บทที่ ๔
ฟีเรียสไม่ได้เห็นเจ้าชายรามิเรสมาพักใหญ่แล้ว นั่นทำให้ว่าที่องครักษ์หนุ่มรู้สึกโล่งใจขึ้น
แม้จะรู้สึกโหวงๆ ในอกอยู่บ้าง แต่ก็โล่งใจมากกว่า การสนทนาครั้งสุดท้าย
ทำให้เขารู้สึกอับอายทุกครั้งที่นึกถึง แต่ก็รู้สึกดีที่มันช่วยแก้ปัญหาได้
อย่างไรก็ตาม... เขาไม่ได้โกหก
ฟีเรียสรู้ตัวมาหลายปีแล้วว่าเขาชอบมองผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แต่ก็ไม่เคยบอกใคร
และยิ่งไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายกับใคร ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งหรือผิวเผิน
เขาเคยเห็นเจ้าชายรามิเรสเสด็จมาที่โรงเรียนองครักษ์หลวงอยู่หลายครั้ง และมองพระองค์อยู่บ่อยๆ
ไม่ว่าจะเป็นพระพักตร์ รอยแย้มพระสรวล หรือพระวรกายของพระองค์ ก็ล้วนแต่ต้องตาต้องใจเขาไปหมด
ฟีเรียสแอบชอบเจ้าชายหนุ่มอยู่เงียบๆ และเขาก็พอใจที่ได้เพียงเท่านั้น
คืนนั้นเริ่มต้นขึ้นด้วยความบังเอิญ และจบลงด้วยความผิดพลาด
บังเอิญที่เขาเป็นหนึ่งในบรรดานักเรียนองครักษ์ที่ถูกเกณฑ์ให้ไปช่วยงาน
บังเอิญที่เจ้าชายรามิเรสทรงเลือกให้เขาช่วยพยุงพระองค์ขึ้นไปบนห้อง และผิดพลาด...
เมื่อคนที่วางยาปลุกกำหนัดพระองค์ไม่ได้ขึ้นมา จึงทำให้คนที่ต้องช่วยเหลือพระองค์กลายเป็นเขา
คืนนั้นเป็นประสบการณ์แรกระหว่างเขากับ ‘ผู้ชาย’ และไม่ใช่เรื่องที่น่าจดจำเลยแม้แต่น้อย
เจ็บปวด...จนรู้สึกว่าร่างกายแทบจะแหลกสลาย แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนมากนัก
เขาเต็มใจ แม้ว่าจะเจ็บปวดมากกว่ามีความสุข
ฟีเรียสคิดว่าเจ้าชายรามิเรสคงจะทรงลืม ทำเป็นลืม หรือไม่ก็บอกให้เขาลืม
พระองค์ทรงทำข้อสุดท้ายจริง แต่พอเขาปฏิเสธเงิน พระองค์ก็ทรง ‘เสนอตัว’ แทนเงิน
โดยที่เขาไม่ต้องการเลย แม้จะยอมรับว่ามีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นหน้า
และยินดีที่ ‘ครั้งแรก’ ของเขาคือพระองค์
แต่เขาก็ยังอยากที่จะแอบชอบอยู่เงียบๆ เหมือนเดิมอยู่ดี
เพราะรู้ดีว่า... ไม่มีอนาคตที่สดใสสำหรับเขาและพระองค์
อย่างไรก็ดี ต่อไปนี้เขาคงไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องของพระองค์อีกแล้ว
ฟีเรียสไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องพบกับเจ้าชายรามิเรสอีก และยิ่งคิดไม่ถึงด้วยว่าเขาจะเป็นฝ่ายขอพบ
พายุฝนหลงฤดูพัดกระหน่ำรุนแรง น้ำป่าไหลหลากลงมาจากภูเขา
และทำให้หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านลับหายไปกับสายน้ำ ผู้คนจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก
แต่โชคดีที่คืนนั้นมารดาและน้องสาวของเขาค้างคืนอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาอีกลูกหนึ่งจึงรอดตาย
ฟีเรียสรู้เรื่องนี้หลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาได้เกือบสองเดือน
น้องสาวของเขาเขียนจดหมายมาบอกและฝากขอบคุณเจ้าชายซึ่งเป็นเจ้านายของเขาด้วย
ที่ให้ทั้งเงินทั้งคนงานมาช่วยสร้างบ้านหลังใหม่ให้ เฟย์ถามเขาว่าเขาถูกเจ้าชายพระองค์ไหนจองตัวไว้ให้เป็นองครักษ์
นางไม่รู้ เขาเองก็ไม่รู้ แต่เดาได้ และคิดว่าเดาถูก
ว่าที่องครักษ์หนุ่มขอเข้าเฝ้าฯ เจ้าชายรามิเรสผ่านทางผู้อำนวยการโรงเรียนองครักษ์หลวง
และได้เข้าเฝ้าฯ ในห้องเดิม แต่คราวนี้เขารู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อยลงกว่าเดิมอีกมากมาย
“กระหม่อมอยากจะขอบพระทัยเรื่องบ้านพระเจ้าค่ะ” บ้านหลังใหญ่มาก... น้องสาวของเขาว่าอย่างนั้น
“ไม่เป็นไร ข้าอยากช่วย”
ฟีเรียสชอบนิสัยแบบนี้ของอีกฝ่าย... เจ้าชายหกไม่เคยแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง
“กระหม่อมจะทำงานเก็บเงิน และค่อยๆ ผ่อนใช้คืนพระเจ้าค่ะ หากฝ่าบาทจะทรงพระกรุณา”
“ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าใช้คืน แค่เจ้าไม่เอาเรื่องที่ข้าถือวิสาสะทำลงไปข้าก็ขอบใจมากแล้ว”
ฟีเรียสบดกรามเข้าหากัน ไม่เข้าใจว่าเจ้าชายพระองค์นี้จะทำให้เขารู้สึกต่ำต้อยไปถึงไหน
จะทำให้เขา... ชอบพระองค์มากขึ้นอีกไปทำไม
“กระหม่อมจะใช้คืนแน่ๆ พระเจ้าค่ะ ขอเพียงฝ่าบาทรับสั่งบอกจำนวนเงินมา
ต่อให้ต้องทำงานชั่วชีวิตเพื่อหาเงินมาคืน กระหม่อมก็จะทำ” ซึ่งก็คงจะต้องใช้เวลาชั่วชีวิตจริงๆ
“เจ้าจะถือว่าข้าชดใช้ให้เจ้า... เรื่องคืนนั้นก็ได้”
“กระหม่อมกราบทูลแล้วว่าไม่เป็นไร”
“เรื่องบ้าน... ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ข้าอยากให้”
“แต่กระหม่อมไม่ใช่ขอทาน!”
ชายหนุ่มโพล่งออกไป เจ้าชายหกจึงทรงนิ่งเงียบ
นักเรียนองครักษ์คนนี้ปกติจะสุภาพก็จริง แต่พอโมโหก็ใช้คำแรงทีเดียว
คราวที่แล้วว่าไม่ได้ขายตัว คราวนี้ก็ว่าไม่ใช่ขอทาน
พระองค์ไม่เคยทรงพระดำริเช่นนั้นเลยสักนิด
แต่ถึงจะรับสั่งอีกเท่าไร เขาก็คงจะไม่ฟัง
“.....”
เจ้าชายหกแห่งไม่ซีนรับสั่งบอกตัวเลขด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ คราวนี้ฟีเรียสเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งบ้าง
บ้านแบบไหนถึงใช้เงินมากขนาดนั้น!
“กระหม่อม... จะพยายามหามาใช้พระเจ้าค่ะ แต่ยังกราบทูลไม่ได้ว่าจะผ่อนจ่ายยังไง
ระหว่างนี้จะโปรดให้กระหม่อมเซ็นสัญญาไว้ก่อนก็ได้”
น้ำเสียงของว่าที่องครักษ์หนุ่มกลับมาเรียบสงบดังเดิมแล้ว เจ้าชายรามิเรสได้แต่ทรงอ่อนพระทัย
“เงินเดือนขององครักษ์คงไม่มาก” ยิ่งถ้าไม่ได้เป็นองครักษ์ของเจ้าชายหรือคนสำคัญยิ่งได้น้อย
“กว่าจะจ่ายได้ครบ คงต้องใช้เวลาสักสามสี่สิบปี”
ได้ยินรับสั่งแล้วคนฟังก็อดจะโทษว่าอีกฝ่ายอยู่ในใจไม่ได้ว่าพระองค์นั่นล่ะที่ทรงต้อนให้เขาจนมุม
ถ้าเขาเก็บเงินสร้างบ้านเอง ที่ไหนเลยจะต้องใช้เงินมากขนาดนี้
“กระหม่อมจะทำงานอย่างอื่นพระเจ้าค่ะ”
“องครักษ์ต้องทำงานเต็มเวลา”
“กระหม่อม... จะลาออก”
“เหตุผลล่ะ”
ฟีเรียสคิดว่าเขาไม่จำเป็นต้องกราบทูล อีกฝ่ายทรงทราบเพียงว่าเขาจะไม่บิดพลิ้วก็พอ
แต่เมื่อเห็นสีพระพักตร์เรียบขรึมของพระองค์ เขาก็นึกเกรงพระทัยขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“เป็นองครักษ์ได้เงินเดือนประจำ แต่ถ้าทำงานอย่างอื่นจะได้เงินตามความขยันพระเจ้าค่ะ”
และเขาก็ไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนเทอมสุดท้าย
“ไม่เสียดายเวลาหรือ อุตส่าห์เรียนมาเกือบห้าปี”
ว่าที่องครักษ์หนุ่มไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรับสั่งให้ได้อะไรขึ้นมา
ลำพังแค่ไม่มีคนช่วยตอกย้ำ เขาก็ช้ำใจมากพอแล้ว
ฟีเรียสนิ่งเงียบ
“จะออกไปทำอะไร”
“คงจะทำสวนผลไม้พระเจ้าค่ะ”
อาชีพองครักษ์มีเกียรติ แต่อาชีพทำสวนก็ไม่น่าอาย
“แล้วจะจ่ายเงินคืนข้ายังไง หรือจะให้ข้าส่งคนไปรับ”
“กระหม่อมจะนำมาถวาย”
“ไปกลับใช้เวลาสี่ห้าวัน เจ้าจะไม่เสียเวลาหารายได้ไปเปล่าๆ หรือ”
ชายหนุ่มเม้มปากแทบเป็นเส้นตรง อีกฝ่ายทรงรอบคอบกว่าเขาจริงๆ
“ไม่เป็นไรพระเจ้าค่ะ” เดี๋ยวเขาค่อยคิดหาวิธีดีๆ ใหม่
เจ้าชายรามิเรสทรงทราบแล้ว ว่าคำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ของนักเรียนองครักษ์ผู้นี้มักจะมีความหมายตรงกันข้ามเสมอ
และหากพระองค์ทรงปล่อยให้เขาหาทางแก้ปัญหาเอง ก็ไม่รู้ว่าจะเข้ารกเข้าพงไปถึงไหนอีก
“เรียนต่อเถอะ อีกแค่เทอมเดียว เรียนจบแล้วจะเป็นองครักษ์หรือไม่เป็นก็ค่อยคิดอีกที”
“กระหม่อมตัดสินใจแล้วพระเจ้าค่ะ” ถึงแม้จะเสียดายแทบขาดใจก็ตาม
“เรื่องค่าเรียน ข้าจะออกให้ก่อน”
แม้จะรู้สึกเจ็บใจที่อีกฝ่ายทรงรู้ทันเขาไปเสียทุกอย่าง
แต่สีพระพักตร์ของพระองค์ก็ไม่ทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกใช้เงินฟาดหัวเลยแม้แต่น้อย
“กระหม่อม...”
“ระหว่างเรียน ถ้าทำงานพิเศษไปด้วยก็คงจะพอใช้คืนข้าได้บ้างก่อนเรียนจบ”
แต่ก็ต้องพึ่งพาพระกรุณา ขอให้พระองค์ทรงหางานให้อยู่ดี... ชายหนุ่มได้แต่คิดอย่างสังเวชตัวเอง
“กลับไปคิดดูก่อนก็ได้ แล้วค่อยให้คำตอบข้า”
การสนทนาในวันนั้นจบลงตรงนี้
หลังจากนั้นไม่นานฟีเรียสก็โมโหเจ้าชายหกแห่งไมซีนอีก
คราวก่อนเขาเขียนจดหมายไปถามน้องสาวเรื่องเงิน และนางก็ตอบกลับมาแล้วว่าไม่ต้องห่วง
เพราะคนของ ‘เจ้าชาย’ ให้เงินไว้ทำทุนจำนวนหนึ่งด้วย พอเขาไปฝ่ายธุรการ
เรื่องการขอผ่อนผันค่าเรียนเทอมสุดท้าย ก็ได้คำตอบว่ามีคนนำมาจ่ายให้เขาเรียบร้อยแล้ว
“ฝ่าบาทรับสั่งว่าจะทรงให้เวลากระหม่อมคิด”
ชายหนุ่มทักท้วงกึ่งกล่าวโทษทันทีที่ได้เข้าเฝ้าฯ อีกครั้ง
“ขอโทษ”
ได้รับคำตอบกลับคำเดียว ฟีเรียสถึงกับพูดต่อไม่ถูก
สีพระพักตร์ของเจ้าชายรามิเรสดูจริงใจเกินไป
และเขาเองก็ซื่อสัตย์ต่อตัวเองมากเกินไปเช่นกัน
เขารู้ว่าคนที่ช่วยเหลือเขามากมายขนาดนี้ไม่จำเป็นต้องรับสั่งคำว่าขอโทษก็ได้
แต่พระองค์ก็ทรงถือวิสาสะมากเกินไปจริงๆ
“เจ้าอยากจะให้ข้าทำยังไง”
...มาถามเขาได้ยังไงกัน เขาต่างหาก ที่ต้องทูลถามว่าพระองค์อยากให้เขาทำยังไงต่อไป...
ต่างฝ่ายต่างเงียบกันไปครู่หนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาครั้งไหน
ก็ต้องมีช่วงเวลาแบบนี้มาทำให้รู้สึกอึดอัดใจทุกครั้งไป
“กระหม่อมจะทำตามที่ฝ่าบาททรงแนะนำเมื่อคราวก่อนพระเจ้าค่ะ”
ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ จากคนไม่มีหนี้ จู่ๆ ก็กลายเป็นคนมีหนี้ล้นพ้นตัวขึ้นมา เขาเองก็สับสน
“ถ้าเป็นไปได้ กระหม่อมก็จะพยายามเก็บเงินทยอยใช้ค่าบ้านคืนฝ่าบาทด้วย” เขาไม่อยากเป็นหนี้พระองค์นานหลายสิบปี
“หากว่า... ฝ่าบาททรงทราบว่ามีงานอะไรที่จะทำให้กระหม่อมสามารถหาเงินมาคืนฝ่าบาทได้เร็วขึ้น
กระหม่อมก็ขอประทานพระกรุณาให้ทรงบอกด้วยพระเจ้าค่ะ”
ในที่สุด... เขาก็ต้องพึ่งพระองค์อีก
เจ้าชายรามิเรสทรงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรับสั่งออกไปทั้งที่ยังไม่แน่พระทัยว่าควรจะรับสั่งดีหรือไม่
“หลายเดือนก่อนข้าไปหอบุปผามา”
ฟีเรียสขมวดคิ้ว... มาบอกเขาทำไม
“มิทรอสเรียกผู้หญิงมาให้ข้าคนหนึ่ง ข้าก็... ทำกับนางได้ตามปกติ”
พระพักตร์ขาวสะอาดของเจ้าชายหกมีสีระเรื่อขึ้นนิดหนึ่งราวกับทรงกระดาก
ฟีเรียสตีหน้านิ่งเฉย ทั้งที่นึกสงสัยว่าเขากับพระองค์สนิทกันถึงขนาดพูดคุยเรื่องแบบนี้กันได้ตั้งแต่เมื่อไร
“แล้วเขาก็เรียกผู้ชายมาให้ข้า”
ถึงตรงนี้ ว่าที่องครักษ์หนุ่มไม่อาจทำหน้าเฉยได้อีกต่อไป
นี่หมายความว่า... คุณชายบ้านเสนาบดีกลาโหมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นด้วย... อย่างนั้นสินะ
เจ้าชายแห่งไมซีนทรงสังเกตสีหน้าของคู่สนทนาอยู่ตลอดเวลา
เมื่อทอดพระเนตรเห็นว่าแม้ฟีเรียสจะดูอึ้งๆ ไป แต่ก็ยังไม่น่าจะอยู่ในช่วงอารมณ์อันตรายนักจึงรับสั่งต่อ
“เด็กหนุ่มคนนั้นพยายามทำให้ข้ามีอารมณ์ร่วม แต่ข้าก็ไล่ออกไป”
จบเรื่องเล่าแต่เพียงเท่านี้ พระองค์ทรงทราบดีว่าไม่จำเป็นต้องทรงเล่าอย่างหมดเปลือก
... ว่ามีเด็กหนุ่มกี่คน และแต่ละคนมีรูปร่างหน้าตา หรือสีผิวแบบไหน
ความเงียบอันน่าอึดอัดใจเกิดขึ้นอีกแล้ว หลังจากเจ้าชายรามิเรสทรงทราบแน่
ว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดอะไรขึ้นก่อน พระองค์จึงรับสั่งเสียเองว่า
“ถึงจะลองทำขนาดนั้นแล้ว แต่ข้าก็ยังลืมเจ้าไม่ได้”
สีหน้าของฟีเรียสบอกความรู้สึกแปลกๆ อึดอัด สับสน งุนงง ปนๆ กับความรู้สึกขัดเขิน
สีหน้าแบบสุดท้ายนี่เองที่ทำให้คนทอดพระเนตรมองอยู่พระทัยชื้นขึ้นมานิดหนึ่ง
“ข้าคิดว่าข้าไม่ได้ชอบผู้ชาย แต่... ข้าไม่เคยลืมคืนนั้นเลย แล้วมันก็... ไม่ใช่ความทรงจำที่แย่”
ฟีเรียสยังคงไม่พูดอะไร และเจ้าชายหนุ่มก็ทรงเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร
“ข้าเป็น... ผู้ชายคนแรกของเจ้ารึเปล่า” ... เจ้าชอบผู้ชายหรือผู้หญิง...
ตรัสถามไปแล้วเจ้าชายหกก็แทบจะทรงกลั้นพระทัยรอคำตอบ
ฟีเรียสนิ่งอึ้ง งันไปครู่หนึ่ง แววตาของชายหนุ่มไหววูบ... ก่อนจะส่ายหน้า
คนถามไม่ได้ทรงคาดหวังว่าคำตอบจะต้องเป็นเช่นไร แต่เมื่อทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น
พระองค์ก็ทรงรู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที... ทั้งที่น่าจะทรงดีพระทัยที่ไม่ได้ทรงทำลายศักดิ์ศรีของเขามากเกินไปนัก
นานอีกหลายอึดใจ กว่าเจ้าชายรามิเรสจะรับสั่งบอกพระประสงค์ที่แท้จริงของพระองค์ออกมา
“ข้าอยากจะลอง... กอดเจ้าอีกสักครั้ง”
ฟีเรียสเบิกตากว้างขึ้นอย่างตกตะลึง
“อยากจะรู้ว่าถ้าเป็นตอนที่กำลังมีสติดีอยู่ ข้าจะยังทำแบบนั้นได้อีกไหม”
ว่าที่องครักษ์หนุ่มตัวสั่นด้วยความโกรธ ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเสียจน
คนประทับหลังโต๊ะทำงานทรงพระดำริว่าพระองค์อาจจะถูกต่อยในไม่ช้า
ทว่าหลังจากเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ๆ ฝ่ายนั้นก็ใจเย็นลง
อย่างไรก็ดี แม้จะพยายามพูดเรียบๆ แล้ว แต่น้ำเสียงก็ยังปกปิดความโกรธกรุ่นไว้ไม่มิด
“คืนนั้นฝ่าบาททรงเมาแล้วก็โดนยาแรงมาก ใครช่วยฝ่าบาททรงปลดเปลื้องได้ฝ่าบาทก็ต้องทรงคว้าไว้ก่อน
จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็ไม่สำคัญ แต่ตอนนี้ฝ่าบาทไม่ได้ทรงตกอยู่ใต้เงื่อนไขแบบนั้นแล้ว
เพราะฉะนั้นทรงลืมมันไปเถิดพระเจ้าค่ะ พระคู่หมั้นของฝ่าบาทจะได้ไม่ต้องเสียใจ”
“นางจะไม่รู้เรื่องนี้”
อ้อ... เพราะว่านางจะไม่รู้สินะ ถึงจะทรงใช้เขาเป็นเครื่องมือ
เจ้าชายรามิเรสทรงถอนพระทัยเบาๆ พระองค์ไม่ทรงทราบหรอกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่
แต่สีหน้าและท่าทางราวกับจะแค่นยิ้มออกมานั่นก็ทำให้พระองค์ทรงรู้สึกว่ารับสั่งอะไรผิดพลาดไปเสียแล้ว
“ถ้าเจ้ายอม เจ้าก็ไม่ต้องคืนเงินให้ข้าอีกแม้แต่เหรียญเดียว”
ประโยคนี้... ยิ่งผิดพลาด
“กระหม่อมไม่ใช่...”
“ข้ารู้แล้ว”
ฟีเรียสโกรธจนหน้าเป็นสีก่ำ ในขณะที่พระองค์เองก็ทรงอึดอัดพระทัย
“ข้าเองก็ไม่เคยคิดแบบนั้น ไม่ได้อยากทำให้เจ้ารู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
เจ้าชายหนุ่มไม่ทรงแปลกพระทัยที่อีกฝ่ายจะรู้สึกโกรธ
แต่การที่เขาระงับอารมณ์โกรธและกลับมาสงบนิ่งได้อย่างรวดเร็วทำให้พระองค์นึกชื่นชม
“ฝ่าบาททรงวางแผนมาก่อนรึเปล่าพระเจ้าค่ะ”
“เปล่า”
“ไม่ได้ทรงช่วยเหลือครอบครัวของกระหม่อมเพราะหวังจะให้กระหม่อมยอมแลกเปลี่ยนหรือพระเจ้าค่ะ”
“ไม่ใช่”
สายตาสองคู่ประสานกัน คู่หนึ่งจ้องจับผิด ส่วนอีกคู่หนึ่งแสดงความจริงใจ
เจ้าชายรามิเรสทรงรอให้แววแข็งๆ ในดวงตาของอีกฝ่ายอ่อนแสงลงก่อน จึงว่า
“อย่าคิดว่าข้าพยายามจะซื้อตัวเจ้าเลย ข้าแค่อยากให้เจ้าสงเคราะห์ให้ข้าหายสับสน”
สีพระพักตร์และพระสุรเสียงของเจ้าชายหนุ่มทำให้ฟีเรียสใจอ่อนลงวูบหนึ่ง
ครั้งหนึ่ง... เขาก็เคยสับสนและหวั่นกลัว
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก
“กระหม่อมขอเวลาคิดพระเจ้าค่ะ”
สายตาประกอบคำพูดมีรอยเตือนอยู่ในที ว่าถ้าคราวนี้พระองค์ทรงถือวิสาสะจัดการกับชีวิตเขาอีกล่ะก็
... คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกแล้ว
คำตอบของเจ้าชายรามิเรส
คือรอยแย้มพระสรวลที่ดูอบอุ่นแกมยินดีเสียจนทำให้คนมองเห็นใจแกว่ง
tbc
********************************************************
อ่านความคิดเห็นเนี่ย สนุกกว่าอ่านเนื้อเรื่องอีกนะคะ ^^
เรื่องคู่หมั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ชุนไม่ชอบเขียนถึงนางอิจฉาหรือว่าตัวร้าย
นางแทบจะไม่มีบทบาทอะไรเล้ยยยยยยยยย เป็นเรื่องของสองคนนี้ล้วนๆ
ปัญหาอย่างเดียวน่าจะเป็นเรื่องความสัมพันธ์ที่ดำเนินไปแบบเนิบๆ เท่านั้นเองค่ะ
เกือบจะเรียกได้ว่า สารภาพว่ารักกันเมื่อไหร่ก็จบเรื่องพอดี
คนอ่านคงจะลุ้นจนเหนื่อยแน่ๆ