[ต่อ]เจ้าปักษาคุมสติพยักหน้ารับ เมฆหมอกควันขาวอ้อมล้อมชักพาภัทรพจน์แลผู้พิทักษ์รักษากลับมายังสนามหญ้าหน้าเรือนไทยเทพวิมานในทันทีทันใด
“เร่งเตือนทุกคนบัดเดี๋ยวนี้ มหาบุรุษ” เจ้าปักษารณพาเจราเสียงดัง ไม่รีรอให้ปักษาวายุภักษ์ต้องกล่าวซ้ำสอง พจน์รีบวิ่งด้วยฝีเท้าที่คิดว่าเร็วที่สุด ก้าวข้ามบันไดทีละสองขั้นจนถึงซุ้มบันได ทุกคนกำลังสนุกสนานงานฉลองวันคล้ายวันเกิดของคุณปู่ พี่ส้มกำลังเป่าแตรกระดาษที่ซื้อมาเมื่อตอนเย็นเสียงดังสนั่น เศษริบบิ้นและกระดาษเลื่อมหลากสีปลิวละล่องอยู่ในอากาศ เพื่อนของพจน์ต่างมีสีหน้าสุขสำราญมิได้สัมผัสถึงแรงแผ่นดินไหวแม้แต่น้อย
“อ้าว พี่พจน์ พี่ไม่ได้อยู่ในห้องหรือคะ แล้ว...เกิดอะไรขึ้นคะ” พจน์โผเข้ากอดน้องสาวคนเดียว
“พี่ส้มครับ ปิดเพลงก่อน” ปาล์มวางไมโครโฟน สาวใช้ผิวสีแทนปิดเครื่องเล่นเพลง ดวงหน้ามีสีจัดกลับซีดเผือด ชาญณรงค์ถอดหมวกแฟนซีออก คุณปู่มิได้อยู่ในบริเวณนั้น ไอ้ภามกับไอ้ปาล์มต่างเดินมาหาเด็กหนุ่มหน้าสวย
“กู...” แล้วทันทีทันใดโคมไฟที่ให้แสงสว่างกลางหอนั่งเริ่มสั่นทีละนิดทีละน้อย
คนเดียวที่พจน์ต้องรีบบอกคือ คุณปู่ เด็กหนุ่มวิ่งผ่านภพดนัย ธนพลลุกขึ้นยืนด้วยความงุนงง เขารัวเคาะประตูหน้าห้องศาสตราจารย์วิชัย ทุกคนต่างตามประชิดเมื่อเห็นอาการผิดปกติของพจน์
“คุณหนูคะ เกิดอะไรขึ้นคะ ให้พี่โทรหาตำรวจไหม” จิตใจของส้มดูไม่สบายอย่างยิ่ง “คุณหนูพจน์ บอกพี่มาสิคะ”
“เข้ามา”
พจน์กระแทกประตูเข้าไป รู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่เท่ากับบาดแผลที่อยู่ลึกในใจ ศาสตราจารย์วิชัยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ หนังสือมหาทวีปลึกลับเล่มสีแดงวางอยู่บนตัก
“ผมมีหลักฐานสำคัญที่จะยืนยันเหตุการณ์น้ำกำลังท่วมโลกได้อย่างแน่นอนแล้ว ฉะนั้นผมต้องการเปิดแถลงข่าว ไม่ทราบว่าสถานีของท่าน... อะไร ตาพจน์”
“คุณปู่ครับ มันเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่วันที่ ๑๕ เมษายน แต่เป็นคืนนี้”
ศาสตราจารย์วิชัยขมวดคิ้วดูเหมือนไม่เข้าใจความหมายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ท่านเลื่อนสายตามองบานกระจกเงา สลับแก้วน้ำ ปรากฏรอยคลื่นเป็นวงกระจายอยู่เหนือผืนน้ำในแก้ว ศาสตราจารย์ลุกขึ้นพลิกปฏิทินข้างฝาผนังห้อง แล้วเบิกตากว้าง ท่านหยิบหนังสือมหาทวีปลึกลับพลิกหาความหมายบางอย่าง
“เป็นไปไม่ได้”
ราวกับคำพูดของพจน์เป็นคำโกหกที่ไม่น่าเชื่อถือมากที่สุดในโลก ดาวสูดลมหายใจเข้าออกพลางพยักหน้าให้พี่ส้ม ชาญณรงค์ก้าวเข้าหาศาสตราจารย์วิชัย
“นี่มัน...”
“เดี๋ยวก่อน โปรดฟังผม รีบประกาศเตือนภัยโดยเร็ว ประกาศเตือนเดี๋ยวนี้” ศาสตราจารย์กรอกใส่หูโทรศัพท์
“ประกาศเตือนอะไรกันครับ คุณพ่อ พจน์ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกัน” ธนพลสั่นหน้าสับสน
“ประกาศเตือนว่าน้ำกำลังจะท่วมโลก คุณไม่รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนหรือ...” ศาสตราจารย์พูดได้แค่นั้นก็ต้องยกหูโทรศัพท์พิจารณา สัญญาณขาดหาย พี่ส้มร้องเสียงสูงอย่างไม่อาจปิดบังความตื่นตระหนกไว้ได้ คำตอบของคำถามทั้งหมดจบลง นำความหวาดกลัวแทรกซึมสู่เบื้องลึกที่สุดของจิตสำนึก ภพดนัยยืนทำอะไรไม่ถูก รูปถ่ายครอบครัวเทพวิมานนับแต่รุ่นปู่ย่าตาทวดในกรอบกระจกติดฝาผนังสั่นระริก
“พ่อณรงค์ ขอยืมโทรศัพท์มือถือด้วย” ชาญณรงค์หยิบยื่นเครื่องมือสื่อสารไร้สายให้ศาสตราจารย์ คุณปู่ก้าวออกนอกห้อง มองหอนั่งและจ้องท้องฟ้า ท่านใช้โทรศัพท์มือถือติดต่อใครบางคน
“กระผม ศาสตราจารย์วิชัย เทพวิมาน ผมขอความกรุณาให้สถานีโทรทัศน์ของท่านหยุดออกอากาศรายการปกติ” ทุกคนจดจ้องหน้าจอโทรทัศน์ “กรุณาแจ้งข่าวทุกสถานีให้ประกาศเตือนภัยเดี๋ยวนี้ ประกาศให้ประชาชนทุกคนรู้ เพราะน้ำกำลังจะท่วมโลก”
แก้วน้ำริมขอบโต๊ะร่วงหล่นสู่พื้นแตกกระจาย ส้มและป้าแจ่มวิ่งวุ่นเข้าจัดการเศษแก้วอย่างสิ้นสติ แสงสว่างจากโคมไฟในหอนั่งกะพริบวูบ ความสนใจทั้งหมดถูกถ่ายเทสู่โทรทัศน์ ความหวังซึ่งสื่อเทคโนโลยีอันล้ำสมัยจากฝีมือมนุษย์จะช่วยเหลือมนุษย์กลับคืนได้บ้าง แล้วฉับพลันภาพละครช่วงหัวค่ำก็ปรับเปลี่ยนขาดหาย มีคลื่นรอยเส้นแทรกเข้าบดบัง และไม่อาจราบเรียบเช่นก่อนหน้านี้ รายงานข่าวด่วนผุดแทรกกะทันหัน
“แจ้งรายงานข่าวด่วนค่ะ มีการตรวจพบแรงสั่นสะเทือนอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวที่ก่อให้เกิดความเสียหายในประเทศญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สหรัฐอเมริกา จีน และขณะนี้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้ตรวจพบแรงสั่นสะเทือนที่แผ่ขยายมาถึงกรุงเทพมหานครแล้ว ดิฉันขอแจ้งเตือนให้ประชาชนทุกคนทุกภูมิภาคทราบ โดยขอให้ทุกคนออกมาจากอาคารบ้านเรือนโดยเร็วที่สุด และให้อยู่แต่ในพื้นที่โล่งแจ้ง”
ศาสตราจารย์วิชัยสั่นหน้า ความหวังดูริบหรี่ลงเรื่อยๆ “ได้โปรด ประกาศเตือนว่าน้ำกำลังจะท่วมโลกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้แล้ว นี่ไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดา ได้โปรดเถิด”
“โอ้ ไม่นะ” นักข่าวสาวจ้องแผ่นกระดาษของทีมงานที่เพิ่งยื่นเข้ามา ภาพสัญญาณโทรทัศน์ทยอยมีปัญหา
“ประกาศสิ ประกาศเดี๋ยวนี้”
“นี่...นี่คุณ หมายถึง...ดิฉันต้องขอประกาศเตือน...”
ภาพบนจอโทรทัศน์ดับวูบ ศาสตราจารย์วิชัยยืดตัวสูดหายใจแรงพลางพยักหน้าให้ผู้ช่วยหนุ่ม
“ถึงเวลาแล้ว พ่อณรงค์ รีบพาทุกคนไปที่เรือดำน้ำ”
“เรือดำน้ำหรือครับ” ภพดนัยแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ชาญณรงค์จับมือดาวและภพดนัย ป้าแจ่มทรุดเข่าลงพื้นเรือนเคียงใกล้กับลุงชม พจน์ขมวดคิ้วให้กลุ่มเพื่อนทั้งหมด ทุกคนไม่มีคำถามหรือข้อสงสัยใด พวกมันพยายามโทรหาครอบครัวจ้าละหวั่น แน่ชัดว่าหายนะภัยครั้งสำคัญคือเรื่องจริง คุณปู่เหมือนรอคอยบางสิ่ง แสงไฟบนเรือนทุกดวงกะพริบวูบ
“บรรณารักษ์ห้องสมุด
วิศรุต ตาพจน์”
ถ้าเพียงแต่พจน์จะพยายามชวนคุณครูวิศรุตมาร่วมงานได้ ถ้าเพียงแต่เขาจะทำ ธนพลได้แต่พร่ำพูดว่า
“สา - - สา - -”
“ธนชัย” เป็นรายชื่อหนึ่งเดียวที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากซีดของภพดนัย
“ออกไปนอกเขตบ้านกันเถอะครับ อาจารย์” ชาญณรงค์เร่งเร้าศาสตราจารย์ ธนพลพุ่งลงเรือนไทยเทพวิมานด้วยความเร็ว ทุกคนวิ่งตาม
“ไม่มีเวลาแล้ว ตาพล เราไม่อาจรอหนูสาได้” ศาสตราจารย์พูดไล่หลัง ถนนหน้าซุ้มประตูรั้วเนืองแน่นด้วยผู้คนสับสนวุ่นวาย
“ไม่ครับ ผมจะรอสา ผมจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” ธนพลประกาศกร้าว ทำทีจะวิ่งออกตามหาท่ามกลางฝูงชน ศาสตราจารย์และชาญณรงค์รีบฉุดรั้งตัวไว้
“ปล่อยผมเถอะครับ ถ้าสาเป็นอะไรไป ผมก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม” เจ้าพวกเพื่อนของพจน์คุมสติได้ดีเยี่ยม ไอ้ปาล์ม ภาพภพประกบใกล้พจน์
“ตาพล แกตั้งสติให้ดี หนูสาคงไม่อยากเห็นแกไร้ความอดทนต่อความเศร้าเสียใจเหล่านี้แน่ พ่อคิดว่า...”
“พล พล...” สุนิสาสภาพเปื้อนฝุ่นตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เนื้อตัวมีรอยบาดแผลบางแห่งแหวกฝูงชนจนสำเร็จ และแทบจะในทันทีธนพลก็พุ่งเข้ากอดหญิงสาวไว้ด้วยความรักสุดหัวใจ สุนิสาน้ำตาไหลด้วยเพราะอาจไม่มีหนทางกลับมาเห็นบุคคลที่เธอรักอีกแล้ว
“สาขับรถมาไม่ได้ พยายามเดินมาแต่ตึกหน้าปากซอยก็ถล่มลง คนตายเยอะมาก สาคิดว่าคงจะไม่ได้...”
“เราจะไม่แยกจากกัน” ธนพลยังกอดสุนิสาแนบอก หญิงสาวร้องไห้จนเนื้อตัวสั่น
“คุณพ่อครับ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คือ...” ภพดนัยคว้าดาวไว้ใกล้ตัว ฝูงชนยังวิ่งวุ่นอลหม่าน
“หายนะภัยที่พ่อพยายามเฝ้าเตือนได้เกิดขึ้นแล้ว น้ำกำลังจะท่วมโลก”
“น้ำท่วมโลก!” หญิงชาวบ้านหวีดเสียงสูง เมื่อเธอบังเอิญยืนอยู่ในระยะการได้ยิน
“ไม่จริงใช่ไหมคะ ท่านศาสตราจารย์ ไม่ใช่แน่ๆ” หญิงคนนั้นสั่นศีรษะยอมรับความจริงไม่ได้ หลายครอบครัวเหลียวหันตามเสียง ศาสตราจารย์วิชัยได้แต่พยักหน้า
“โอ้ ไม่...” ข่าวน้ำท่วมโลกแผ่ขยายทุกทิศ โลกจะถึงคราวอวสานในอีกไม่ช้า
“อาจารย์ครับ ไปกันเถอะครับ เราคงพาพวกเขาทั้งหมดไปไม่ได้ด้วยแน่” ชาญณรงค์เร่งเร้า
“นำทางโดยเร็ว พ่อณรงค์” และบัดนี้ความจริงเรื่องน้ำกำลังจะท่วมโลกถูกส่งจากปากสู่ปาก ไม่มีสิ่งใดหลงเหลือในจิตใจของผู้คนนอกจากภาพความตายซึ่งกำลังจะมาเยือน
“พลังของแกมิอาจห้ามชะตาลิขิตได้ ตาพจน์” คุณปู่กล่าวขณะวิ่ง
“ทำไมครับ ผมยังเหลือการผนึกกำลังกับภูเตศวรเทพอีกหนหนึ่ง”
“ไม่ทันแล้ว ตาพจน์ ไม่สำคัญอีกแล้ว ทั้งหนังสือปกแดงหรืออำนาจของแก จบสิ้นแล้ว แต่หากเรารอดชีวิตหนทางสว่างยังคงมีอยู่”
“แปลว่าอะไรหรือครับ”
แม้พจน์จะไม่เข้าใจคำพูดของท่านมากนัก แต่เขารู้ว่าคุณปู่ไม่ได้มีจิตใจโหดร้าย เพราะความหวังในใจท่านลุกโชนผ่านสายตาจนพจน์จำต้องน้อมรับ หากเป็นในช่วงเหตุการณ์ปกติเร่งเดินไม่กี่นาทีก็คงจะถึงสถานต่อเรือท้ายซอยโดยง่าย แต่เพราะตอนนี้ประชาชนทุกหลังคาเรือนออกมาอยู่บนถนนตามคำเตือนแน่นขนัด
“เฮ้ย หลบเร็ว” เสียงผู้คนหวีดระงม
โดยไม่ต้องให้ใครร่ำร้องตะโกนซ้ำ เสาไฟฟ้าล้มระเนระนาด แสงไฟทุกดวงดับพรึ่บ ความมืดย่างกราย เมื่อไร้แสงสว่างอื่นใดยกเว้นแสงเดือนข้างขึ้น ความอบอุ่นเพียงน้อยนิดเหือดหายชั่วพริบตา ผิวโลกจะไม่มีวันสัมผัสแสงสว่างใดๆอีกนับจากนี้ ความมืดโรยตัวปกคลุมพื้นพิภพ แล้วในวินาทีนั้นเองเจ้าภัทรพจน์สังเกตเห็นรอยแยกของพื้นถนนก่อเกิดเป็นร่องลึกแผ่ตรงเข้าสู่กำแพงรั้วบ้านฝั่งตรงข้าม ถัดไปเบื้องหลังเขตปลูกสร้างอาคารพักอาศัย คือตึกสำนักงานสูงเสียดฟ้าจำนวนมาก ตั้งเรียงเป็นแถวแนวยาวตลอดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
“ก้มหมอบเร็ว” พจน์ตะโกน
โครม!!
ภาพก่อนพจน์จะเซล้มลง คือตึกสูงหลายสิบชั้นถล่มพินาศ ดั่งฟ้าผ่าแผ่นดินเลื่อนลั่น เด็กหนุ่มถูกกดเซคลุกฝุ่น ละอองจากซากสิ่งก่อสร้างปรักหักพังปริมาณมหาศาลฟุ้งกระจายปกคลุมผู้คนและพื้นที่โดยรอบนับหลายร้อยกิโลเมตร เสียงไอเพราะสำลักอากาศไม่บริสุทธิ์ร้องทั่วสารทิศ พจน์ใช้ฝ่ามือดันตัวเองลุกขึ้นยืน ช่วยพยุงไอ้น้ำที่ร้องไห้ขี้มูกโป่ง จนไอ้ต่อกับไอ้กีต้องสาละวนปลุกปลอบ
“คุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ภพดนัยถามหาผู้บิดา ฝุ่นละอองจากเศษอิฐดินปูนเกาะเลอะเทอะตามเสื้อผ้าผมเผ้าสกปรกมอมแมม
เปรี้ยง!!
ลูกไฟมหึมาสาดจากฟากฟ้าลงกลางถนน ละอองหมอกพร่ามัวหม่นผสมกรุ่นควัน ครั้นถูกลมพัดปลิวย้อนลอยสู่ชั้นอากาศ ค่อยๆเผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดของนางอัปสรา ดูแปลกแยกท่ามกลางหมู่มวลมนุษย์ ดวงตาไม่มีเป้าหมายอื่นใดนอกจากภัทรพจน์มหาบุรุษ
“เจ้าสังหารจอมมาร จงตายซะ!” นางอัปสรากรีดเสียงแหลมบาดลึก ลูกไฟดวงใหญ่แผ่รังสีอำมหิตลอยอยู่เหนือฝ่ามือนาง
“ข้าดำริว่าการนั้นคงจักไม่มีวันมาถึง” ปักษาวายุภักษ์ประกบเคียงนางปีศาจแล้วสะบัดแขน ขนนกนับแสนพุ่งตรงดิ่งเข้าสู่ผู้ปองร้าย นางอัปสราอันตรธานทิ้งร่องรอยควันดำไว้
“เร่งพาทุกคนไปโดยเร็วเถิด ข้าจะคุ้มครองป้องกัน มิต้องกังวล” รณพานุรักษ์ยิ้มอย่างที่พจน์คิดว่าในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้นั้นหาได้ยากยิ่ง
“ครับ” พจน์ก็รับคำ
กลุ่มคนเบื้องหน้าถูกเหวี่ยงโยนสู่อากาศเบื้องบนด้วยอาการทุรนทุราย บ้างถูกปัดกระแทกชนซากอาคารบ้านเรือน ฝูงชนวิ่งหนีแตกกระเจิง แต่ก็มิอาจหยุดยั้งบางสิ่งซึ่งกำลังมุ่งตรงมาทางพจน์ได้ คลื่นพลังมนตราเมฆหมอกดำกวาดใส่มนุษย์ผู้ไร้สิ่งต่อสู้ป้องกัน นำสู่การเปิดเส้นทางจนโล่งกว้าง ด้านข้างทั้งสองของนางปีศาจประกบด้วยกินรีปีศาจสองตน นางอัปสราสลัดมนตราใส่เหล่ามนุษย์อย่างไร้ความปราณี มันร่ายพระเวทอีกครั้ง ควันดำมหาศาลหมุนวนราวกับบังเกิดลมวายุ นางสะบัดแขนหมุนเป็นวงในอากาศ แล้วจึงเหวี่ยงพระเวทเพลิงทมิฬมายังพจน์ เปลวเพลิงสีดำแผ่ขยายเป็นดวงไฟขนาดใหญ่พุ่งเข้าฉีกกระชากพรากกายผู้กีดขวาง เป้าหมายสุดท้ายคือมหาบุรุษ
แรงระเบิดแผ่นดินสะเทือนพุ่งสกัด แสงกระหวัดแดงชาดสาดกระจายทุกโมเลกุลอากาศ พจน์และทุกคนก้มหลบแทบไม่ทัน ถนนตรงจุด ณ เปลวเพลิงมอดไหม้ถูกปะทะบังเกิดหลุมขนาดใหญ่ ฝุ่นละอองฟุ้งปกคลุม
“นี่เจ้ายังมิยอมแพ้อีกกระนั้น ฤา” ปักษาวายุภักษ์ยืนอยู่เหนือปากหลุม ศพของมนุษย์นอนแผ่หลาเป็นภาพเวทนา นางอัปสรามีสีหน้าโกรธแค้นชิงชังแย้มชัด แผ่นดินเลื่อนผลัดสั่นไหว ราวกับไม่อาจรองรับโทสะของนางปีศาจได้
“ในเมื่อจอมมารดับสิ้น ข้าตรองดูแล้ว เจ้าควรจำต้องหลบหนีโดยพลัน” รณพานุรักษ์ในร่างกึ่งนกกึ่งมนุษย์ลอยอยู่เหนือพื้น
“ข้าจักแก้แค้นแทนพระองค์” นางอัปสราอ้าแขนผินพักตร์ล่องมองท้องฟ้า เปลวมหาเพลิงทมิฬโอบล้อมกายา
“อมระตา กายามะนะ สะยา” สังขารไร้วิญญาณของมนุษย์จำนวนหนึ่งเริ่มเคลื่อนไหวอวัยวะ นำกายหยาบสลัดยืนตามคำสั่ง แล้วกระโดดผ่านอากาศ บุกตรงเข้าหาปักษาวายุภักษ์ เจ้ารณพาป้องปัดร่างสิงสู่มนตร์ปีศาจจนพวกมันกระเด็นถอยห่าง นัยน์ตาของนางอัปสราแดงก่ำราวโลหิต ระเบิดมนตราสาดใส่โล่ป้องกัน แต่ก็มิอาจหักเอาชัยชนะได้ พลังชั่วร้ายสะท้อนกลับ เบี่ยงเบนพุ่งกระแทกศพสังหารแตกระเบิดสิ้น
“ตามข้ามาโดยพลัน” พจน์โอบพาไอ้น้ำวิ่งตามคำสั่งผู้พิทักษ์ปักษา ทุกคนงุนงงเกินกว่าจะถามคำถาม เสียงกินรีปีศาจดังสะท้อนก้องบนฟากฟ้าอีกครั้ง
“หลบ...ก้มลง” พจน์สังเกตยินก็ร้องเตือน
ไม่ทันการ ฝูงกินรีปีศาจกอปรด้วยเจ็ดตนกางปีกบินโฉบไล่ลามตามติดหลัง ปักษาวายุภักษ์ตั้งหลักแล้วพลิกหันเผชิญหน้า บริกรรมคาถากลายร่างเป็นนกยักษ์ทันที สยายปีกใหญ่โตโผผินเข้าขันสู้ กินรีปีศาจฉีกเขี้ยวแหลมคม ขยุ้มอุ้งเล็บพุ่งผ่านม่านหมอกขาว เจ้ารณพาน้าวสะบัดปีกใส่ มันเสียหลักเซถลาชนต้นไทรริมถนน นกปักษาส่งเสียงข่มกึกก้อง พ่นไฟจากจะงอยปากเข้าล้างผลาญ พวกหมู่มารร่ายเวทเกราะป้องกัน
“นั่นมันตัวอะไร มันเป็นตัวบ้าอะไร” ชาวบ้านคนหนึ่งร้องเสียขวัญ ทำหน้าสยดสยอง
แล้ววินาทีนั้นกินรีปีศาจทั้งเจ็ดตนจึ่งรวมพลังตั้งหลักร่วมผนึกพุ่งเข้าจัดการนกปักษาจากทุกทิศทาง มันลากลอยเข้าสู่กลุ่มม่านหมอกเหนือท้องนภา เปลวไฟสาดแสงอยู่บนผืนฟ้าราวกับมีการจุดพลุดอกไม้ไฟ ทันใดนั้นกินรีปีศาจร่างหนึ่งก็ล่วงลงกระแทกพื้นดังสนั่น มันแน่นิ่งแล้วสลายเป็นควันดำ
ลูกไฟระเบิดจากปากนกรณพาพุ่งเข้าหากินรีปีศาจผู้ยังคงภักดี แสงสว่างลุกท่วมกายครึ่งนกปีศาจ ลุกโชนแผดไหม้จนสิ้นซาก บางตนกรีดปากท่องมนตร์หลบหลีกหนีทัน
“คุณเจ็บหรือเปล่าครับ”
“แค่นี้เอง ข้าเคยเจอมามากกว่านี้ มหาบุรุษ อย่าได้เป็นกังวล” นกปักษาบอก
“ถึงแล้วครับ” ชาญณรงค์ร้องแจ้ง เศษกำแพงรั้วพังล้มเป็นแนวยาว ประตูเหล็กดัดสีฟ้าเก่าขึ้นสนิมตะแคงฟาดอยู่กลางถนน
ความคิดแรกที่พจน์คาดหวังไว้คือ เรือดำน้ำคงได้รับความเสียหายจากการพังทลายของอาคารต่อเรืออย่างแน่นอน และบางทีอาจเสียหายจนยากเกินกว่าจะทำการขับเคลื่อน จนกระทั่งจ้องผ่านฝุ่นละออง จึงเห็นว่าอาคารอู่ต่อเรือยังหยัดยืนมั่นคงเช่นเดิม ชาญณรงค์วิ่งนำทุกคนกระโดดข้ามซากกำแพงอิฐตรงเข้าสู่ตัวอาคารอู่
ชาญณรงค์ ภพดนัย ธนพล และเพื่อนๆของพจน์ช่วยกันเปิดประตูโรงต่อเรือจนสำเร็จ แผ่นดินด้านหลังห่างจากพจน์และคุณปู่วิ่งอยู่ไม่กี่เมตรระเบิดตูมสนั่น เศษดิน และซากอะไหล่เหล็กพุ่งกระเด็น แรงระเบิดอัดพจน์ล้มลง คุณปู่นอนกองอยู่ด้านข้าง เสียงหวีดร้องของดาว ป้าแจ่ม และส้มแหวกผ่านอากาศอื้ออึงอยู่ชั่วขณะ พจน์เกือบจะสูญเสียประสาทการได้ยินจนกระทั่งหูทั้งสองเริ่มรับรู้ถึงเสียงวุ่นวาย
“คุณปู่ครับ คุณปู่...”
“ไม่ ไม่เป็นไร ตาพจน์” เด็กหนุ่มเหลียวหลังมองตรงจุดแผ่นดินถูกแรงระเบิด ควันดำเริ่มจืดจาง นางอัปสราเหยียดกายยืนขึ้น ไร้รอยบาดแผลใดๆ นกปักษาเสกลูกไฟบริสุทธิ์ดวงมหึมาจากฟากฟ้าสาดใส่ ณ จุดสำคัญ นางปีศาจเสกเพลิงมนตราเข้าสกัด เจ้ารณพาโหมพระเวทปราการแก้วครอบนางไว้ นางสาดส่งพลังทุกบทต้านอำนาจครอบคลุม
“มหาบุรุษ โปรดฟังข้า ท่านจักต้องเร่งขึ้นเรือดำน้ำหนีรอด ครั้นเหยียบพื้นมหาพิภพแล้วทอดเดินทางสู่อาณาจักรสุวรรณนครา พวกท่านจักปลอดภัย แลจงเริ่มต้นชีวิตใหม่ ณ ที่แห่งนั้น” เจ้าปักษาวายุภักษ์หันซ้ายขวาระวังภัย
“คุณมีอะไรหรือเปล่าครับ รณพา คุณกังวลบางสิ่งใช่ไหมครับ บอกผมมาเถอะ”
“ข้าพระองค์...สิ้นระแวงสงสัยในรักหว่างท่านแลมาตะราชบุตรแล้ว บัดนี้หามีผู้ใดคู่ควรเหมาะสมเสมอเท่าคนผู้นั้นไปได้ อภัยเถิด ไม่มีชัยชนะใดไม่แลกมาด้วยความเสียสละ รักมีทั้งคุณแลโทษ มหาสงครามครานี้ริเริ่มด้วยรักเป็นเหตุ แต่กลับยุติลงเพราะรักดุจเดียวกัน เมตตารับผลึกความทรงจำของสินะกาวีท่าน เก็บรักษาไว้เถิดเจ้า”
นกปักษาวายุภักษ์จับผลึกดำใส่มือพจน์
“ข้ามาเพื่อคุ้มครองท่านตราบลมหายใจสุดท้าย บัดนี้ถึงเพลาแล้ว”
แล้ววินาทีนั้นเอง ช่างรวดเร็วเหลือเกิน ปราการครอบคลุมนางอัปสราไว้แตกระเบิด นางปีศาจเหินลอยสู่อากาศ พ่นคำสาปมนตราสังหารดวงใหญ่มหึมา ปกคลุมด้วยเปลวเพลิงมอดไหม้พุ่งตรงมายังพจน์ เจ้าปักษาสัมผัสพลังชั่วร้ายก็เนรมิตกายให้ใหญ่โตเป็นนกยักษ์บินเข้าต่อสู้ แต่พลังมนตราพุ่งแหวกอากาศรวดเร็วเกินกว่านกผู้พิทักษ์จะเสกปราการคุ้มกันได้ทัน มันตรงดิ่งฉีกกระชากนกยักษ์ บังเกิดรัศมีเปล่งแสงรอบร่างแปลงนั้นเพียงเศษเสี้ยว แล้วทลายแตกแยกร่างปักษาวายุภักษ์ รณพานุรักษ์ผู้พิทักษ์มหาบุรุษสูญสิ้นในทันที
เจ้าภัทระไม่อยากเชื่อในนัยนาพาเห็น เขาร้องคำว่าไม่อย่างไร้สุ้มเสียง
“เจ็บปวดสินะ” นางอัปสรากรีดเสียงขัน “สหายปักษาผู้อ่อนแอของเจ้าต้องดับสิ้นลง มันไม่คู่ควรจะต่อกรกับข้าผู้เก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าสมุนเทพ เจ้านกนั่นไร้ฝีมืออย่างที่สุด มันเป็นเพียงแค่ทหารปลายแถวที่ริอ่านต่อกรกับพลังอำนาจแห่งความมืดที่ทรงพลังที่สุดจากข้าเท่านั้น”
“อย่าได้...ดูถูก เขา เด็ดขาด” พจน์กัดฟัน เจ็บลึก นางอัปสราลอยอยู่เหนือหลุมขนาดใหญ่
“มหาเทพทรงชุบเลี้ยงขุนศึกผู้อ่อนด้อยฝีมือถึงเพียงนี้เจียวหรือ ฮ่าๆ มันขี้ขลาดแลหวาดกลัวข้า สิ่งเดียวที่มันทำได้ดีก็คือ การบินไปบินมารอบๆเจ้าเท่านั้น”
“เขา-ไม่- ได้- ขี้ขลาด” ปักษาวายุภักษ์ไม่ได้เป็นอย่างที่นางอัปสราพูด พวกมันทั้งหมดนั่นแหละที่ขี้ขลาด และพวกมันจะต้องชดใช้ แสงสว่างสีขาวเปล่งประกายจากบริเวณหน้าผากภัทรพจน์
“เขา - ไม่ - ได้ - หวาดกลัว - แก” หมอกควันทั้งหมดพุ่งเข้าหามหาบุรุษประดุจศูนย์กลางแรงพายุ แล้วฉับพลันคลื่นพลังมหาศาลก็แผ่ระเบิด นางอัปสรายังมิทันได้ร่ายมนตราป้องกันก็ถูกแรงปะทะอันมหาศาล กระทบกระแทกปลิวไถลจนลับตา
พจน์ทรุดเข่าแทบหมดเรี่ยวแรง ขณะแสงสว่างดับวูบ ศาสตราจารย์วิชัยกระชับพยุงแขนหลานชาย เห็นบางสิ่งคลับคล้ายเพชรปรากฏเหนือหน้าผากพจน์ก่อนเลือนหาย ปาล์มกับภามภพวิ่งเข้าช่วยเจ้าหนุ่มหน้าสวย อาคารอู่ต่อเรือเริ่มสั่นไหวเกินทานทน เรือดำน้ำลำยาวแต่ก็เล็กกว่าปกติถูกขึงตึงอยู่เหนือแท่นก่อสร้าง
“เดี๋ยวผมจะเป็นคนปลดโซ่ดึงเรือเอง” ลุงชมยืนเคียงกับป้าแจ่ม
“อุปกรณ์เปิดพร้อมแล้วครับ” ชาญณรงค์โผล่หน้าจากประตูทางเข้าตะโกนบอกแทบไม่หายใจ ศาสตราจารย์วิชัยจึงให้ภพดนัยปีนลงทางปล่องประตูด้านบน ตามด้วยดาวกับส้ม ปาล์มพยุงพจน์พร้อมภามภพ เศษกระเบื้องหลังคาเริ่มร่วงหล่นลงมา สุนิสาช่วยไอ้ต่อ ไอ้กี ไอ้โบทดันไอ้น้ำ ติดตามด้วยศาสตราจารย์วิชัย ส่วนพวกไอ้เอก ไอ้เพรียว ไอ้นาย ไอ้รัก ยืนนิ่งอยู่เหนือฐานต่อเรือเหมือนรอคอยบางอย่าง
อกแม่พระธรณีดูไม่อาจต้านแรงสั่นสะเทือนเช่นนี้ได้ยืนนาน แผ่นดินทุกผืนแทบจะร้องครวญทรมานเจ็บปวด ความพินาศย่อยยับทั้งหลายคงจะสิ้นสุดอีกในไม่กี่นาที เมื่อคลื่นยักษ์บุกถล่มเป็นการปิดท้ายมหาภัยพิบัติ เฉกเช่นน้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลรินทั่วทั้งพิภพโลกา
“พลปีนขึ้นไปก่อนค่ะ” สุนิสาเร่งเร้าชายหนุ่ม
“สาก่อนเถอะ” ธนพลเสนอ
“เชื่อสาบ้างสิคะ พล” สุนิสาพูดเสียงดังน้ำตาเริ่มไหลซึม “สาปีนไม่ไหวหรอกค่ะ พลขึ้นก่อนแล้วช่วยดึงสากับพวกเด็กๆอีกที” ธนพลไม่มีทางเลือกเมื่อทุกวินาทีมีค่ายิ่งกว่าทองคำ เขาปีนป่ายยึดจับโครงเหล็กสำหรับเกาะเกี่ยวไว้ แล้วยื่นแขนให้ชาญณรงค์ มืออีกข้างไขว่คว้าแขนสุนิสา เธอถูกดึงตาม ธนพลเลื่อนตนเองลงทางประตูทางเข้าค่อยๆดึงมือสุนิสา กลิ่นน้ำทะเลแทรกอากาศและหมอกสีขาวปลิวลอยปะทะจมูก เสียงหวีดร้องของผู้คนดังระงม ประชาชนจำนวนมากล้มลุกคุกคลานหลีกหนีบางสิ่ง แผ่นดินสะเทือนเลื่อนลั่นทุกวินาที
“ตอนนี้แหละ” สุนิสาตะโกนบอกลุงชมและป้าแจ่ม เรือดำน้ำถูกปลดจากเครื่องดึงลอยตัว กระแทกลงสู่ท้องน้ำเบื้องล่างทันที หญิงสาวสะบัดนิ้วหลุดเลื่อนออกจากกำมือของธนพล ถอยออกห่างจากช่องทางออกแม่น้ำเจ้าพระยา ไอ้ต่อกดปุ่มสีแดงบนผนังข้างประตูอู่เรือทันที ไอ้กี ไอ้โบท ไอ้เอกกระโจนไปยังจุดซึ่งประตูจะเปิดออก พวกมันดันเปิดให้เร็วขึ้น
“พวกมึงจะทำอะไร ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ป้าแจ่ม ลุงชม” ภัทรพจน์มองผ่านกระจกด้านข้างเรือดำน้ำเห็นเหตุดั่งนั้นก็พยายามปีนป่ายออกประตูทางเข้า
“สา จะทำอะไรน่ะ” ธนพลตื่นตกใจเช่นกัน
“ปิดประตูซะ พล พจน์” หญิงสาวยืนนิ่ง มีกลุ่มเพื่อนของพจน์อยู่เบื้องหลัง เสียงสายน้ำกระทบสิ่งกีดขวางดังแว่วหวีดร้อง
“ลาก่อน พล” สุนิสาโบกมือพร้อมกับร้องไห้
“ลาก่อน ไอ้พจน์” พวกมันทั้งเจ็ดผสานคำบอกลาสุดท้าย
“ไม่นะ สา”
“ฉันรักคุณค่ะ”
กลิ่นน้ำทะเลพุ่งผ่านอากาศ อกพระแม่ธรณีสุดจะต้านทาน กลุ่มหมอกปลิวผสาน คลื่นยักษ์ไหลกระหน่ำซ่านกระทบทางทิศตะวันออกของผนังอาคารจนเศษกระเบื้องปลิวกระจาย มันโถมซัดใส่ร่างสุนิสา ต่อ โบท เอก กี นาย เพรียว รัก ทุกคนยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย และรอยยิ้มนั้นพจน์คงจะไม่มีวันได้เห็นอีกตลอดกาล
100%...TBC โปรดติดตามตอนต่อไป________________________________
ช่วงพูดคุยตอบคำถามขออนุญาตลงแบบต่อเนื่องเพื่อมิให้ขาดตอนนะครับ สารภาพเนื่องจากตอนนี้ผมได้เขียนจบแล้ว เหลือขัดเกลาภาษาอีกเล็กน้อย ถ้าอีกสองตอนที่เหลือตรวจทานเป็นที่พอใจแล้วก็คงจะได้อ่านเร็วๆนี้เช่นกันครับสุดท้ายก็มาต่อ มันจบลงรึยัง รึว่ามันยังไม่จบ สิ่งที่คาดไว้ก็เกินคาดไปมากอยู่ สิ่งที่อยากรู้ก็ได้รู้ แล้วผู้ถือครองมีสะตาเหมือนกันแต่ต่างกันที่คนหนึ่งมีความแค้นในความเข้าใจผิด กับอีกคนไม่มีความแค้น ซึ้งมันเป็นเส้นขนาดแล้วสุดท้ายก็มาบรรจบกันในตอนนี้ รออีกสามตอนที่เหลือว่าจะมีอะไรเซอร์ไฟส์รึเปล่า
ดีใจที่คลายข้อสงสัยในใจคุณหลายๆอย่างได้ในช่วงสุดท้ายนี้ ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเซอร์ไพรส์อีกหรือเปล่า แต่ถ้าไม่...ก็ถือว่าเป็นการขมวดสรุปเรื่องที่ผมจะสามารถทำได้แล้วกันครับ
สุดท้ายจอมมารก็ตายไปแล้ว ทีนี้ก็โลกทั้งสองสินะ ที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแน่ๆ เพราะผลกระทบนี้ไม่ว่าจะดี หรือ เลวร้ายลง สนุกมากจริงๆค่ะ
ความชั่วร้ายสูญสิ้นลงแล้ว มาติดตามว่าบทสรุปเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร เหลืออีกสองบทเท่านั้น เศร้าจังเลย ฮือๆ