่านี้...)”
“อย่าเอาเรื่องของคนอื่นมาตัดสินพี่นะทัพ พี่อาจให้สัญญาไม่ได้แต่ถ้าเราใจตรงกันทำไมต้องเอาเรื่องคนอื่นมาตัดสินเรื่องของเรา” ผมเน้นย้ำคำว่าเราเพราะผมพร้อมที่จะเดินหน้าเอาจริงๆทัพเป็นคนอยู่ด้วยแล้วสนุกมากทีเดียวเลยล่ะและผมยังอยากวนเวียนกวนทัพ คุยกันทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องไร้สาระจนเรื่องงานที่ทำ บางเรื่องที่ทัพจะช่วยงานผมไม่ได้แต่ทัพก็คอยฟังผมระบาย
“(ด......เดี๋ยวนะที่ว่าใจตรงกัน..ผมกับพี่..)” เสียงติดอ่างทำให้ผมเดาออกเลยว่าทัพทำสีหน้ายังไง
“ใช่ก็เราใจตรงกันแล้วไม่ใช่เหรอ”
“(พี่อย่ามามั่วเราไปใจตรงกันตอนไหน)”ทัพอาจจะไม่รู้ตัวแต่ทัพก็พูดว่า เรา ออกมา
“ก็น่าๆข้ามรายละเอียดปลีกย่อยไป กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้วน่า”
“(เหมือนเดิมแบบไหนกันล่ะ)” เหมือนผมจะโดนกวนกลับแหะ
“ก็ตอนที่น้องทัพทำตัวน่ารักๆไงครับ”
“(ไอ้พี่โย!!! ไปทำตัวน่ารักตอนไหนวะ)” เหมือนหลังๆจะเป็นการพึมพำกับตัวเองซะมากกว่า นี่ไงที่ผมบอกว่าน่ารัก เวลาทัพโวยวายน่ารักจะตายไป ผมยังคงคุยเล่นอีกสองสามนาทีก่อนที่งานจะเรียกตัวให้ผมกลับไปทำ แต่ทัพก็ยอมรับปากว่าจะรับคอลผมตอนค่ำ แถมยังแหวผมอีกตอนที่ผมแหย่เล่นอีก
“โยลูกเป็นอะไรทำไมยิ้มอย่างกับคนบ้าแหนะ” ผมได้แต่ยกมาลูบหน้าลูบตาเมื่อโดนแด๊ดถามนี่ผมยิ้มอยู่เหรอ
“ก็มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นนิดหน่อยครับแด๊ด”
“หืมเรื่องอะไรพอจะบอกได้ไหม” แต๊ดนั่งลงตรงข้ามผม แม้หน้าตาจะบ่งบอกเหมือนดุแต่จริงๆแล้วกลับเป็นผู้ชายอบอุ่นไม่อยากบอกว่าผมก็ได้พอมาเยอะ
“อ่า ผมมีคนที่คิดจะจริงจังด้วย” คิ้วเข้มยกขึ้นเมื่อผมบอกความจริงไป
“หืม คนไหนกันล่ะ”
“โถแด๊ดพูดอย่างกับผมมีเยอะนัก อ่าเป็นคนไทย ที่สำคัญเป็นผู้ชาย”
“แกไปล่อลวงอะไรเขามาล่ะ” ดูสิครับ ดูที่แด๊ดพูดเข้าสิผมออกจะเป็นคนดี ล่อลงล่อลวงที่ไหน
“พูดบ้าๆน่าแด๊ด”
“เอาเถอะถ้าไงก็พามาให้รู้จักหน่อยว่าทำไมถึงได้โชคร้ายมาเจอแกได้” พูดจบก็เดินหนีอะไรกัน โชคร้ายที่ไหนแด๊ดมั่วจริงๆ นั่งทำงานทั้งๆที่ใจก็อยากให้เวลาผ่านไปเร็วจะได้ถึงเวลาคอลซะที เมื่อถึงเวลาผมก็คิดที่จะแหย่ทัพหลังจากที่ไม่ได้คุยมานาน หลังจากอาบน้ำเสร็จผมไม่ไปแต่งตัวเพียงแต่ใส่ชุดคลุมอาบน้ำสีเข้มนั่งอ่านเอกสารบนเตียงกับโน๊ตบุ๊คที่เปิดไว้พอเห็นไอดีขึ้นผมก็กดคอลไปเหมือนว่าทัพรอตลอดกดรับทันที
“แต่งตัวบ้าอะไรของพี่” ยังไม่ทันที่จะทักทาย ทัพก็ตะโกนลั่นผมแอบขำเพราะถึงทัพจะตะโกนว่าแต่แก้มกับมีรอยแดงก่ำ ทัพเป็นคนผิวขาวดังนั้นพอเจ้าตัวอายหรือโมโหมันแสดงออกชัดทางสีหน้า
“ก็พึ่งอาบน้ำเสร็จ” เอาจริงๆอาบน้ำเสร็จนานแล้วล่ะนะ
“พี่ต้องแกล้งผมแน่ๆ ไปแต่งตัวใหม่เดี๋ยวนี้เลยนะ” ทัพไม่ยอมสบตาเมื่อผมขยับชุดคลุมที่มัดไว้หลวมๆก็คลายออกเหลือหมิ่นเหม่ตรงหว่างขายิ่งทำให้ทัพร้องโวยวายแถมยังยกหมอนมาปิดหน้าอีก นี่ไงทัพนะน่ารักจริงๆนะ
“จะโวยวายทำไมกันของพี่ก็มีเหมือนๆกันกับของทัพไม่ใช่เหรอ” ยิ่งพูดทัพยิ่งปิดหน้า
“ถึงจะเหมือนกันแต่พี่จะมาโชว์แบบนี้เป็นโรคจิตรึไง” ยังบ่นอุบอิบแต่ผมก็ไม่ยอมลุกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอกนะ ได้แกล้งคนอยู่แบบนี้สนุกกว่าเยอะถึงจะเปลืองเนื้อเปลืองตัวหน่อยก็เถอะ
“วันนี้งานเยอะไหม”
“ก็เอาเรื่องช่วงนี้ต้องไปช่วยงานในไร่ด้วยเพราะปีนี้ผลไม้ออกเยอะขึ้นคนงานก็หาไม่ทันเลยต้องไปช่วยก่อน”
“มิน่าถึงได้ดำขึ้น”
“เฮ้ยจริงดิ” ผมแค่พูดเล่นๆไปจริงไม่ได้คลำอะไรหรอกแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะจริงจังถึงขึ้นลุกขึ้นดูสีผิวตัวเอง
“ไม่จริงหรอกพี่พูดเล่น”
“ไอ้พี่โย”
“หลุดเรียกพี่ว่าไอ้มาหลายรอบแล้วนะหือ อย่าให้อยู่ใกล้นะพี่จะจัดการให้เข็ด” ทัพอ้าปากค้างหน้าแดงก่ำ
“ไอ้โรคจิต!!” จู่ๆก็ร้องตะโกนแล้วออฟไลน์ปิดหนีผมไปเลย เดี๋ยวสิผมทำไรผิดวะ พอก้มมองตัวเองก็รู้ว่าทำอะไรผิดก็เมื่อกี้นี้ผมขยับตัวทำให้สาบเสื้อมันขยับด้วย อ่า ผมไม่ไดอยากโชว์ลูกชายตัวเองซักหน่อยนะไม่ได้โรคจิตนะทัพ
ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต ไอ้คนชอบแกล้ง ได้แต่บ่นพร้อมกับหน้าตาแดงก่ำเพราะภาพที่เห็นมันทำให้ผมรู้สึกอายอยู่เนี้ย อุตส่าห์ปรับความเข้าใจกันแล้วแต่ไอ้พี่โยแม่งก็ยังแกล้งเขาอีกรู้อยู่แล้วไอ้ที่ใส่เสื้อคลุมนั่นเขาก็รู้ดีว่าใส่มาแกล้งเขาแต่ใครจะรู้เล่าว่าจะไม่ใส่อะไรข้างในเลย หืย ถ้าคืนนี้เขาฝันร้ายนะต้องโทษไอ้พี่โยคนเดียวเลย ได้แต่พยายามปลอบใจตัวเองแล้วหลับหนี
ตื่นมาพร้อมกับง่วงเลยรีบอาบน้ำลงไปขอกาแฟจากน้องวา วันนี้เห็นทีเขาจะได้เข้าไร่ไปช่วยพี่ลม ส่วนไอ้ไม้ก็ไปโรงงานตอนนี้ไอ้ผู้กองกลับไปทำงานแล้วแต่ก็ยังโดดมารับไอ้ไม้ไปกินข้าวเที่ยงตลอดแถมยังลักพาตัวเพื่อนเขาไปนอนด้วยบ่อยๆ บ้านหลังที่สร้างช่างบอกน่าจะเสร็จก่อนที่พวกผมจะไปเที่ยวบ้านวา ทีแรกเขาก็ปฏิเสธแต่พี่ลมก็จองตั๋วให้เรียบร้อย
“นี่กาแฟครับพี่ทัพ”
“ขอบคุณนะวา”
“ทำไมดูง่วงๆล่ะครับ นอนไม่หลับเหรอ” พอคิดถึงสาเหตุที่เขานอนไม่หลับก็ทำหน้าเซ็ง
“พี่ชายวานี่โรคจิตชัดๆ” ผมบ่นให้วาฟังแต่พอวาถามว่าพี่โยทำอะไรให้ผมก็ตอบไม่ได้ใครจะกล้าตอบกันล่ะว่าพี่ชายวาทำอะไร
“ช่างเถอะ”
“คืนดีกับพี่โยแล้วสินะครับ” วาพูดแซว ผมทำได้แต่ยิ้มตอบก็ถือว่าคืนดีแล้วล่ะแต่ผมก็จะโกรธใหม่เพราะไอ้เรื่องเมื่อคืนนี่ล่ะเล่นเอาเขาไม่อยากมองหน้าพี่โยเลยด้วยซ้ำ
“วันนี้พี่ช่วยงานที่ไร่นะ เจ้าลูกน้ำวันนี้ใครจะไปรับให้พี่ไปรับให้ไหม”
“ผมกับพี่ลมจะไปรับครับพอดี...มีนัดพาน้ำไปกินไอศกรีมนะครับ”
“อ้องั้นงานที่ไร่พี่จะดูแลให้ละกันไปเดทกันตามภาษาครอบครัวกันเถอะ”
“พี่ทัพ อย่าแซววานะ” หึๆผมได้แต่ขำกับคำห้ามที่น่ารักของวา
ช่วยวาทำกับข้าวเสร็จผมก็รีบกินแล้วรอรถคนงานที่จะไปไร่สตรอเบอร์รี่กับสวนผักขึ้นไปพร้อมกับคนงานที่ไร่นี้อย่างทุกคนเหมือนครอบครัวที่ไม่ถือตัวไม่ถือยศช่วยกันทำทุกอย่าง บ้านพักคนงานก็อยู่กันเป็นครอบครัว
“เก็บล็อตนี้เสร็จส่วนที่ส่งตลาดก็รีบไปส่งเลยนะครับ เพราะเขาจองมาหลายวันแล้ว พวกเกรดต่ำหน่อยก็เอาไปส่งโรงงานเลยนะครับ” ผมบอกกับคนที่คุมส่วนไร่สตรอเบอร์รี่แล้วค่อยไปลงมือช่วยเก็บแม้จะไม่เร็วแต่ก็ถือว่าได้ช่วย
“คุณทัพๆ พักก่อนครับมากินข้าวกัน”
“ครับ เดี๋ยวก่อนนะครับ” ผมถอนหญ้าต้นสุดท้ายในแปลงถอดถุงมือทิ้งก่อนที่จะไปล้างมือกินข้าวกับพวกคนงานนี่ล่ะไม่ได้กลับไปบ้านหรอกครับมันไกลไปกินง่ายๆแล้วก็ทำงานจนค่ำก็ขึ้นรถกลับ พอถึงบ้านได้ยินเสียงโวยวายของไอ้ไม้กับไอ้นัทผมรีบสาวท้าวเข้าบ้าน
“นั่นเล่นอะไรกันวะ” ผมถามขึ้นเพราะตอนที่ผมเข้าบ้านมาก็เห็นไอ้ไม้กระโดดข้ามโซฟาหนีไอ้ไม้ที่นั่งกุมท้องอยู่ที่โซฟาอีกตัว
“ไอ้ทัพช่วยกูด้วย” มันวิ่งมาหลบหลังผม อ่า รอยแดงที่คอผมก็พอจะเดาๆได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไอ้ผู้กองมึงนี่มือไวใจเร็วไปไหมเพื่อนกูพึ่งตกลงกับมึงได้นะ เพื่อนกูเสียหายหมดแล้ว” ผมชี้หน้ามันก่อนที่จะติดกระดุมให้ไอ้ไม้ดีๆ
“ด่ากูได้แต่อย่าอยู่ใกล้กันนักสิวะ” มันรีบเดินมาแยกผมออกจากกันแล้วลากไอ้ไม้ไปนั่งบนตักพร้อมกับกอดไว้แน่น
“หวงทำไมหนักหนาวะ ดูปากกู กูเพื่อนมันเว้ย” หวงอะไรไม่เข้าเรื่อง
“ก็มึงแม่งหน้าตาก็ดีแถมยังรู้เรื่องที่บางทีกูก็ไม่รู้อีก” ดูมันทำ
“เอ๋ จะว่าไปตอนไปออกค่ายกูกับมันก็นอนด้วยกัน อาบน้ำด้วยกะ..”
“หยุดพูดเลยนะมึง ลืมทั้งหมดไปด้วย” มันชี้หน้าโวยวายบอกให้ผมลืมทุกอย่าง ฮ่าๆ แม่งหึงได้งี่เง่ามากดูจากสายตาของไอ้ไม้ที่กรอกตาไปมาแต่ก็ยังยอมนั่งนิ่งๆให้ไอ้ไม้กอด
“ผู้กองหิววะทำกับข้าวให้หน่อยดิ” เพราะว่าทั้งผมกับไอ้ไม้สกิลทำกับข้าวนี่ติดลบ ทำกินได้ก็แค่มาม่าก็หรูแล้ว
“เออ ไม้ขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะ” เสียงอ่อนเสียงหวานจนน่าหมั่นใส่ ผมก็เหนียวตัวเลยไปหยิบเสื้อผ้าแล้วไปอาบน้ำห้องหลานปล่อยให้ไอ้ไม้อาบน้ำที่ห้องไป
“มากินข้าวกันเถอะ” ผู้กองมันใช้เวลาไม่นานก็ทำกับข้าวง่ายๆเสร็จก็เรียกพวกผม วันนี้พี่ลมพาครอบครัวไปทานข้าวข้างนอกพวกผมรอดตายจากไอ้ผู้กองนี่ล่ะ
“จะนอนนี่ไหมล่ะไอ้ผู้กอง เดี๋ยวกูจะไปนอนกับหลาน”
“ไอ้ทัพอย่าทิ้งกูสิ”
“ถ้ามันกล้าทำในบ้านหลังนี้ก็ลองดูสิ” ถ้ากล้าทำมันก็กล้าเกินไปแล้วล่ะ
“งั้นกูนอนด้วย” ตาไม่ค่อยเป็นประกายเลยนะมึง กินข้าวเสร็จนั่งคุยกันซักพักสองคนนั้นก็พากันขึ้นห้องนอนส่วนผมก็นั่งเล่นที่โซฟาต่อ ตอนนี้ได้เวลาปกติที่ผมควรจะออนไลน์แล้วแต่เหตุการณ์เมื่อวานทำให้ผมไม่อยากเห็นหน้าพี่โยด้วยซ้ำ เสียงโทรศัพท์ขัดความคิดเพลินๆของผม เบอร์โทรนี่มันพี่โย??
“ครับ”
“(ทำไมไม่ออนล่ะวันนี้หรือว่า...)”ก่อนที่พี่โยจะพูดอะไรผมรีบห้ามไม่ให้พูดถึง
“หยุดพูดถึงมันเลยนะพี่โยก่อนที่ผมจะวางสาย” ได้ยินเสียงหัวเราะตามสายมา ผมกับพี่โยคุยกันด้วยความสบายใจเพราะไม่เห็นหน้าทำให้ผมไม่เขินแต่พี่โยก็ยังสามารถแกล้งผมได้ตลอดการคุย
“(ทำเสียงแหบๆจะเล่นเซ็กโฟนกันรึไงครับ)”
“ไอ้พี่โย” อยากจะตะโกนแต่นี่ก็ดึกแล้วผมก็ง่วง
“(หรือว่าทัพอยากลองพี่ไม่เคยเล่นนะแต่ถ้ากับทัพก็อยากลองดูนะครับ)” อ...ไอ้พี่โยผมไม่รู้ว่าจะด่าว่ายังไง
“ไม่เล่นแล้วผมจะนอนแล้ว”
“(ฮ่าๆๆ นึกว่าจะเล่นกับพี่ ไม่แกล้งแล้วฝันดีครับ)” เสียงทุ้มที่ใกล้ชิดกว่าปกติทำให้ผมรู้สึกจักจี้แปลกๆ
“ฝันดีเหมือนกันครับพี่โย” พูดจบก็รีบวางสายก่อนที่จะขึ้นไปนอนกับน้ำเพื่อสู้กับงานวันพรุ่งนี้ คืนนี้เป็นคืนที่ผมฝันดีกว่าทุกวัน
***********************************************************
กลับมาแล้วค่า หลังจากที่เคลียงานจนมือหงิก
ในที่สุดก็เอาพี่โยกับทัพมาส่งให้ทุกคนได้อ่าน
ทำไมหมั่นใส้อีพี่โยขึ้นทุกวันฮ่าๆๆ
จะจบแล้ววววว คิดถึงเรื่องนี้เหมือนกันนะคะเนี้ยฮ่าๆ
หลังจากจบเรื่องนี้จะไล่เคลียอีกสองเรื่องให้จบ
แล้วจะเปิดอีกสองเรื่องใหม่ที่พึ่งนึกพล็อตได้คร่าวๆ
เรื่องหนึ่งจะออกแนวมาม่าหนักๆ ซึ่งไม่เคยเขียนฮ๋าๆๆ
กับอีกเรื่องจะน่ารักๆสบายๆ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ
อ่านตอนนี้เป็นไงแล้ว บอกกันด้วยนะคะ
ทุกเม้นต์เค้าอ่านตลอดเป็นกำลังใจสุดๆเลยค่ะ
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์ที่ทุกคนเม้นต์มานะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ