>….ตอนที่ 13 [100%].…<
อีธานแรงเยอะสมกับร่างกายที่กำยำนั่นจริงๆ กว่าจะยอมลุกไปจากตัวเขาได้ก็เล่นเอาเอวแทบคราด ภูรินอนคว่ำหน้าอยู่บนที่นอนของอีธานในขณะที่เจ้าของห้องเดินไปอาบน้ำอาบท่าแล้ว แหงล่ะ พอใจมากแล้วนี่ กินร่างกายเขายิ่งกว่าของหวานอีก ต้องเรียกว่ากินเป็นมื้อดึกชดเชยก๋วยเตี๋ยวกากๆ นั่น
ภูริไม่ได้ทิ้งตัวเองบนที่นอนของอีธานนานนัก เขาค่อยๆ ลุกแล้วลงไปนอนข้างเตียงซึ่งเป็นพื้นเปล่าเปลือย อันที่จริงอีธานได้ให้ผ้าห่มมาสองผืนสำหรับปูนอนและห่มกันหนาว แต่เขายังไม่ได้เอามันมาปู กลับมาก็โดนซ้อมเสียก่อนอะนะ แต่ตอนนี้เขาขี้เกียจ ขอลุกทีเดียวตอนไปอาบน้ำก็แล้วกัน
พื้นหินอ่อนเย็นเฉียบแถมยังแข็งกระด้าง ดีนะที่ร่างกายค่อนข้างจะชินกับอะไรที่แข็งทื่อแบบนี้แล้ว ไม่อยากจะบอกเลยว่าที่นอนที่บ้านก็ไม่ได้ต่างอะไรกับพื้นหินนี่เท่าไหร่นัก นุ่มกว่านิดหน่อยเพราะฟูกแหละ เป็นฟูกยางพารา หึหึ...นุ่มจนอยากหลับไปตลอดกาลเลย
ความโล่งโจ้งของร่างกายทำให้ภูริรู้สึกแปลกประหลาดนิดหน่อย เขาเลยเอื้อมเอาเสื้อที่ยืมอีธานใส่นั้นมาคลุมช่วงเอวของตัวเองแล้วฟุ่บหน้ากับแขนต่อไป สมองอันเล็กจ้อยของเขากำลังประมวลผลอยู่ว่าวันนี้เหลือเงินเท่าไหร่แล้ว อย่าถามว่าทำไมไม่ลุกไปเอากระเป๋าเงินมาเปิดดูให้รู้แล้วรู้รอด คำตอบมันง่ายมาก เหมือนที่ไม่ยอมไปเอาผ้ามาปูนอนนั่นแหละ
อีธานเดินออกมาจากห้องน้ำ ผ้าขนหนูสีดำถูกนำมาพันเอาไว้รอบเอวหลังจากใช้เช็ดหยาดน้ำบนร่างกายเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่อีธานเห็นก็คือร่างของภูริ เจ้านั่นนอนหนุนแขนตัวเองหลับตาพริ้มแต่คิ้วดันขมวดเป็นปม
มีอะไรที่ต้องคิดนักหนาเหรอคนอย่างนั้น ก็เห็นแต่ภูริเอาแต่เหม่อ ไม่ก็เล่นๆ ไปเรื่อยดูไม่ใช่คนจริงจังอะไร ก็เลยไม่คิดว่าคนอย่างภูริจะมีท่าทีเครียดๆ อย่างที่เห็นอยู่นี้ แล้วนั่นอะไร...นอนคว่ำหน้าทั้งที่เสื้อผ้าก็ไม่ใส่บนพื้นเพียวๆ เนี่ยนะ อันนี้เชื่อว่าขี้เกียจ
“มันจะขี้เกียจเกินไปนะ” ทั้งที่ปกติเสียงของอีธานจะทำให้ภูริสะดุ้ง ทว่าหนนี้ไม่ เจ้าของร่างโปร่งค่อยๆ ปรือตาขึ้นมามองก่อนจะยิ้มบางๆ
“ผมขอขี้เกียจบ้างหน่า”
“ไม่ได้ ไปอาบน้ำอาบท่าให้เรียบร้อย อยู่ห้องผมอย่าทำตัวสกปรกแบบนี้ผมไม่ชอบ”
“คุณต่างหากทำตัวผมสกปรก” ปากบางที่ขมุบขมิบนั้นมันน่าโดนสักทีจริงๆ
“คุณคิดว่าผมไม่ได้ยินที่คุณพูดหรือไง”
“ได้ยิน ผมรู้ว่าคุณได้ยิน...แต่มันจริงนี่”
“คุณก็ทำตัวผมเปื้อน ที่นอนผมก็เปื้อนไม่เชื่อชะโงกหน้าซื่อๆ นั่นขึ้นมาดู” ภูริส่ายหน้าให้ไว ดูไปทำไมอะ ดูไปก็เห็นแต่ซากศพของเขากับอีธานเปรอะเปื้อนเต็มที่นอนไปหมดอะ
ภูริค่อยๆ พลิกร่างนอนหงาย เสื้อของอีธานที่ปรกอยู่บนร่างหล่นไปตามแรงขยับ ร่างเขาก็เลยเปลือยเปล่าหนักเลยทีนี้ แต่ไม่อาย...ทำกันไปขนาดนั้นมีอะไรต้องอายอีกอะถามจริง เห็นกันทุกซอกทุกมุม ทั้งจับทั้งจูบ ทั้งลูบทั้งเลีย ต้องถามว่ามีตรงไหนบ้างที่เขากับอีธานไม่ได้เห็นของกันและกัน
อีธานเบี่ยงสายตาหลบจากร่างโปร่ง เขาจัดหนักไปจนมีแต่ร่องรอยของเขาอยู่บนกายอีกฝ่าย มองไปทางไหนก็เห็นสีแดงเจือจางประดับประดาอยู่เต็มไปหมด ช่วยไม่ได้นะ เขาเป็นคนชอบขบกัดนี่ ยิ่งตรงคอนั่น...ยิ่งอยากกัดเข้าไปใหญ่
ภูริลุกขึ้นเดินไปทางห้องน้ำ คว้าเอาผ้าขนหนูตรงหน้าตู้เสื้อผ้าไปด้วย ส่วนอีธานก็เปิดประตูตู้เพื่อเอาชุดนอนมาใส่ ปกติแล้วอีธานไม่ได้หลับเลยทันทีที่ล้มตัวลงนอนหรอก เขาจะหยิบหนังสือวิชาการมาอ่านอัปเดตข่าวสารในวงการแพทย์ เศษฐกิจ การเงินหรือพวกหุ้นต่างๆ
การที่เขาอยู่ในจุดนี้ไม่ได้แปลว่าเขาสบายกว่าใคร ใช่ เขาอาจไม่ต้องทำงานใช้แรงกายอะไรเท่าไหร่นัก แต่สมองของเขากลับรับภาระงานที่หนักหนาสาหัส วันวันหนึ่งอีธานต้องอ่านผลการสรุปงานจากทุกแผนก ไหนจะต้องประชุมงานอยู่ตลอด คิดจนหัวแทบแตก ฟังจนเบื่อจะฟัง อ่านเอกสารจนเบื่อที่จะอ่าน แต่ไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะนั่นคือหน้าที่ของเขา
แล้วทำไมก่อนจะนอนยังต้องมาหนังอ่านหนังสืออีก...ง่ายมาก เพราะนี่ก็คือสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของเขาเช่นกัน การรู้เขารู้เราเป็นสิ่งที่ต้องมีเมื่อทำธุรกิจ โลกกำลังไปในทิศทางใด การตลาดล่ะ ความต้องการของผู้บริโภคล่ะ รวมถึงความคืบหน้าด้านการวิจัยต่างๆ ของแวดวงการแพทย์
ระหว่างอ่านหนังสืออยู่เพลินๆ ภูริก็เดินออกมาจากห้องน้ำ ร่างโปร่งมีผ้าขนหนูพันเอวเอาไว้ไม่ต่างจากเขาตอนแรก อีธานแอบละสายตาจากตัวหนังสือไปมองอีกฝ่ายค้นกระเป๋าโทรมๆ ของตนเอง
“ทำไมไม่เอาเสื้อผ้าแขวนเอาไว้ให้เรียบร้อย พรุ่งนี้คุณต้องไปทำงานอีก ห้องผมไม่มีที่รีดผ้าหรอกนะ...” ทั้งที่กะว่าจะนอนดูเงียบๆ แต่ก็อดไม่ได้ ภูริเล่นรื้อเอาของที่ต้องการออกมาแล้วยัดส่วนที่เหลือใส่เข้าไปในกระเป๋าตามเดิม นี่มันเด็กน้อยเกินไปไหม...เจ้านั่นไม่ได้อายุเจ็ดแปดขวบแล้วนะ
“พรุ่งนี้เถอะครับ”
“พรุ่งนี้ได้ไง ทำเลย ไม้แขวนในตู้ผมก็มี...” แล้วอีธานก็นึกขึ้นได้ว่าภูริก็ต้องแขวนเสื้อผ้าตนเองเอาไว้ในตู้เดียวกับเขาอะสิ ตู้เสื้อผ้าเขาเรียบร้อยและเป็นระเบียบมากเพราะเขาชอบแบบนั้น งี้ถ้าภูริมาใช้ตู้ร่วม ตู้เสื้อผ้าของเขาจะไม่รกไปเลยเหรอ
“มีไม้ก็ไม่มีที่แขวน” ภูริตอบสั้นๆ พลางใส่กางเกงบอลตัวละยี่สิบบาทกับเสื้อยืดมือสองราคาเดียวกับกางเกงเด๊ะ
อีธานอยากจะว่าอยู่เหมือนกันเรื่องไม่มีที่แขวน ติดที่มันก็ถูกของภูริ ตอนนี้ไม่มีที่ให้ภูริใช้แขวนผ้า แต่อีกเรื่องน่ะคือเสื้อผ้าฝ่ายนั้นมากกว่า...ชุดแบบนั้นมันอะไรกันน่ะ มันดูโทรมไปหน่อยไหม เงินเดือนก็เยอะน่าจะเอาไปซื้อเสื้อผ้าใส่นอนให้มันดีๆ ไม่ใช่ใส่อะไรก็ได้ โทรมแค่ไหนก็ได้
ภูริเดินไปเอาผ้าห่มสองผืนมาจากตะกร้าที่บริกรเอามาให้ ผืนหนาเขาเอามาปูพื้นนอนเพื่อจะได้ไม่เจ็บกระดูกมากเวลานอน ส่วนผืนบางเอามาห่ม ติดอย่างหนึ่ง...หมอนของอีธานมันนุ่มไปอะ นุ่มมากแล้วมันจะดูดกลืนหัวของภูริเข้าไป ทันทีที่ปูเสร็จ ภูริทิ้งร่างกายนอนคว่ำลงไปโดยไม่เช็ดผมให้แห้งเลยด้วยซ้ำ
อีธานขยับมาชะโงกดูสภาพของภูริ เจ้านั่นกำลังเอาผ้าห่มคลุมร่างกายของตัวเองทั้งที่หลับตาพพริ้มไม่ยอมมองอะไร ท่าทางเหมือนสบายมาก อีธานน่ะแค่ต้องการแกล้งภูริให้นอนบนพื้นเพราะมันเขี้ยว ที่นอนดีๆ เขาก็มี ไม่ก็ให้ภูริไปนอนโซฟาห้องนั่งเล่นยังได้เลย แต่...นอกจากมันเขี้ยวแล้วเขาก็ยังอยากให้ภูรินอนอยู่ตรงนี้
ตรงที่ใกล้เขาที่สุด...
“นี่คุณ” อีธานเรียกภูริ เส้นผมยังเปียกแบบนั้นมันไม่ดีต่อสุขภาพเลย
“ฝันดีครับ” แต่ภูริกลับชิ่งตอบมาแบบนั้นแล้วเอาผ้าห่มมาคลุมหัวตัวเอง
เฮ้อ...ไอ้ลูกน้องคนนี่นิ มันน่านัก บริษัทเขาจ้างคนแบบนี้มาทำงานได้ยังไงนะ อีธานจ้องมองร่างโปร่งบนพื้น สายตายังคงความไม่พอใจทว่ามือนั้นเอื้อมไปที่โคมไฟหัวเตียงเพื่อกดปิด กริ๊กเดียวเท่านั้น ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิด
เขาต้องอ่านหนังสืออีกหน่อย แต่พอปิดไฟแบบนี้แล้วเขาไม่อ่านก็ได้ อีธานนอนลงริมเตียงข้างภูริบนพื้น กอดอกตัวเองและนอนตะแคงข้างมองภูริอยู่ในความมืด เพียงไม่นาน เสียงหายใจของคนบนพื้นก็สม่ำเสมอ อีธานแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ากำลังยิ้มกับความหลับง่ายของภูริ
เขาคิดว่าภูริเป็นคนมีเสน่ห์คนหนึ่งเลย สาวหลายคนคงยินดีมากถ้าได้ภูริมาเป็นคู่ครอง หรือคู่นอนชั่วคราว ภูริไม่ขี้อายในเรื่องอย่างว่าถึงแม้ตัวเองจะไม่เคยกับผู้ชายมาก่อน เหมือนมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ อีธานติดใจเซ็กซ์ของภูริ ติดใจสีหน้าและแววตาของร่างโปร่งคนนี้ยามอยู่ในอ้อมแขนของเขา แน่นอนว่าคู่นอนสาวที่ผ่านมาของภูริก็คงคิดไม่ต่างกับเขาหรอก
อีธานอนคิดเรื่องคู่แท้ไม่ได้ตั้งใจของตัวเองไปเรื่อยเปื่อย นอกจากเรื่องที่ภูริพูดสะกิดใจตอนอยู่บนรถแล้วเขาก็นึกถึงเรื่องก๋วยเตี๋ยวริมทางเท้า ความสงสัยของอีธานจำเป็นต้องได้รับการไขกระจ่าง เขาลุกขึ้นจากที่นอนเปื้อนคราบน้ำสีขุ่นไปยังกระเป๋าเป้ของภูริ ลอบมองคนบนพื้นเล็กน้อย ดูว่าเห็นหรือเปล่าว่าเขากำลังรื้อค้นเอากระเป๋าเงินอีกฝ่ายอยู่
กระเป๋าสตางค์ของภูริเป็นกระเป๋าพับครึ่งใบไม่ใหญ่ ธรรมดามากและเต็มเอี๊ยดไปด้วยบัตรกดเงินสด บัตรผ่อนของต่างธนาคารหลายใบ อีธานแอบขมวดคิ้วกับความหนี้สินเยอะของภูริ จนกระทั่งเขาเห็นเงินที่อยู่ในนั้น...ภูริมีเงินติดตัวเองอยู่แค่พันกว่าบาท
เป็นไปไม่ได้ หน้าที่การงานของภูรินั้นได้เงินเดือนไม่ใช่น้อยๆ แล้วนี่ก็เพิ่งเลยช่วงต้นเดือนมาแค่อาทิตย์เศษๆ หรือภูริจะกดเงินมาใช้ทีละแค่นี้ อันนี้สิเป็นไปได้มากกว่า อีธานกำลังจะเก็บกระเป๋าเงินของภูริลงที่เดิม ทว่าเห็นสลิบเงินเดือนของภูริเข้าเสียก่อน...
“บ้าหน่า” เขาอดสบถออกมาไม่ได้
ไม่มีค่าคอมพ์ ไม่มีค่าโอที เงินเดือนปกติแค่สองหมื่นห้าเท่านั้น แต่เงินสองหมื่นกว่านี้ก็ไม่น่าจะหมดได้ภายในอาทิตย์เดียวสิ...แล้วเป็นไปได้เหรอที่ภูริจะไม่มีค่าคอมพ์ เพราะการที่เขาไม่ได้เงินส่วนนี้นั้นเท่ากับภูริไม่เคยออกไปรับลูกค้าเลย หน้าที่เซลล์คือการเอายาไปเสนอขายลูกค้า นัดเจอลูกค้า ส่งตัวอย่างและใบเสนอราคา ยังไงก็อยู่แต่บริษัททั้งวันไม่ได้หรอก
อีธานเก็บของทั้งหมดไว้ที่เดิม เขาเดินไปนอนบนเตียงพลางหยิบมือถือมากดส่งข้อความหาอลัน ผู้ช่วยคนสนิทของเขาเพื่อให้อลันค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับภูริมาให้เขาอย่างละเอียด ความเป็นภูริที่อีธานเห็น...บางอย่างมันไม่สมเหตุสมผลเลย
‘เคยสงสัยไหมว่าทำไมเราต้องแตกต่างกันมากขนาดนนี้ ทั้งที่เราก็เป็นคนเหมือนกัน’
คำถามที่ภูริยิงใส่เขาในรถวนเวียนกลับมาที่เดิมอีกครั้ง อีธานทอดสายตามองร่างโปร่งบนพื้นพลางคบคิดสิ่งที่ภูริพูด ทำไมเราต้องแตกต่างกันงั้นเหรอ ภูริไม่ใช่คนเดียวที่ตั้งคำถามเหล่านี้ ผู้คนมากมายก็ถามคำถามนี้ ไม่ว่าจะนักพูดสร้างแรงบันดาลใจต่างๆ ก็พากันพูดเรื่องนี้ เรื่องสิทธิมนุษยชนเอย เรื่องความเท่าเทียมกันเอย อีธานเคยฟัง อีธานเคยพยายามที่จะเรียนรู้
ก็แค่คำว่าเคยน่ะ...
ถ้าวัดคุณค่าคนจากการทำตัวเองให้มีประโยชน์เพียงแง่เดียว อัลฟ่า เบต้า และโอเมก้ามีผลงานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เป็นเหตุผลที่ทำให้บริษัทต่างๆ เลือกรับพนักงานที่เป็นอัลฟ่าและเบต้ามากกว่าโอเมก้า
เราจะเท่าเทียมกันได้อย่างไรในเมื่อประสิทธิภาพของการทำงานคนเราไม่เท่ากัน...หรือที่ภูริถามแบบนี้ขึ้นมาเพราะว่าเรื่องที่มีอัลฟ่าไปรุมรังแกโอเมก้าแบบนั้นกัน? เรื่องนนั้นมันเกิดขึ้นบ่อยจนเป็นภาพชินตา ไม่ว่าจะข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เอย ข่าวในโซเชี่ยลเอย อีธานคิดว่าเป็นเพราะโอเมก้าอ่อนแอเอง มีสองมือสองเท้าเท่ากันแต่ดันไม่ยอมสู้
โอเค...สัญชาตญาณมันทำให้โอเมก้าไม่กล้าสู้กับอัลฟ่า แต่คนเรา ถ้าไม่สู้เพื่อตัวเองแล้วจะมานั่งหวังให้ใครมาสู้แทนเหรอ? นั่นมันเป็นข้อผิดพลาดของคนอ่อนแอหรือเปล่า มันไม่ได้เกี่ยวกับความเท่าเทียม
ไม่สิ ผู้แข็งแกร่งเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปรังแกคนอ่อนแอกว่านี่นะ นี่อาจเป็นต้นตอของคำถามที่ภูริพูดขึ้นมาก็ได้ อีธานไม่ค่อยได้คิดจุดนี้ ถ้าภูริไม่จุดประเด็นเขาก็คงมองภาพเหล่านี้ในมุมเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย...
บางที...เขาน่าจะลองมองภาพพวกนี้ให้ละเอียดขึ้น
ซ่า!
สายน้ำเย็นๆ จากฟักบัวอันหรูหรานี่มันชุ่มชื่นดีจริง ถ้าไม่นับที่นอนกากๆ นั่น ภูริก็คิดว่าการอาศัยอยู่ที่นี่ไม่เลวร้ายนัก เพราะเหมือนกับว่าเขาได้มีห้องหรูกับคนอื่นเขาเสียที ที่บ้านเขามันก็ดีนะ แต่นี่หรูหราไง...อยากมีชีวิตแบบที่อีธานมี ชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ กลับบ้านมาก็เจอแต่ความสบายตาอะไรเงี้ย
“เพ้อเจ้อขึ้นทุกวันเลย...” ไม่ต้องมีใครบ่นหรือว่า เขาก็สามารถบ่นตัวเองได้ เขารู้ว่าเขาเป็นคนมีความคิดรั่วๆ อย่างนี้มานานแล้ว
ก็...พยายามทำให้ตัวเองอารมณ์ดีไง ถ้าต้องมาเจอสถานการณ์แบบที่เขาเจอแล้วคุณหัวร้อนล่ะก็ คุณจะไม่สามารถรักษาอะไรเอาไว้ได้เลยจริงๆ มีหวังนะ วางมวยกับคนนั้นคนนี้ไปแล้วเรียบร้อย โดยเฉพาะหัวหน้างานเขาเนี่ย
“ผมสั่งให้คุณกินยา” ออกมาจากห้องน้ำปุ้บก็เจอยักษ์ทันที อีธานนั่งกอดอกอยู่ข้างเตียง เท้าทั้งสองข้างนี่วางไว้บนที่นอนของเขาเต็มๆ
“แต่ผมเพิ่งตื่นนะ จะไปกินตอนไหน”
“ตื่นปุ้บก็กินเลยสิ อาบน้ำน่ะมันทีหลังก็ได้ แล้วนี่เล่นปล่อยให้ตัวเองมีกลิ่นฟีโรโมนเต็มห้องผมไปหมด...” เฮลโหลท่านประธาน ตื่นมาบ่นเลย สมกับเป็นอีธานจริงๆ ภูริยิ้มขำขณะที่เดินเข้าไปใกล้
“อยากอ๋อ” คำถามง่ายๆ ที่หลังจากถามแล้วมันจะเหนื่อย
อีธานไม่ตอบเขา เอาแต่จ้องหน้าที่ใส่กิ๊งของเขาแน่นิ่ง อะไรกัน...ถามแค่นี้ถึงกับเครื่องเอ๋อไปเลยอ๋อ เขาอยากจะขำชะมัด แต่ก่อนได้ขำก็สำรวจส่วนนั้นของอีธานเล่น แบบว่า...ผู้ชายเราชอบตื่นมาเคารพพระอาทิตย์ตอนเช้าเสมออะนะ แล้วเขาก็เจอจริงๆ อนาคอนด้า!
“เฮ้ย!” ร่างภูริโดนรวบเข้าสู่วงแขนของอีธานอย่างไม่ทันตั้งตัว มัวแต่มองอนาคอนด้าตัวเขื่องนั่นไง
อนาคอนด้าของอีธานเป็นอนาคอนด้าเผือกเลยนะเฟ้ย! น่ารักน่าชังเชียว
“คุณมันง่ายไปปะวะ” ถามแต่ก็ซุกไซ้ซอกคอเขาแบบนี้ ขนลุกไปหมด จากตอนแรกไม่ได้อยากกระหายอะไรมากมาย แต่เหมือนว่าสัมผัสของอีธานจะกระตุ้นความต้องการของเขาไม่จบไม่สิ้นจริงๆ
“แล้วแต่คุณจะคิดนะ”
“งั้นผมก็คิดว่าคุณมันง่าย...ใครก็ได้ ง่ายไปหมด” ผ้าขนหนูตรงเอวโดนดึงออกไป ปาทิ้งไว้บนพื้นห้องแล้วเขาก็ต้องลุกไปเก็บอีกแล้วสินะ
“เร่งมือหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมเข้างานสาย” แม้ว่าคำพูดของอีธานจะถากถางภูริ แต่เขาไม่แคร์ การเข้างานให้ทันเพื่อเบี้ยขยันนั้นสำคัญกว่า
จำไว้เสมอ...ไม่ว่าใครบนโลกใบนี้จะดูถูกเขา จะหยามหยันในสิ่งที่เขาเป็น แต่เขาจะไม่ดูถูกตัวเอง เพราะภูริรู้ตัวดีว่าเขาเก่งแค่ไหน...เขาพยายามเพื่อครอบครัว เพื่อจะเป็นเสาหลักของแม่และน้อง คำดูถูกน่ะ...มันก็แค่คำพูด เป็นแค่สายลมร้อนที่พัดเข้ามาแล้วมันก็จะพัดผ่านไป
ท่าทีของอีธานนั้นดูรุนแรงและเร่าร้อน ทว่าเอาเข้าจริงแล้ว...อีธานนั้นหนักแน่นและอ่อนโยน ภูริถึงชอบ ภูริถึงรู้สึกดี ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้แย่เพราะยังเอาคู่นอนของตัวเองไปถึงฝั่งฝันพร้อมๆ กัน ไม่ได้ไปเพียงลำพังแล้วปล่อยภูริตายอยู่กลางทาง
เสียอย่างเดียว...ไม่เคยเสร็จง่ายเลยเว้ย!
แล้วเป็นไง สุดท้ายก็มาเร่งๆ รีบๆ กันเนี่ย อ้อ แต่อีธานไม่รีบเร่งเหมือนภูริหรอก มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่ลนกลัวเข้างานไม่ทัน ก็อีธานน่ะเข้างานสายยังไงก็ได้ขอแค่เข้าประชุมให้ทัน แต่เขาเนี่ยตอกบัตรไม่ทันโดนหักเงินนะเว้ย!
“ช่วยนั่งนิ่งๆ ได้ปะคุณ สั่นขาเป็นหมาเลย” จึ้กใหญ่หนึ่งดอก!
“ผมรีบนี่ครับ คุณอะทำผมสาย”
“แต่คุณก็พอใจนี่”
“ไม่พอใจตรงมันจะสายเนี่ย” ฮุ่ยยยยย ไม่เข้าใจเลยหรือไงว่าเข้างานสายไม่ได้น่ะหา
แล้วคิดดูนะ จากคอนโดนนี่ไปบริษัทไม่ไกล แต่รถเนี่ย...เรียกว่าไม่ขยับเลย ภูริล่ะอยากจะเป็นพี่ตูนตอนนี้มาก วิ่งมลาธอนไปยังที่ทำงานตอนนี้น่าจะพอเข้างานทันอยู่ จะว่าไปก่อนหน้านี้เขาก็เกือบสายเพราะอีธานกินเขาตอนเช้าเนี่ยแหละ ตอนนั้นหนักด้วย บนรถ เล่นเอารถโยกเป็นร็อกเกอร์กันเลยทีเดียว
จนแล้วจนรอดภูริก็มาถึงที่ทำงานสายอยู่ดี เขานี่ปลงตั้งแต่เห็นเข็มนาฬิกาเดินมาถึงเวลาเข้างานแล้วล่ะ อยากจะร้องไห้ แต่ถ้าร้องอีธานก็ต้องว่าเขามันอ่อนแอ ว่าเขาไม่ได้เรื่องอะไรงี้อีกแน่นอน เขาก็เลยไม่บ่น กลายเป็นนั่งนิ่ง ปลงกับชีวิตอันอาภัพ
“ผมขอลงตรงนี้”
“ทำไม” อีธานถามเสียงแข็งทันทีเมื่อภูริของลงตรงหน้าบริษัทแทนที่จะไปที่จอดรถด้วยกัน
“ผมจะซื้อกาแฟ”
“เชิญ” เมื่ออีธานเลี้ยวรถเข้าจอดข้างทางเท้า ภูริก็คว้ากระเป๋าตัวเองแล้วรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปสั่งน้ำ
คำแรกที่ป้าคนขายทักทายคือวันนี้สายนะคะคุณภู เขาได้ตัวเราะแห้งๆ แต่ในใจอะเหรอ ฟ้องป้าขายน้ำไปเยอะแล้วว่าที่เขาสายขนาดนี้ก็เพราะใครบางคนกำลังเอางูเข้าถ้ำเขาอยู่ เข้าออก เข้าออกจนเขาต้องนอนร้องครวญครางเพื่อขอชีวิตกันเลยทีเดียว
พอได้กาแฟโบราณรสเข้มข้นถูกใจ ภูริก็รีบวิ่งเข้าบริษัทโดยยังไม่ได้ดูดน้ำเลยสักคำ จริงที่มันสายแล้ว แต่มันไม่ควรสายไปมากกว่านี้ไง เสียงโฆษณา เอ๋วิ่งดิเอ๋! แม่งแล่นเข้ามาในหัวเขาเขาราวกับมีใครมาตะโกนใส่ แล้วเขาก็ตอบเสียงบ้านั่นไปด้วยนะว่า...
“กูวิ่งอยู่ฟาย” เงียบๆ คนเดียว ได้ยินแค่คนเดียวเท่านั้นเพราะถ้าคนอื่นมาได้ยินด้วยมันคงตลกพิลึก
แต่แล้วการวิ่งเข้าที่ทำงานของเขาก็เป็นชะงัก เจอยักษ์ตัวเดิม ท่าทางถมึงทึงเชียวนะ เขาเพิ่งจะเข้ามาในตัวอาคารได้ไม่ถึงสิบก้าวเลย อะไรจะมาโพล่มาไวขนาดนี้ แล้วดู...คนอื่นมองมาทางเขาหมดแล้ว ไม่ได้สนใจภูริหรอกแต่สนใจอีธานต่างหาก
“เฮ้!” เป็นอะไรที่ชวนร้องไห้เมื่ออีธานดึงเอากาแฟถุงของภูริไปต่อหน้าต่อตา เหมือนมีคนมาพรากลูกรักไป...ทำไมต้องแย่งเขาทุกที!!!
อีธานไม่พูดอะไรทิ้งท้ายทั้งนั้น เจ้าตัวเดินเข้าลิฟต์ส่วนตัวทันที ทิ้งภูริให้ยืนอยู่กับความไม่เข้าใจและขุ่นเคือง พรากเสื้อผ้าเขาไปเขายังไม่เคืองเท่าเอากาแฟเพียงถุงเดียวของเขาไปเลยอะ แล้วคิดดู...เขาจะกินอะไร ฮึ่ม...ไอ้ท่านประธานขี้แย่งเอ้ย!!!
….100%….
อีธานเริ่มสืบเสาะเรื่องน้องแล้ว!!!