วันนี้มาแล้วค่ะ ต้องขอโทษที่หายไปในวันเสาร์อาทิตย์ ขอบคุณมาก ๆ นะคะที่ให้การติดตามอย่างเหนียวแน่นมาตลอด ขอบคุณมาก ๆ ค่า
19
"หมู เห็นว่าเมื่อวานไปเจอพ่อกับแม่คุณนิธินมาเหรอ เป็นยังไงบ้าง"
พี่กุ้งถามอธิปพงศ์ขณะออกมากินข้าวกลางวันด้วยกัน
"ก็ ไม่มีอะไรหรอกครับ ถึงผมกับพวกเค้าจะไม่ได้คุยกัน เค้าก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจผม แต่พี่ชายนิธินเค้าใจดีกับผมนะ"
"แล้วนิธินเค้าว่าไงมั่ง"
"เค้าก็แอบเกรงใจผมนิดหน่อยหน่ะครับที่พ่อแม่เค้าไม่พูดอะไรกับผมเลย"
"อืม ของอย่างนี้มันทำใจยากนะ พี่ว่ามันต้องใช้เวลาสักพักหล่ะ แต่เค้ามาหาลูกถึงเมืองไทยอย่างนี้ พี่ว่าก็คงทำใจได้ระดับนึงแล้วหล่ะ"
"อืม ครับ"
พี่กุ้งนึกได้จึงบอกว่า
"เอางี้ พี่ว่าเย็นนี้หมูเลิกงานไวซะหน่อยดีกว่า จะได้กลับไปช่วยนิธินดูแลพ่อกับแม่เค้า"
อธิปพงศ์ได้ยินอย่างนั้นก็เกรงใจเจ้านาย
"ไม่เป็นไร พี่อนุญาต"
"ขอบคุณครับพี่กุ้ง" อธิปพงศ์ไหว้ขอบคุณเจ้านาย
^"จะดีเหรอครับพี่กุ้ง"
"ไม่เป็นไรหรอกหมู"
พี่กุ้งรับคำยิ้ม ๆ และกินข้าวต่อ พี่กุ้งคิดว่าเขาสามารถช่วยอธิปพงศ์ได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวอธิปพงศ์และพ่อกับแม่ของนิธินแล้ว
ส่วนครอบครัวของนิธินที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่พัทยาก็ดูผ่อนคลายกว่าแต่ก่อนมาก พวกเขาเดินเล่นกันที่ตลาดน้ำสี่ภาคซึ่งเป็นที่สุดท้ายที่ไกด์พามาเพื่อเลือกซื้อของฝากก่อนกลับ
"น่าเสียดายเนอะ ที่น้องลูกไม่ได้มาด้วย" เอกตราผู้เป็นแม่ในชุดส่าหรีบ่นขึ้นมาเบาๆ ดารามดัสผู้เป็นลูกคนโตเลยบอกว่า
"แม่ แม่รู้ตัวรึเปล่าว่าวันนี้แม่บ่นแบบนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้ว"
"ก็ แม่คิดถึงน้องนี่นา" เธอตอบเศร้าๆ
"แล้วทำไมเวลาแม่เจอกับน้องแม่ไม่พูดอย่างนี้ล่ะ"
"ก็..." เธอไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่นารายันผู้เป็นพ่อเลยพูดขึ้นมาว่า
"ลูกไม่ใช่พ่อกับแม่ลูกไม่รู้หรอก ว่าการเอ่ยปากขอโทษลูกมันยากแค่ไหน"
คนเป็นพ่อรู้สึกผิดที่เคยเย็นชาและหมางเมินกับลูกชายคนเล็ก จนถึงวันนี้เขาก็ไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอโทษ ถึงแม้เขาจะดีใจแค่ไหนก็ตามที่ได้เจอหน้าลูกและเห็นว่าลูกมีความสุขดีกับชีวิต
ดารามดัสอยากรู้ว่าพ่อแม่คิดยังไงกับคนรักของน้องชายจึงถามว่า
"เอ้อ..แม่ แม่คิดยังไงกับแฟนนิธินอ่ะ"
"ก็ ไม่รู้สิ เท่าที่ดูก็เข้ากับนิธินได้นะ ว่าแต่ลูกเถอะ คุยกับน้องบ่อยๆ รู้มั๊ยว่าเค้าเจอกันได้ยังไง"
"ก็นิธินไปตัดผมในร้านที่คุณหมูทำงานอยู่ แล้วน้องก็ชอบคุณหมูก่อน เลยตามจีบไปเรื่อยๆ และก็เป็นแฟนกันในที่สุด"
"อย่างนี้นี่เอง" คนเป็นพ่อรับคำ
"แล้วนี่น้องเราเล่าให้ฟังรึเปล่าว่าแฟนเค้าเป็นยังไงบ้าง เค้าทำกับข้าวเป็นมั๊ย เค้าทำงานบ้านเก่งรึเปล่า น้องเราจะอยู่ยังไงล่ะ"
ผู้เป็นแม่ห่วงลูกชายตามประสาคุณแม่ชาวอินเดียทั่วไป จึงเผลอกังวลถึงคุณสมบัติสะใภ้ในฉบับผู้หญิงอินเดีย
"หึหึ แม่ น้องไม่ได้มีแฟนเป็นผู้หญิงนะ จะกังวลไปทำไม"
"นี่แหล่ะที่แม่กังวล แม่กลัวว่าแฟนน้องจะดูแลน้องไม่ดี"
"โธ่ แม่ คิดมากน่า เจ้าตัวยังไม่คิดอะไรอย่างนี้เลย อย่าลืมสิว่านิธินไม่ได้ชอบผู้หญิงนะ"
เขาหันไปถามพ่อว่า
"พ่อล่ะครับคิดว่าไง"
"ก็ไม่รู้สิ" ร่างสูงตอบยิ้มๆ "พ่อยังไม่เคยคุยกับเค้า เลยไม่รู้ว่าเค้าเป็นคนยังไง"
"พ่อไม่ลองคุยกับเค้าดูล่ะครับ"
"ไม่รู้จะคุยอะไรหน่ะ อีกอย่างเค้าดูสำอางค์กว่าผู้ชายปกติด้วย พ่อเลยไม่รู้จะคุยอะไร"
"ก็เรื่องทั่วๆไปนี่ก็ได้ครับ"
"พ่อจะลองดูนะ"
"ผมเชื่อว่าถ้าพ่อเปิดใจคุยกับน้อง น้องต้องเข้าใจครับ"
"ขอบใจนะลูก" นารายันยิ้มให้ลูกชายคนโตที่ให้กำลังใจ เขามองหน้ากับภรรยาที่คิดเหมือนกันว่า มันถึงเวลาที่เขาต้องกล้าสะสางในสิ่งที่คาใจมาแสนนานเสียที
อธิปพงศ์โทรหาคนรักว่าพี่กุ้งอนุญาตให้เขาเลิกงานเร็วขึ้นเพื่อมาดูแลพ่อกับแม่นิธินได้ จึงปรึกษาว่าเย็นนี้จะพาพวกท่านไปไหนดี
"ก็ พ่อแม่ผมไปพัทยามา ผมว่าพาพวกท่านไปหาอะไรกินดีกว่า"
"ร้านแบบไหนล่ะ ร้านอาหารอินเดียเหรอ"
"อืม ก็ดีนะ แต่ผมว่าพาไปร้านแปลกๆ บ้างดีกว่า"
"ร้านแปลกๆ หมายถึงไม่ใช่อาหารอินเดียใช่มั๊ย"
"ใช่"
อธิปพงศ์นึกออกทันทีว่าจะไปที่ใด เลยลองเสนอดู
"ไปร้านน้องเขียวดีมั๊ย มีทั้งของคาวของหวานเลย"
"อืมม น่าสนใจนะครับ" นิธินคิดตาม
"ผมว่าร้านน้องเค้าบรรยากาศสบายๆ ดีออก คุณว่าไง"
"ก็ดีนะครับ ผมก็โอเค เดี๋ยวผมโทรบอกพี่ก่อนว่าคุณกับผมจะพาพ่อแม่ไปกินข้าว"
"ครับ งั้นเดี๋ยวผมโทรจองโต๊ะเลยนะ"
"ครับ ได้เลย"
"เจอกันตอนเย็นนะครับ"
"ครับที่รัก"
อธิปพงศ์วางสายคนรักด้วยรอยยิ้ม และกดโทรศัพท์หาเพื่อนรุ่นน้องทันที
"หวัดดีค่าพี่หมู" เขียวรับสายด้วยน้ำเสียงสดใสร่าเริง
"หวัดดีครับน้องเขียว ยุ่งอยู่รึเปล่า"
"คุยได้ค่า มีอะไรหรือเปล่าคะ"
"ก็ พี่จะโทรมาจองโต๊ะที่ร้านน้องเขียวหน่ะ"
"ได้ค่ะ กี่ที่ดีคะ"
"อืม ห้าที่จ้ะ"
"ค่า แล้วจะมากี่โมงคะ"
"ประมาณหกโมงจ้ะ แต่ยังไม่ชัวร์นะ"
"หกโมง..." เขียวแปลกใจที่อธิปพงศ์มาก่อนเวลาเลิกงานของเขา ด้วยความสนิทกันเธอจึงถามว่า
"เอ่อ แล้ว พี่หมูพาใครมาทานเหรอคะ"
"ครอบครัวนิธินจ้ะ เค้ามาเยี่ยม"
"อ่าว เหรอคะ" หญิงสาวเพิ่งรู้ "แล้วเป็นไงมั่งคะ เค้าโอเคกับพี่รึเปล่า"
"ก็..โอเคจ้ะ"
แต่เขียวรู้สึกว่าอธิปพงศ์กำลังมีอะไรอยู่ในเรื่องนี้ จึงไม่เชื่อเท่าไหร่
"เหรอคะ"
"จ้ะ ทำไมเหรอ"
"ก็ฟังดูเหมือนพี่หมูไม่โอเคเลยหน่ะสิคะ มีอะไรรึเปล่าคะพี่"
เมื่อได้ยินอย่างนั้นอธิปพงศ์เลยลังเลว่าจะเล่าให้เพื่อนรุ่นน้องฟังดีหรือไม่
"มีอะไรไม่สบายใจเล่าให้เขียวฟังได้นะคะ"
แต่พอได้ยินเธอถามอย่างนั้นด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง เขาจึงเปิดปาก
"ก็..พี่ไม่รู้จะเข้าหาพ่อแม่เค้ายังไงหน่ะ"
"คะ...พี่หมูเจอเคยเค้ากี่ครั้งแล้ว"
"เพิ่งเจอเมื่อวานครั้งเดียวเองหน่ะ แต่เค้าก็ไม่ได้พูดอะไรกับพี่นะ ก็ได้แค่ไปกินข้าวกับเค้าก็เท่านั้น"
อธิปพงศ์นึกถึงบรรยากาศเมื่อวานแล้วก็ถอนใจ ขนาดว่าวิษณุกับเอเจที่ชอบสร้างความสนุกสนานยังไม่สามารถฝ่าหมอกควันแห่งความมึนตึงได้เลย
"เค้า..ไม่ชอบพี่เหรอคะ"
"ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกจ้ะ พี่ว่าแค่ยังไม่คุ้นเคยกันเฉยๆ แต่นิธินบอกว่าพ่อแม่เค้าโอเคกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะ เพราะเค้าก็มีปัญหากับนิธินเหมือนกัน แต่ก็ดีขึ้นมาแล้วหล่ะ"
"อืม ค่ะ"
"แต่ พี่ไม่รู้จะทำตัวยังไงกับพ่อแม่เค้าหน่ะ"
เขียวได้ยินอย่างนั้นก็บอกว่า
"ก็เป็นพี่หมูนี่แหล่ะค่ะ เขียวว่าพี่หมูก็เป็นคนดีคนนึงเลยนะ เค้าน่าจะเห็นบ้างหล่ะ ส่วนเรื่องชวนคุย ลองชวนคุยเรื่องอินเดียๆสิคะว่าเป็นยังไง เค้าจะได้เห็นว่าพี่หมูสนใจเกี่ยวกับคุณนิธินจริงๆ เฮ้อ ถ้าใจแข็งกว่านี้เขียวก็ไม่รู้แล้วค่ะ นี่ถามจริงพ่อแม่แฟนพี่มาจากแคชเมียร์หรือเปล่าคะ"
อธิปพงศ์งง "ทำไมอ่ะ เกี่ยวอะไรกัน"
"ก็เห็นว่าใจแข็ง เลยเดาว่าน่าจะมาจากเมืองหนาวๆ อย่างแคชเมียร์ หึหึ"
เขียวพูดเองชงเองกับมุขไม่ฮาพาเครียดของเธอ แต่คนฟังอย่างอธิปพงศ์กลับรู้สึกละอายใจที่แทบไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับอินเดียเอาเสียเลย
"น้องเขียวนี่รู้เรื่องเกี่ยวกับอินเดียเยอะเนอะ"
"โธ่ พี่หมูอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ ก็เขียวเรียนจบทางด้านสังคมนี่น่า เขียวไม่ได้ฉลาดหรือเก่งไปกว่าใครหรอกค่ะ นะคะ อย่าคิดมาก"
"อืม จ้ะ"
"เอาเถอะค่ะ เย็นนี้เขียวจะช่วยพี่หมูเทคแคร์ดูแลเป็นอย่างดี ให้รู้ซึ้งถึงเสน่ห์คนไทยเลยคอยดู"
"จ้ะ ขอบใจมากนะ"
"ยินดีค่า เจอกันเย็นนี้นะคะ"
"จ้ะ" อธิปพงศ์วางสายไปด้วยรอยยิ้มเพราะสบายใจที่ได้พูดคุยกับเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ แต่ก็แอบเซ็งตัวเองที่ ถึงแม้จะมีคนข้างกายเป็นชาวอินเดีย แต่ก็ไม่มีความรู้ใดๆ เกี่ยวกับอินเดียอยู่ในหัวเลย
"แล้วใครใช้แกให้มีแฟนเป็นคนอินเดียล่ะ" เสียงในใจบ่นออกมา ทำให้อธิปพงศ์ยิ้มขำให้กับตัวเอง
เอาล่ะ เขาจะพยายามทำเพื่อนิธินโดยเข้าหาแลพยายามทำความเข้าใจกับพ่อแม่ของเจ้าตัวให้ได้
ตกเย็นอธิปพงศ์ก็ไปรอนิธินที่โรงแรมเพื่อรอพ่อแม่และพี่ชายกลับจากพัทยา โดยเขาไม่ลืมถามถึงคนรักในเกี่ยวกับมารยาทแบบอินเดียที่จำเป็นด้วย
"เวลาคุณเจอพ่อกับแม่ผม ก็ต้องไหว้และก้มลงไปสัมผัสเท้าพวกท่านด้วย"
"หะ..." อธิปพงศ์แปลกใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
"มันเป็นการแสดงความเคารพต่อพ่อกับแม่หรือผู้อาวุโสหน่ะ แต่ถ้าพ่อแม่ผมก้มลงมารับคุณไว้ก่อนสัมผัสเท้านั่นแสดงว่าท่านรับคาระวะจากคุณนะ"
"เหรอ" อธิปพงศ์ก็เพิ่งรู้อะไรหลายอย่างว่าไทยกับอินเดียมีขนบธรรมเนียมคล้ายกันที่ให้ความสำคัญต่อการเคารพผู้อาวุโส ชายหนุ่มเข้าใจตามที่นิธินสอนทั้งหมดแล้ว เขาหันไปมองหน้าคนรักที่ยิ้มเหมือนอยากจะบอกอะไร
"มีอะไรเหรอครับ"
นิธินจึงกระซิบข้างหูทันที
"คุณใส่jeansตัวนี้แล้วเซ็กซี่มาก"
เพราะเมื่อนิธินเห็นคนรักสวมสกินนี่เดฟแบบนี้แล้วทำให้อารมณ์แบบนั้นของเขาลุกโชนขึ้นมาทันที เขาแทบจะอดใจไม่ไหวเพราะอธิปพงศ์เป็นผู้ชายที่มีช่วงสะโพกและเรียวขาได้รูปสวยงาม พอได้เห็นหน้าหล่อใสกับตากลมโตที่ฉายแววมัดใจเขา ปากสวยสีชมพูที่เขาอยากจะประกบจูบให้หนำใจ แถมยังมีกลิ่นน้ำหอมที่แสนจะเย้ายวนนั้นอีกเล่า แต่นิธินก็จำต้องเก็บความต้องการทั้งหมดในตอนนี้ไว้ ถึงแม้ตั้งแต่คบกันมาพวกเขาจะเติมเต็มกันและกันเกือบทุกคืนก็ตาม
อธิปพงศ์หันไปมองคนรักที่กำลังส่งสายตาเร่าร้อนมาให้ นิธินค่อยโอบเอวได้รูปนั้นและกระซิบอีกว่า
"ผมจะไม่ไหวแล้วรู้มั๊ย"
"ที่รัก อย่าทำอย่างนี้สิ" อธิปพงศ์ตอบด้วยเสียงแผ่วเบาเพราะตั้งแต่คบกับนิธิน เขาก็รู้กตัวได้เลยว่าตื่นตัวกับเรื่องพวกนี้เร็วกว่าแต่ก่อนมาก ยิ่งมองหน้าหล่อ ๆ นั้นแล้วก็ยิ่งวาบหวาม ไม่ว่าจะเป็นปากสวยที่มีลิ้นร้อน คางสากๆ ที่เวลาบดเบียดกันแล้วทำให้แทบคลั่ง กล้ามอกแน่นๆ กับหน้าท้องแข็งแรงที่เขาแสนจะหลงรัก เมื่อมองไปยังหน้าขาเขาก็เห็นว่าส่วนนั้นของคนรักโป่งนูนขึ้นมาตามรอยพับ คิดแล้วก็ยิ่งร้อนเร่าในจิตใจ
นิธินกระซิบคนรักด้วยเสียงกระเส่า อธิปพงศ์รู้สึกวูบวาบเมื่อลมหายใจร้อนๆ ของนิธินเป่ารดที่ต้นคอ
"ที่รัก เราไปห้องน้ำกันมั๊ย"
แม้ตอนนี้อธิปพงศ์จะต้องการมากชายหนุ่มมาก แต่ก็ลังเลกับข้อเสนอนั้น
"จะดีเหรอ ห้องน้ำที่นี่คนเยอะนะ"
"งั้นเรากลับห้องกันก่อนดีมั๊ย"
"อืม"
แต่ก่อนที่อารมณ์ของทั้งคู่จะเตลิดไปไกลกว่านั้น ดารามดัสก็โทรเข้ามา
"ฮัลโหล" นิธินพยายามปรับอารมณ์และรับสาย
"ว่าไง ตอนนี้แกอยู่ไหนเนี่ย"
"รอพี่ที่ล๊อบบี้เนี่ย"
"เหรอ เออดีตอนนี้จะถึงโรงแรมแล้ว เดี๋ยวคงเจอกัน"
"ครับ"
เมื่อวางสาย เขาหันมามองคนรักเฉาๆ และบอกว่า "ครอบครัวผมจะถึงแล้ว"
"อืม" อธิปพงศ์ตอบรับ
"เดี๋ยวพาครอบครัวคุณไปกินข้าวก่อนเนอะ"
"ครับ" นิธินรับคำ และเสียดายที่ไม่ได้ทำอย่างที่ใจอยาก อธิปพงศ์เองก็เช่นกัน
ไม่กี่นาทีต่อมารถตู้ของกรุ๊ปทัวร์ก็พาครอบครัวของนิธินมาส่ง ดารามดัสในเสื้อเชิ้ตกางเกงยีนส์ลงมาเป็นคนแรก ตามมาด้วยพ่อกับแม่นิธิน ในชุดประจำชาติที่คนอินเดียนิยมสวมใส่ในชีวิตประจำวัน
นิธินยิ้มบางๆ ให้พ่อกับแม่ ก่อนที่จะพาอธิปพงศ์เข้าไปหาพวกท่านใกล้ๆ อธิปพงศ์ยกมือไหว้คนทั้งสองและทำตามมารยาทอินเดียที่นิธินสอน โดยค่อยก้มลงไปสัมผัสเท้าของพวกท่าน พ่อกับแม่นิธินเห็นอย่างนั้นก็ตกใจแต่ก็ยินดีที่แฟนลูกทำอย่างนี้ พวกเขาจึงก้มตัวมาจับมือชายหนุ่มไม่ให้สัมผัสถึงเท้า เป็นการแสดงว่าพวกเขารับการคาระวะและให้ความเอ็นดูผู้ด้อยอาวุโสกว่าแล้ว อธิปพงศ์มองหน้าพ่อกับแม่ของคนรักที่ส่งสายตาเป็นมิตรให้ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพวกท่านทั้งสองดูเปิดรับเขามากกว่าเมื่อวาน เขายิ้มให้และหันไปทักทายพี่ชายนิธินที่ยืนยิ้มให้
โดยดารามดัสเป็นฝ่ายเริ่มทักทายคนรักของน้อง
"Hello"
"Hello, glad to see u again"
ดารามดัสกับนิธินจับมือทักทายตามมารยาทสากล
"Me too, thank you"
อธิปพงศ์กลับมายืนอยู่ข้างๆ คนรักอีกครั้ง ดารามดัสจึงถามน้องถึงมื้อเย็น
"เออ แล้วนี่เรากินมื้อเย็นที่ไหนอ่ะ"
"เดี๋ยวผมพาไป มันไม่ใช่ร้านอินเดียนะ พ่อกับแม่ว่าไงครับ"
คนเป็นพ่อเห็นด้วยพร้อมท่าทางที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น
"ก็ดีนะ ออกนอกอินเดียมาแล้วจะกินแต่อาหารอินเดียได้ไงล่ะ"
ร่างสูงใหญ่ของชายวัยค่อนคนหันมายิ้มบางๆให้ลูกชายและคนรัก
"พ่อกับแม่หิวรึยังครับ"
"จ้ะ" คนเป็นแม่ตอบรับ
"ไปกันเลยนะครับ เดี๋ยวผมไปเรียกแท็กซี่ให้"
พ่อแม่และพี่ชายยิ้มรับ คนทั้งสองจึงพาทุกคนไปหน้าโรงแรมเพื่อขึ้นแท็กซี่ เมื่อแท็กซี่ที่ทางฝ่ายบริการช่วยเรียกให้มาถึงทุกคนก็ทำท่าจะขึ้นไป แต่อธิปพงศ์เห็นรูปร่างของคนในครอบครัวคนรักแล้วก็กังวลใจว่าโตโยต้าอัลติสคันย่อมอย่างนี้จะพาพวกเขาไปได้หมดหรือเปล่า เพราะพ่อกับพี่ชายนิธินก็เป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ ส่วนแม่ก็ค่อนข้างเจ้าเนื้อตามประสาผู้หญิงมีอายุ เมื่อเขามองหน้าแท็กซี่ที่เหมือนอยากจะเปลี่ยนใจจึงบอกกับคนรักว่า
"เอ่อ ผมว่าเราเข้าไปไม่หมดหรอก"
นิธินมองตามเพราะพี่กับพ่อแม่สามคนก็เต็มเบาะหลังแล้ว ส่วนเบาะหน้าก็นั่งสองคนไม่ได้ ชายหนุ่มจึงเห็นด้วยกับคนรัก
"เอาไงดีอ่ะ"
"ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมตามไป คุณไปกับพ่อแม่คุณก่อนนะครับ"
"ได้ครับ" นิธินรับคำอย่างว่าง่าย
เมื่อส่งคนรักและครอบครัวขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว อธิปพงศ์ก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าและนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อไปยังร้านของรุ่นน้อง ระหว่างทางเขาไม่ลืมโทรยืนยันหญิงสาวสำหรับมื้อเย็นในวันนี้ และชายหนุ่มก็เดินทางไปถึงร้านของเขียวก่อนหน้าครอบครัวของนิธิน
"หวัดดีค่ะพี่หมู" เขียวยกมือไหว้เพื่อนรุ่นพี่อย่างสนิทสนม "อ่าว ไหนล่ะคะ ครอบครัวคุณนิธิน"
"เค้ามาแท็กซี่กันจ้ะ เดี๋ยวคงถึง"
"อ่าวเหรอคะ งั้นเชิญพี่หมูนั่งรอที่ก่อนโต๊ะเลยค่ะ"
"จ้ะ"
อธิปพงศ์รับคำและเดินตามพนักงานไปยังโต๊ะที่จองไว้ และสักพักครอบครัวนิธินก็มาถึงอธิปพงศ์จึงออกไปรอรับที่หน้าร้าน และพาคนรักกับครอบครัวเข้ามาข้างใน
"เฮ้ย ร้านสวยดีนี่หว่า" ดารามดัสเอ่ยปากชมการจัดร้านในห้องกระจกโปร่ง ๆ ที่สบายตาด้วยพนังสีขาวและการตกแต่งให้เป็นกันเองด้วยสไตล์สวนแบบอิตาลีที่มีลูกเล่นตรงสีเขียวหลากโทน ทำให้สามารถลืมบรรยากาศวุ่นวายข้างนอกเพียงก้าวขาเข้ามา
อธิปพงศ์ไม่เข้าใจที่พี่ชายคนรักพูดจึงหันไปหาร่างใหญ่ข้างๆ
"พี่ผมบอกว่าร้านนี้สวยมาก"
"Nice place, good!"
ดารามดัสสมทบด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียให้อธิปพงศ์สบายใจ อธิปพงศ์ยิ้มให้ เพราะก็ยังไม่คุ้นเคยกับการพูดของคนอินเดียที่ดูเหมือนกำลังทะเลาะกันตลอดเวลา เขาพาคนรักและครอบครัวมายังโต๊ะกลมที่จองไว้ เมื่อทุกคนนั่งลงเขียวจึงเข้ามารับออเดอร์ด้วยตัวเอง พ่อแม่และพี่ชายอธิปพงศ์พลิกดูแต่ละเมนูอย่างสนใจ และมาสะดุดตากับเมนูนึงในรายการอาหารประยุกต์เข้า คนเป็นแม่ถึงกับชวนทุกคนดูอย่างตื่นเต้น
"Ohhh!! They have Roti" เธอหมายถึงโรตีที่เสริฟพร้อมแกงเขียวหวานไก่
"Yes, we do. This is Roti served with chicken green curry "
คนเป็นแม่ไม่พลาดที่จะสั่งมาลองชิม
"So interesting. I want this one"
หญิงสาวรับออเดอร์จานแรก และดารามดัสก็ถามถึงเมนูที่เห็นตรงหน้า
"What dose Drunken noodle?" ดารามดัสหมายถึงเส้นใหญ่ผัดขี้เมาในเมนูหน้าเดียวกัน
"This is stir fried spicy noodle "
"o.k., give me one"
"อืม แล้วน้องเขียวมีอะไรแนะนำมั่งอ่ะ"
"ก็จะเป็นแซลมอลรมควันกับพิซซ่าเบรด,รีซอสโต้ และมีเมนูฟิวชั่นค่ะ นอกจากผัดขี้เมากับเขียวหวานโรตีที่สั่งไปแล้วยังมีสปาเก็ตตี้ผัดพริกสด พัฟกระเพราไก่ พวกสลัดและพาสต้ามังสวิรัติ และก็เมนูทะเล พวก หอยแมงภูอบอ่ะค่ะ"
“อืมเหรอ..” อธิปพงศ์รับคำ เขียวยังกระซิบบอกกับเขาอีกว่า
“พี่หมูวันนี้อย่าสั่งเมนูเนื้อวัวนะ”
ชายหนุ่มมองหน้ารุ่นน้องอย่างแปลกใจ เขียวเลยกระซิบต่อว่า
“คนอินเดียเขาถือว่าวัวเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ เค้าไม่กินวัวกันพี่”
“อ่าวเหรอ” อธิปพงศ์เพิ่งนึกออก เพราะเหมือนเขาเคยได้ยินเรื่องนี้มาอยู่เหมือนกัน
“ขอบคุณนะครับ”
เขียวยิ้มให้และรอรับออเดอร์ต่อ ส่วนนิธินก็ถามเขาว่า
"ที่รัก คุณกินอะไรดี"
"คุณล่ะ"
"ผมอยากกินนี่ Spinach Olive and Mozzarella salad"
อธิปพงศ์เลยหันไปถามเขียว “แล้วมีพิซซ่าหน้าอะไรมั่งอ่ะ”
“แนะนำเป็นทะเลค่ะ ฮาวายเอี้ยนก็ได้ หรือจะซีฟู้ดก็ดี”
“งั้นเอาหน้าซีฟู้ดถาดกลางมาก็แล้วกัน”
“ค่ะ”
“ส่วนพี่เอา...” เขาชี้ไปยังเมนูเส้นรีตาโกนี่ (พาสต้าแบบแท่งกลม ๆ กลวงๆ) “เอารีตาโกนี่อบชีสก็แล้วกัน”
“ค่ะ ได้ค่ะ”
เขียวรับออเดอร์และทวนให้ทุกคนฟังและขอตัวไปทำตามหน้าที่ อธิปพงศ์สังเกตุได้ว่าวันนี้พ่อกับแม่ของคนรักดูผ่อนคลายกว่าเมื่อวานมาก
“เอ่อ ลูก แฟนลูกชื่ออะไรนะ” พ่อของนิธินหันมาถามลูกชายที่นั่งข้าง ๆ
“หมูครับ”
“ห..มู๋.” คนเป็นพ่อกับแม่พยายามออกเสียง และแม่นิธินก็ถามว่า
“Can I ask you something? Mr.Mooh”
“Yes”
แม่ของนิธินเลยถามสิ่งที่สงสัยมาตั้งแต่เจอหน้าชายหนุ่มครั้งแรก
“How old are you”
“I’m 33 years old”
“Really? แม่นิธินแทบไม่เชื่อว่าอธิปพงศ์อายุเท่ากับลูกชายเธอ “But you look so young like you are in the mid twenty”
“Thank you” อธิปพงศ์รับคำเขิน ๆ กับคำชมของแม่คนรัก
“What do you do?”
“I’m a hairdresser” อธิปพงศ์ตอบพร้อมรอยยิ้ม ทั้งโต๊ะอยู่ในความเงียบแต่ก็ไม่ได้น่าอึดอัดเหมือนเมื่อวาน เพราะพ่อกับแม่นิธินก็ถามถึงเรื่องงานและชีวิตที่นี่ของลูกชายให้หายกังวลใจ และไม่นานอาหารอย่างแรกก็มาเสริฟ์ นิธินตัดสลัดให้พ่อกับแม่ลองชิม และอาหารที่แต่ละคนสั่งก็ทยอยออกมาให้ทุกคนลิ้มลองกัน ครอบครัวนิธินดูพึงพอใจในอาหารมื้อนี้มา และท่าจะถูกใจแกงเขียวหวานไก่ที่เสริ์ฟกับโรตีมากเป็นพิเศษ ตบท้ายด้วยทีรามิสสุรสนุ่มที่แม่นิธินถึงกับสั่งใส่กล่องกลับไปกินต่ออีก
ก่อนออกจากร้านคนเป็นพ่อกับแม่มองหน้ากัน และบอกว่า
“นิธิน เดี๋ยวพ่อกับแม่ ขอไปดูห้องที่ลูกอยู่ได้มั๊ย”
“ได้ครับ” นิธินตอบยิ้ม ๆ และทำท่าจะบอกกับอธิปพงศ์แต่คนเป็นแม่คว้าแขนไว้และส่ายหน้าไม่ให้บอก
นิธินมองพ่อกับแม่ไม่เข้าใจ แต่อธิปพงศ์บอกว่า
“งั้น เดี๋ยวคุณนั่งแท็กซี่กลับกับคุณพ่อคุณแม่คุณนะ”
“เดี๋ยว ผมว่าเรียกแท็กซี่มาสองคันดีกว่า” เขาเป็นห่วงอธิปพงศ์
อธิปพงศ์ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกครับ ผมกลับแบบนี้หล่ะ เรียกมาสองกันก็เปลืองเปล่า ๆ วันนี้ดูแลครอบครัวคุณก่อนนะ”
“ครับ...” นิธินรับคำ โดยมีพ่อกับแม่มองดูอย่างสงสัย เมื่อแยกย้ายกับอธิปพงศ์แล้ว พ่อกับแม่จึงถามทันที
“เมื่อกี๊ลูกคุยอะไรกับเค้าเหรอ”
“ผมไม่อยากให้เค้ากลับคนเดียว เลยจะเรียกแท็กซี่มาสองคัน แต่เค้าบอกว่าไม่ต้อง มันเปลืองเปล่าๆ”
“เหรอ...” พ่อกับแม่โล่งใจ
“แล้วทำไมแม่ไม่ให้บอกคุณหมูล่ะว่าแม่กับพ่อจะไปที่ห้อง”
“เอาน่า” คนเป็นแม่ตอบแค่นั้น เขาหันไปมองหน้าพี่ชายที่เหมือนอยากจะบอกใจจะขาด แต่ก็จำต้องนิ่งไว้
แท็กซี่จอดหน้าอพาตเม้นท์ที่เป็นที่พักของนิธิน ชายหนุ่มจ่ายค่าโดยสารก่อนจะลงมากับและครอบครัว พอจะก้าวเข้าไปข้างในคนเป็นแม่ก็ถามขึ้นมาว่า
“แล้ว แฟนลูกล่ะ”
“สงสัยไปรอที่โรงแรมมั๊ง” ดาราดัสบอกกับพ่อแม่
“เดี๋ยวผมโทรหาก่อนนะครับ”
นิธินกดโทรศัพท์หาคนรักก็ได้ความว่าอธิปพงศ์ยังอยู่บนรถไฟฟ้า จึงบอกว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหน เมื่ออธิปพงศ์รับรู้แล้วเขาจึงวางสายก่อนจะพาทุกคนขึ้นไปข้างบนด้วยกัน
พอเปิดประตูเข้าไป คนเป็นแม่ก็เดินสำรวจรอบห้องทันที ต่างกับพ่อที่ยืนดูนิ่ง ๆ ด้วยสายตา
“อืม ห้องไม่แคบนี่นา กำลังน่าอยู่” ดารามดัสบอกกับน้องชาย
“ใช่ ๆ ตอนแรกนึกว่าจะมีแต่ห้องแคบ ๆ เหมือนที่นิวเดลีซะอีก”
คนเป็นแม่เดินสำรวจทุกซอกทุกมุมของห้องที่จัดเก็บทุกอย่างด้วยความเป็นระเบียบ ส่วนพ่อก็นั่งลงบนโต๊ะเขียนหนังสือแต่สายตาก็หันไปเจอเจลหล่อลื่นสำหรับผู้ชายที่วางอยู่บนตู้ข้าง ๆ หัวเตียงพอดี เขาถอนหายใจเล็กน้อยเพื่อไล่อาการตกใจกับสิ่งที่เจอ
ชายวัยค่อนคนคิดว่า เพราะนี่คือชีวิตของลูกเขา เขาต้องยอมรับและทำความเข้าใจให้ได้
“แม่ ๆ แม่จะทำอะไรหน่ะ” ดารามดัสปรามแม่ที่เริ่มเปิดตู้เสื้อผ้า
“ไม่ได้สิ แม่ต้องดูว่าน้องแกอยู่ยังไง แฟนน้องแกเค้าดูแลปรนนิบัติดีมั๊ย”
“โธ่ แม่ครับ” นิธินถอนหายใจกับสิ่งที่แม่พูด เพราะแม่ยังยิดตึดกับความเป็นลูกสะใภ้แบบอินเดีย
“ผมเป็นผู้ชายทั้งคู่นะครับ”
คนเป็นแม่ที่เปลี่ยนมาเปิดดูห้องน้ำส่งเสียงมาว่า
“นั่นแหล่ะที่แม่กลัว แม่ไม่รู้ว่าแฟนแกเค้าจะดูแลแกดีรึเปล่า”
ดารามดัสตบไหล่น้องชายที่กำลังทำหน้าเพลีย ๆ กับแม่ตัวเอง แต่แม่ก็กรีดเสียงมาจากห้องน้ำว่า
“ตายแล้ว ทำไมมีครีมบำรุงเยอะอย่างนี้” เมื่อเธอเปิดตู้ที่ใช้เป็นบานกระจกเหนืออ่างน้ำก็พบกับสกินแคร์มากมาย
“อย่าบอกนะว่าของแฟนแกหมดเลย”
“เปล่า ของผมด้วยส่วนนึง” นิธินตอบความความจริง ถึงแม้ว่าเกือบทั้งหมดจะเป็นของคนรักก็ตาม
“ตายแล้ว แฟนแกสำอางกว่าผู้หญิงอีกนะเนี่ย โอ้โห น้ำหอมกี่ขวดกันละเนี่ย” คนเป็นแม่ยังตื่นเต้นไม่เลิก พอดูจนหนำใจแล้วก็ออกมาข้างนอกในที่สุด
“พอใจหรือยังครับคุณเอกตรา” นิธินถามแม่ที่ดูประหลาดใจกับสิ่งที่เพิ่งสัมผัส
“แล้ว แต่ละเดือนใครออกค่าห้องกันล่ะ”
“ก็ช่วยกันออกคนละครึ่งหน่ะครับ”
“เหรอ แล้วเวลากินล่ะ”
“โธ่ แม่ ผมกับแฟนจะกินข้าวด้วยกันแค่วันละมื้อเองนะ ก็ช่วยกันออกนั่นหล่ะครับ”
“คุณพอเถอะ” พ่อของเขาพูดขึ้นมา “นี่เรามาหาลูกเพราะเราคิดถึงนะ เราไม่ได้มาจับผิดลูก แถมลูกยังพาคนที่เค้ารักมาให้เรารู้จักอีก แล้วคุณจะเอาอะไร”
นิธินแปลกใจที่ได้ยินประโยคนั้นจากคนเป็นพ่อ นารายันลุกมาหาลูกและมองหน้าลูกชายให้เต็มตาอย่างที่เขาไม่ได้ทำมาหลายปีแล้ว
“พ่อ..ดีใจนะ ที่เห็นลูก มีความสุขกับงานที่ทำ และอยู่กับคนที่ลูกรัก และรักลูกมากด้วย”
“พ่อ...” นิธินอึ้งกับคำพูดของพ่อ ชายผู้เงียบขรึมและเย็นชา
“ตลอดเวลาที่ผ่านมา พ่ออยากจะพูดดี ๆ กับลูก อยากจะขอโทษลูกมาตลอด แต่เมื่อลูกย้ายมาที่นี่แล้ว ทำให้พ่อรู้ว่าถึงที่พ่ออยากทำมันอาจจะสายเกินไปก็ได้”
นารายันมองหน้าลูกชายคนเล็กพร้อมกับบอกว่า
“พ่อ..ขอโทษนะลูก ยกโทษให้พ่อได้มั๊ย”
“ครับ”
สองพ่อลูกกอดกันท่ามกลางสายตาที่ยินดีของดารามดัสผู้เป็นพี่ ในที่สุดความฝันของเขาก็เป็นจริงอยู่ตรงหน้าเสียที เอกตราร้องไห้ด้วยความซึ้งใจกับความสัมพันธ์ที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมในวันนี้
เสียงเคาะห้องดังขึ้น ทุกคนจึงรู้ว่าอธิปพงศ์มาถึงแล้ว ดารามดัสมองหน้าพ่อกับแม่ขออนุญาต คนทั้งสองพยักหน้าให้ เขาจึงเปิดประตูให้อธิปพงศ์เข้ามา
อธิปพงศ์ยิ้มบาง ๆ ให้ทุกคนในห้อง เมื่อหันไปเห็นคนรักที่ยืนข้าง ๆ พ่อก็เข้าใจได้เลยว่า นิธินปรับความเข้าใจกับพ่อแล้ว แต่คนเป็นแม่เข้าไปสวมกอดอธิปพงศ์ที่ยืนอึ้งอยู่ตรงหน้า เธอกอดชายหนุ่มแน่น และละมาลูบหน้าขาวใสนั้นด้วยความเอ็นดู
“Thank you for caring my son”
จากการเข้ามาสำรวจในห้องนี้ ทำให้เธอประหลาดใจกับวีถีชีวิตของลูกและคนรัก แต่ก็ดีใจที่อธิปพงศ์ดูแลลูกชายเธอเป็นอย่างดี
อธิปพงศ์พยักหน้ารับคำเบา ๆ
“You’re welcome, that’s my pleasure”
ดารามดัสเลยบอกกับแม่ว่า
“ทีนี้แม่ก็สบายใจได้แล้วนะ เพราะคุณหมูเค้าก็ดูแลนิธินได้ดีไม่แพ้ผู้หญิงเลย”
คนเป็นแม่หันไปปราบลูกคนโตด้วยสายตาดุ ๆ ก่อนจะหันมากอดคนรักของลูกอีกครั้งให้สมกับที่ทำให้เธอวางใจ
ชีวิตคนเป็นแม่อย่างเธอฝันที่จะเห็นลูกชายมีครอบครัวที่อบอุ่นโดยมีภรรยาแสนดีและหลานน่ารักมาโดยตลอด ถึงแม้จะผิดหวังกับนิธินที่ไม่สามารถมีภรรยาและลูกได้แล้ว แต่เธอก็ดีใจที่คนรักของลูกสามารถดูแลเขาได้ แค่นี้เธอก็คิดว่าพอแล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ