ความเสี่ยงที่ 30
9.23ประตูห้องปิดลงพร้อมๆ กับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของตัวผมเอง
พีทกับอาร์ตกลับไปแล้ว
ผมเดินมาทิ้งตัวลงบนโซฟา รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก อย่างน้อยเพื่อนผมก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือต่อต้านอะไรที่จู่ๆ ก็มีแฟนเป็นเจ้าหวาน พวกมันถามแค่ว่า ไปคบกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ใช่ มึงเป็นเกย์ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือมานั่งเค้นคอถามเรื่องรสนิยมทางเพศของผม ที่อาร์ตมันโวยวายก็เพราะน้อยใจหาว่าผมไม่เชื่อใจ มีอะไรไม่บอกมัน ทั้งๆ ที่ไอ้พีทเหมือนจะรู้เรื่องมาโดยตลอด
เอ้า… กูก็ไม่ได้เล่าอะไร มันแค่ช่างสังเกตกว่านะอาร์ตมึง!!!
ช่างสังเกตมากซะจน...
จนไปถึงรอยมือบนต้นขาผมเลยเชียวแหละ
ไม่รู้ว่าแม่งหวังดีหรืออะไรเมื่อคืนเลยแอบมากระซิบว่า
รู้ว่าขัดจังหวะ แต่มึงไม่ต้องเอาหลักฐานมาให้กูดูก็ได้ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ตาก็จ้องเอาจ้องเอาบนรอยที่อีกคนทำทิ้งเอาไว้ เล่นเอาผมที่เพิ่งโผล่ออกมาจากห้องนอนหน้าร้อนฉ่าวิ่งกลับไปเปลี่ยนกางเกงขายาวแทบไม่ทัน
กว่าที่ความวุ่นวายจะจบลงก็ปาเข้าไปตีสี่กว่าเข้าไปแล้ว ตอนแยกย้ายเข้าไปนอนก็เหลือแต่ความง่วงแบบตาจะปิด แบบไม่ต้องคิดจะสานต่อ… เอ่อ.. เรื่อง… อะไรต่อมิอะไร…
อา…
ผมหน้าแดงก่ำ ซบหน้าลงกับมือตัวเอง แค่คิดก็อายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน
ทำไมเมาแล้วปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้นะ ถ้าเมื่อคืนไอ้อาร์ตไม่เมาโวยวายขึ้นมา…
ป่านนี้…
โอ๊ยยยยยย
“เป็นอะไรครับ?” ผมหันขวับไปตามต้นเสียง “เป็นอะไร ไม่สบายเหรอครับ ทำไมหน้าแดงจัง” หวานถามพลางลูบหัวแมวจิ๋วที่อยู่ในอ้อมแขนไปด้วย
เป็นบ้า!
“ม… ไม่เป็นไร!” ผมตอบเสียงดัง พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
คนตัวสูงขมวดคิ้ว ปล่อยแมวลงกับพื้นแล้วเดินดุ่มๆ มานั่งลงข้างผมที่โซฟา
“ไหน ดูซิว่าโกหกรึเปล่า” ว่าแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ยิ้มพรายจนผมต้องยกมือขึ้นมาขวางเอาไว้
“ไปห่างๆ เลย ไม่ต้องเข้าใกล้”
“เขินก็พูดมาสิครับ” หวานหัวเราะแล้วพูดล้อๆ “เมื่อคืนออกจ--”
“เงียบ!!!” ผมพูดเสียงดัง หน้าร้อนไปถึงหู “เงียบไปเลยนะ!”
ทำตามคำบอกได้ไม่นาน อีกคนก็คว้าหมับเข้าที่มือแล้วยิ้มมุมปากก่อนจะพูดออกมาอย่างนึกสนุก
“วินครับ”
!!
อะไรนะ
“วินครับ” คนข้างตัวพูดย้ำอยู่ใกล้ๆ
ใช้เวลาอีกหลายวินาทีกว่าผมจะได้สติ
“เดี๋ยวก่อน!” ผมทำตาโต ขยับตัวถอยหลังโดยอัตโนมัติ พยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของอีกฝ่าย แต่ดูเหมือนคนเด็กกว่าจะไม่ยอมง่ายๆ “เดี๋ยว หยุดพูดเลยนะ”
“ก็แฟนชอบให้เรียกแบบนี้ ผมก็ต้องเรียกแบบนี้สิครับ”
เรื่องอะไรมาเรียกกันตอนนี้ล่ะ!!! แล้วทำไมต้องทำตาวิบวับแบบนั้นด้วย!!!
ผมยกมืออีกข้างจะฟาดต้นแขนคนตรงหน้าแรงๆ แต่อีกคนกลับฉวยโอกาสดึงตัวเข้าไปเสียชิด
“เฮ้ย!!” ผมร้องเสียงดัง ตั้งท่าจะดิ้นออก แต่หวานก็โอบให้หลังผมพิงเข้ากับแผ่นอกไม่ยอมให้ลุกออก แถมยังเอาคางวางเกยไหล่แล้วโยกตัวเบาๆ เหมือนจะหลอกล่อให้ใจเย็นลง
ผมถอนหายใจพรืด… ทำเหมือนผมเป็นเด็กไปได้… บ้าบอ...
“จะได้รู้สึกเป็นแฟนกันจริงๆ ไม่ใช่รุ่นพี่รุ่นน้องแบบที่เป็นมาไงครับ” คนตัวดีแอบกระชับวงแขนที่พาดรั้งอยู่บริเวณช่วงเอวให้แน่นขึ้นอีกนิด “เนอะคุณ”
“...”
“นี่… บอกผมหน่อยสิว่านี่แค่เขิน”
เขิน… เหรอ...
ผมเม้มปากแน่น
ไม่รู้! ไม่รู้โว้ย!
แต่ที่รู้คือตอนนี้รู้สึกหน้าร้อนหัวร้อน ไม่อยากอยู่ตรงนี้อ้ะ!!
แววตาเจ้าเล่ห์ที่จดจ้องอยู่พราวระยับ “ว่าไงครับ หูแดงหมดแล้วนะ”
ผมเบี่ยงตัวหลบเมื่อรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ กับสัมผัสของริมฝีปากที่หลังคอตัวเอง
รีบพูดเสียงดุทั้งๆ ที่รู้สึกเหมือนจะเป็นลม “โอ๊ย! จะเรียกอะไรก็เรียกไปเลย!”
“โอ๋ๆ เข้าใจแล้วครับว่าเขินจริงๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้” หวานพูดขำๆ แล้วกลับมาวางคางไว้บนไหล่ เกลี่ยนิ้วบนหลังมือผมเล่นอยู่พักหนึ่ง
แต่นี่มันนานเกินไปแล้วมั้ยเล่า...
“นี่ ปล่อยได้แล้วคุณ ผมจะไปเติมอาหารให้จิ๋ว”
อีกคนแค่ทำเสียงหึในคอแทนการปฏิเสธ แล้วยังแอบแนบหน้าลงบนไหล่ผมอีกต่างหาก
“ปล่อยยย” ผมพูดลากเสียง “ไหนว่าไม่แกล้งแล้วไง”
ผมออกแรงดิ้นนิดๆ อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังก่อนจะยอมปล่อยมืออก “นี่เห็นแก่คนขี้เขินนะครับ”
“อะไร!” ผมลุกพรวดแล้วหันขวับไปมองหน้าร่างสูง ขมวดคิ้วใส่ก่อนจะเดินปึงปังออกไป
ก็ที่ตัวเองนั่งหน้าแดงอยู่น่ะ ไม่ใช่เพราะเป็นคนขี้เขินเหมือนกันรึไงเล่า!
บ้าบอ!! _ _ _ _
10.45หลังจากจัดการอาหารเช้าง่ายๆ อย่างพวกขนมปังกับนมลงท้องไปเรียบร้อย ผมที่กำลังอยู่ในครัวก็ต้องยอมใจอ่อนก้มลงคว้าตัวจิ๋วขึ้นมาอุ้มไว้หลังจากล้างจานเสร็จ ก็เจ้านี่น่ะ มาเดินพันแข้งพันขา ร้องเรียกแล้วก็บ่นหงุงหงิง ตั้งท่าจะเข้ามาอ้อนอยู่สักพักแล้วน่ะสิครับ
“ว่าไง” ผมพูดกับแมวหูเดียว มันร้องเหมียวขึ้นก่อนจะยืดตัวเอาจมูกขึ้นมาชนข้างแก้มผมอย่างเอาใจ ผมเลยเหลือบตาไปที่ถาดอาหารที่ว่างเปล่าแล้วก็ต้องยิ้มขำ “อิ่มแล้วก็อ้อนเชียวนะ แสบเอ๊ย”
“ทำไมทีกับเจ้านั่นใจดีจังละครับ” คนที่กำลังนั่งอยู่ด้านนอกมองมาแล้วทำหน้าหงิก “ทีกับผมนะ ฟาดเอาฟาดเอา”
“เอ้า นี่แมว” ผมร้อง กอดแมวไว้ในอ้อมแขน “หึงรึไง”
“ใช่สิครับ” หวานยอมรับหน้าตาเฉย ทำเอาผมขำพรืด “ไม่ตลกนะ ผมหวงจริงๆ” อีกฝ่ายย้ำ
“เหรออออ” ผมยิ้มแล้วลากเสียงยาว จงใจจ้องใบหน้าอีกคนแบบตาไม่กระพริบพร้อมๆ กับที่แกล้งกดริมฝีปากลงไปหอมหัวกลมๆ ของจิ๋วแบบอ้อยอิ่งเพื่อดูปฏิกิริยา
เห็นคนเด็กกว่าตีหน้ายุ่ง คิ้วชนกันแบบนั้นแล้วตลกชะมัด
“นี่มันไม่ได้ยั่วให้หึงแล้วครับ… นี่มันยั่วอย่างอื่นแล้ว”
ห๊ะ...“จะบ้าเรอะ!” ผมร้องเสียงหลง ไหงเป็นอย่างนั้นล่ะเฮ้ย
“อย่าไปทำแบบนี้ให้ใครเขาเห็นเลยนะครับ ขอเตือนเลย”
ผมเบ้หน้าแล้วบ่นอุบอิบ ก่อนจะปล่อยแมวลงกับพื้น “บ้าแล้ว...”
“บ้าอยู่กับคนเดียวนี่แหละครับ” หวานพูดเปรยๆ แล้าถามต่อ “แล้วที่เมื่อวานบอกว่าจะกลับบ้านนี่… เปลี่ยนใจแล้วเหรอครับ”
“ฝันกลางวันเหรอ” ผมกัดเข้าให้ “ว่าจะออกสักเที่ยงๆ”
“ก็ถามดู เผื่อว่าจะเปลี่ยนใจอยากอยู่กับแฟน” ร่างสูงยกมือขึ้นเกาแก้ม “อ๊ะ งั้นต้องรีบอาบน้ำแล้วสิครับ เดี๋ยวไม่ทันนนะ” หวานชะเง้อคอมองนาฬิกาแล้วลุกขึ้น “เดี๋ยวผมอาบข้างนอกเอง”
“อือ….”
“เดี๋ยว อะไรนะ” ผมที่กำลังจะเดินไปทางห้องนอนหันควับมาอุทาน “นี่คือจะไปด้วยเหรอ?”
อีกคนพยักหน้ารับแทบจะทันที “ห้ะ จะไปทำไม” ผมถามเสียงสูง
“ไปไหว้พ่อกับแม่ไงครับ” หวานยิ้มตาหยี “จะไปขอลู-- โอ๊ย! เจ็บครับ” ฟังคำพูดยังไม่ทันจบ ผมก็เดินเข้าไปเหยียบเท้าอีกฝ่ายเสียเต็มแรง ข้อหาพูดจาเพ้อเจ้อ
“พอเลย ไม่ต้องไป” ผมห้าม “เพื่อนก็เรื่องนึง… นี่พ่อแม่นะ ต้องเปิดตัวพร้อมกันให้หมดทั้งโลกเลยรึไง”
“ยังไม่เปิดตัวก็ได้นะครับ” หวานบอก “แต่อยากไปเจอก่อนว่าดุรึเปล่า จะได้คิดถูกว่าจะพาหนีไปเลยดีมั้ย”
ผมตีไหล่คนตัวสูงกว่าแรงๆ “นี่! มัวพูดเล่นอยู่ได้”
“ผมไม่ได้พูดเล่นนะครับ นี่จริงจังสุดๆ” หวานรั้งเอวผมให้เข้าไปยืนใกล้ๆ ร่างสูงก้มหน้าลงมองตาพลางพูดต่อ “ก็อยากไปเจอหน้าพ่อแม่คุณไว้ก่อนเท่านั้นเอง”
ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันพลางคิดหาคำพูดไปด้วย
“กังวลอะไรครับ” หวานยกมือขึ้นมาประคองหน้าให้ผมกลับไปสบตากันดีๆ แล้วส่งยิ้มให้
“ตอนนี้มีแฟนแล้ว กลุ้มใจอยู่คนเดียวไม่ได้แล้วนะ”
ผมย่นจมูกใส่ “นี่สะกดจิตกันอีกแล้วรึไง”
“แล้วได้ผลมั้ยล่ะครับ”
ผมสบตาคู่นั้นแล้วถอนหายใจ
“ก็… ไม่รู้ว่าถ้าที่บ้านรู้เรื่องนี้จะว่ายังไงบ้าง ผมเป็นลูกชายคนเดียวนะ… คงโกรธ.. รับไม่ได้ แล้วก็… คงผิดหวังมากๆ”
“ก็… ยังไม่ต้องบอกเรื่องของเราก็ได้ครับ” หวานยิ้มให้ “วันนี้ขอไปดูลาดเลาที่บ้านคุณพ่อตาแม่ยายก่อนเนอะ”
“หวาน!!!” ผมตีเข้าให้ที่ต้นแขนคนตรงหน้า
“โอ๊ย! ตีอีกทีจะจูบแล้วนะครับ” พูดแล้วก็ยื่นหน้าเข้ามาจริงๆ ทำเอาต้องยกมือขึ้นมาผลักออกไปห่างๆ
“ให้มันน้อยๆ หน่อย”
“เอ้า เรื่องจริงนี่ครับ”
ผมทุบไหล่คนตรงหน้าแถมไปอีกที “คนยิ่งเครียดๆ อยู่”
“โอ๋ๆ” หวานเลื่อนมือลงมาคล้องเอวผมเอาไว้หลวมๆ “ยังไงสักวันเขาก็ต้องรู้ความจริงอยู่ดี นี่คงไม่คิดจะปิดเป็นความลับตลอดไปใช่มั้ยครับเนี่ย”
“ใครจะทำแบบนั้นกันเล่า”
“แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จู่ๆ จะเดินไปประกาศได้เลยใช่ไหมล่ะ” ผมก้มหน้าพูด “เขาจะว่ายังไงที่มาคบกับคนอายุห่างกันขนาดนี้ แถมยังเป็นผู้ชายอีก นี่ยังไม่นับเรื่องของที่บ้านคุณอีกนะ”
“เรื่องที่บ้านผมน่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วงเลยนะครับ” หวานยิ้ม
“แต่ว่า…”
“นี่ใครครับ หวานใจของบ้านนะ”
พูดอย่างมั่นหน้าจนต้องหรี่ตามองอย่างไม่ไว้ใจ “พูดง่ายเนอะ”
อีกฝ่ายยิ้มทะเล้น “จีบคุณยากจะตายผมยังทำได้เลย ไม่เชื่อฝีมือผมเหรอ”
“ยังไงก็จะหาทางเข้าไปเนียนเป็นลูกเขยบ้านคุณจนได้แหละ”
ผมส่ายหัวแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่ได้กังวลกับคนนี้” ผมเอานิ้วจิ้มแขนอีกฝ่าย “แต่กังวลกับคนที่บ้านต่างหากล่ะ”
“วันนี้ก็ไปดูเชิงครอบครัวคุณก่อน แล้วค่อยกลับมาคิดวิธีบอกให้เขารู้กัน นี่ ที่จริงอาจจะไม่มีเรื่องต้องกังวลเลยก็ได้นะ ลูกเขยหล่อขนาดนี้ เผลอๆ แค่เห็นหน้าก็ให้ผ่านแล้วครับ”
“หลงตัวเองมากไปละ” ผมเบ้หน้า “วันนี้จะไปก็อย่าออกตัวแรง ดูสถานการณ์ก่อน…” ผมช้อนตามองอีกฝ่าย “เรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา… เข้าใจมั้ย”
“ผมมีเวลาให้คุณทั้งชีวิตเลยแหละ” คนสูงกว่าตอบยิ้มๆ แล้วกระชับอ้อมแขนให้ระยะระหว่างเราลดลงไปอีก “จะจับไว้แบบนี้… ไม่ยอมปล่อยไปไหนแน่ๆ”
“เพ้อเจ้อ” ว่าไปอย่างนั้นแล้วก็ก้มหน้างุด
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ๆ ความกลุ้มใจที่มีอยู่ก็หายไปเสียเฉยๆ หัวใจที่กำลังเต้นตึกตักมันก็เหมือนจะพองฟูขึ้นมาเมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ต้องผ่านเรื่องนี้ไปคนเดียว
“แต่ว่า… ก่อนอื่น” ร่างสูงยิ้มกว้าง ส่งสายตาเป็นประกายกลับมาให้
“ขอจูบเป็นกำลังใจหน่อยสิครับ” _ _ _ _
(มีต่อ)