15
[/b]
“ คันโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย ยยยยยยย !! เหยดแม่งงงงงงงง ” ผมรีบลุกขึ้นนั่งจากที่นอนแล้วรีบถอดเสื้อนอนออกอย่างเร่งรีบแล้วรีบลุกขึ้นไปยังหน้ากระจกก่อนจะหันหลังสำรวจดู ตาก็ยังคงจ้องแผ่นหลังของตนเองผ่านกระจกใสบานใหญ่ ผื่นแดงขึ้นเต็มหลัง เหี้ยมาก ! ผมได้แต่ด่าตนเองอยู่ในใจ โครตๆแย่เลยแม่ง
ผมถอนหายใจออกมาแรงๆอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อคืนตอนกลับเข้าห้องแล้วไม่น่าไปหยิบเบียร์ไอ้กิ๊กมากินเลย กลายเป็นว่าแพ้ยิ่งกว่าเดิมอีก ผื่นแดงมากมายปรากฏขึ้นเต็มแผ่นหลัง ผมหันตัวกลับมายืนหันหน้าเข้ากระจกก็พบว่าตรงช่วงหน้าอกก็มีผื่นแดงๆอยู่เหมือนกัน แต่เป็นเพียงสีจางๆเท่านั้น ก่อนจะมองสำรวจอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งก็พบ รอยแดงตรงคอเป็นปื้นๆ สีแดงจางๆ คันก็คันชิบหาย ดีนะที่อาการแพ้ของเขามันแค่มีผื่นไม่ได้เป็นอะไรที่มันร้ายแรงกว่านี้
มือเรียวยาวของตนเองคว้าไปยังผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่แขวนอยู่กะว่าจะรีบไปอาบน้ำ ก่อนรูมเมทตัวดีจะมาเห็นสภาพของเขาตอนนี้ และก็สภาพกระป๋องเบียร์ที่วางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของตนอีกด้วย กินไปแค่ไม่กี่กระป๋องเอง ทำไมถึงเป็นเยอะขนาดนี้ว่ะ !
เป็นเพราะว่าเมื่อคืนไม่มีคนห้ามด้วยละมั้ง เขาถึงได้กล้ากินเบียร์ของเพื่อนในตู้แบบนั้น เมื่อวานไอ้กิ๊กมันไปทำงานที่สตูทั้งคืนกว่าจะกลับก็คงเช้า นั้นคือสิ่งที่มันบอกผม แต่ตอนนี้ก็เกือบจะเก้าโมงแล้วมันก็ยังไม่โผล่หัวเข้าห้องมา
ก่อนที่จะสิ้นสุดความคิดเรื่องไอ้กิ๊ก อยู่ดีๆประตูห้องก็ถูกไขกุญแจเข้ามา ผมเองที่ยังไม่ได้ไปอาบน้ำและเก็บกระป๋องเบียร์ไปทิ้งก็ได้แต่รีบไปเอากระป๋องเบียร์ที่วางไว้บนโต๊ะนั้น กวาดใส่อ้อมแขนแล้วรีบวิ่งไปยังระเบียงที่ประตูเปิดอยู่ก่อนจะโยนกระป๋องทั้งหมดลงทั้งขยะ แล้วรีบปิดประตูระเบียงเตรียมจะวิ่งเข้าห้องน้ำแต่ก็ไม่ทันการ เพราะรูมเมทสุดโทรมก็ปรากฏกายขึ้นให้เห็นแล้ว
มันเองเมื่อเห็นผม มันก็ได้แต่ไล่สายตาผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆแล้วทำหน้าเหมือนจะอ้วก พร้อมทั้งยื่นมือมาจับเอาผ้าเช็ดตัวที่พาดไหล่ออก ผมคิดว่าตอนนี้มันเองคงเห็นรอยแดงจากผื่นหมดแล้วแน่ๆ แถมยังเห็น .. .
“ เดี๋ยวก่อนนะมึง กูไม่แปลกใจที่มึงจะกินเหล้าแล้วเสือกผื่นขึ้น แต่กูติดใจตรงนี้ ” นิ้วเรียวของมันกดลงมาย้ำๆที่ช่วงหัวไหล่ผมหนักๆ
จะไม่ให้มันแปลกใจได้ยังไงในเมื่อผม .. .. ไปเพ้นท์มา ก็ในช่วงที่ซ้อมลีดนั้นแหละเห็นเพื่อนคนอื่นเพ้นท์บ้างไม่ก็สัก ด้วยความอยากลองมาตั้งนานแล้วเลยทำให้ไม่ลังเลยที่จะไปเพ้นท์มัน เลยกลายเป็นว่าช่วงหัวไหล่ผมตอนนี้มีรอยเพ้นท์รูปมือแบบโครงกระดูกเหมือนกำลังจับไหล่ผมอยู่และในมือโครงกระดูกนั้นก็มีดอกกุหลาบอยู่ด้วย ที่จริงมันก็คงจะจางหายไปได้แล้ว ยิ่งโดนน้ำบ่อยก็ยิ่งเลือนจางหาย บางคนอาจจะไม่สนใจและคิดว่าแค่เพ้นท์เล่นๆเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้กลับไปให้พี่ช่างเขาเพ้นท์ย้ำรอยเดิมอีกครั้ง
“ กูก็แค่เพ้นท์เล่นๆหน่า ”
“ ไม่คิดว่ามึงจะชอบอะไรแบบนี้ แล้วมึงกินไปเท่าไหร่ว่ะชิบหาย ผื่นถึงขึ้นหนักขนาดนี้ ” ไอ้กิ๊กมันทำสีหน้าหน่ายๆ เบื่อที่จะบ่นผม ไอ้เรื่องกินเหล้าแล้วผื่นขึ้นมันกลายเป็นเรื่องปกติตั้งแต่ผมได้ไปคัดตัวลีดแล้วละ แรกๆมันก็บ่นเอาซะยกใหญ่แต่พอผมบอกกับมันว่าจะกินแบบหักห้ามใจตนเอง มันก็พอโล่งใจ เพราะว่าตอนนั้นที่เคยกินเหล้ากับมันครั้งแรกแล้วแพ้ มันก็ตกใจเอาซะยกใหญ่แล้วพาผมไปโรงพยาบาล ไอ้กิ๊กมันนี่ขี้เป็นห่วงชิบหายเลยครับ
“ ก็สามกระป๋องประมาณนั้นแหละ ” ผมเรียบๆเคียงๆพูดขึ้น ก่อนจะต่อท้ายอีกประโยค
“ แต่เบียร์ที่กูกินมันเป็นเบียร์มึงนะ ” เมื่อผมพูดจบก็รีบเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำทันที ก่อนจะได้ยินเสียด่าไล่หลังมาติดๆ ไอ้กิ๊กแม่งห่วงเบียร์จะตาย ผมเห็นมันเก็บเบียร์นั้นมาจะสามสี่อาทิตย์ได้แล้วก็ยังไม่แตะ เวลาจะกินเหล้าหรือเบียร์ทีไร มันก็ไม่เคยเอาในตู้มากิน ได้แต่ลงไปซื้อข้างล่าง ไม่รู้จะห่วงอะไรหนักหนาก็แค่เบียร์สามกระป๋องเอง ..
หลังจากที่ออกจากห้องน้ำอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก็พบกับความจริงว่า ไอ้กิ๊กมันยึดเตียงผมไปและหลับไปอย่างไม่สนใจใครอีกเลย ที่มันมาไปนอนเตียงมันก็เพราะว่า บนที่นอนของมันตอนนี้มีแต่งาน งานและงานเท่านั้นที่วางรอมันอยู่บนเตียงรวมทั้งเศษกระดาษที่ถูกขย้ำๆ วางเกลื่อนเตียงเนื่องจากช่วงนี้ใกล้เดดไลน์มันแล้ว รีบเคลียร์งานส่ง
งานมันมาแบบวันต่อวันทำให้ช่วงนี้ไอ้กิ๊กไม่ค่อยได้พักผ่อนสักเท่าไหร่ นอกจากอยู่ทำงานดึกๆแล้วมันยังกินกาแฟแบบเพิ่มชอตทุกวัน เพื่อให้งานเสร็จ บางคนอาจจะคิดว่าทำไมต้องเร่งทำอะไรขนาดนี้แต่คือว่า มันเรียนออกแบบ สาขามันคณะมันทำงานส่งเพื่อเก็บคะแนนแบบดิบๆเลย ไม่มีการสอบอะไรทั้งนั้นมาช่วย เหมือนกับว่าที่มันเรียนอยู่ตอนนี้ก็คือการสอบนั้นเอง
บางครั้งผมก็เห็นมันทั้งเหนื่อยทั้งล้า แต่ก็ยังคงทำงานอยู่ดึกดื่น มาจะสองสามอาทิตย์ติดกันได้แล้ว ก็อดสงสารมันไม่ได้จริงๆที่ต้องอดหลับอดนอนแบบนี้ เมื่อคืนก็คงทำงานที่สตูทั้งคืนโดยไม่ได้พักละสิ ผมเดินเข้าไปใกล้ร่างโปร่งบาง ที่ผอมกว่าผมและลอบมองสีหน้าที่เหนื่อยอ่อนยามหลับของอีกฝ่าย
แม้มันจะทำงานหนักแค่ไหน แต่มันก็ยังคงถามไถ่ผมเรื่องผมกับพี่เอ็มอยู่เสมอ และคอยถามความรู้สึกว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มันยังคงตักเตือนอะไรหลายอย่างเพราะความเป็นห่วง แม่งเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ
ผมมองดูนาฬิกาที่บ่งบอกเวลาอยู่บนฝาผนัง ก่อนจะหยิบเอาเสื้อคลุมที่วางอยู่แถวเตียงขึ้นมาแล้วรีบใส่รองเท้าออกจากห้อง แม่งเกือบได้เวลาละ ได้เวลาตั้งการ์ดเป็นชั่วโมงๆ ถ้าใครมาเห็นสภาพผมตอนนี้ก็คงนึกว่าไปทำอะไรมาแน่นอน รอยแดงจางๆเป็นปื้นอยู่ตามซอกคอ เวรของกรรม เขาจะไม่คิดว่ากูมีค่ำคืนที่เร่าร้อนเหรอว่ะ ..
ช่วงเวลาที่มันผ่านไปอย่างเชื่องช้าก็จบลง อย่างกับเข็มนาฬิกามันไม่ขยับเดินอย่างนั้นแหละ กว่าจะผ่านไปแต่ละนาทีแต่ละชั่วโมง ทำเอาเมื่อยและล้ามากจริงๆ ผมบิดตัวไล่ความเมื่อยล้าอยู่ก็โดนไอ้เพื่อนตัวดีมันมาตบหลังซะเสียงดัง
“ ไอ้กาย ! ” ผมหันไปเอ็ดมันเสียงดังเพราะความเจ็บที่ปรากฏขึ้นบนแผ่นหลัง ทั้งแสบทั้งเจ็บ ทั้งคันเลย
“ เสียงดังไปละมึงๆ ” ไอ้กาย เพื่อนใหม่ของผมพูดขึ้นอย่างขำๆ ก่อนจะยกแขนมาคล้องคอผม ลากตัวผมไปหาพวกไอ้ทอย ไอ้กายมันเป็นคนตัวผอมๆแล้วก็สูงมากๆด้วย เกือบๆร้อยแปดสิบเซนเลยทีเดียว แถมผิวมันก็ขาวซะแบบเกือบซีดเลย รูปหน้าดีผมมันก็โคเรียสไตล์ตามแบบฉบับนิยม ลักยิ้มมันก็มี เวลายิ้มหรืออ้าปากทีจะเห็นเหล็กดัดฟันที่มันใส่อยู่ แม่งเวลาอยู่ใกล้ๆแล้วรู้สึกว่ามันน่ารักจริงๆ เวลามันแกล้งอะไรแรงๆ บางทีก็ไม่โกรธนะแม่งแบบ พอมันยิ้มส่งมาถึงแค่จะยิ้มแบบเล็กๆแนวขอโทษ เท่านั้นแหละ หายเลย แพ้คนมีลักยิ้มจริงๆ ยอมๆ
“ โบ้ มึงดูคอไอ้นี่ดิแม่ง เหมือนเมื่อคืนไปฟัดสาวมาเลย ” เสียงของไอ้กายพูดขึ้นเมื่อมันลากผมเข้าไปหาพวกเพื่อนที่นั่งกองกันอยู่ใต้ตึกคณะ
“ ฟัดสาวไรละมึง กูว่าไอ้เฟรนไปฟัดหนุ่มมารึเปล่า พอเลิกร้องเพลงก็หิวหนุ่มกลับห้อง ” ไอ้โบ้ เพื่อนชายตัวสูงผิวสองสีพูดขึ้น ไอ้นี่ก็เพื่อนใหม่อีกคนเหมือนกัน แต่เพียงแค่มันอยู่คนละคณะกันเท่านั้น ไอ้โบ้มันเรียนออกแบบครับ แต่ก็รู้แค่ว่าเรียนอกแบบเพราะมันก็ไม่ได้บอกอะไรเพิ่ม มันอาจจะเป็นเพื่อนร่วมเซคกับไอ้กิ๊กก็ได้ละมั้ง ไอ้โบ้มันตบท้ายคำพูดด้วยเสียงหัวเราะแล้วก็หันไปหยิบขนมมากิน
“ มึงก็ว่าไปนั้น แดกเหล้าไปอ่ะดิมึง ผื่นขึ้น ”
“ ไปกินไม่ชวนว่ะ ”
“ กูกินที่ห้องต่างหาก หยิบของเพื่อนมากิน ” ผมพูดตอบไอ้โบ้แล้ว คว้าขนมมากินบ้าง
“ แม่งซ้อมลีดเอาซะหมดวันเลยสัส ” ไอ้ทอยที่นั่งตรงกันข้ามผมพูดขึ้นอย่างเซ็งๆ มันก็คงจะเซ็งจริงๆนั้นแหละเล่นซ้อมตั้งแต่ ช่วงสิบโมงครึ่ง สิบเอ็ดโมง เลยเวลามาจนถึงเกือบห้าโมงเย็น
“ ทอย แล้ววันนี้ขึ้นสามทุ่มใช่ป่ะมึง จะซ้อมมั้ย ”
“ เออซ้อมหน่อยก็ดีว่ะ พวกมึงคืนนี้จะไปร้านป่ะว่ะ ” ไอ้ทอยตอบกลับว่าก่อนแสดงคงต้องซ้อมสักหน่อย และหันไปถามไอ้ที่เหลือว่าคืนนี้จะไปร้านมั้ย พวกมันสองคนก็เคยไปร้านอยู่ประมาณสองถึงสามครั้งก็ประมาณว่าไปนั่งฟังเพลงที่พวกผมแสดงและก็อาศัยไปกินเหล้าและถ้าเจอคนที่น่าจะ “ เข้า ” กันได้ มันก็หิ้วกลับไปบ้างบางครั้ง
“ ไปแน่นอน ! ” สองเสียงที่ประสานขึ้นมาพร้อมกันทำเอาผมกับไอ้ทอยหัวเราะร่วน แม่งจะไปฟังเพลงกินเหล้ารึว่าหิ้วหญิงกันแน่ว่ะเนี่ย
ตกกลางคืน ช่วงค่ำคืนของวันเสาร์เวลาสามทุ่มครึ่ง สายตาของผมยังคงจับจ้องอยู่ตรงโต๊ะข้างหน้า แม้ว่าไฟในร้านตอนนี้จะสลัวแค่ไหน แต่ไม่รูว่าทำไมรูปหน้าโครงหน้าของเขาถึงได้ชัดเจนในสายตาของผมขนาดนี้ ไม่คิดว่าเขาจะมาร้านนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะปกติพี่เขาและกลุ่มเพื่อนของเขานั้นมีร้านประจำของตนเองอยู่แล้ว ไม่นึกเหมือนกันว่าวันนึงที่ขึ้นแสดงแล้วจะมาเจอพี่เขาที่ร้านแบบนี้
แม้ว่าตอนนี้ ขณะนี้ผมกำลังร้องเพลงอยู่ก็เถอะแต่สายตา ยังไม่สามารถออกห่างจากร่างสูงได้ เหมือนเขาเองก็ไม่ได้สนใจคนร้องเพลงอย่างผม แต่กำลังคุยกับเพื่อนอยู่ ผมไล่มองเพื่อนในโต๊ะของพี่เขาแล้วก็ปรากฏร่างที่ผมคุ้นเคยนั้นก็คือพี่ต้นใหญ่ คงไม่แปลกที่พี่ต้นเล็กจะไม่มาก็ขานั้นไม่ค่อยจะชอบกินเหล้าน่ะสินะ
จวบจนเวลาผ่านมาจนถึงสี่ทุ่มครึ่งแล้ว พวกพี่เขาก็ยังอยู่ที่โต๊ะเดิมอาจจะมีคนอื่นๆแวะเวียนมาบ้าง ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ทั้งๆที่ผมควรจะสนใจร้องเพลงของตนเองไป แต่ไม่ว่ายังไงแม้จะละสายตาได้แล้ว แต่มันก็ยังคงไม่เชื่อฟังคำสั่งจากสมอง วนกลับไปมองเขาอีกครั้งอยู่ดี
สิ้นเสียงเพลงที่จบไป ผมกับทอยก็หยุดพักกัน แล้วชวนคนที่นั่งดื่มมาขอเพลงตามช่วงเวลาที่กำหนดในแต่ละคืน ผมปล่อยหน้าที่นี้ให้กับไอ้ทอยมันแล้วแยกตัวลงมาหาน้ำดื่มกินข้างล่างแทน ก่อนจะหยิบขวดน้ำดื่มติดมือขึ้นไปให้คนตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเวทีด้วย
ไอ้ทอยส่งกล่องที่มีกระดาษหลายแผ่นมาให้ผมเลือกเพลง และมันเองก็ชวนลูกค้ารอระหว่างผมเลือก สายตาของผมไล่มองกระดาษที่อยู่ในมือตอนนี้ ไม่เพลงรัก ก็เพลงเศร้าอกหัก บางเพลงก็เป็นเพลงสากล คืนนี้มีแต่เพลงที่ผมอยากร้องทั้งนั้น แต่อย่างว่ายังไงก็ต้องเลือกแค่เพียงเพลงเดียวเท่านั้น และเพราะว่ากลัวว่าจะรอกันนานเลยตัดสินใจจะเลือกเพลงสากลเพลงหนึ่ง แต่สายตาดันไปสะดุดกับกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกขย้ำอย่างลวกๆ ผมตัดสินใจหยิบกระดาษนั้นขึ้นมาคลี่ดูชื่อเพลง
ชื่อเพลงที่ปรากฏแก่สายตาทำเอาความคิดของผมชะงักอยู่เพียงเสี้ยวหนึ่ง “
ตกลงเราเป็นอะไรกัน ” คือชื่อเพลงที่ถูกเขียนลงในการะดาษ และผมเองคงจะไม่ติดใจอะไรถ้ากระดาษใบนี้ ไม่ได้มีลายมือต่อท้ายคำว่า
พี่ต้นเองและก็ไม่รู้ว่าอะไรดลใจทำให้ผมส่งกระดาษแผ่นนี้ไปให้ไอ้ทอย มันเองพอรับไปก็ก้มหน้าอ่านชื่อเพลง พอมันอ่านจบก็ได้แต่เงยหน้ามองผม เพราะมันเองก็รู้ว่าผมเลี่ยงการร้องเพลงอกหักมาสองสามครั้งแล้ว และมันก็คงไม่นึกว่าอยู่ดีๆ ผมจะอยากมาร้องเอาตอนนี้
ผมพยักหน้าให้มันเบาๆ ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้กับผู้ฟังที่กำลังรอผมร้องเพลง เสียงที่เปล่งออกมาบ่งบอกชื่อเพลงผ่านไมค์ ผมยิ้มเล็กๆตบท้าย แล้วเริ่มร้องเพลง . ..
ถึงเนื้อเพลงนี้ จะบอกเป็นกลายๆว่า เราเป็นแฟนกันหรือเปล่า ความจริงนั้นรักกันไหม มันก็ยังคงดีกว่าสิ่งที่ผมเป็นตอนนี้
ถึงบทสรุปแล้วมันจะคือความไม่ชัดเจนก็เถอะ แต่ความจริงของผมก็คือ ความไม่ชัดเจน และ สิ่งที่มันโครตค้างคากับความรู้สึกของผมก็คือพฤติกรรมที่พี่เขาทำ แอบข่มอารมณ์น้อยใจ ในส่วนลึกรู้มั้ยว่าฉันรู้สึก เรื่องความสัมพันธ์คลุมเครืออย่างไงไม่รู้ อาการที่ดูยิ่งคบกัน
แต่ไม่เห็นว่ามันจะเกินกว่าคนทั่วไป
เธอบอกว่าปลื้มใครต่อใคร ยังไง
เหมือนเธอไม่รู้รึว่า เจ็บนะ บางทีก็สงสัย พอใกล้ถึงท่อนฮุคของเพลง สายตาที่เคยมองแบบผ่านๆในช่วงแรกที่ร้องเพลงนั้น ก็วกกลับไปหาเจ้าของหัวใจของตนเอง ที่ตอนนี้เขานั้นก็กำลังมองผมอยู่เช่นกัน มีคำถามมากมายที่อยากจะถามไถ่ออกไป ในเรื่องของเมื่อคืน และความรู้สึกของเขา แต่ก็ได้เก็บเอาไว้ เพราะความรู้สึกตอนนี้มันยากที่จะอธิบายจริงๆ
ว่าฉันเป็นแฟนของเธอรึเปล่า ความจริงเรารักกันไหม
เวลาใครถามฉันควรตอบเขาอย่างไร
วันใดที่ไม่เจอ เหมือนเธอขาดอะไรมั้ย นั้นดิพี่ .. . สองอาทิตย์เต็มที่ไม่ได้เจอผม ไม่ได้คุยกัน เหมือนพี่ขาดอะไรบ้างมั้ย หรือว่าพี่นั้นไม่รู้สึกอะไรเลยกันว่ะ
ต้องการแน่ใจ ตกลงเราเป็นอะไรกัน
ต้องการแน่ใจ ตกลงเราเป็นอะไรกันความรู้สึกของตัวเองตอนนี้ก็คงจะเป็นแบบนี้ ตกลงเราเป็นอะไรกันกันแน่ กังวลจริงๆวะ พี่แม่ง .. . ไม่เคยสงสัยบ้างเลยเหรอ
ถึงบรรยากาศยามค่ำคืนภายในร้านจะสนุกแค่ไหน จะผ่อนคลายแค่ไหน แต่ผมก็ยังจมกับความรู้สึกเมื่อสักครู่หลังเพลงจบได้เป็นอย่างดี ตอนนี้ผมลงจากเวทีแล้วเนื่องจากวันนี้ไม่ต้องเล่นจนดึกเพราะมีสองวง ผมเล่นถึงห้าทุ่มครึ่งเท่านั้น
เสียงพูดคุยบวกกับเสียงเพลงจากวงพี่แต้มดังขึ้นอยู่ตลอด ทั้งๆที่วงพี่เขาก็เล่นแต่เพลงที่สนุกๆ และไม่ค่อยจะมีเพลงอกหักก็เถอะ แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมยังรู้สึกติดกับความรู้สึกนั้นอยู่ ทั้งๆที่ร้องเพลงจบแล้วมันก็น่าจะจบตามไปด้วย ผมยกแก้วที่มีน้ำสีสดใสอยู่ขึ้นมาดื่มติดๆกันหลายครั้ง จนไอ้กายแย่งแก้วไปจากผม
“ อยากผื่นขึ้นหนักกว่าเดิมเหรอครับมึง ”
“ มึงห่วงนักก็ไปซื้อยามาให้กูไงครับ ” ผมยักคิ้วพร้อมส่งยิ้มไปให้มันทีนึง ก่อนจะลอบมองสีหน้ามัน หน้าแดงจะตายห่าอยู่แล้ว กินไปเยอะกว่ากูอีกมั้งแหม
“ ใครบอกกูห่วงมึง ”
“ ห่วงกูก็บอกเถอะ ” ผมพูดแหย่มันไป ก่อนจะหันไปสนใจเรื่องที่ไอ้ทอยกับไอ้โบ้คุยกันอย่างออกรส
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันหนักๆหัว เหมือนว่าจะกำลังมึนๆอยู่ ตอนนี้บุคคลภายในโต๊ะได้ล้มพับไปหนึ่งแล้วนั้นก็คือไอ้กาย กินเอาๆอย่างเดียว จนไม่ทันสังเกตว่ามันล้มฟุบไปตอนไหน ผมควักเอาโทรศัพท์เครื่องบางที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากดดูเวลา จะตีหนึ่งแล้วเหรอว่ะเนี่ย ผมเลิกสนใจเวลาที่ปรากฏอยู่แล้วกดเข้าไปดูแจ้งเตือนในโปรแกรมแชทไลน์
มีของไอ้กิ๊กด้วยแหะ ผมกดเข้าไปอ่านก็พบว่าคืนนี้มันจะไปทำงานที่สตูเหมือนเดิม สองนิ้วพิมพ์ตอบกลับไปหามันว่าสู้ๆ และกดส่งสติ๊กเกอร์ให้มันแค่นั้น และกำลังจะกดออกจากโปรแกรมแชท สายตาก็ไปเห็นแจ้งเตือนหนึ่งที่ปรากฏขึ้นเวลาใกล้เคียงของคืนนี้ มันเป็นแชทสนทนาระหว่างผมกับพี่เอ็มที่ผมไม่ได้เข้าไปคุยเหมือนเดิมแล้ว
ข้อความที่พี่เขาส่งมานั้นปรากฏให้เห็นคือ
// กลับหอกัน ดึกแล้ว // ที่จริง .. ผมคิดว่าพี่เขาน่าจะไปต่อที่อื่นไม่ก็กลับไปก่อนหน้านี้แล้วซะอีก ผมนั่งมองข้อความที่พี่เขาส่งมาให้อยู่สักพัก ก่อนจะกดพิมพ์ตอบกลับไป อีกใจก็อยากไป .. . เพราะแค่เมื่อคืนคงไม่พอที่จะหายคิดถึง ทั้งๆที่ไม่ได้คุยกันเลยด้วยซ้ำ แต่อีกใจกลับบอกว่าอย่าไปกับพี่เขา ยิ่งไปเจอ ไปพบ ไปคุย ยิ่งทำใจยากกับความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นตอนนี้
และก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ถึงพิมพ์ตอบกลับไปแบบนั้น และหน้าจอสนทนาตอนนี้ก็ขึ้นว่า อ่านแล้วเรียบร้อย
// เจอกันหน้าร้านครับ //และนี่ก็เป็นอีกคืนที่ผมกับพี่จับมือกัน .. . และความอุ่นที่ได้สัมผัสจากมือพี่เขานั้นเรียกสติได้อย่างดีว่าคืนนี้เขากลับมาจับมือผมอีกครั้งและพาผมกลับหอ เรียวนิ้วที่ดูเรียวยาวนั้นสอดประสานกับมือของผม เพียงแค่พี่เขากระชับมือเบาๆ ก็ทำให้ผมกลับไปตกหลุมเดิมอีกครา . .. ไม่มีคำพูดในตอนนี้ มีแค่ความเงียบและแสงไฟจากเสาไฟในยามกลางคืนเท่านั้น และสายลมที่พัดผ่านเบาๆ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ผมถึงใจชื้นขึ้นขนาดนี้เหมือนกับว่ามีน้ำมาหล่อเลี้ยงมันแล้ว ถ้าถึงหอพัก .. .
ผมคงได้หลุดปากถามคำถามอะไรกับพี่เอ็มแน่ๆ อาการที่มันไม่แน่ไม่นอนแบบนี้ เขาเรียกมันว่าอะไรนะ .
=============================================
สวัสดีวันสงกรานต์นะคะ มาแบบมึนๆ 5555
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและติดตามเรื่องนี้กันนะ ขอบคุณค่ะ แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ
เล่นน้ำกันให้สนุกนะค้าบบบบบบบบบบบบบบบ