ผ า เ พี ย ง ฟ้ า
25
something only we know
_________
bgm : stand by me - oasis
'stand by me
nobody know'
_________
นานมาแล้วที่ผมเพิ่งจะเข้าใจว่าความรู้สึกนี้มันเป็นยังไง กับการที่โลกยังคงหมุนไปเหมือนเดิมแต่มีแค่เราสองคนที่รู้ว่ามันพิเศษกว่าวันอื่นๆ ม่านทำตัวปกติไม่ต่างจากผม แต่เมื่อไหร่ที่เราบังเอิญสบตากันในจังหวะหนึ่งผมก็มักจะรู้สึกว่ามันไม่ปกติเข้าแล้วจริงๆ
ไม่รู้เพราะเห็นว่าเขาแอบอมยิ้ม หรือเป็นเพราะว่าใจตัวเองเต้นแรงจนควบคุมไม่ได้
บางครั้งมันเลยต้องหันกลับมาแล้วทำเป็นไม่มีอะไรดังเก่า ผมไม่ได้บอกเพื่อนเรื่องของเราและคิดว่าม่านก็คงยังเหมือนกัน เพราะถ้าเป็นแบบนั้นทุกคนน่าจะรู้เรื่องราวกันไปแล้ว
หลังจากพักผ่อนอยู่บ้านเป็นเวลานานเกือบสองอาทิตย์ก็ถึงช่วงเปิดเทอม ม่านแวะมาหาอีกครั้งหลังจากคืนนั้นและได้มีโอกาสเจอครอบครัวของผมอย่างพร้อมหน้า ทั้งคุณน้าและคุณอาต่างก็ต้อนรับอย่างดีเหมือนเคย ดูเหมือนคราวนี้ทั้งสองจะรับรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีสถานะเป็นแค่เพื่อนอย่างที่ผมแนะนำ ถึงเราจะไม่ได้ทำอะไรที่ดูเกินหน้าเกินตา แต่แค่การที่เขามาหาบ่อยๆก็เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดี
พักหลังมานี้ม่านค่อนข้างจะงอแงเก่งกว่าเดิม เขามักจะบ่นว่าคิดถึงผมทุกวันเวลาที่เราไม่เจอหน้า โทรมาหาบ่อยกว่าปกติจนผมแทบไม่มีเวลาทำอะไรอย่างอื่นนอกจากคุยกับเขา แรกๆผมก็มีความรู้สึกว่ามันมากไปบ้างแต่พอเขาหายไปทีไรกลับเป็นตัวเองทุกครั้งที่รู้สึกเหงา
ไม่ใช่แค่เขาต้องการผม ผมเองก็ต้องการเขาไม่ต่างกันมากเท่าไหร่
คิดถึงเหมือนกันนั่นแหละ
‘เฮ้อ ติดเธอเกินไปอีกละเนี่ย’
ประโยคนี้ผมมักจะได้บินมันบ่อยๆจากอีกฝ่าย เขาชอบถอนหายใจก่อนจะพูดอย่างหงุดหงิด แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ไม่วางสายผมอยู่ดี ไม่รู้จะบ่นไปทำไม บ่นเสร็จก็ชวนผมคุยต่อแล้วอ้อนไม่ให้วางตลอด แล้วผมจะทำอะไรได้นอกจากฟังเขาพูดไปเรื่อยๆจนเวลาล่วงเลยตลอด
คงเพราะชอบล่ะมั้งที่เห็นม่านมันยิ้ม แบบนั้นเลยไม่กล้าขัดเพราะรอยยิ้มของเขามันทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นเท่าตัว และเพราะรู้ว่าเขาก็มีความสุขมากเหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้นผมก็อยากจะทำทุกอย่างเพื่อรักษารอยยิ้มเขาให้มันยังคงอยู่
อย่างเมื่อย : AMAN
ม่านส่งข้อความมาในตอนที่ผมกำลังนั่งทำงานอยู่หน้าโน้ตบุ้ค เขาบอกผมว่าออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าอย่างหนึ่งใจกลางเมืองแห่งหนึ่งตั้งแต่เช้า จนตอนนี้ล่วงเลยผ่านไปจนถึงตอนเย็นก็ยังไม่ได้กลับ
Pha : ยังไม่เสร็จหรอ?
ยัง : AMAN
อีกนานเลยมั้ง : AMAN
เดินจนปวดเท้าไปหมดละเนี่ย : AMAN
เขางอแง ปกติแล้วก็ไม่ค่อยบ่นเรื่องงานมากเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะทนไม่ไหวจนต้องระบายออกมากับผม
Pha : ไปหาที่นั่งก่อนไป
นั่งอยู่ : AMAN
ปล่อยให้เพื่อนมันเดินกันเองละ : AMAN
Pha : เมื่อยมากเลยดิ?
เดินไม่ไหวอ่ะ : AMAN
Pha : โอเคป่ะเนี่ย?
อืออ : AMAN
ได้นั่งพักก็ดีขึ้นบ้างแล้ว : AMAN
ถึงจะแอบเป็นห่วงอยู่นิดหน่อยแต่พอเห็นเขาตอบแบบนั้นผมก็โล่งใจ พยายามหาข้อมูลต่างๆพร้อมกับตอบเจ้าตัวไปด้วยพร้อมๆกัน หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ทักมาหาอีกครั้งพร้อมกับบอกว่าจะไปทำงานของตัวเองต่อ
Pha : ไปไหนนะ?
จะไปช่วยเพื่อนต่อละ : AMAN
รู้สึกผิดที่มานั่งพักคนเดียว : AMAN
ผมขมวดคิ้วเพราะคิดว่าเดี๋ยวอาการเจ้าตัวคงกำเริบเข้าจนได้ แต่ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะไปเดินซื้อของต่อ เมื่อเป็นดังนั้นจึงถอนหายใจแล้วมองไปรอบๆห้อง ดูเหมือนว่าผมต้องทำอะไรสักอย่างเข้าแล้วจริงๆ
Pha : งั้นกลับมาแล้วมาห้องกูนะ
จะให้ไปหาหรอ? : AMAN
Pha : อืม
ไหนบอกว่าจะทำงาน? : AMAN
กลัวเค้าไปแล้วจะกวนเธอเปล่าๆ : AMAN
Pha : เออน่า
Pha : มาแล้วกัน
อ่อ : AMAN
โอเคครับ : AMAN
Pha : อย่าฝืนตัวเองมากล่ะ
เขาตอบรับสั้นๆหลังจากนั้น และผมก็รีบเปลี่ยนชุดเพื่อเตรียมตัวลงไปซื้อของด้านล่างหอ
สุดท้ายก็ต้องดูแลเขาอยู่ดี จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ก็รู้สึกหงุดหงิด
/
ผมกลับมาถึงห้องราวๆเกือบสามทุ่ม เมื่อทักผาไปเขายังยืนยันว่าจะให้ไปหาตามเดิม ทั้งๆที่เราคุยกันตั้งแต่ตอนเช้าแล้วว่าวันนี้เขาคงไม่ว่างเพราะยุ่งกับงานนิดหน่อย แต่สุดท้ายผาก็ยังคะยั้นคะยอให้ผมไปจนต้องทำตามใจ
ประตูห้องเขาเปิดออกพร้อมกับเจ้าของที่อยู่ในชุดนอนสีเรียบ ทรงผมยุ่งเหยิงนิดหน่อย ผาเบี่ยงตัวหลบให้ผมได้เดินเข้าไปก่อนจะปิดประตูแล้วเดินรั้งท้าย
“จะให้เค้านอนนี่หรอ หรือยังไง?” ผมถามออกไป ไม่แน่ใจกับคำตอบมากนักเพราะเขาไม่เคยร้องขอแบบนั้นเลยสักครั้งแม้แต่ตอนที่เราคบกันแล้ว
“แล้วแต่มึง ถ้าขี้เกียจกลับก็นอนได้”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า ผมทิ้งตัวลงยังโซฟาห้องนั่งเล่นก่อนจะเอนกายอย่างนวยนาด
“งั้นเค้านอนนี่เลยละกัน”
“อาบน้ำมาแล้วใช่มั้ย?”
“อาบแล้ว”
เขาหันมามองแล้วชะงัก แค่เพียงเสี้ยววิก็เรียกผมให้เข้าไปยังห้องนอนของเจ้าตัว
“หืม? มีอะไรหรอ?” ผมงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงต้องเอาแต่เรียกอยู่ซ้ำๆ
“เออมาเหอะน่า”
เมื่อไม่อยากขัดใจเลยต้องเดินตามไปติดๆ มองเห็นผานั่งขัดสมาธิบนเตียง เว้นที่ว่างเป็นการบอกกลายๆว่าให้ผมนั่งตรงไหน ดังนั้นเลยต้องขยับไปแล้วนั่งไม่ไกลเจ้าตัว จากนั้นผาก็จัดแจงให้เหยียดขาออกมาข้างหน้า ก่อนที่เขาจะเริ่มเคลื่อนตัวออกแล้วนั่งลงยังบริเวณปลายเท้า
“เฮ้ย จะทำอะไร?” ผมตกใจเมื่อจู่ๆ อีกฝ่ายก็นำมือมาจับเท้าของตัวเองแล้วขยับไปมา อันที่จริงก็รู้ว่าผาคงอยากจะช่วยแต่ผมก็ไม่อยากให้เขาต้องลำบาก
“ก็จะนวดให้ไง” ผาตอบ มองมาก่อนจะก้มลงแต่ก็โดนผมปฏิเสธเข้าอีกรอบ
“ไม่ต้องเลย เท้าเค้ามันสกปรก”
“งั้นไปล้าง”
“ผา”
คราวนี้เขาไม่ฟังเมื่อผมทำเสียงดุ เหมือนจะรู้ว่าผมไม่กล้าขัดเมื่อเขาตั้งใจจะทำอะไร มือเล็กเลยถือวิสาสะเข้าสัมผัสปลายเท้าอีกครั้ง วนไล้มันไปมาสองสามรอบ ก่อนจะหันกลับไปด้านข้าง เปิดขวดยาอะไรสักอย่างแล้วบีบมันลงบนฝ่ามือ ผมได้แต่นั่งเงียบแล้วมองคนที่กำลังตั้งใจนวด ผาเองก็เงียบ บางครั้งก็มองผมกลับบ้างเป็นพักๆเพื่อดูว่าอาการเป็นยังไง สัมผัสที่เขามอบให้แผ่วเบาเสียจนรู้สึกผ่อนคลาย อีกฝ่ายค่อยๆไล้มือไปอย่างเชื่องช้าและนั่นทำให้ความรู้สึกบางอย่างมันจุกอยู่ที่อก
ผาไม่เคยบอกรักหรือพูดคำหวานแม้เราจะเปลี่ยนสถานะ เขายังทำตัวเหมือนเดิม ไม่มีอะไรที่เป็นเครื่องยืนยันว่าเราคบกันจริงๆ มีเพียงแค่ความทรงจำคืนเดียวที่เปลี่ยนทุกอย่าง จนบางครั้งผมยังแอบคิดคนเดียวว่าเขาแค่ตอบรับมันผ่านๆไปหรือเปล่า
แต่คำตอบมันก็ชัดเจนอยู่ในทุกๆการกระทำของเขาเอง
ผาทำให้รู้ว่าเขาใส่ใจผมมาก มากเกินกว่าที่ผมคิดว่าไว้เสียอีก ทั้งๆที่เขาจะปล่อยผ่านไปก็ได้ด้วยซ้ำแต่เจ้าตัวก็ยังเรียกผมให้มาหา ทั้งสายตาของเขาที่เฝ้ามองว่าอาการมันจะทุเลาลงหรือเปล่า หรือการที่มือเขาค่อยๆสัมผัสแผ่วเบาจนผมแทบจะหวั่นใจ
ทั้งหมดเลยทำให้ผมรู้ว่าเขาก็รักผมเหมือนกัน และเขาก็รักมากเสียจนผมต้องดึงตัวเขาเข้าหาในนาทีหนึ่งแล้วกอดเอาไว้แนบแน่น ผาไม่ได้ดิ้นให้หลุด ยอมให้ผมกอดอยู่อย่างนั้นจนพอใจ
“ขอบคุณนะ”
“...” เขาไม่ตอบ แต่รู้สึกถึงใจที่เต้นแรงบริเวณหน้าอก
“...”
“ดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
“อืมม ก็ยังปวดอยู่นิดหน่อย”
ผมปล่อยเจ้าตัวออกก่อนที่ผาจะนวดให้อีกรอบ คราวนี้ผมเลยเหยียดขาให้เขานั่งได้อย่างสบาย นวดไปได้ไม่นานจนผมต้องรั้งเอาไว้บอกให้พอเขาถึงได้หยุด หลังจากนั้นเจ้าตัวก็เรียกให้ไปทานข้าวที่ซื้อเอาไว้ก่อน
เขาคงรู้ว่าวันนี้เป็นวันที่ผมเหนื่อยมามากถึงได้ตามใจแทบจะทุกอย่าง ไล่ให้ผมไปพักไม่ยอมให้ช่วยทำความสะอาด แถมยังไม่ขัดเมื่อแอบฉวยโอกาสบ้างนิดหน่อย
อย่างน้อยๆเหนื่อยมาก็ได้กำไร
พลั่ก! —“ยิ้มอยู่ได้”
เขาเดินมาผลักหัว ไม่ได้ใช้แรงมากไปจนทำให้เจ็บ ผมไม่ตอบ เอาแต่ยิ้มแบบที่เขาว่าพร้อมกับมองเจ้าตัวไปเรื่อยๆ ก็คนมันมีความสุขนี่หว่า จะให้เก็บยังไงไหว
“เธอทำงานต่อหรอ?”
“อือ”
“มานอนกับพี่ดีกว่ามะหนู มามะๆๆ”
มือใหญ่ตบลงบนฟูกเสียงดัง เสียงผมยียวนกวนประสาท คราวนี้ผาหันมามองก่อนทำหน้าหยี นั่นทำให้ผมหัวเราะร่ากลับไป
“เดี๋ยวจะโดนไล่กลับห้อง”
“หนูใจร้ายจังเลย”
“ยังอีก”
“หนู~”
“ยังไม่เลิกอีก”
ฟุบ!
ปับ!
สมุดเล่มหนึ่งลอยมากับอากาศ มันหล่นลงข้างๆผมที่หลบได้ทัน คนใจร้ายหันกลับไปแล้วไม่สนใจว่าผมจะพูดอะไรต่อ เมื่อเป็นแบบนั้นผมเลยแสร้งทำเป็นงอนแล้วดูว่าเขาจะง้อหรือเปล่า
“ให้กูปิดไฟมั้ย?”
“...”
“ม่าน”
“...”
พอไม่ตอบผาก็ไม่เซ้าซี้ต่อ นั่นทำให้ผมสบถในลำคอแผ่วเบาแล้วก้มหน้าเล่นโทรศัพท์ไปเงียบๆ
เออ ก็แฟนไม่ง้อ
แค่นั้นเองป่ะวะ
“ม่าน”
“...”
“นอนแล้วหรอ?”
“เปล่า”
“แล้วทำไมไม่ตอบ”
“...”
ผมใช้ใบหน้าใสซื่อมองเขาก่อนจะยักไหล่ มองจากดาวอังคารยังรู้ได้ว่ามันไม่ปกติ ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่ทุกอย่างเงียบไปอีกครั้งก่อนที่ผาจะหยุดยืนด้านข้าง หยิบโทรศัพท์จากมือในทันทีก่อนจะทำบางอย่างที่ใจผมแทบหลุดออกจากอก
จากการที่เขาขึ้นมานั่งคร่อมบนตัก แล้วใช้สองมือคล้องคอผมไว้อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ปกติแล้วผมมักจะเป็นฝ่ายรุกเขาก่อน แต่พอเขารุกกลับแบบนี้ก็ทำเอาไปไม่เป็น มือไม้สะเปะสะปะจนต้องตั้งสติและกว่าจะรู้ตัว ผาก็กดจูบลงข้างลำคอแล้วไล่ขึ้นมาจนถึงใบหู
เวร
แบบนี้ผมมัน —
“...อืมมม...”
—จะกลั้นเสียงครางยังไงไหว
“ชอบป่ะ?”
ผมอยากจะผลักเขาออก แต่ทำไมมือมันกลับไม่ทำตามที่สมองสั่ง เพราะผมเอาแต่จับเอวเขาไว้พร้อมจะทุ่มลงไปกับเตียงในทุกวินาทีที่เสียงแหบพร่าพูดข้างหู
“...ทำไมไม่ตอบล่ะครับ?” คราวนี้ลิ้นร้อนลากเลียยังจุดชีพจร ผมแทบจะตวัดเขาลงแต่ผาก็สู้แรงโดยการล็อกมือผมไว้แน่น ถึงแม้จะสู้ไหวแต่ผมก็ต้องหักห้ามใจตัวเองไว้ด้วย
ยัง
ยังไม่ใช่ตอนนี้
“ถ้าชอบหนูจะทำให้อีก...ดีไหม?”
สรรพนามที่ใช้ทำเอาผมกัดฟันกรอด หายใจแรงผ่อนปรนอารมณ์อ่อนไหว รีบพยักหน้ากลับไปเพื่อตอบรับคำถามที่ส่งให้ก่อนหน้า
เป๊าะ! “ —แต่อย่ากวนตีนบ่อยเกินไป งานกูมันจะไม่เสร็จ เข้าใจรึเปล่า?”
นิ้วเล็กดีดไปยังหน้าผาก อารมณ์ที่มันพุ่งขึ้นสูงถูกดับลงต่อหน้าต่อหน้า เขาหัวเราะร่า ก่อนจะรีบผละออกไปเมื่อจัดการกับใครบางคนได้อยู่หมัด
อืม
ผมน่ะเหมือนลูกไก่ในกำมือเขาชัดๆ
ทำเป็นเก่งแค่ไหนผาก็รู้วิธีจัดการมันตลอด
อันที่จริงเพราะผมยังไม่อยากทำอะไรเขาหรอก ไม่งั้นผาก็โดนรวบหัวรวบหางไปตั้งนานแล้ว ก็บอกแล้วว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ ผมมีเวลาของตัวเอง และผมก็ไม่อยากรวบรัดเขาเกินไปเพราะเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลา
ถึงแม้ตัวเองจะต้องการมันมากก็เถอะ
/
“ไงๆ กว่าจะมาได้นะมึง” เสียงไอ้ปัทถ์ลอยมาแต่ไกลพร้อมกับสายตาเจ้าเล่ห์ มันมองผมกับคนที่เดินมาด้วยกันด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ทำไมนาน?” เมื่อนั่งลงไอ้ฮั่นก็เอียงตัวมาถาม ผมเลยหันกลับไปตอบ
“ม่านลืมกระเป๋าตัง เลยวกกลับไปเอาที่หอมันอีกรอบ”
พวกเราตกลงว่าจะรวมตัวกันที่บ้านไอ้เหนือวันนี้เพื่อเฉลิมฉลองก่อนที่จะเปิดเทอมอย่างเต็มตัว มีทั้งกลุ่มเพื่อนผมและกลุ่มเพื่อนม่านตามเดิม ดูเหมือนว่าผมจะเลทนิดหน่อยเพราะเมื่อมาถึงก็มีสมาชิกนั่งกันอยู่อย่างพร้อมหน้า แถมยังมีแขกพิเศษอีกคนที่ผมต้องหันไปยิ้มกับไอ้ปัทถ์อย่างรู้กัน
จากคนที่นั่งข้างเจ้าของบ้าน สายรหัสของใครบางคนที่เราเคยเจอกันมาก่อน
“เธอกินไร เหล้าหรือเบียร์?”
“เหล้า”
“ครับ”
“ไม่ต้องใส่โค้กนะ ขอโซดาน้ำเปล่าพอ”
ผมหันไปกำชับอีกรอบ ก่อนที่ม่านจะรับคำแล้วชงเครื่องดื่มส่งมา ผมรับแก้วใสแล้ววางไว้ตรงหน้า ไม่ทันจะได้ทำอะไรต่อก็ดูเหมือนจะโดนเล่นงานเข้าตั้งแต่เริ่ม
“ผา”
“ฮะ?” เงยหน้าเมื่อเพื่อนเรียก เป็นไอ้นาวานั่นเอง ผมรู้ว่ามันจะถามอะไรต่อเพราะเพื่อนทุกคนหันมองมาทางนี้
“มีอะไรจะบอกพวกกูเปล่า?”
เป็นคำถามวัดใจที่ทำเอาผมต้องชะงักไปสักพัก ไม่ใช่ว่าไม่อยากตอบ แต่ว่าคนพูดไม่เก่งอย่างผมไม่รู้จะเริ่มต้นแบบไหน จู่ๆจะให้ไปบอกว่าตัวเองกับม่านคบกันแล้วมันก็ดูจะแปลกไปเสียหน่อย เมื่อเป็นดังนั้นเลยต้องทำเป็นยกบุหรี่ขึ้นชิดริมฝีปากแล้วตอบกลับไปพร้อมกัน
“ก็อย่างที่เห็น”
เสียงซุบซิบดังขึ้นเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่เลิกรามือ
“อย่างที่เห็นยังไง”
“เออ ให้มันชัดเจนหน่อยดิวะเพื่อนกู”
พวกมันแท็กทีมกันแกล้ง ผมทำเป็นไม่สนใจแต่สุดท้ายก็ตายเพราะไอ้ติน
“ขอชัดๆแค่ว่าเป็นน้องหรือเป็นแฟน...แค่นั้นเอง”
ไม่ใช่แค่เพื่อนผมที่ฟังอยู่ เพื่อนม่านเองก็เหมือนกัน เหมือนเขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในประเด็นสนทนาจึงได้ทำหน้าสงสัย ผมยังไม่ตอบ พ่นควันบุหรี่ขึ้นด้านบนก่อนจะเคาะเถ้าถ่านลงบนถาดรอง
“สรุปคือน้อง?” ไอ้ปัทถ์พูดเบาๆ จ้องมองไม่ละไปไหน
และผมก็คิดว่าตัวเองใช้ความเงียบเป็นคำตอบได้ดีจากการที่ทุกคนยิ้ม พร้อมกับมือไอ้ฮั่นที่กอดคอแล้วเข้ากระซิบอีกรอบ
“ร้ายนะเนี่ยเพื่อนกู”
ผมใช้ศอกดันท้องมันไปหนึ่งรอบ แทบไม่กล้ามองคนอื่นเพราะกลัวว่าใบหน้าตัวเองจะขึ้นสี หันไปมองคนที่นั่งข้างกันเจ้าตัวก็เอาแต่ยิ้มไม่ต่าง เขาก็ไม่พูด รอให้ผมย้ำชัดกับทุกคนเสียเอง
“น้องน่านยิ้มอะไร?” เมื่อเห็นว่าเด็กมันกำลังได้ใจผมเลยแกล้ง คนที่ยิ่งประหม่าเลยส่ายหน้าเบาๆแต่ก็ยังยิ้มอยู่
“น่านก็ยิ้มเหมือนที่คนอื่นๆยิ้มนั่นแหละครับ”
“แซวพี่หรอ?”
“เฮ้ย เปล่านะพี่ผา”
ผมหัวเราะ ก่อนจะยกแก้วตามคนอื่นๆไปติดๆ
เพราะไม่ได้เจอกันนานบทสนทนาที่พ้นผ่านเลยเต็มไปด้วยเรื่องเล่ามากมาย มีเสียงหัวเราะและบรรยากาศเก่าๆคลอเคล้า ผมดื่มไปหลายแก้ว จนไม่รู้แล้วว่าตอนนี้สติยังดีอยู่ไหม ม่านเองก็เหมือนกัน เขาไม่ได้ห้ามผมแต่ก็คอยดูแลอยู่ห่างๆ แบบนั้นยิ่งทำให้เพื่อนยิ่งเล่นงานผมอยู่เรื่อยๆ
“หายไปนานเชียวน้าา”
“ไหนบอกไปแปบเดียวไงน้า”
“แบบนี้มันยังไงๆๆอยู่น้าา”
ผมต้องขอบคุณไอ้เหนือที่หายไปเสียนานประเด็นต่างๆเลยตกอยู่ที่มันเสียแทน
“ไอ้สัส พอเลย” มันถลึงตาใส่ นั่งลงยังเก้าอี้ที่คนด้านข้างหายไปแล้วเรียบร้อย
“ไปส่งถึงห้องขนาดนั้นน้องนอนหลับสนิทไหมครับคุณเหนือ?” ไอ้ปัทถ์กับนาวาหัวเราะคิกคักกันสองคน แท็กมือเข้าทันทีเมื่อเห็นว่าเล่นงานเจ้าของบ้านมันได้
“จะไปรู้กับเขาหรอไง”
“มีไม่รู้ด้วยว่ะ”
“ก็ต้องหลับสนิทเปล่าว้าา ไปส่งถึง...โอ้ย” ไอ้ปัทถ์เว้นช่วงไว้จนผมต้องเอื้อมมือไปผลักหัว สาเหตุเพราะพูดจาไม่ได้เรื่อง
“ใจเย็น แค่ไปส่งจริงๆ ไม่ได้มีเรื่องอย่างว่า” คราวนี้เจ้าตัวแก้ข่าว แต่คนอื่นๆก็ยังไม่หยุด
“ไม่มีเรื่องอย่างว่าแต่น้อยกว่าอย่างว่ามีใช่ไหมล่ะพี่” คราวนี้เป็นรุ่นน้องที่แทรกขึ้น ไอ้เหนือหันไปมอง มันไม่ตอบแต่ก็หัวเราะก่อนจะสูบบุหรี่ แค่นั้นก็เพียงพอเหมือนกันที่ทำให้พวกผมรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกผู้ชายอะนะ
อยู่ด้วยกันจนรู้นิสัยใจมันดี
“อ่าวไอ้ผาว่าไง อย่างว่ามีไหม อย่าน้อยหน้าเขานะเว้ย”
ผมแทบจะขว้างแก้วใส่ไอ้ปัทถ์เมื่อสุดท้ายมันก็หันกลับมาหาผมอีกแล้ว โชคดีที่คราวนี้ม่านมันรีบปฏฺเสธเข้าก่อน ไม่งั้นผมคงลุกหนีเพราะไม่รู้จะตอบพวกนั้นยังไง
“ฮ่าๆ ใจเย็นพี่ปัทถ์”
“อย่าร้อนตัวดิวะม่าน”
“ผมไม่ได้ร้อนตัวพี่” คนอายุน้อยกว่ายังหัวเราะ ไม่รู้ว่ามีอะไรน่าขำนัก แต่ผมก็ต้องขอบคุณเขาล่ะนะที่พูดให้ไม่งั้นก็คงจะทนฟังเพื่อนมันแกล้งต่อไป
“เอาไว้ก่อนๆ ผมไม่รีบๆ”
เมื่อดื่มไปสักพักสติแต่ละคนก็เริ่มจะหดหายไปมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนผมเริ่มหายไปทีละคน เริ่มที่ไอ้เหนือก่อน ไม่รู้มันรีบอะไรนัก หรือเพราะใจมันยังอยู่กับคนที่ไปส่งเข้านอนเลยทำให้ลุกไปคนแรกโดยไม่สนเพื่อน จนในที่สุดผมก็ต้องขอตัวลาไปกับไอ้ฮั่น เหลือเพียงม่านและเพื่อนเขาที่ยังนั่งกินกันต่อ
ผมจำได้รางๆว่าพอหัวถึงหมอนตัวเองก็นอนหลับทันที คงเพราะความง่วงที่สั่งสมบวกฤทธิ์แอลกอฮอลล์ที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย กว่าจะรู้ตัวก็ในตอนที่มีบางอย่างยุ่มย่ามอยู่บริเวณหน้าอก รบกวนจนทำให้ผมต้องลืมตาอยู่ในความมืด ตั้งสติอยู่สักพักถึงได้รู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังโดนจู่โจมอย่างหนักจากคนด้านบน
ผมกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ไม่กล้าส่งเสียงครางออกไปแม้จะรู้สึกรันจวนใจเป็นอย่างมาก หน้าอกบางลอยขึ้นตามการเคลื่อนไหว มือใหญ่ยังใช้เกลี่ยเม็ดสีอยู่อย่างนั้น แถมอีกข้างยังมีลิ้นร้อนตวัดไล้จนผมต้องดึงเส้นผมของเขาเพื่อให้หนีห่าง
ไม่ไหว
ยิ่งเขาเล้าโลมแบบนี้ผมยิ่งจะไม่รอด
ม่านยังไม่ยอมถอย แต่กลับใช้แรงจากเท้าแยกขาผมออกโดยที่ไม่ต้องใช้มือช่วย แทรกตัวเข้ามาแล้วกดส่วนล่างให้ถูไถกันมา กางเกงยีนของเราเบียดเสียดกันจนผมรู้ได้ว่าเขากำลังรู้สึกอย่างไร
“เค้าเมา” เขากระซิบที่ใบหู เสียงแหบพร่าบ่งบอกความต้องการเด่นชัด “...ให้เค้าไปซื้อถุงยางได้ไหมครับ?”
คำขอของเขาทำให้ผมกัดฟันแน่น เพราะเจ้าตัวใช้มือตัวเองมาจับข้อมือผม ส่งมันเข้าไปสัมผัสผิวเนื้อของส่วนอ่อนไหวที่แข็งขืนตอบรับ ลูบไล้เบาๆจนผมสามารถจินตนาการได้ว่าเป็นส่วนไหน มันกระตุกตอบรับบางจังหวะ ความอุ่นร้อนที่คงอยู่ยังฝ่ามือทำให้ต้องเบือนหน้าหนี
“หรือจะไปขอเพื่อนดี?”
ม่านยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ ดูเหมือนเขาก็แทบจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน น่าแปลกที่ผมไม่มีความคิดที่จะห้าม คงเพราะตัวเองก็ต้องการเรื่องอย่างว่าหลังจากห่างหายไปนานเอามากๆ
ริมฝีปากหยักลากไล้ตั้งแต่หัวไหล่จนถึงลำคอ ดูเหมือนเขาจะทำรอยไว้บางช่วงจนผมต้องรีบผลักเจ้าตัวออก กลัวว่ารอยเหล่านั้นจะโผล่พ้นเนื้อผ้า เสียงเขาหัวเราะเบาๆตามมา ก่อนที่จะดึงมือผมออกแล้วทาบมันไว้ผ่านกางเกงยีนเสียแทน
“ก็ไม่ได้ดิเนาะ”
“...”
“งี้เพื่อนก็รู้หมดพอดี”
เสียงเขายังยานคางเช่นเดิม ก่อนที่จะล้มตัวลงแล้วกอดผมแน่น ความคิดในหัวเริ่มตีกันไปมา คงเพราะผมเองก็เริ่มอยากให้เขาสานต่อและเดินทางไปสู่ฝั่งฝันด้วยกัน นั่นเลยรู้สึกผิดหวังที่จู่ๆม่านก็หยุดเอาเสียดื้อๆ
ไม่พอแค่นั้น เสียงกรนจากเจ้าตัวยังตามมาจนผมแทบจะกดความโกรธเอาไว้ไม่อยู่
ไอ้เด็กหน้าหมา!
วันหลังถ้าไม่ทำก็ไม่ต้องเล้าได้ป่ะวะ คนที่ค้างมันไม่ตลก!!
#ผาเพียงฟ้า
24/12/19
before30october