“ไม่คิดว่าจะร้องไห้” ฐานทัพพูดออกมา เขาวางมือตัวเองลงบนมือของบุ๋นแล้วบีบแน่น “ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้ง”
“…” บุ๋นไม่ได้ตอบอะไร เขานั่งฟังหมอฐานทัพเงียบๆเพราะเป็นครั้งแรกที่หมอเป็นฝ่ายพูดออกมา
“ความจริงจะบอกเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาส”
“เรื่องที่พี่กับผม…”
“อืม” เขาพยักหน้า
“…”
“ครั้งแรกที่เจอกันไม่ใช่ที่งานแรกพบ…แต่เป็นหน้าเซเว่น”
“…”
“ที่ตอนนั้นวิ่งหาพี่จนเหงื่อท่วมตัว”
“พี่จำได้…”
“ครับ” ฐานทัพระบายยิ้มบางๆ “เกือบลืม”
“แสดงว่าพี่รู้มาตลอดว่าผมคิดยังไงกับพี่งั้นหรอ”
“เปล่า ไม่รู้” ถึงเขาจะเจอบุ๋นตั้งแต่ตอนนั้นแต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าคนที่บุ๋นพูดถึงจะเป็นตัวเขา
“…”
“ขอโทษที่ทำให้ร้องไห้” ฐานทัพหันไปมองหน้าของบุ๋นที่ดวงตายังแดงก่ำแม้ว่าจะดีขึ้นจากตอนแรกมากแต่เขาก็อดรู้สึกผิดไม่ได้อยู่ดี “แค่อยากฟังสิ่งที่คิด”
“…”
“ถ้าไม่ทำก็คงไม่รู้ว่าคิดมากขนาดนี้”
“…”
“เคยบอกเองว่ามีอะไรให้บอก…แล้วทำไมไม่เคยบอกว่ารู้สึกยังไง” ไม่ใช่แค่บุ๋นที่ห่วงเขา
“…”
“ทำไมต้องเก็บไว้คนเดียว”
ฐานทัพเองก็พอดูออกว่าลึกๆแล้วบุ๋นมีอะไรที่ยังไม่บอกเขาและเขาก็รอมาตลอดว่าเมื่อไหร่บุ๋นจะพูด เขาเองก็ห่วงบุ๋นไม่น้อยไปกว่าที่บุ๋นห่วงเขา
แค่เขาพูดไม่เก่ง แสดงออกไม่เป็น
“ผมไม่อยากให้พี่เครียด มันเป็นเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“อืม” บุ๋นมักจะคิดถึงเขาก่อนตัวเองเสมอ “ถ้าเครียดก็เครียดไปด้วยกัน”
“…”
“ไม่ปล่อยให้เครียดคนเดียวหรอก”
บุ๋นขยับเข้าไปใกล้หมอฐานทัพมากกว่าเดิม แขนข้างที่ยังว่างอยู่ดึงหมอเข้ามากอดไว้แน่น ความอัดอั้นที่เขากักเก็บมาถูกปล่อยออกมาหมด ไร้ความกังวลใดๆเมื่อมีคนที่เขารักอยู่ในอ้อมแขนคู่นี้
รัก
“ไม่ร้องไห้” ฐานทัพกอดตอบแน่น “ไม่อยากให้ร้อง”
“…”
“ขอโทษ”
“ผมไม่โกรธพี่หรอก” บุ๋นพูดเสียงอู้อี้ “ผมอายมากกว่าที่ต้องมาเจออะไรแบบนี้พร้อมกัน”
“หืม?” ฐานทัพถาม “อายอะไร”
“ผมพูดทุกอย่างไปหมดเลย พี่รู้ทุกอย่างหมดแล้ว มันเป็นเรื่องน่าอาย”
“ไม่หรอก” ฐานทัพหัวเราะ ถึงแม้บางเรื่องที่เขาได้ฟังจะทำให้เขาตกใจไปบ้างแต่มันก็ทำให้เขารับรู้ได้ถึงความพยายามของบุ๋น
“…”
“น่ารักดี”
“พี่จะหัวเราะผมทำไม ผมอาย” บุ๋นมุดหน้าจนไม่รู้จะมุดยังไง เขารู้สึกถึงความร้อนที่ใบหน้า ไม่เคยอายจนรู้สึกทรมานแบบนี้มาก่อน
หมดกันบุ๋น…หมดทุกอย่าง
“คินแนะนำมาว่าให้มาบอกแบบนี้”
“พี่คินอีกแล้วหรอครับ”
“อืม” ฐานทัพพยักหน้าช้าๆ
“แล้ว…”
“…”
“เรื่องจูบ พี่คินแนะนำมารึเปล่าครับ”
“เปล่า ไม่มีใครแนะนำ…”
“…”
“ทำเอง”
คำตอบที่ได้ยินยิ่งทำให้อีกคนเขินจนไม่กล้าสู้หน้า บุ๋นก้มหน้าไม่ยอมเงยจนฐานทัพยกมือขึ้นมายีหัวบุ๋นเบาๆอย่างนึกเอ็นดู เขาไม่เคยเห็นบุ๋นในมุมนี้
“ไม่เท่เลย พูดไปซะหมดเปลือก พี่ก็รู้หมดว่าผมเตรียมการมานานแค่ไหน”
“ดีใจที่ได้รู้”
“ทำไมครับ”
“อยากรู้”
ฐานทัพนึกขอบคุณเพื่อนสนิทตัวเองในใจ ถ้าคินไม่แนะนำเขาก็คงไม่รู้ความรู้สึกของบุ๋นทั้งหมด ครั้งนี้คงต้องยกความดีความชอบให้คิน
ย้อนกลับไปเมื่อตอนเย็น…
ร่างของนักศึกษาแพทย์เดินออกมาจากห้องเรียนที่ใช้ในการสอบย่อยอย่างคนไร้วิญญาณ แม้จะเป็นการสอบย่อยแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะง่ายกว่าการสอบหลักซึ่งนั่นทำให้พวกเขาหมดพลังในการทำข้อสอบไปมากพอสมควร
“ยากโคตรๆ” คินบ่นออกมาพร้อมกับหันไปทำตาขวางใส่เพื่อนที่เดินตามออกมาเงียบๆ “มึงคงทำได้สินะไอ้หมอ”
“อืม” ฐานทัพรับคำเหมือนทุกๆครั้งที่เขาทำ เวลาทำได้ก็บอกทำได้ไม่เห็นต้องโกหกว่าทำไม่ได้ “บางข้อก็ไม่ค่อยมั่นใจ”
“กี่ข้อ” คินถาม
“ข้อเดียว”
“โว้ะ!!!!” คำตอบของฐานทัพเรียกเสียงบ่นจากเพื่อนได้เสมอ คินหันไปหาปกป้องที่เดินตามออกมาเงียบๆ “แล้วมึงเป็นไง”
“กูหิวข้าว” ปกป้องตอบ “ตกลงวันนี้กินร้านไหน”
“ร้านประจำก็ได้ ตอนนี้สมองกูขาวโพลนแทบจะไม่สามารถคิดวางแผนอะไรได้อีก”
“เออตามนั้น”
ทั้งสามคนเดินทางมายังร้านประจำหน้ามอก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะด้านในสุดของร้าน วันนี้คนค่อนข้างบางตาแต่ก็ยังพอมีตามร้านบ้างประปราย ทั้งสามสั่งเมนูง่ายๆก่อนที่คินจะฟุบหน้าลงกับโต๊ะอย่างหมดแรง
“ไหวปะมึง” ปกป้องที่นั่งอยู่ข้างๆถามพร้อมกับยกขวดน้ำเย็นวางลงบนแขนเพื่อนสนิท
“อย่ามายุ่งกับกู…” น้ำเสียงอิดโรยตอบออกมาคล้ายคนใกล้จะสิ้นลมหายใจ
“อย่าเว่อร์น่า” ปกป้องหัวเราะออกมาก่อนจะหันไปมองฐานทัพที่มองไปรอบๆร้านไม่ได้หยุดสนใจสิ่งไหนเป็นพิเศษ “แล้วบุ๋นล่ะ?”
“วันนี้ไม่ได้เจอกัน บุ๋นทำงาน”
“ปกติน้องมันจะตามมาตลอดไม่ใช่หรอวะ”
“อืม ครั้งนี้คงยุ่งจริงๆ”
“รู้ใจกันจังเลยนะ” คนที่ฟุบลงไปรีบเงยหน้าขึ้นมาพาลใส่เพื่อน “พึ่งคบกันได้ไม่นานเหมือนจะรู้ใจกันหมดเลยนะ หึ!!!”
“อะไรของมึง” ปกป้องหันไปถามอย่างงงๆ
“เปล๊า!!”
“มีเรื่องนึงที่บุ๋นยังไม่รู้” ฐานทัพที่ไม่ได้รับรู้ว่าเพื่อนกำลังประชดอยู่ตอบออกไปด้วยท่าทางใสซื่อ
“เรื่องอะไรวะ…” สภาพเหมือนคนใกล้ตายหายไปในพริบตาเมื่อได้รับข่าวสารใหม่ที่ตัวเองยังไม่เคยรู้ คินไม่เคยพลาดเรื่องของคนอื่น
“ไม่ค่อยอยากรู้เลยนะมึง” ปกป้องส่ายหน้าไปมาอย่างเอือมระอา
“เรื่องผ้าปิดปาก” ฐานทัพบอกออกไปอย่างไม่มีปิดบัง
“ฮะ? ผ้าปิดปาก อะไรวะ” คินงงหนักกว่าเดิมเมื่อเรื่องที่ได้ยินไม่สามารถให้เขาเดาเรื่องต่อได้เลย
“คือ…”
ฐานทัพค่อยๆเรียงลำดับเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอบุ๋นให้เพื่อนทั้งสองคนฟัง ทุกรายละเอียด ทุกการกระทำของบุ๋นเท่าที่ตัวเขาเองพอจะจำได้
สิ่งที่เขาสงสัยมาตลอดว่าทำไม…บุ๋นไม่รู้ว่าเป็นเขา
“อ่ออออออออออ” คินร้องออกมาเสียงดังก่อนจะตบมือแปะใหญ่เหมือนคิดอะไรออก “กูว่ากูคิดอะไรออก”
“อะไร” ฐานทัพถามกลับ
เห็นสายตาคินแล้วแอบไม่มั่นใจแปลกๆ
“มึงก็เรียกน้องมาคุยเลยแล้วแกล้งใส่ผ้าปิดปาก ลองดูว่าจะจำได้ไหม” คินยิ้มอย่างมั่นใจ “ถ้าจำไม่ได้มึงก็ชวนคุยตามน้ำแล้วลองถามไปเรื่อยๆ ถ้าเคยเจอกันมาก่อนกูว่ามันต้องเล่าอะไรบ้างแหละ”
“เล่าอะไร” เขาถามกลับ
“กูจะรู้ไหมเนี่ย” คินตอบ “หรือไม่มึงก็แกล้งปั่นว่าบางทีที่นัดมาอาจจะนัดมาบอกเลิกแล้วลองดูปฏิกิริยา”
“แรงไปปะวะ” ปกป้องที่นั่งอยู่ข้างๆแทรกขึ้น
“นั่นดิ”
“ก็อย่าทำให้มันแรง ไม่รู้เว้ยมันอยู่ที่มึงว่าอยากจะรู้รึเปล่าว่าน้องจริงจังกับมึงมากแค่ไหน”
“…”
“กูว่าคนอย่างบุ๋นต่อให้มึงทำอะไรน้องมันก็ไม่โกรธ”
“…”
“ถ้าเรื่องนี้คือเรื่องสุดท้ายที่บุ๋นยังไม่รู้มึงก็ควรจะรีบบอก”
“อืม รู้”
“แต่ถ้าบอกแบบเซอร์ไพรส์มันก็น่าตื่นเต้นดีนะ”
“แล้วถ้าบอกเสร็จต้องทำไงต่อ”
“นี่ตกลงใครเป็นแฟนบุ๋นวะ คิดเองสิโว้ยยยยยยยย!!!!” คินโวยวายเป็นเวลาเดียวกันกับที่อาหารมาเสริฟพอดีเขาเลยหยุดการสนทนาไว้เพียงเท่านั้น
ทำไงต่อ…
แล้วต้องทำไงต่อ…
คนเป็นแฟนกันเขาต้องทำอะไรต่อ
คิดสิ ฐานทัพ
“คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีกนะครับ” บุ๋นค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตาคนตรงหน้าทำให้ฐานทัพที่คิดถึงเรื่องเมื่อตอนเย็นกลับมาสู่ปัจจุบัน
“อืม ไม่ทำแล้ว”
“ผมเสียใจ”
“ขอโทษ”
“เปลี่ยนจากขอโทษเป็น…แบบเมื่อกี้ได้ไหม?” ความเจ้าเล่ห์เข้าสิงเมื่อเห็นว่าหมอมีท่าทีรู้สึกผิด “ผมคงจะหายเสียใจ”
“บุ๋น” ฐานทัพเรียกชื่อบุ๋นสั้นๆ
“ครับ?”
“อย่าเนียน”
“อ่าว…”
ทำไมครั้งนี้หมอไม่พูดง่ายเหมือนครั้งนั้น…ทีตอนนั้นเขาบอกให้กอดหมอยังยอมกอดง่ายๆเลย
“เรื่องนั้นทำปีละครั้งก็พอ จะได้สำคัญ”
“พี่หมายถึง?” บุ๋นกลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่
“ที่ทำเมื่อกี้” ฐานทัพยิ้มออกมา
“เห้ย ได้ไงพี่ มันไม่นานไปหน่อยหรอ” บุ๋นท้วงอย่างไม่ยอม ใครเป็นคนบอกหมอว่าจูบกันปีละครั้งแล้วมันจะทำให้สำคัญ
จูบทุกวันก็สำคัญโว้ยยยยยยยย!!!!
ปีละครั้ง…
ทนไม่ได้หรอกนะ บุ๋นทนไม่ได้!!!!!
“กลับเถอะ ดึกแล้ว” ฐานทัพเตรียมจะลุกขึ้นแต่โดนมือของอีกคนดึงไว้ให้กลับลงมานั่งเหมือนเดิม
“ยังไม่อยากกลับ ผมอยากอยู่ตรงนี้ฟังความรู้สึกจากพี่บ้าง”
“เรื่องอะไร?”
“วันแรกที่เราเจอกันหน้าเซเว่นพี่มองผมเป็นคนยังไง แล้วทำไมพี่ไม่บอกผมตั้งแต่แรกว่าพี่กับคนที่ใส่ผ้าปิดปากคือคนเดียวกัน”
“ต้องถามกลับว่าทำไมจำไม่ได้”
“ผมตอบไม่ได้” บุ๋นเอ่ยอย่างรู้สึกผิด เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงจำหมอฐานทัพไม่ได้ทั้งๆที่หมอแค่ใส่ผ้าปิดปาก
อาจเพราะเขาเจอหมอแบบที่ใส่ผ้าก่อนที่จะเจอแบบหน้าเต็มเลยทำให้เขาคุ้นชินกับหน้าปกติมากกว่าหน้าตอนหมอใส่ผ้าปิดปาก
แต่ยังไงก็อดโกรธตัวเองไม่ได้…หมอคงเสียใจที่เขาจำไม่ได้
“ไม่เป็นไร” เมื่อเห็นสีหน้าที่เริ่มกลับมาเครียดฐานทัพก็พูดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้น
วันแรกที่เจอบุ๋นงั้นหรอ…
“วันแรกที่เจอรู้สึกว่า…คนอะไรพูดอยู่คนเดียว ขี้บ่น” เขานึกถึงวันแรกก็อดหัวเราะไม่ได้ บุ๋นเอาแต่พูดให้เขาฟังโดยไม่รอฟังคำตอบจากเขา
“หลังจากนั้นที่เจอก็รู้สึกว่าเพี้ยน ประหลาด ติ๊งต๊อง”
“โห…แต่ละอย่าง น่าประทับใจมากเลยครับ” บุ๋นหัวเราะแห้งๆ
“เรื่องไลน์ที่ไม่ได้ตอบ” ฐานทัพพึ่งนึกขึ้นได้
เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองที่ไม่รู้ว่าไปปิดเครื่องตอนไหนออกมาก่อนจะกดเปิดเครื่อง หน้าจอสว่างเป็นรูปแบตเตอรี่ที่ถูกใช้จนหมดเพราะเมื่อคืนเขาลืมชาจแบต นั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้บุ๋นโทรหาเขาไม่ติด
“ขอยืมมือถือหน่อย” ฐานทัพแบมือไปตรงหน้าคนที่กำลังรอฟังอยู่
บุ๋นกดปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะยื่นให้หมอฐานทัพ ภาพพื้นหลังโทรศัพท์มือถือที่เป็นรูปแปลงแครอททำให้เขาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว ฐานทัพกดเข้าไปยังแอปพลิเคชั่นไลน์ที่อยู่หน้าแรกสุดก่อนจะมองหาแชทของเขากับบุ๋นแต่เขาไม่ต้องหาให้เสียเวลาในเมื่อชื่อของเขาถูกปักหมุดให้อยู่แชทแรกสุดของการสนทนา
แชทแรกสุด…แชทที่เขาไม่ได้ตอบมานาน
ข้อความที่บุ๋นเป็นคนส่งอยู่ฝ่ายเดียวถูกขึ้นว่าอ่านแล้ว ฐานทัพเลื่อนดูข้อความก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ เขามีสาเหตุที่เขาไม่ตอบ
“ใครสอนให้ส่งรูปพวกนี้” ฐานทัพเลื่อนขึ้นไปเกือบบนสุดของบทสนทนา
รูปภาพสวัสดีวันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ที่บุ๋นขยันส่งให้เขาทุกวันปรากฏขึ้นบนหน้าจอพร้อมกับข้อความคล้ายๆกันในทุกๆวัน ฐานทัพเลื่อนนิ้วจนมาถึงรูปสุดท้ายก่อนจะหันไปมองหน้าบุ๋น
“ใครสอน”
“ไม่มีครับ” บุ๋นตอบอย่างใสซื่อ “ก็ผมเห็นไลน์ครอบครัวชอบส่งกันก็เลยคิดว่าน่ารักดี”
“กลัว” ฐานทัพพูดออกมาคำเดียว “ประหลาดจนไม่กล้าตอบกลับ”
“อ่าว แล้วทำไมพี่ไม่บอกผม”
“กลัวเสียน้ำใจ”
“พี่ก็เลยอ่านไม่ตอบเลยหรอครับ” บุ๋นถามเสียงเบา ความจริงแล้วเขาก็แอบเสียใจที่หมอฐานทัพตอบเขากลับมานับครั้งได้
ถึงจะผ่านช่วงทฤษฏีเจ็ดไปแล้วเขาก็ยังคอยส่งไปหาหมอบ้างเป็นบางครั้ง แต่หมอไม่เคยตอบเขาอีกเลย
“ไม่รู้จะตอบว่าอะไร เจอกันทุกวัน”
“…”
“คุยต่อหน้าดีกว่า”
“แล้วถ้าพี่รู้ว่าไลน์นี้คือผมทำไมไม่ตอบกลับมา”
“กลัวจะอาย ก็โกโก้เคยมาขอไลน์แล้วบอกว่ามีคนมาขอไลน์ให้เพื่อน แต่ความจริงขอให้ตัวเอง” ฐานทัพปรายตามองคนที่กำลังหน้าแดงเพราะความจริงที่ค่อยๆปรากฏออกมา
“…”
“เลยส่งข้อความแทน จะได้ไม่ต้องอาย”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องกลัวผมจะอายแล้วมั้ง” บุ๋นหันหน้าไปอีกทาง รู้สึกเหมือนวันนี้ความจริงหลายๆอย่างค่อยๆเปิดเผยออกมา
เขาก็งงมาตั้งนานว่าทำไมหมอถึงเลือกที่จะคุยทางข้อความแทนไลน์ ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างหมดแล้ว ที่เลือกส่งข้อความเพราะคิดว่าถ้าส่งทางไลน์หมายถึงหมอรู้ทุกอย่างหมดแล้วและจะทำให้ตัวเขาอาย
ใช่…เขาอายจริงๆ
“ตอนแรกก็จำไม่ได้หรอกว่าใครถึงจะเคยแนะนำชื่อ แต่ตอนนั้นสงสัยก็เลยลองเปิดดูแล้วก็เห็นตั้งรูปเป็นรูปตัวเอง” ฐานทัพอธิบายยาวเพื่อให้บุ๋นเข้าใจได้ชัดเจน
ชัดเจน…ชัดเจนจริงๆ
นั่นสินะ เขาเปลี่ยนเป็นรูปตัวเองเพราะคิดว่าหมอคงไม่ตอบกลับมาอีกแล้ว
ไอ้บุ๋นเอ้ยยยยยยยยยย หมดกัน!!!!
“งั้นพี่ก็รู้มาสักพักแล้วว่าผมคือคนที่ส่งรูปสวัสดีให้พี่ทุกๆวัน…”
“อืม”
“แสดงว่าผมไม่เนียนเลย…”
“อืม”
“ผม…ผม…ผมอาย” บุ๋นติดอ่าง เขาเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะขยับออกห่างหมอฐานทัพออกไปสามสี่ก้าว ความจริงถ้าวิ่งออกไปได้คงวิ่งออกไปไกลที่สุด
“ไม่ต้องอาย ดีใจที่ได้ฟังทั้งหมด”
“…”
“จะว่าไปก็…แอบโรคจิตเหมือนกันนะ”