วันรุ่งขึ้นทั้งสามคนต้องกลับแต่เช้า พอถูกถามถึงเรื่องเสียงทุบประตูเมื่อคืน พนักงานที่ล็อบบี้ก็ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่แทนลูกค้าห้องตรงข้าม จึงได้ความว่าเสียงทุบประตูนั้นเกิดจากสามีภรรยาทะเลาะกัน คืนก่อนพวกเขาเข้าพักก็เป็นอย่างนี้จนต้องมีพนักงานไปเตือน ทั้งอธิศและชนกันต์ถึงได้คลายกังวลลงได้
รถออกจากโรงแรมตั้งแต่ตีสามและถึงที่คอนโดมิเนียมของศรัณย์ในตอนเจ็ดโมงเช้า ขากลับใช้เวลาน้อยกว่าขามา เพราะอธิศกะเวลาถูกแล้วว่าถ้าเขาเดินทางตั้งแต่เช้ามืดก็จะหลีกเลี่ยงรถติดได้
จิตแพทย์หนุ่มช่วยศรัณย์ยกกระเป๋าลงจากท้ายรถ พูดคุยกันนิดหน่อยก็ได้ความว่าเดี๋ยวขึ้นไปเก็บของเสร็จ ศรัณย์จะนั่งแท็กซี่ไปโรงพยาบาลเอง แพทย์อย่างพวกเขาไม่มีสิทธิ์ลางานมากนัก ในอีกหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างช้า อธิศกับชนกันต์เองก็ต้องรีบออกจากคอนโดมิเนียมของตัวเองเพื่อไปให้ทันเวลาเข้างานตอนแปดโมงตรง
“หมอ ผมยังกังวลแปลก ๆ” ชนกันต์พูดขึ้นตอนที่ทั้งคู่อยู่บนรถขณะขับตรงไปยังโรงพยาบาล แต่พอชั่งใจได้ว่าเรื่องไฟในห้องพักที่โรงแรมกระพริบไม่ใช่เหตุผลที่ดีนัก ประโยคถัดจากนั้นคือ “ไม่เป็นไร ผมคงคิดไปเอง”
ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ยิ้ม และอดไม่ได้ที่จะเลื่อนมือไปยีผมทุยเบา ๆ พลางว่า “ทำใจให้สบายเถอะครับ มันไม่มีอะไรแล้ว”
ทุกคนเอาแต่พูดคำว่าไม่มีอะไร เช่นเดียวกับชนกันต์ที่พยายามหลอกตัวเองด้วยคำนั้น
ปรสิต | EPILOGUE
เสียงเปิดประตูเรียกให้คนบนเตียงค่อย ๆ สะลึมสะลือตื่นขึ้นหลังจากหลับคาหนังสือที่แม่เอามาให้ เขาเพ่งสายตามองบานประตูสีเมเปิ้ลแล้วก็ฉีกยิ้มกว้างเมื่อเห็นใครอีกคนเดินเข้ามาภายในห้อง หัวใจดวงเท่ากำปั้นของรามิลเต้นไม่เป็นจังหวะ รีบใช้สองแขนพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น แล้วมันก็ตลกเสียด้วยที่เขาดันนั่งหลังตรงยังกับกำลังสอบสัมภาษณ์ ศรัณย์อยู่ในชุดกาวน์และมีสเตทโตสโคปคล้องคอ ไม่แน่ใจนักว่าอีกฝ่ายมาด้วยจุดประสงค์แบบไหน กระทั่งริมฝีปากรูปกระจับนั้นระบายยิ้มตอบขณะค่อย ๆ หย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้เยี่ยมไข้
“เป็นยังไงบ้าง” คนแก่กว่าถามขึ้นก่อน และเชื่อเถอะว่านี่เป็นคำถามแรกที่รามิลอยากตอบที่สุดในรอบเดือน
“หมอธนพลให้แอดมิทอีกคืนครับ พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้” เขามองริ้วรอยความอ่อนเพลียของคนตรงหน้า เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ศรัณย์ยอมอ่อนลงเร็วกว่าที่คิด หลังจากขอเวลาเขาไว้ทั้งสีหน้าลำบากใจอย่างนั้น “วันนี้ไม่ต้องเข้าเวรต่อเหรอครับ”
รามิลถามหยั่งเชิง อีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าตอบแล้วเงียบไปพักใหญ่
“พี่เสือ?”
เขาเรียกซ้ำ ศรัณย์ดูราวกับจมอยู่กับภวังค์ความคิดบางอย่าง ปากก็เม้มจนเป็นเส้นตรง แต่แล้วในนาทีต่อมา แพทย์หนุ่มกลับกุมมือคนรักเอาไว้พลางลูบด้วยนิ้วหัวแม่มืออย่างทะนุถนอม
“เก้า”
“....”
“พี่คิดถึงนาย”
“อ่า...” แปลก นี่มันแปลกแต่ก็ดีเอามาก ๆ หรืออันที่จริงเขาควรรู้อยู่แล้วว่ารอไม่นาน ศรัณย์ก็คงใจอ่อนและพยายามช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้น คนตรงหน้านี้ช่างอ่อนไหวเหลือเกินพอเป็นเรื่องของรามิล “พี่... เปลี่ยนใจแล้วเหรอครับ”
“มาคิด ๆ ดูแล้ว พี่ไม่น่าทำกับนายอย่างนั้น” ศรัณย์ยิ้ม พลางทอดสายตามองมือของทั้งคู่ซึ่งกอบกุมกันเอาไว้ ความคิดหลายอย่างเหมือนผืนน้ำที่ตื้นเขินอยู่ในแววตา และถึงจะดูขลาดเขินที่จะพูดต่อ แต่ศรัณย์ก็พยายามระบายการเสียฟอร์มครั้งนี้ออกทางแรงบีบที่มือซึ่งมากขึ้นจนแนบแน่น “อันที่จริงพี่ได้คุยกับอธิศ แล้วมันก็น่าละอายใจชะมัดเลยที่ต้องเอาเรื่องนายไปปรึกษาคนอื่น”
คนฟังแปลกใจ แต่ก็ยิ้มรับและฟังต่ออย่างตั้งอกตั้งใจ เขาคาดหวังเหลือเกินกับสิ่งที่จะได้ยินจากปากคนรัก
“ทั้งที่นายมีแค่พี่เท่านั้น -- ดูสำคัญตัวเองจัง” ในประโยคหลัง นายแพทย์แซวตัวเองทั้งเสียงกลั้วหัวเราะ “พี่ลองถามตัวเองอีกครั้ง ว่าจะโกรธนายด้วยเรื่องอะไร”
“....”
“แค่เพราะพี่ไม่รู้จักนายดีพออย่างนั้นหรือ? อย่างนั้นก็คงเป็นความผิดของเราทั้งคู่”
“พี่เสือ...”
“แล้วพี่ก็คงต้องขอโทษนายด้วย นายพยายามบอกพี่หลายครั้งว่ารักครั้งนี้มันมีค่ามากแค่ไหน”
“ไม่เป็นไรเลย แค่พี่ยกโทษให้ ผมก็ดีใจมากแล้ว”
รามิลหัวเราะบ้าง ราวกับความขมขื่นที่ผ่านมามลายเป็นปลิดทิ้งเพียงแค่ได้ยิน มือของศรัณย์ยังอบอุ่นเสมอ คล้ายจะปลอบประโลมความรู้สึกซึ่งทั้งคู่สูญเสียไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา คนรักของเขายิ้มได้มีความสุขเหลือเกิน ถ้าได้พี่เสือกลับมาอยู่เคียงข้างอย่างนี้ รามิลก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว
“เมื่อคืนพี่ฝัน เหมือนจะเป็นฝันร้าย”
“ครับ?”
“เด็กคนนั้น... พลอยมาหาพี่”
ร่างทั้งร่างชาวาบ คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน และปากก็แข็งทื่อจนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไป เขาไม่ได้คิดเล่าเรื่องฝันร้ายเมื่อคืนนี้ ทันทีที่เห็นศรัณย์เปลี่ยนเป็นใครอื่น เด็กหนุ่มก็สะดุ้งตื่นขึ้นเพราะมีนางพยาบาลเข้ามาดูอาการ หล่อนพูดคุยเป็นเพื่อนเขาอยู่ครู่หนึ่ง และถึงจะนอนต่อไม่หลับในทันที แต่รามิลเลือกเปิดรายการวาไรตี้ดูฆ่าเวลา พอรู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลับคาเสียงโทรทัศน์ไปตอนไหน
เด็กหนุ่มกลืนก้อนน้ำลายเหนียวลงคอ “แล้ว... เกิดอะไรขึ้นครับ”
“พี่คิดว่าเธออาจมาลา” เสียงของศรัณย์สงบนิ่งและราบเรียบ “ในตอนนั้นพี่ได้เห็นหน้าเธอชัด ๆ แต่แทนที่จะรู้สึกกลัวอย่างในทีแรก มันกลับกลายเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก”
รามิลหายใจได้ยากขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเจตนาแบบไหน เขาก็อยากลบชื่อแพรพลอยออกไปจากสารบบอยู่ดี
“เราทั้งคู่ต่างก็รักนาย เก้า”
คำนี้กรีดใจของคนฟังให้ปวดหนึบขึ้นมาหลังจากความคิดก่อนหน้า
“แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกัน คือพี่ยังอยู่ตรงนี้กับนายได้ แต่เธอไม่แล้ว”
ศรัณย์คลายแรงบีบแล้วจึงประคองขึ้นมาด้วยสองมือ เขาพรมจูบที่มือของรามิลแผ่วเบา ดวงตาเรียวรีสั่นระริก และรามิลไม่รู้ว่าเขาควรต้องรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ ศรัณย์ไม่เคยรู้จักแพรพลอยมาก่อน ไม่เคยรู้ว่าตัวเองถูกดึงเข้ามามีส่วนในเรื่องนี้จนกระทั่งวันที่เขาสารภาพ เด็กหนุ่มไม่รู้หรอกว่าแพรพลอยรู้สึกอย่างไร เขาไม่เคยสนใจเธอด้วยซ้ำ ไม่แม้กระทั่งอยากไปเหยียบที่งานศพนั้นเพื่อบอกลา ในการพบเจอครั้งสุดท้ายของคนทั้งคู่ ใจของรามิลมีแต่ทิฐิและความเกลียดชัง
และจากนั้น แพรพลอยจึงส่งศรัณย์มาลงโทษเขา
“พี่ก็แค่เดามั่วซั่วน่ะ พอเห็นอย่างนั้น ก็สะดุ้งตื่นอีกทีตอนเช้าเพราะเสียงนาฬิกาปลุก” แพทย์หนุ่มพูดติดตลก “ที่จริงเด็กคนนั้นอาจจะเกลียดพี่มาก จนอยากมาเข้าฝันก่อนไปก็ได้”
รามิลอยากหัวเราะตาม แต่พอเป็นเรื่องของแพรพลอยแล้ว มันทำให้เขาเกิดอยากสงบปากสงบคำมากกว่าการพูดอะไรออกไป ในหัวมีแต่คำว่าอะไรก็ช่าง จะอะไรที่เป็นเหตุผลให้ศรัณย์และเขาฝันถึงผู้หญิงคนนั้น แต่รามิลเชื่อว่ามันได้จบลงแล้ว เขาอยากให้อีกฝ่ายเลิกคิดเรื่องที่เป็นชนักติดหลังนี้เสียที
“ว่าแต่ --” ยังกับรู้ใจ หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ศรัณย์ก็เปลี่ยนเรื่องในที่สุด “พรุ่งนี้แม่นายจะเป็นคนมารับใช่ไหม”
“ครับ” ถึงตรงนี้เสียงของรามิลแผ่วลง เขาอาจจะโลภมากเกินไปถึงได้กระชับมือของคนรักไว้เสียแน่นขนาดนี้ “ยังมีของผมอีกเยอะเลยที่ห้องพี่”
“แล้ว?” แพทย์หนุ่มยิ้ม ในแบบที่คงนึกอยากจะฟัดนักศึกษาแพทย์ขาเจ็บได้ทุกเมื่อ
“ผมว่าพี่รู้ ว่าผมจะพูดอะไร”
ทั้งคู่เงียบไปชั่วอึดใจ จากนั้นมืออีกข้างของศรัณย์จึงรั้งท้ายทอยของเขาเข้าไปใกล้ ประกบริมฝีปากอย่างโหยหา ออดอ้อน และไร้ซึ่งช่องว่างใด ๆ ของความสัมพันธ์ เรื่องร้ายทุกอย่างผ่านไปแล้ว เราทุกคนล้วนผ่านฝันร้าย อดีต และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ปลายจมูกของทั้งคู่คลอเคลียกัน ก่อนจูบครั้งต่อไป ศรัณย์จึงให้คำตอบที่รามิลอยากฟังเป็นที่สุด
“โทรบอกที่บ้านสิ ว่าพรุ่งนี้จะมีคนรับกลับไปอยู่หอแทนแล้ว”
และไม่ว่าตอนนี้แพรพลอยจะอยู่ที่ไหน อย่างไร หรือส่วนใดของความทรงจำ รามิลก็คิดว่ามันคงไม่สำคัญอะไรอีก
--------------------------------------------------
เชื่อเถอะว่าอธิศแปลกใจยิ่งกว่าใครทั้งหมด ในตอนที่รู้ว่าศรัณย์จะเป็นคนรับรามิลออกจากโรงพยาบาลและตรงกลับคอนโดมิเนียมเลย ร่างผอมยกแก้วอเมริกาโนขึ้นจิบ ไม่ว่าจะตอนไหน ๆ พวกเขาก็ชอบร้านกาแฟหน้าโรงพยาบาลเสมอ
“ไม่เป็นไรหรอก กว่านายจะได้รถก็ตั้งอาทิตย์หน้า ตอนนี้ก็ให้ฉันไปส่งก่อน”
จิตแพทย์หันไปขอบคุณพนักงานซึ่งยกคาปูชิโนร้อนมาเสิร์ฟ เสียงน้ำตกเล็ก ๆ ตรงมุมร้านคล้ายจะช่วยให้บรรยากาศดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ และเขาก็ยืนยันเป็นครั้งที่สองแล้วว่าการอาสาพาทั้งสองคนไปส่งไม่ได้ลำบากอะไร
วันนี้เป็นวันเสาร์ ชนกันต์ต้องแวะมาเอาเอกสารรับรองจากทางโรงพยาบาลและคงจะเสร็จในไม่ช้า ซึ่งก็เป็นเรื่องบังเอิญอีกที่อธิศเจอศรัณย์ที่นี่ ได้ความว่าเจ้าตัวกำลังนั่งรอรามิลตรวจเช็กอาการครั้งสุดท้าย อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็ขึ้นไปรับกลับบ้านได้
“รับจ็อบเป็นสารถีหรือไง” ศรัณย์แซวทั้งเสียงกลั้วหัวเราะ “ที่จริงแล้ว นั่งแท็กซี่น่ะสบายกว่าขับรถเองเสียอีก ไม่ลำบากอะไรหรอก”
“รับน้ำใจหน่อยเถอะเสือ พอไปถึงที่คอนโด ฯ ฉันกับกันต์จะได้ช่วยนายสองคนถือของขึ้นไปได้”
“ของมีแค่กระเป๋าหนึ่งใบ เว้นแต่นายจะอยากร่อนไปแถวนั้นเพราะติดใจร้านก๋วยจั๊บนั่นแหละ ถึงเป็นเหตุผลที่เข้าท่า” อายุรแพทย์เสนอ ทำเอาอธิศต้องหัวเราะยอมแพ้แล้วยอมให้อีกคนใช้บริการรถแท็กซี่แต่โดยดี
หันไปเห็นนายแพทย์รุ่นพี่ทางด้านนอกร้านกำลังโบกมือหยอย ๆ บวกกับเสียงกระดิ่งตรงประตูดังขึ้น อธิศจึงขอตัวสักห้านาที แล้วฝากให้ชนกันต์ซึ่งเพิ่งมาถึงอยู่คุยเป็นเพื่อนศรัณย์ไปก่อน คนตัวเล็กได้แค่ยิ้มรับ ก่อนจะแวะสั่งม็อคค่าเย็นแล้วเดินไปทิ้งตัวลงตรงข้ามนายแพทย์ที่พูดทักทายเขาขึ้นมา
“อ้าว ว่าไง”
“สวัสดีครับหมอ” ชนกันต์ยิ้มรับ พลางมองเอกสารสองสามแผ่นที่วางอยู่ข้างจานรองกาแฟของอีกฝ่าย อาจจะดูค้างไว้ตั้งแต่ที่นั่งคุยกับหมออธิศเมื่อสักครู่นี้กระมัง ครั้นหันไปมองนอกร้าน ก็เห็นคนในความคิดกำลังยืนพูดคุยอยู่กัยชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐาน ดูจากความอ่อนน้อมของอธิศแล้ว ชนกันต์คิดว่าคงเป็นผู้ใหญ่ที่อีกฝ่ายเคารพ
เด็กหนุ่มหันกลับมาให้ความสนใจกับคนตรงหน้า ศรัณย์ยกกาแฟขึ้นจิบ ระหว่างคนทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรให้ต้องพูดคุยกันนัก
“สบายดีนะ”
“ครับ สบายดี” คนถูกถามยิ้มตอบ สมองทำงานหนักเมื่อไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาชวนคุย “วันนี้หมอเข้าเวรเหรอครับ”
“เปล่าหรอก ผมแวะมารับเก้าน่ะ”
ชนกันต์ทำตาโตเหมือนอธิศไม่มีผิด “เอ่อ... หมอคืนดีกับเก้าแล้วเหรอครับ” แล้วเขาก็เพิ่งนึกได้ว่าคำถามนี้อาจเสียมารยาทเกินไป แต่ศรัณย์ไม่ได้มีทีท่าถือสาหาความ
“จะว่าอย่างนั้นก็คงใช่” ริมฝีปากนั้นฉีกยิ้มกว้าง “ไหน ๆ ทุกอย่างก็จบลงด้วยดีแล้ว งานศพแพรพลอยทำให้ผมคิดได้ว่า ไม่อยากให้ตัวเองจมอยู่กับความรู้สึกแบบนั้นอีก”
คนอ่อนวัยกว่ายิ้มตาม พอเห็นความสุขของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว หัวใจเขามันก็คลายกังวลลงได้บ้าง ถึงจะเอาแต่วิตกจริตว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก แต่ก็เท่านั้น มันเป็นแค่ความคิดลม ๆ แล้ง ๆ ซึ่งพาลทำให้ชนกันต์โกรธตัวเองขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ที่ยังนึกระแวงแพรพลอยอยู่ ถึงแม้ว่าเธอจะจากไปอย่างสงบในอ้อมกอดของบ้านอันเป็นที่รักแล้วก็ตาม
“นั่นสินะครับ ก่อนหน้านี้มีเรื่องมากมาย ผมดีใจที่ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ดีขึ้นสักที”
“คุณเองก็สาหัสน่าดู”
สิ้นคำแซวของหมอศรัณย์ ทั้งคู่หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน พอได้คุยด้วยความผ่อนคลายอย่างนี้แล้ว ชนกันต์ก็รู้สึกว่าอธิศไม่ได้อยู่ข้างนอกนานจนเกินไปนัก ทุกคนต่างเกี่ยวโยงกันในเรื่องนี้ด้วยความบังเอิญ เป็นโชคชะตาที่น่ากลัว เหลือเชื่อ ทั้งยังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไปในทางใดก็ตาม
หมอศรัณย์กับรามิลอาจจะรักกันมากขึ้น เด็กคนนั้นได้รับบทเรียนที่ลบล้างไม่ได้ไปตลอดชีวิต ชนกันต์คิดว่าหมอเสือคงคิดได้ว่าความแข็งแกร่งที่สุดของความรักก็คือการที่ทั้งสองคนช่วยประคับประคองกันอย่างเห็นใจ
ส่วนเขาและอธิศก็ได้พบเจอความรู้สึกใหม่ หลังต้องเกื้อกูลกันถึงหลายต่อหลายครั้ง ชนกันต์นึกภาพไม่ออกว่าถ้าในวันนั้น อธิศยอมจ่ายยาให้เขาแบบไม่ถูกกฏ หรือไม่สนใจแม้กระทั่งว่าเด็กฝึกงานหัวแข็งคนนี้จะมาตามนัดหรือเปล่า บางทีเขาคงไม่ได้มานั่งดื่มมอคค่าเย็นแก้วนี้ แล้วมองดูสีหน้ามีความสุขของทุกคนที่ยังมองเห็นได้
ส่วนแพรพลอย ความรักและการไม่สมหวังไม่ใช่สิ่งที่ฆ่าเธอให้ตาย แต่เป็นความโชคร้ายต่างหาก ถ้าวันนั้นเธอมีโอกาสได้กลับมา หรือเลือกที่จะไม่ขึ้นรถไปกับคนพวกนั้นแล้วล่ะก็ บางทีถึงตอนนี้ เธออาจยังอยู่เพื่อเจอใครที่มอบความจริงใจให้โดยไร้ข้อแม้ หรืออีกสองปีเธออาจจะเป็นแพทย์หญิงฝีมือดีอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่มีตัวตนแค่เพียงในความทรงจำของใครสักคน
“....!”ทั้งร่างเย็นวาบเมื่อได้ยินบางอย่างในโสตประสาท ชนกันต์มองคนตรงหน้าที่ยังคงนั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะ หากแต่ไหล่สองข้างสั่นเทา มันประสานไปกับเสียงหัวเราะพึงพอใจที่เล็กแหลมเกินกว่าจะเป็นเสียงของหมอศรัณย์ ร่างเล็กเหลียวมองรอบตัว นอกจากพนักงานในเคาน์เตอร์และผู้ชายที่อยู่ถัดไปอีกสองโต๊ะแล้ว ในร้านนี้ก็ไม่มีใครนอกจากเขาสองคน
ไหล่ของศรัณย์ยังสั่นไปพร้อม ๆ กับเสียงนั้น บรรยากาศเย็นยะเยือกคล้ายจะโรยตัวลงมา มือของเด็กหนุ่มคว้าเอากระเป๋าซึ่งวางอยู่ข้างตัวเอาไว้ แต่มันก็ไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะพาตัวเขาลุกขึ้นแล้วเดินหนีความแปลกประหลาดนี้ไปเสีย
“ห... หมอ...”
นายแพทย์เงยหน้าขึ้นจากเอกสาร เสียงหัวเราะเงียบไปแล้ว ศรัณย์เลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่ายซึ่งถอยไปเสียจนแผ่นหลังแทบจะฝังลงไปในพนัก “ว่าไงกันต์”
ชนกันต์อยากถามเหลือเกินว่า
เมื่อกี้หมอหัวเราะเหรอครับ แต่เขาก็ไม่กล้าพูด ศรัณย์ดูต่างไปจากเมื่อครู่นี้เหลือเกิน ไหล่นั้นสงบนิ่ง ทั้งยังสีหน้าแปลกใจ ราวกับว่าเขาน่าเป็นห่วงที่เหงื่อออกได้แม้กระทั่งอยู่ในห้องแอร์และมีมอคค่าเย็นวางอยู่ตรงหน้าแบบนี้
พอเห็นเด็กที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ตอบอะไร ศรัณย์ก็ยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกา แล้วจึงรวบเก็บเอกสารบนโต๊ะเพื่อใส่ลงในกระเป๋าทรงแบนข้างตัว อธิศไหว้ลาคู่สนทนาแล้ว จิตแพทย์มองมาทางนี้เพียงครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับมาทางประตูร้าน
“เดี๋ยวผมต้องไปรับเก้าแล้ว เอาไว้เราไปหาร้านนั่งดื่มกันแบบคืนนั้นอีกนะ”
ยิ้มของศรัณย์สดใสเหมือนตอนที่เขาเพิ่งมาถึง มือจับกระเป๋าไว้ข้างตัวเป็นมั่นเหมาะ แล้วก็ก้าวขาออกจากช่องแคบ ๆ ระหว่างโต๊ะกับโซฟาอย่างระมัดระวัง
ก่อนจะเดินสวนออกไป มือนั้นวางบนไหล่ของเขา มันบีบเบา ๆ เมื่อเสียงนั้นพูดทิ้งท้าย ชนกันต์รู้สึกเหมือนแข็งเป็นหิน ขนบนร่างกายลุกซู่ ความรู้สึกเหมือนมีแมลงนับพันตัวไต่ยุบยับ แล้วก็ไม่แม้แต่จะกล้าหันไปเพื่อสบว่านัยน์ตาของหมอศรัณย์เป็นสีดำด้านหรือประกายไปด้วยความสุขสม
ริมฝีปากนั้นฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ชนกันต์”
“....”
“รู้อะไรไหม”
“....”
“เราทุกคน... ไม่มีใครหลุดพ้นจากเรื่องนี้หรอก”ได้ยินเสียงหมอศรัณย์คุยกับหมออธิศอีกราว ๆ สองสามประโยคแถวประตู จนกระทั่งร่างสูงเดินกลับมาถึง ก็ต้องขมวดคิ้วอย่างแปลกใจที่เห็นว่าชนกันต์เอาแต่จ้องมองรอยน้ำที่อีกฝั่งของโต๊ะไม่ละสายตา
“กันต์”
ร่างเล็กไม่ยอมขยับ ดวงตาเบิกโพลงและแดงก่ำ อธิศต้องเขย่าต้นแขนนั้น เบา ๆ เพื่อเรียกสติ ซึ่งดูเหมือนว่าชนกันต์คงไม่มีแล้ว เพราะในนาทีต่อมา หยาดน้ำตาก็ค่อย ๆ ล้นและไหลออกมาเป็นสาย มือบนหน้าตักนั้นสั่นเทา แล้วก็ราวกับจะบีบกระเป๋าทั้งใบลงมาเป็นก้อนเล็ก ๆ ภายใต้ฝ่ามือ
“กันต์”
เด็กหนุ่มยกมือขึ้นบีบแขนของอธิศเอาไว้เป็นที่ยึด ริมฝีปากบิดเบี้ยว พยายามพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเปล่งเสียงคำแรกออกมาได้
“หมอ...”
“ใจเย็น ๆ ตั้งสติดี ๆครับ”
เสียงหอบหายใจของชนกันต์นั้นน่ากลัว เขาพยายามสูดลมหายใจลึก ปากอ้าออกกว้างเพื่อโกยอากาศและความกล้าเข้าปอด
“มัน...”
“....”
“มันยังไม่จบ”
------------------------------------------------------
( มีต่อ )