แตะต้องครั้งที่ 28
จับบบ…ทักบ่อยอ่อยนานรำคาญโลกกลม
ล้มตัววันเสาร์เอ้า? อุ๊ย! ระวังครับ
สองวันแล้วที่ไม่ได้เมาท์กับพี่ทัชแบบชิลล์ๆ ยาวๆ
ทักแชตไปทีไรก็โปรยแต่เม็ดเกลือกลับมา พอถามจี้รัวๆ หน่อยก็เจอแต่ข้ออ้างคลาสสิกว่ากำลังตั้งใจศึกษาเล่าเรียนหรือไม่ก็อาบน้ำให้หมา
NaTee(n): ทำไร
NATOUCH: อาบน้ำให้ผงฟอก
NaTee(n): อีกละ ตัวเปื่อยแล้วมั้งผงฟอก
NATOUCH: มึงมีไร
NATOUCH: ทักบ่อย
NaTee(n): ผงฟอกจะอาบน้ำไร สามทุ่ม
NATOUCH: มันร้อน
NaTee(n): นี่หน้าหนาว
NATOUCH: มันเล่นซนมา
NATOUCH: เหนื่อย
NaTee(n): เหนื่อยนี่คือพี่หรือผงฟอก
NATOUCH: กูด้วย
NaTee(n): ทำไรเหนื่อยอะ ลามกนะเรา
NATOUCH: บอกว่าอาบน้ำให้ผงฟอก เหนื่อย
NaTee(n): (สติกเกอร์big kiss)
NaTee(n): หายเหนื่อยยัง
NATOUCH: (สติกเกอร์ อ้วก)
NaTee(n): ฮ่าๆ อาบน้ำแค่นี้มันจะเหนื่อยไร
NATOUCH: มันดื้อ
NaTee(n): อ่อ ต้องดุกันปากเปียกปากแฉะเลยดิ
NATOUCH: …
NaTee(n): โปรยเม็ดเกลืออีกละ
NaTee(n): พี่ ไปไหนแล้ว
NaTee(n): อะโหลๆๆ1 2 3 4
NaTee(n): ประกาศ ใครเอารองเท้าเจ้าอาวาสไป ให้เอามาคืนที่ศาลา2 ด้วย
NaTee(n): อะโหล
ตามระเบียบเดิม โปรยเกลือสามเม็ดแล้วก็หาย ไม่อ่าน ไม่ตอบ ไม่มีคลิปเสียงอื้อหืออืออาอะไร ไรว้า ยังคุยไม่สาแก่ใจเลย ช่วงนี้ผมเรียนหนักขึ้นด้วย (เหรอ?) ก็หนักพอที่เจษฎากับเปิ้ลจะกักขังหน่วงเหนี่ยวผมไว้ไม่ให้ไปแสวงบุญที่ไหนนอกจากแถวๆ คณะนั่นแหละ
แต่ใจมันคัน อยากคุย ทำไงวะ
เอ้อ เพิ่งนึกออก
NaTee(n): พี่ เสาร์นี้ๆ
NaTee(n): แม่ชวนมากินข้าวที่บ้าน
NaTee(n): จำได้ปะ ที่พี่ช่วยออกค่าของขวัญให้แม่
NaTee(n): แล้วแม่ก็อยากเลี้ยงข้าวตอบแทนอะ
ผ่านไปประมาณสองชาติกว่าๆ พี่แกค่อยตอบกลับมา
NATOUCH: ได้
คำเดียวรู้เรื่อง
ผมแจ้งความประสงค์นี้ให้แม่ทราบ แต่ก็เหมือนโยนภาระอันยิ่งใหญ่ไปให้แทน เพราะช่วงนี้แม่ป่วยเป็นไข้หวัดอยู่ ด้วยความที่เป็นลูกกตัญญูผมเลยจะยกเลิกนัดพี่ทัชไปก่อน แต่ก็ด้วยความที่แม่คงจะอยากได้โล่ห์รางวัลแม่ดีเด่นแห่งชาติมาประดับวงศ์ตระกูล แม่เลยรีบยกมือห้ามไว้ ยืนยันว่าไหว
โอเค ไหวก็ไหว
ที่ผมยอมเพราะมีน้าเกดเป็นลูกมือทำกับข้าวด้วย ช่วงนี้น้าเกดกลับไปนอนที่บ้านสัปดาห์ละครั้งสองครั้งเอง ไม่ต้องถามอะไรมากก็เดาได้ว่าสถานะทางครอบครัวใกล้ถึงจุดแตกหักแล้ว
ตัดภาพมาวันเสาร์
ผมก็อยากอยู่เป็นลูกมือช่วยด้วยนะ แต่อย่างที่บอก ช่วงนี้เรียนหนัก เลยต้องแหกขี้ตาตื่นไปสุมหัวติวหนังสือกับ แก๊งไม่ส(า)มประกอบ ที่มหา’ลัย พอไปถึงม้านั่งหินอ่อนข้างตึกคณะที่ประจำของเราผมก็แทบจะแหกปากร้องออกมา
“เฮ้ย! โลกกลมว่ะ พี่มาอยู่นี่ได้ไง” เซอร์ไพรส์นะเนี่ย
“เวร” พี่เห็ดหันมาช้าๆ “มึงเชื่อว่าโลกแบนไม่ใช่เหรอ จะมาโลกกลมอะไร”
“พี่เห็ดจริงๆ ด้วย!” ผมทำท่าขยี้ตา “ไหนข่าวว่าพี่โดนหมาแถวบ้านรุมกัดตายแล้วอะ นี่ผมดีใจเก้อเลยนะเนี่ย”
“แล้วมึงรอดมาได้ไง วันก่อนเห็นเหี้ยลากไปแดกแล้วไม่ใช่เหรอ”
มุกแรงๆ ก็เหมือนกระทิงแดงนั่นแหละ ฟังแล้วเลือดลมไหลเวียนดี
ผมยิ้มหวาน “มาขอส่วนบุญแถวนี้ใช่มะ แถวคณะพี่คนใจบาปเยอะอะดิ”
“ถ้ายังไม่เลิกกวนตีน มึงนี่แหละจะได้ขอส่วนบุญจริงๆ”
“วาจาเกรี้ยวกราด ไม่นุ่มนวลเหมือนตอนมาเกาะโต๊ะขอให้ช่วยจีบพี่รหัสเลย”
“คันตีนว่ะ”
“มีวิธีแก้นะ ตัดทิ้งดิ”
“ไปละ เดี๋ยวได้เตะคน” พี่เห็ดตบบ่าเจษฎาแล้วลุกหนีไปเลย เจษที่กำลังกินติดพันอยู่ถึงกับต้องยกตีนไก่ทอดขึ้นไหว้ ส่วนเปิ้ลเล่นมือถือชิลล์ๆ ไม่สนใจมารยาทไทยอันดีงามอะไร
“เอ้าพี่ รีบไปไหน” ผมมองตามหลังเจ้าตัว แล้วนั่งลงแทนที่ “อะไรของพี่แกวะ”
“นะฑี นายเชื่อว่าโลกแบนจริงๆ เหรอ” เจษฎาถามทั้งที่แทะตีนไก่อยู่
“ใช่เจษ แล้วกูก็เชื่อว่าโลกตีลังการอบตัวเองวันละแปดตลบด้วย พี่เห็ดแกมานานยัง แล้วมาทำไร” ผมรีบถามเข้าเรื่องเพื่อดักทางไม่ให้เจษสาธยายเรื่องโลกและจักรวาล
“ก็…” เจษยักไหล่ “มาประมาณสิบนาทีได้มั้ง”
“มาทำไร”
“พี่เขาบอกมาหาตีนแดก...เอ่อ พี่เขาใช้คำนั้นน่ะ”
“อ๋อ ตีนไก่ทอด งั้นที่แดกอยู่นี่ก็ของพี่แกซื้อมาดิ”
“ใช่”
“มึงไม่กลัวคุณไสยเหรอเจษ”
เจษฎากะพริบตาปริบๆ มองซากตีนไก่ในมือ “กินของพี่เค้าครั้งก่อน ก็ไม่เป็นไรนะ”
“ของดำบางอย่างมันต้องใช้เวลาไง หนังควายเข้าท้องแน่มึง แต่ยังไงก็ไม่ทันแล้วล่ะ กินๆ ไปเถอะ” ผมตบไหล่เจษเบาๆ “เฮ้ย เอาจริงๆ นะ พี่เห็ดแกจะจีบเจษรึเปล่าวะ”
“หา! เราเหรอ”
เปิ้ลเงยหน้าจากมือถือ “ไหนว่าเขาจีบเจ๊แคลอยู่”
“จีบแล้ว และโดนเจ๊แคลเทแล้วเรียบร้อย”
“เออ สมควร ก็ปากหมาซะขนาดนี้”
“กูเลยสงสัยว่าแกจะเปลี่ยนแนวมาเต๊าะเด็กเนิร์ดแบบเจษนี่ไง เห็นมองมึงตาเยิ้มเลยเจษ” น่าสงสาร ตีนไก่ร่วงจากมือเลย
ผมกับเปิ้ลมองสบตากัน ต่างพยายามทำสีหน้าให้ขึงขังจริงจังที่สุด แต่พอเจษพูดด้วยเสียงสั่นๆ ว่า “เราไม่เล่นด้วยหรอก” เราสองคนก็ปล่อยก๊ากทันที กูยอมแล้วเจษ ทำไมมึงฮาธรรมชาติขนาดนี้
“หัวเราะไรกัน” ยัง ยังไม่หยุดเหวออีก
“กูว่ามึงไม่รอดแน่เจษ ก็มึงแดกตีนไก่พี่แกไปแล้วอะ มึงโดนคุณไสยแน่ๆ น่าจะไม่ใช่หนังควายเข้าท้องหรอกถ้างั้น แต่เป็นน้ำมันพรายมากกว่า”
“นะฑีอย่างมงายสิ”
“ก็ถ้ามันมีจริงล่ะ ของงี้อย่าทำเป็นเล่นนะมึง”
“เราไปล้วงคออ้วกทิ้งยังทันมั้ย”
“ฮ่าๆ”
ก็เป็นซะอย่างนี้ไม่ให้แซวต่อได้ไง ทั้งแซวทั้งอำจนปากเปียกปากแฉะ กว่าจะได้ติวหนังสือกันจริงๆ จังๆ ก็ปาไปเกือบชั่วโมง ซึ่งเป็นอะไรที่โคตรน่าเบื่อ กูนอนละ
แต่นอนไม่ได้
ชาติก่อนๆ เปิ้ลต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมแน่ๆ ถึงได้จิกหัวผมแรงขนาดนี้ นี่ก็อีกคน เจษ นี่มึงติวหรือสวดมนต์แผ่ส่วนบุญกุศลให้กูกันแน่ ทำไมกูรู้สึกสงบร่มเย็นจนลืมตาไม่ขึ้นขนาดนี้ พอจะเคลิ้มๆ หน่อย เปิ้ลก็จิกหัวอีกแล้ว ยิ่งหลังจากพักกินข้าวแล้วมาฟังเสียงเทศนาของอาจารย์เจษต่อนี่ มันสุดจริงๆ
สามชั่วโมงต่อจากนั้นยาวนานเหมือนสามปี พวกมึงจะติวไปแข่งโอลิมปิกวิชาการเหรอ ไม่ไหวแล้ว แอบก้มหน้าหลับก็ได้วะ
ผัวะ!
เจอเปิ้ลตบถาก “เดี๋ยวน้ำลายยืดใส่หนังสือ”
“เออๆ” งั้นกูซบแก้มกับหนังสือละกัน
“ยังจะนอนอีก ตื่น”
“ขอสิบนาที ใครปลุกกูเผาบ้านแน่”
“อ้าว พี่ทัช” มุกเก่าว่ะเปิ้ล กูไม่หลงกลหรอก
“พี่ทัช สวัสดีครับ” ตื่นเลย เจษมันโกหกเป็นซะที่ไหนล่ะ
ผมเด้งตัวลุกขึ้นนั่งและเห็นพี่ทัชยืนอยู่ตรงนี้จริงๆ มองไล่ขึ้นไปตั้งแต่เท้าจดปลายเส้นผม ยีนขาเดฟ เสื้อยืด สวมทับด้วยเสื้อฮู้ดสีเทาอ่อนโดยมีมือทั้งสองข้างซุกในกระเป๋าเสื้อ เส้นผมเซ็ตนิดๆ เหมือนไม่จงใจ หน้าใสกิ๊กเหมือนเกิดมาไม่มีต่อมเหงื่อ
“พี่มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“จะเย็นแล้ว”
“เฮ้ย จริงดิ อ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาเลยเนี่ย”
“กูเห็นมึงหลับ”
“ก็ติวหนักมากจนเพลียไง เลยงีบห้านาที”
“กูเห็นมึงหลับมาจะครึ่งวันแล้ว” มึงเป็นเพื่อนที่จริงใจมากเปิ้ล
“เราว่าหลับไม่เยอะขนาดนั้นนะ แต่นะฑีชอบคุยนอกเรื่องมากกว่า” ขอบคุณครับเจษ
“เออ จริง อ่านหนังสือไปสองหน้าเองมั้งทั้งวันอะ”
“ร้อนๆ” ผมโวยวายพร้อมกับเก็บข้าวของ “ฉลาดแล้ว อ่านไรเยอะแยะล่ะ ไปๆ กลับบ้าน”
“อ้าว รีบไปไหน” เปิ้ลถาม
“พวกมึงจะค้างที่นี่ก็ได้ ห้องน้ำยังว่างเยอะแยะ กูกับพี่ทัชไปละ เดี๋ยวรถติด”
ว่าแล้วผมก็รีบคว้าแขนพี่ทัชลากออกมา โดยมีเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญของเปิ้ลดังตามหลัง พี่ทัชไม่พูดอะไรเลยแม้ว่าเราจะเดินพ้นระยะมาแล้ว แต่ผมแอบเห็นว่ามุมปากเขายิ้มนิดๆ
“พี่ยิ้มไร”
“กูเปล่า”
“ผมเห็น เมื่อกี้พี่ยิ้ม คิดไรอยู่อะ”
“งั้นก็คงคิดไรดีๆ อยู่มั้ง”
เขาเหลือบตามาแวบนึง ซึ่งเป็นจังหวะที่ผมเพิ่งตระหนักว่าตลอดทางที่เดินมาผมยังเกาะแขนเขาอยู่ ผมเลยปล่อยมือ คราวนี้พี่ทัชเหลือบมองแขนตัวเองด้วยสีหน้าเรียบๆ “มาติวกับเพื่อนทั้งที น่าจะตั้งใจให้มากกว่านี้” เขาพูดไปอีกเรื่อง
“คนฉลาดไม่ต้องอ่านเยอะหรอก” ผมลองจับแขนเขาอีกครั้ง
สายตาเหลือบมาอีก “อะไร”
“ชัดเลย พี่ยิ้มเพราะผมเกาะแขน อะไรดีๆ ที่ว่านี่คือผมเกาะแขนใช่มะ”
“อะไรของมึง”
ผมปล่อยมือ “น่ะ พอปล่อยก็หน้าเซ็ง”
“หน้ากูก็เป็นอย่างนี้ ปกติ”
ผมจับอีก “นั่นไง พอจับก็ยิ้ม”
“มึงมองยังไงว่ากูยิ้ม”
“แหม ชอบให้เกาะก็ไม่บอก มาๆ” ผมสอดแขนคล้องที่ข้อศอกพี่ทัช ทำท่าเอาหน้าซบแบบเวอร์ๆ จนตัวเราเซไปด้วยกัน
“นะฑี ปล่อย เดี๋ยวล้ม”
“ไม่ล้ม”
“คนมอง”
“คนมีตาก็ต้องมองแหละ”
“เฮ้อ กูละยอมมึงจริงๆ”
“ยอมก็ดีแล้ว อย่าดื้อ”
ผมเอาหัวซุกๆ ต้นแขนพี่ทัช พาเขาเดินเซไปเซมา แต่รู้สึกว่าไปได้ไม่ไกลพี่ทัชก็พาผมหยุด
“หยุดทำไม เดินดิ กำลังเพลิน”
“มึงจะเดินกลับบ้านเหรอ ถึงรถแล้ว ปล่อยได้แล้ว...นะฑี”
“พี่ ขอไรอย่างได้ปะ”
“อะไร”
“เห็นก้นพี่แล้วอยากตีอะ ขอฟาดแรงๆ สักทีได้ปะ มันเขี้ยว”
“ไปขึ้นรถ!”
กลายเป็นผมโดนผลักหัวแรงๆ แทน จะหันกลับไปแหย่เล่นอีกพี่ทัชก็ชิ่งไปเปิดประตูรถอีกฝั่งแล้ว ผมเลยเข้ามานั่งฝั่งข้างคนขับพร้อมกับยิ้มให้เขา
“ยิ้มไร”
“ยิ้มเพราะคิดไรดีๆ อยู่มั้ง”
“กวนละ”
“พี่ไม่ถามต่อล่ะว่าผมคิดไร”
“ไม่ถาม”
“ก้นน่าหยิก”
เพียะ!
ที่โดนฟาดนี่ไม่ใช่ก้นพี่ทัช มือผมนี่แหละ “อย่ามือซน นั่งเฉยๆ ไปกูจะขับรถ” ไม่ยอมเสียเวลาเลยนะ สตาร์ทรถแล้วขับออกไปกันเลยทีเดียว “คาดเข็มขัดด้วย ไม่มีไรทำก็เปิดเพลง”
“แหม เกรี้ยวกราด” ผมคาดเข็มขัดตามคำสั่ง “เอาเพลงไร ลูกทุ่งหมอลำมะ”
พี่ทัชหันมาหรี่ตา “ตามใจ”
“จัดไป”
ถึงจะบอกอย่างนั้น แต่เพลงแรกที่ผมเปิดคือเพลงI Like Me Better ซึ่งเป็นเพลงที่ผมอยากฟังมากที่สุดตอนนี้ เพราะมันจะเพราะกว่าปกติตอนฟังในรถพี่ทัช
“ร้องเสียงเป็ดด้วย” พี่ทัชบอกทันทีที่อินโทรดังขึ้น
ได้! จัดไปเลยสิบกว่ารอบ ฟังกันให้หลอนไปเลย พอผมเริ่มหลอนได้ที่จนแงะท่อนฮุคออกจากหัวไม่ได้ ผมก็เปลี่ยนไปเปิดสุ่มลูกทุ่งหมอลำตามที่ลั่นวาจาไว้
“พี่บอกเองนะว่าตามใจผม”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร”
เขาไม่ได้ว่าอะไรจริงๆ แค่ขมวดคิ้วบางจังหวะ แต่บางจังหวะก็หลุดขำกับท่าเซิ้งของผม ส่วนผมเองน่ะเหรอ ฟังไม่ออกหรอก แถมยังเป็นเมดเลย์หมอลำฉบับรีมิกซ์ในจังหวะโจ๊ะๆ ด้วยก็เลยเซิ้งเอามันส์อย่างเดียว ทำเป็นเล่นไป แค่นั่งเต้นนี่ทำเอาเหงื่อซึมๆ เหมือนจะไหลลงร่องตูดเหมือนกันนะ โชคดีที่แอร์รถพี่ทัชเย็น
เสียงเพลงช่วยฆ่าเวลาได้ดี รู้สึกว่าไม่นานเท่าไหร่ก็มาถึงซอยเข้าบ้านผม
บุญพี่ทัชนี่มันมากมายมหาศาลจริงๆ ได้ที่จอดรถใกล้บ้านอีกแล้ว นี่ขนาดวันเสาร์นะเนี่ย
“ร้อนๆ หิวน้ำ” ผมรำพึงรำพันแล้วรีบเปิดประตูลงจากรถ ไม่ใช่อะไรหรอก อยากเข้าไปดูสภาพในบ้านก่อนว่าเป็นยังไงบ้าง ก่อนหน้านี้ผมไลน์บอกน้าเกดแล้ว แต่ก็ยังอยากเห็นกับตาตัวเองก่อนพี่ทัชจะเข้าไป
ปรากฏว่าเรียบร้อยดี น้าเกดกับแม่กำลังช่วยกันจัดกับข้าวขึ้นโต๊ะเลย
“สวัสดีครับ” พี่ทัชเข้าบ้านมาก็ไหว้แม่กับน้าเกดเป็นอันดับแรก “มีส้มมาฝากด้วยครับ” อ้อ ไอ้ถุงกระดาษที่อยู่เบาะหลังนี่คือส้มนี่เอง พ่อแม่สอนมาดีจริงๆ
“อู๊ย ไม่เห็นต้องลำบากเลย” น้าเกดว่า
“นิดหน่อยเองครับ ไม่ลำบากอะไร”
“ขอบใจนะทัช” แม่บอก
หลังสนทนากันอย่างผู้ดีเหมือนในละคร พี่ทัชก็นั่งลงไปทักทายไอ้แมวนรกที่วอแวอยู่ใกล้ๆ โต๊ะอาหาร
“หวัดดี หมอนนิ่ม” ไอ้นี่ก็อ้อนเลย เอาหัวถูไถคลอเคลียขางามๆ ของพี่ทัชทันที คงคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะได้กินของอร่อยๆ สนองกิเลสแบบแมวๆ ของมัน ฝันไปเถอะมึง อาหารเม็ดอยู่มุมบ้านโน่น “นี่ มีขนมอร่อยๆ มาฝากด้วยนะ”
ซะงั้น
“พี่อย่าไปเอาใจมันมาก แค่นี้มันก็เหิมเกริมพอแล้ว...ดูหน้ามันดิ ไอ้แมวนรกเอ๊ย”
เพียะ!
แม่ตีผม “พูดจาให้มันดีๆ แล้วก็เอาส้มไปใส่จานไป”
“ขี้เกียจอะ”
แม่ถอนหายใจอย่างปลงๆ “ทัชหิวยัง กินกันเลยมั้ย”
“ได้ครับ”
“กินเลยเนาะ” แม่พยักหน้าให้น้าเกด แล้วคว้าถุงส้มปลีกตัวออกไปเพื่อจัดใส่จานเอง
“ถึงเวลาอร่อยแล้วครับ ถึงเวลาอร่อยแล้วคร้าบ” น้าเกดที่กำลังจัดจานทำเสียงเหมือนโฆษณาร้านปิ้งย่าง “นะฑีทำตัวให้เป็นประโยชน์ซิ ไปยกหม้อข้าวมา”
“เดี๋ยวผมช่วยครับ”
ผัวะ!
ผมตีพี่ทัช กดไหล่เขาให้นั่งลง “พี่เป็นแขก นั่งเฉยๆ...แม่ จัดส้มเสร็จแล้วยกหม้อข้าวมาด้วยนะ” หันขวับกันหมดเลย “ล้อเล่นน่า ยกหม้อข้าวนี่คืองานโปรดผมเลยนะ ถ้าใครมาแย่งยกคือโกรธอะ ทุกคนนั่งเฉยๆ ไป ผมจัดการเอง”
ห้านาทีต่อมาทุกอย่างก็พร้อม
“ทัช แม่ขอบใจมากนะเรื่องของขวัญ” แม่พูดหลังจากเราเริ่มลงมือกิน “น่าจะแพง ถามราคานะฑีก็ไม่ยอมบอก”
พี่ทัชหันไปพูด “แล้วคุณแม่ชอบของขวัญมั้ยครับ”
“ชอบจ้ะ”
“งั้นก็ถือว่าไม่แพงครับ” ตอบได้ดีนะเนี่ย ผมว่าจะหยอดมุกขัดคอสักหน่อย แต่ฟังต่อดีกว่า
แม่พยักหน้ายิ้มๆ และตักทอดมันใส่จานพี่ทัช “กับข้าวเป็นไง พอกินได้รึเปล่า”
“อร่อยมากครับ”
“อดีตแม่ครัวก็งี้แหละ” น้าเกดว่า “ทัชไม่รู้ล่ะสิว่าเคยเปิดร้านอาหาร นี่น้ามาอยู่ด้วยแป๊บเดียวน้ำหนักพุ่งเลย”
“อ๋อ ครับ”
“น้าต้องขอบคุณทัชอีกครั้งจริงๆ นะ ที่ช่วยเรื่องนั้น”
“ไม่เป็นไรครับ”
จู่ๆ น้าเกดก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย พอพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ปากงี้คันยิบๆ ว่าจะไม่เผือก แต่ไม่ทนมันละ
“แล้วตอนนี้เป็นไงบ้างอะ แอบฆ่าน้าเอ๊ดยัดท่อไปยัง”
“คนชั่วมันไม่ตายง่ายๆ หรอก ตอนนี้ให้ทนายยื่นเรื่องฟ้องหย่าไปแล้ว”
“ต้องงี้สิน้า แต่แค่หย่ามันไม่สาสมอะ อยากให้แกนอนเน่าอยู่ในถังขยะมากกว่า”
น้าเกดตบถากหัวผมเบาๆ ด้วยความเอ็นดู “พูดไร เดี๋ยวกินข้าวไม่ลง”
“งั้นคุยเรื่องข้าว ทำไมแม่ไม่ทำเมนูคะน้าอะ ที่ผมบอกไงว่าพี่ทัชชอบกิน”
“ไม่ต้องมาหลอกแม่หรอก แม่ดูออกว่าทัชไม่ชอบกินผัก”
“จริงดิ! พี่ทัชไม่กินผักเหรอ นี่อายุกี่ขวบแล้วอะ” ผมแกล้งถามเสียงดัง สีหน้าโอเวอร์สุดๆ
แต่พี่ทัชหันไปพูดกับแม่ด้วยสีหน้านิ่งๆ “กินได้ครับ”
“งั้นก็กินเยอะๆ” ว่าแล้วแม่ก็ตักปลาทับทิมนึ่งชิ้นเบ้อเริ่มใส่จานพี่ทัช เฮ้ย! นั่นพุงปลาเลยนะ เนื้อตรงนี้อร่อยสุดแล้ว
“กินคนเดียวได้ไง ของดีมีน้อย” ผมรีบเอาช้อนตักแย่งมาครึ่งนึง
พี่ทัชกับน้าเกดหัวเราะ แม้แต่แม่ที่เอาแต่ส่ายหัวก็ยังแอบยิ้มมุมปาก เห็นมะ เพราะมีผมอยู่ด้วย บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเลยผ่อนคลายและเป็นกันเองขนาดนี้ ขำกันเข้าไป งั้นผมแอบจิ๊กพุงปลาของพี่ทัชมาหมดเลยละกัน
อร่อย
ฝีมือของแม่ทำให้เราขยับปากอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาไม่นานดินเนอร์เวอร์วังมื้อนี้ก็จบลง พร้อมกับเสียงเรอของผมที่เผลอปล่อยออกมาสั้นๆ
“มีมารยาทหน่อยนะฑี” แม่พูด
“การเรอถือเป็นคำชมคนทำอาหาร แม่ไม่รู้เหรอ ถ้าไม่เรอนี่เสียมารยาทเลยนะ...เดี๋ยวพี่ทัชก็เรอ คอยดูดิ” กูหาพวกละ ส่งสายตากดดันไปให้เขาด้วย
“เดี๋ยวผมช่วยเก็บจานครับ” นอกจากไม่เรอแล้วยังทำนิสัยผู้ดีอีก
“ไม่เป็นไร อย่างที่นะฑีว่าแหละ ทัชเป็นแขกนั่งเฉยๆ ดีกว่า”
“ผมอยากช่วยครับ”
เขาไม่รอให้ใครแย้งอะไรแล้ว นิ้วเรียวยาวที่ติดพลาสเตอร์ทั้งสิบเริ่มรวบจานชามทันที
“ใครได้ทัชเป็นแฟนนี่คงโงหัวไม่ขึ้นแน่ๆ” น้าเกดแซว ซึ่งเจ้าตัวก็แค่ยิ้มรับ
ทุกคนช่วยกันเคลียร์โต๊ะ ผมเลยต้องตามน้ำทำเป็นขยันขันแข็งไปด้วย โดยน้าเกดกับแม่จัดการเก็บอาหารที่ยังกินไม่หมด ส่วนผมกับพี่ทัชเน้นไปที่เขี่ยเศษอาหารทิ้ง ก่อนจะช่วยกันยกจานชามเปล่าไปที่ซิงก์ล้างจาน
“ล้างกัน” พี่ทัชพูดหลังจากเราเก็บจานมาวางที่ซิงก์จนหมด
“ขี้เกียจ แช่ไว้ก่อน”
“ไม่เอา ล้างเลย”
“พี่ทำเป็นเหรอ”
“เป็น”
“งั้นพี่ทำคนเดียว”
“แม่ครับ เดี๋ยวผมกับนะฑีช่วยกันล้างจานเลยนะ” เขาหันไปพูดกับแม่ พลางแกะพลาสเตอร์ออกทีละนิ้ว
แม่ละจากโต๊ะอาหารมาที่ส่วนครัว “ให้นะฑีทำก็ได้ทัช”
“ผมอยากทำครับ”
“งั้นก็ได้ แป๊บนึงนะ แม่หาสก๊อตไบรท์อันใหม่ให้...นะฑี ไม่ต้องพูดอะไร ช่วยพี่เขา” พอดักทางผมเสร็จแม่ก็ผละไปเปิดตู้หาของ
“เกิดมาเคยล้างจานรึเปล่าพี่อะ นี่ ดูเป็นบุญตา”
ผมเปิดน้ำ หยิบจานเพื่อจะล้างคราบบางส่วนออกก่อน
“อุ๊ย!”
“ระวังครับ! เป็นอะไรรึเปล่า”
แม่เดินสะดุดคะมำมาข้างหน้า แต่เคราะห์ดีพี่ทัชหันไปคว้าแขนประคองไว้ได้ทัน แหม สะดุดเหมือนนางเอกละครเลยนะแม่ นี่แหละ ผลกรรมจากที่ตีผมบ่อยๆ ผมกำลังพ่นคำในหัวออกไป แต่แม่พูดขึ้นซะก่อน
“แม่เป็นมะเร็งน่ะ”
“...”
“...”
เสียงแม่ราบเรียบ ราวกับว่าเป็นแค่ความคิดลอยๆ ที่ล้นออกมาเป็นเสียง สมองผมไม่แปลคำนั้น พี่ทัชเองก็ยืนนิ่งไปเหมือนไม่เข้าใจความหมาย จนกระทั่งสายตาผมโฟกัสไปที่นิ้วเรียวยาวของพี่ทัช นิ้วที่ปราศจากพลาสเตอร์จับใต้ข้อศอกแม่อยู่ เขายังจับแขนแม่ต่ออีกสองสามวินาที ก่อนจะดึงมือกลับราวกับแตะถูกของร้อน
เพล้ง!
จานร่วงจากมือผม
โลกทั้งใบถล่มตามลงมา
มันรุนแรงซะจนทำให้กลไกของจักรวาลแปรปรวน หรืออาจจถึงขั้นเหวี่ยงตัวตนผมไปในมิติอื่นที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่ ผมเห็นสีหน้าซีดเผือดและตื่นตระหนกของแม่ เห็นน้าเกดเข้ามาประคองแม่ไปที่โซฟา เสียงน้าเกดพูดหรือถามอะไรเยอะแยะ แต่ผมจับความไม่ได้
ทั้งหมดนั้นเหมือนไม่ได้เกิดขึ้นจริง
“นะฑี” พี่ทัชวางมือลงบนไหล่ผมเบาๆ แต่ทำไมมันหนักนะ หนักจนผมต้องค้ำมือทั้งสองข้างกับขอบซิงก์ไว้เพื่อไม่ให้ทรุดลงไปนั่งกับพื้น
“พี่ไม่เคยล้างจานอะดิ ผมจะทำให้ดูเป็นบุญตา”
“...”
“อันดับแรกต้องเปิดน้ำก่อน”“ระวังเหยียบเศษจาน”
“แล้วก็ใช้สก็อตไบรท์...เปลี่ยนใจแล้ว ไว้ค่อยทำ พี่กลับไปก่อนเถอะ”
“นะฑี เดี๋ยวเหยียบเศษจาน” เขาดึงตัวผมเบาๆ แต่ก็ทำให้ผมถึงกับเซ “กูช่วยเก็บ”
“ไม่ต้อง พี่กลับเถอะ”
“กู…”
ผมรวบรวมเรี่ยวแรงฉุดตัวเขาออกมาจากส่วนครัว พาเดินผ่านน้าเกดกับแม่นั่งกันอยู่ที่โซฟา ซึ่งสำหรับผมตอนนี้ทั้งคู่ดูเหมือนภาพซีดจางที่เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย และพูดคุยกันแผ่วเบา
“ใส่รองเท้าครับ” ผมบอก
พี่ทัชยืนนิ่งอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะทำตาม จากนั้นผมก็ดันตัวเขาผ่านประตูบ้านออกไปด้วยกัน
“นะฑี”
“พี่กลับไปก่อนนะ ไว้ค่อยคุยกัน”
“กูขอโทษ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“ขอโทษที่…” เรามองสบตากัน หัวใจผมสั่นระริกให้กับสิ่งที่เขาจะพูดออกมาไม่ว่ามันจะเป็นคำไหนก็ตาม “ขอโทษที่ดื้อจะไปช่วยมึงล้างจาน กูไม่น่าไปยืนตรงนั้นเลย”
“อือ พี่แม่งดื้อ”
“...”
“แต่ช่างมันเถอะ แค่จะล้างจานเอง เรื่องเล็ก พี่กลับไปได้แล้ว”
ผมจำได้แล้ว พี่ทัชเคยบอกว่าปฏิกิริยาของคนที่ถูกเขาสัมผัสตัวจะแตกต่างกัน ตอนจับโกหกน้าเอ๊ด และพี่วิวัฒน์ นอกจากจะสัมผัสตัว เรายังต้องใช้อุบายและถามจี้เข้าเรื่องด้วยกว่าพวกเขาจะยอมคายความจริงออกมา
แต่กับแม่…
แค่พี่ทัชแตะตัวด้วยความบังเอิญแค่แป๊บเดียว แม่ก็คายมันออกมาแล้ว
บางทีมันอาจจะเป็นความจริงที่เอ่อขึ้นมาท่วมปากคอแม่อยู่นานแล้วก็ได้ พอถูกกระตุ้นนิดเดียว มันเลยหลุดพรวดออกมาเลย
“นะฑี…”
“หืม?”
“มึงโอเครึเปล่า”
“โอเคครับ”
พี่ทัชขยับเข้ามาและยกมือจะแตะแก้มผม
ปึก!
ผมผลักอกเขาพร้อมกับก้าวถอยครึ่งก้าว เป็นการตอบสนองทันควันโดยไม่ต้องคิด ไม่! ผมไม่อยากให้ใครแตะตัวตอนนี้ โดยเฉพาะนิ้วเรียวยาวที่ไม่มีพลาสเตอร์พันรอบนั่น
“...”
“...”
เรายืนนิ่งกันอยู่อย่างนั้นท่ามกลางความเงียบ รถรายังวิ่งสวนกันไปมาอยู่เบื้องหลังพี่ทัช เสียงความวุ่นวายแบบสังคมเมืองยังแว่วมาจากทุกทิศ แต่ในโลกของผมมันเงียบ
เงียบและหนาวเย็น
อีกทั้งกาลเวลาก็คล้ายกับจะหยุดนิ่งลง
“นะฑี” ในที่สุดพี่ทัชก็พูดขึ้นอีก
ผมฝืนยิ้ม สวมรอยยิ้มปลอมๆ ไว้บนใบหน้า “กลับไปได้แล้วครับ ผมจะได้เข้าบ้าน”
กาลเวลาหยุดทำงานอีกชั่วครู่
จากนั้นพี่ทัชก็ยอมผละออกไป “รีบเข้าบ้านนะ ไว้คุยกัน”
ผมมองตามหลังเขาไปเปิดประตูรถเพื่อจะเข้าไปนั่ง ขับรถดีๆ นะพี่ ผมอยากบอกเขา แต่ปากไม่ขยับ ทำได้แค่ยิ้มและหันมองเท่านั้น
จนเขาขับออกไป
จนรถคันนั้นหายลับตา
รอยยิ้มปลอมๆ นั่นถึงได้หายไปจากใบหน้าผม
ผมยังไม่เข้าบ้าน ยังไม่กล้าเข้าไปเจอหน้าแม่ แต่การยืนอยู่ตรงนี้คนเดียวก็ทำให้ตกเป็นเป้านิ่ง ความจริง ที่นิ้ววิเศษของพี่ทัชเพิ่งปลดปล่อยออกมาพุ่งเข้าจู่โจมผมอีกครั้ง อาการมวนท้องตีรวนขึ้นมา เหมือนมีตัวอ่อนสัตว์ประหลาดดิ้นขลุกขลักอยู่ในท้อง ผมยืดตัวหายใจ พ่นลมแรงๆ หวังให้ไอ้ความจริงนั่นหลุดออกมาพรวดเดียว
ได้ผล
มันผ่านปากผมออกมาแล้ว
“มะเร็ง”
________________
รักคนอ่านทุกๆ คนเลยนะคะ TT TT
นางร้าย
16.มกรา.2020