... บทที่ ๑๕รักเหรอ?จากที่กำลังมองหน้าเขาผมรีบหันหนีทันที ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองขึ้นมาดื้อๆ รู้สึกเหมือนท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนมีทอร์นาโดหลายลูกกำลังหมุนกันสนุกสนานอยู่ในนั้น ไม่ใช่แบบผีเสื้อบินนะ ไม่ใกล้เคียงเลยด้วย
ผู้ชายกับผู้ชายรักกันได้ด้วยเหรอ หมายถึงผู้ชายแบบผมนะ แล้วความรักมันง่ายขนาดนี้เลยเหรอ ผมกระพริบตาถี่ขึ้นเพราะใช้ความคิด
ฮัลโหล ผมไม่ใช่กินรีแสนงามนางนั้นแล้วนะ “แต่ชาตินี้ผมไม่ใช่ผู้หญิง ผมไม่ใช่กินรีที่คุณหลงรักแบบในชาติที่แล้วนะ”
“ความรักมันมีข้อแม้ด้วยเหรอ รักก็คือรัก”
แต่ผมไม่ได้รักด้วยไงประเด็น
“ชาติก่อนนู้นเขาทำกันแบบนี้หรอ” ผมเริ่มสับสน
“ไม่หรอก มีก็แต่ทำเพื่อความสัมพันธ์ทางบ้านเมือง”
ผมพยักหน้า อาจจะเหมือนในหนังประวัติศาสตร์ที่กษัตริย์เมืองนี้ส่งลูกสาวไปตบแต่งกับกษัตริย์เมืองนั้นเพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตไรงี้ แต่นี่มันยุคไหนแล้ว
จากนั้นผมก็ปิดปากเงียบ
รถของเดชาธรจอดลงที่หน้าบ้าน ผมมองผ่านกระจกออกไปก็พบว่าบ้านมืดมาก ปกติแม่จะเปิดไฟหน้าบ้านไว้เสมอ หรือเพราะวันนี้ลืม ผมพยายามคิดในแง่ดีแม้ลึกๆ ในใจจะไม่ใช่ ก็แหม ช่วงนี้ชีวิตผมมันปกติเหมือนเมื่อก่อนซะเมื่อไหร่
เมื่อเดชาธรดับเครื่องยนต์ผมก็รีบเปิดประตูออกไป พอเดินเข้าไปใกล้จึงพบว่าประตูบ้านแง้มไว้ แม่เป็นคนรอบคอบมากเรื่องปิดเปิดประตูบ้าน เธอย้ำกับผมเสมอเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไม่มีทางที่เธอจะลืมปิด
ผมวิ่งเข้าไปในบ้านแล้วเปิดไฟ ภาพที่ผมเห็นคือแม่ถูกมัดไว้กับราวบันไดบ้าน คราบน้ำตาเปื้อนหน้าผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เธอเบิกตากว้างเมื่อเห็นผม พยายามเรียกผมด้วยปากที่ถูกปิดด้วยเทปกาว
“น้ำครับ” ผมวางแก้วน้ำลงตรงหน้าเธอที่ตัวสั่นเทา ยิ่งเห็นผมยิ่งโกรธไอ้คนที่ทำ ป่าเถื่อนฉิบหายเลย
“ป่าลูก” ยังไม่ทันจะได้หย่อนก้นลงถึงเก้าอี้ แม่ผมก็กระวนกระวายรวบมือผมไว้ “ป่าต้องไม่อยู่ที่นี่ ป่าต้องไม่กลับมาที่นี่อีก”
“ทำไมล่ะครับ นี่มันบ้านป่านะ”
“ไม่ป่า พวกมันมาตามหาป่า ท่าทางพวกมันน่ากลัวมากเลยลูก” แม่ผมพูดเสียงสั่น น้ำตาคลอเบ้า เธอดูหวาดระแวงกับทุกอย่าง
“พวกมันคือใคร” ผมขึ้นเสียง บอกตรงๆ ยิ่งเห็นสภาพแม่เป็นแบบนี้ผมยิ่งโคตรจะโกรธเลย
“ไอ้บัลลพใช่ไหม”
“แม่คุณรู้จักบัลลพเหรอ” เดชาธรแทรกขึ้น
เออจริง ผมคลายท่าทีขึงขังลงเล็กน้อย
“แม่ไม่รู้ว่ามันคือใคร แต่พวกมันน่ากลัวมากป่า มันถามหาป่า ท่าทางมันคงเอาถึงตายแน่ๆ”
“ผมไม่กลัว บอกมันมาหาป่าเลย ถ้ามันกล้าทำกับแม่แบบนี้ ไอ้ป่าคนนี้ก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
“ใจเย็นๆ ฟังที่แม่บอกบ้าง” เดชาธรดึงอารมณ์ผมอีกละ
“ป่า” แม่ดึงมือผมไปกุมไว้ คราวนี้สัมผัสได้ว่าเธอดูลุกลี้ลุกลนน้อยลง “แม่ฝัน”
ผมนิ่งรอฟัง สายตาแม่ดูจริงจังมาก มากเสียจนผมรู้สึกหวั่นๆ
“พ่อมาหาแม่ และบอกว่าป่ากำลังมีอันตราย แล้วก็บอกแม่ว่า” เธอผละจากมือผมแล้วหันไปทางเดชาธรแทน จากที่เคยเป็นคนนิ่งๆ ตอนนี้แม่ผมเหมือนศาสตราจารย์ทรีลอว์นีย์ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ยังไงยังงั้น สั่นๆ รนๆ เหมือนสติเธอหลุดหายไปกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
เธอดึงมือเดชาธรมากุมไว้แล้วจ้องตาเขาเขม็ง
“คุณเดชคะ เอาป่าไปอยู่ด้วยนะคะ อย่าทิ้งเขานะคะ”
“แม่”
“นะคะคุณเดช ฉันฝันเห็นจิรัญ เขาบอกว่าถึงเวลาแล้ว”
ถ้าผมไม่ได้คิดไปเองผมว่าผมเห็นเดชาธรแอบยิ้มมุมปาก แต่ผมนั่งฝั่งเดียวกับเขาเลยไม่ทันได้เห็นชัดนัก
คนตัวสูงใหญ่โน้มตัวไปข้างหน้า ส่งสายตามั่นเหมาะให้แม่ผม “ผมต้องทำแบบนั้นอยู่แล้วครับ ว่าแต่คุณกลิ่นล่ะครับ อยู่ที่นี่คนเดียวเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย ไปอยู่ที่บ้านผมก่อนดีกว่าไหมครับ”
“ไม่ละคะ ชีวิตเดียวที่พวกนั้นต้องการคือลูกชายของกลิ่น กลิ่นไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับพวกมัน ที่มันบุกมาที่นี่ก็เพราะต้องการหาตัวป่า”
“แม่ แต่ป่า-” “ไม่มีแต่ป่า ถ้าป่าไม่ไปอยู่กับคุณเดชเขาทั้งป่าและแม่ไม่มีใครปลอดภัยเลย” เธอสวนทันควันโดยที่ผมไม่ทันจะได้พูดจบ
“กลิ่นไปไหนไม่ได้หรอกคะ กลิ่นมีหน้าที่ๆ ต้องทำอีกมากมาย กลิ่นจะเป็นจะตายไม่สำคัญแล้วตอนนี้ ขอแค่ตาป่าไม่เป็นอะไรก็พอ”
แม่ก็คือแม่ ผมเข้าใจนะว่าห่วงชีวิตผมมากกว่าตัวเอง แต่ถ้าแม่ไม่อยู่แล้วผมล่ะ
เหมือนรู้ว่าผมกำลังจะขัด เธอเลยรีบหันมาทางผม ดึงมือผมไปกุมไว้มั่นเหมาะ “ฟังแม่ดีๆ นะ ถ้าไม่ไปทั้งแม่และป่า ตาย แต่ถ้าป่าไป อย่างน้อยป่าก็รอด ในเมื่อป่าอยู่ในความดูแลของคุณเดชเขา แม่ก็หมดประโยชน์จากพวกนั้น”
ทำไมเธอถึงได้มั่นใจจังว่าเดชาธรจะคุ้มกะลาหัวผมได้
ผมกอดแม่แน่นสุดเท่าที่จะแน่นได้พร้อมกับคำพูดของเธอที่ยังก้งออยู่ในหู “จำไว้ อย่ากลับมาที่นี่อีก”
ผมไม่อยากจากเธอไปไหนเอาจริงๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมอยู่กับเธอผมก็มั่นใจว่าจะปกป้องเธอได้บ้าง แต่ทำไมถึงไม่มีใครเข้าใจผมเลย โดยเฉพาะเดชาธร แม่งไอ้ผู้ชายเอาแต่ได้
“ไปเถอะ”
เดชาธรยืนเปิดประตูรถฝั่งคนนั่งรอผม ท่าทีเขาดูร้อนรนแปลกๆ
“คุณกลิ่นไม่ต้องเป็นห่วงอะไรนะครับ พวกนั้นจะไม่กลับมาทีนี่อีก”
ผมเข้ามานั่งในรถแล้วได้ยินเสียงเขาพูดกับแม่ น้ำเสียงฟังดูน่าเชื่อถือชวนให้อุ่นใจระดับหนึ่ง
“พรานหิมพานต์มีกฎว่าห้ามฆ่ามนุษย์นะ เผื่อคุณไม่รู้” เขาพูดขึ้นขณะโถมตัวโตๆ ของเขาเข้ามานั่งในรถ
“ผมก็ห่วงแม่อยู่ดี”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ลืมไปแล้วเหรอว่าผมคือใคร คนรอบตัวผมคือใคร” คำพูดของเขาทำให้ภาพใบหน้าบุคคลต่างๆ ในคฤหาสน์ผีสิงนั้นลอยมา “ผมจะให้สิงหชาติมาเฝ้าดูแม่คุณอยู่ที่นี่ตลอด วางใจได้”
สิงหชาติคือใคร ไว้ใจได้แค่ไหน พลังเยอะไหม “เป็นตัวอะไร”
เดชาธรแค้นหัวเราะในลำคอ ก็ผมไม่รู้จริงๆ อะ มันน่าขำตรงไหน
“ไกรสรสีหะจากติรัจฉานภูมิ”
อะไรภูมิๆ บอกแล้วไงว่าผมโง่ แต่จะเป็นตัวอะไรก็แล้วแต่ ฟังจากชื่อคงไม่ธรรมดา เอาเป็นว่าผมวางใจไปเปราะหนึ่ง อย่างน้อยแม่ก็มีคนที่ไม่ใช่คนคอยดูแลอยู่
เดชาธรเร่งรถผ่านเข้าไปในประตูรั้วขนาดมหึมา ตลอดทางเขาไม่เจาะแจะกับผมเลยซึ่งมันก็ดีแต่ผมกลับรู้สึกเกร็งๆ ยังไงไม่รู้ ดูท่าทางเหมือนเขาจะมีเรื่องอะไรในใจ
ผมเดินตามเขาเข้าไปในบ้าน ซึ่งก็มีพ่อบ้านคนนั้นยืนรออยู่แล้ว เขาค้อมหัวในเดชาธรเล็กน้อยก่อนจะหันมายิ้มให้ผม ดูออกว่าเป็นยิ้มตามมารยาท ผมก็ยิ้มตอบไปตามมารยาทเหมือนกัน
“กำชับเวรยามให้ระวังตัวมากขึ้น พวกพรานดูท่าจะหนักข้อขึ้นทุกวัน บอกให้ชาตนรการไปที่บ้านจิรัญด้วยและไม่ต้องปรากฏตัวให้ใครเห็น” เวลาเขาสั่งเขาดูมีอำนาจน่าเกรงขามมากเลยนะเดชาธรอะ ผมยังแอบหวั่นๆ เลย นึกถึงถ้ามีลูกค้าแบบนี้ที่ร้านกาแฟทีไร พนักงานต๊อกต๋อยเป็นต้องหัวหดเข้ากระดองให้ผู้จัดการร้านออกไปรับหน้าแทนทุกที
“ครับคุณเดช” นายท่าทีสุภาพคนนั้นค้อมหัวรับทราบ ก่อนจะรีบเดินออกไป
“อ่อเดี๋ยว ต่อไปนี่พนรัญชน์จะนอนที่ห้องผม”
ชะงัก
คนที่ชะงักน่ะผมเอง มันต้องขนาดนั้นเหรอ คฤหาสน์ก็ออกจะหลังใหญ่หลังโต ความปลอดภัยก็ดูแน่นหนาดี ทำไมต้องไปนอนห้องเดียวกันด้วย
“ผมนอนห้องเดิมก็ได้น-” เขาหันขวับกลับมาหาผมแค่เสี้ยวหน้า เหมือนเห็นรังสีบางอย่างกระจายอยู่รอบตัวเขา “นะครับ” ผมผ่อนเสียงเบาทำทีเฉไฉกลบเกลื่อน
“ไม่ได้”
เออ ไม่ได้ก็ไม่ได้สิ ทำไมต้องทำเสียงดุ ผมรู้ว่าผมอยู่ในสถานะที่เลือกอะไรด้วยตัวเองไม่ได้อยู่แล้ว แค่อยากแสดงจุดยืนว่า ฉันก็คนเหมือนกันนะ ฉันโตแล้วนะ ฉันออกความเห็นได้ด้วยนะ
“ถ้าผมดูแลคุณได้ไม่ดีจะสู้หน้าแม่คุณได้ยังไง”
ผมนั่งจับเจ่าอยู่ที่ปลายเตียง ส่วนเจ้าของห้องยืนแก้เสื้อรับลมอยู่นอกระเบียง ผมของเขาที่เคยมัดแมนบันไว้ตลอดบัดนี้ปล่อยทิ้งให้สยายอยู่ท่ามกลางลมโกรกข้างนอก เขาออกไปอยู่ตรงนั้นได้สักพักแล้ว เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมเองเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้สบายใจนัก ดูอึดอัดพิกล
อีกไม่นานฟ้าก็คงถึงรุ่งสางแล้ว คืนทั้งคืนวิ่งวุ่นไปทั่ว นี่ถ้าผมไม่ดื้อดึงจะกลับบ้านก็คงไม่รู้ว่าแม่ถูกพวกนั้นบุกไปข่มขู่
ทีแรกกะจะให้เดชาธรหลับไปก่อนแล้วผมค่อยนอน ผมไม่ไว้ใจเขาเลยสักนิด ตัวก็โตกว่าผมเป็นไหนๆ คิดจะทำมิดีมิร้ายขึ้นมาผมจะเอาแรงไหนมาสู้ แถมยังแสดงจุดยืนออกมาโต้งๆ ขนาดนั้นว่าคิดยังไงกับผม ชาติที่แล้วก็จะจับผมทำเมียอีก ผมยังไม่อยากเสียซิงให้ใครนะ แต่ตอนนี้ตาลุงนั่นยังยืนนิ่งอยู่ที่ระเบียงนั้น
ผมนั่งอยู่จนสัปหงกไม่รู้ตัว ความง่วงไม่เข้าใครออกใคร เกินกว่าจะต้านไหวแล้วผมเลยล้มตัวลงนอนให้มันรู้แล้วรู้รอด ถ้าตาลุงนั่นจะเปิดซิงผม ผมก็ขอแช่งให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศในเร็ววัน
ผมได้กลิ่นสาบๆ จากอะไรบางอย่าง ก่อนจะรู้สึกเหมือนมีของเหลวอุ่นๆ ข้นหยดลงบนใบหน้า ฉิบหาย
ผมรีบลืมตาทันที แต่สิ่งที่เห็นมันชวนช็อกกว่าสิ่งที่คาดไว้เป็นไหนๆ
คุณเคยดูหนังมนุษย์หมาป่าไหม ใช่ ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าผม หายใจรดผมอยู่เนี่ย เดชาธรเป็นมนุษย์หมาป่าหรอกหรือ
ผมไม่กล้าแม้แต่จะกระดิกหูสู้มัน เคยดูหนังเกี่ยวกับพวกนี้ถ้ามันแปลงร่างขึ้นมาจะควบคุมตัวเองไม่ได้จำใครไม่ได้ใช่ไหม งั้นผมก็คงเป็นมื้อเช้าให้เดชาธรแล้วล่ะ
เจ้าตัวขนขนาดมหึมาที่จ้องผมตาไม่กระพริบเลียลงมาที่หน้าผม ผมหลับตาปี๋ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ ลิ้นสากๆ กับ อี๋ ปากเหม็น
ผมเสร็จมันแน่ ลิ้นมันก็เกือบจะเท่าหน้าผมแล้ว
“นิล!” เสียงคุ้นหูดังมาจากประตู ไอ้ตัวที่ยืนคร่อมผมอยู่กระโจนออกไป ผมรีบดันตัวลุกขึ้นมองออกไปตรงที่มาของเสียง
อ้าว หมาป่าตัวนั้นไม่ใช่เดชาธรหรอกเหรอ
ผมมองดูเจ้าหมาป่ายักษ์กระโจนไปมาเมื่อเห็นเดชาธรเหมือนลูกหมาตัวเล็กๆ ที่ตื่นเต้นเมื่อเห็นเจ้าของ
“มันทำอะไรคุณรึเปล่า” เดชาธรเดินหน้าตั้งเข้ามาหาผมทันที
“ก็เกือบเป็นอาหารเช้า” ผมปัดน้ำลายออกจากหน้า
“นิลอยู่กับคุณเดชหรือเปล่าครับ” มีเสียงของใครอีกคนดังลอดผ่านประตูห้องเข้ามา ไม่นานพ่อบ้านคนนั้นก็วิ่งหน้าตื่นมา พอเห็นหมาป่าตัวนั้นก็หยุดหอบแฮ่กๆ
นึกว่าพวกเหนือมนุษย์จะหอบไม่เป็น ขำ
“คงเดินหาสิงหชาติน่ะ” เดชาธรบอก
เลี้ยงตัวเขมือบคนไว้ในบ้านแล้วปล่อยให้เดินเล่นเหมือนอยู่กลางป่าไซบีเรียเนี่ยนะ ถ้าผมถูกมันงาบหัวขึ้นมาใครจะรับผิดชอบ
“นิล มานี่มา” นายพ่อบ้านกวักมือเรียกเจ้าตัวที่ยืนโบกหางไปมาเบาๆ พอเขาทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้มันก็กระโจนเข้ามาทางผมทันที กระโดดขึ้นมานอนหมอบอยู่ข้างๆ ตัวผม หางก็ยังส่ายไม่หยุด มองไปก็เหมือนเหมือนไซบีเรียนฮัสกีดื้อๆ ตัวหนึ่งที่กำลังท้าทายเจ้าของเลย แค่ตัวเบิ้มกว่าแค่นั้น
เขามองเจ้าหมาป่าที่กำลังเอาคางมาเกยบนตัวผม
“ดูท่าทางมันชอบคุณนะ ปกติมันไม่เอาใครเลยนอกจากผมกับสิงหชาติ”
เหรอ ถ้าช้าก็นี้ก็ไม่แน่น่ะสิไม่ว่า “แล้ว...” ผมมองไปที่พ่อบ้านคนนั้น
“ใช้มนต์”
“มันเป็นแค่หมาป่าปกติใช่ไหม ไม่ใช่พวกที่มาจากแบบ..”
“หมาป่าธรรมดานี่แหละ”
ไม่ธรรมดาก็ตรงเอามันมาเลี้ยงไว้ในบ้านนี่แหละ “แล้วมันไม่เป็นอันตรายกับคนอื่นในบ้านเหรอ”
เขาส่ายหัวแล้วก็ยิ้มแปลกๆ ก่อนจะตีก้นหมาป่าตีนั้นปี้บหนึ่ง มันจึงกระโดดลงจากเตียงไปหาพ่อบ้านหน้าหวานคนนั้น
ผมหาวแล้วล้มตัวลงนอนใหม่ ยังนอนไม่เต็มอิ่มเลย ว่าไปที่นอนห้องเดชาธรนี่สบายชะมัด เหมือนนอนอยู่บนปุยนุ่นเลย
“เดี๋ยวผมลงไปรอข้างล่าง อาบน้ำอาบท่าซะ แล้วตามลงไปกินมื้อเช้า”
อ้าว ว่าจะนอนต่อซะหน่อย “ไม่กินได้ไหม ยังไม่หิว”
“อยากอยู่กับนิลสองต่อสองอีกก็ตามใจ”
ใครจะบ้าอยู่ต่อ สัตว์หน้าขนไว้ใจได้ที่ไหน ที่มันมาทำท่าออดอ้อนออเซาะผมอยู่นี้อาจจะเป็นเพราะกำลังวัดขนาดเหยื่ออยู่ก็ได้
ตอนใหม่ร้อนๆ มาเสิร์ฟแล้วจ้า หลังจากที่นักเขียนหยุดตั้งสตินานไปหน่อย
หลังจากเคลียร์กับตัวเองได้ก็ตัดสินใจกลับมาใหม่ด้วยไฟที่ลุกโชนโชติช่วงชัชวาล(เว่อร์)
#สาปกินรา #เดชาธรพนรัญชน์ #เดชป่า
... ก่อนเหมันต์ ...